ปัสสาวะบ่อยอาจไม่ได้จบเพียงแค่ความน่ารำคาญใจเท่านั้น เพราะอาจกลายเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนถึงโรคอันตรายต่าง ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ โดยเฉพาะอาการปัสสาวะบ่อยร่วมกับอาการผิดปกติอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจได้ไม่น้อย แต่ก่อนอื่นจะต้องทราบก่อนว่าปัสสาวะแบบไหนเรียกว่าบ่อย และแบบไหนที่ต้องรีบพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
Key Takeaways
- อาการที่นับว่าปัสสาวะบ่อย ได้แก่ ปัสสาวะมากกว่า 7 ครั้งต่อวัน
- การปัสสาวะบ่อยอาจเกิดขึ้นได้จากการดื่มน้ำมาก หรือความผิดปกติที่เกิดจากโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคทางเดินปัสสาวะ รวมไปถึงการตั้งครรภ์ก็สามารถทำให้ปัสสาวะบ่อยเช่นกัน
- ปัสสาวะบ่อยร่วมกับอาการผิดปกติอื่น เช่น มีเลือดปนในปัสสาวะ, ปัสสาวะแสบขัด, กลั้นปัสสาวะไม่อยู่, มีไข้สูง, ปัสสาวะเป็นฟอง ควรจะต้องพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม
สารบัญบทความ
- ปัสสาวะแบบไหนเรียกว่าบ่อย แล้วแบบไหนเรียกว่าผิดปกติ
- รวมสาเหตุปัสสาวะบ่อยเกิดจากอะไร?
- สัญญาณเตือน! ปัสสาวะบ่อยเสี่ยงโรคอะไร?
- อาการปัสสาวะบ่อยแบบไหนที่ต้องพบแพทย์?
- แนะนำวิธีป้องกัน และการดูแลสุขภาพเมื่อปัสสาวะบ่อย
- ปัสสาวะบ่อย อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคอันตราย รีบตรวจสุขภาพ เพื่อรักษาสุขภาพที่ดีในระยะยาว
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัสสาวะบ่อย
ปัสสาวะแบบไหนเรียกว่าบ่อย แล้วแบบไหนเรียกว่าผิดปกติ
ปัสสาวะปกติ ปริมาณเท่าไหร่? ปกติปัสสาวะของผู้ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพจะมีปริมาณอยู่ที่ 250-500 ซีซีต่อครั้ง และภายใน 24 ชั่วโมงอาจปัสสาวะประมาณ 5-6 ครั้งต่อวัน หรือมากสุดน้อยกว่า 8 ครั้งต่อวันโดยไม่มีอาการปวดปัสสาวะหลังนอนหลับไปแล้ว แต่หากมีการปัสสาวะจำนวนครั้งมากกว่าที่กล่าวถึง อาจแสดงถึงภาวะปัสสาวะบ่อย (Frequent Urination) ได้
ทั้งนี้หากการปัสสาวะบ่อยนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืน ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะทั้ง ๆ ที่นอนหลับไปแล้วมากกว่า 2 ครั้งเป็นต้นไปจนรบกวนการนอนหลับ จะนับว่าเป็นอาการฉี่กลางคืน (Nocturia) ซึ่งอาจนับว่าเป็นความผิดปกติที่ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเช่นกัน
รวมสาเหตุปัสสาวะบ่อยเกิดจากอะไร?
ปัสสาวะบ่อยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุปัจจัย ซึ่งอาจเป็นเพียงปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยร่วมกันก็ได้ ดังนี้
- การดื่มน้ำหรือของเหลวในปริมาณมากกว่าปกติ
- การได้รับสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการปัสสาวะ เช่น การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ การรับประทานยาขับปัสสาวะ
- สภาพแวดล้อม เช่น การอยู่ในที่อากาศเย็นเกินไป
- ความเครียดและสภาพจิตใจที่ผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อระบบประสาท ที่อาจไปกระตุ้นให้ปัสสาวะบ่อย
- โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะ ที่อาจกระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวเกิน
- โรคที่ส่งผลกระทบต่อความจุของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กระเพาะปัสสาวะจุน้ำปัสสาวะน้อยลง และปวดปัสสาวะบ่อยขึ้น
- โรคเรื้อรังที่มีผลต่อปริมาณน้ำปัสสาวะที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ
- การตั้งครรภ์
สัญญาณเตือน! ปัสสาวะบ่อยเสี่ยงโรคอะไร?

ปัสสาวะบ่อยไม่ได้เกิดจากการดื่มน้ำเยอะเพียงอย่างเดียว หากใครที่กำลังเผชิญกับปัญหาปัสสาวะบ่อย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาก อาจต้องระมัดระวังสัญญาณเตือนจากโรคดังต่อไปนี้
- โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- เนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ล้วนทำให้กระเพาะปัสสาวะมีพื้นที่จุลดลง จนทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น
- โรคไต เกิดจากไตเสื่อมสภาพและไม่สามารถทำหน้าที่ในการดูดน้ำกลับสู่ร่างกายได้ตามปกติ
- โรคเบาหวาน ทำให้มีปริมาณน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูง จนร่างกายจำเป็นต้องขับออกทางปัสสาวะ
- โรคเบาจืด ทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกายได้ ส่งผลให้ปัสสาวะบ่อยและมากกว่าปกติ
- โรคระบบสืบพันธุ์ เช่น เนื้องอกมดลูก มดลูกหย่อน เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ต่อมลูกหมากโต เป็นต้น
- โรคทางระบบประสาท และโรคที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมปัสสาวะ เช่น ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวเกิน ท่อปัสสาวะตีบ หูรูดท่อปัสสาวะหลวม
อาการปัสสาวะบ่อยแบบไหนที่ต้องพบแพทย์?

การปัสสาวะบ่อย ๆ อาจเป็นอันตรายกว่าที่คิด ปัสสาวะบ่อยแบบไหนบ้างที่ควรเข้าพบแพทย์
- ปัสสาวะบ่อยร่วมกับการมีไข้สูง
- ปัสสาวะบ่อยแต่ปริมาณน้ำปัสสาวะแต่ละครั้งน้อย กะปริบกะปรอย หรือมีอาการปัสสาวะไม่สุด
- ปวดปัสสาวะบ่อยกลางคืน ต้องลุกมาเข้าห้องน้ำมากกว่า 2 ครั้งต่อคืน
- ปัสสาวะบ่อยพร้อมกับอาการแสบขัด
- ปัสสาวะมีเลือดปน หรือน้ำปัสสาวะมีสีผิดปกติ
- ปัสสาวะเป็นฟอง
- ปัสสาวะบ่อยร่วมกับการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
แนะนำวิธีป้องกัน และการดูแลสุขภาพเมื่อปัสสาวะบ่อย
การปัสสาวะบ่อย ๆ นั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายแล้วยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจได้ด้วย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ปัสสาวะบ่อย ๆ และดูแลสุขภาพให้กลับมาปัสสาวะเป็นปกติโดยเร็ว สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์กระตุ้นการปัสสาวะ เช่น ชา กาแฟที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฯลฯ
- ปรับพฤติกรรมการดื่มน้ำ เช่น ลดการดื่มน้ำก่อนนอน ดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ ไม่น้อยไป ไม่มากไป
- ปรับพฤติกรรมการปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะเป็นเวลา ไม่กลั้นปัสสาวะนานๆ ฯลฯ
- ดูแลและควบคุมโรคประจำตัวให้อาการคงที่ เช่น หากเป็นโรคเบาหวาน ให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- เข้ารับการรักษาโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น การผ่าตัดเนื้องอกมดลูก เพื่อไม่ให้เนื้องอกมดลูกกดทับกระเพาะปัสสาวะ การเข้ารับการรักษาโรคต่อมลูกหมากโต
- คอยสังเกตปริมาณและจำนวนครั้งที่ปัสสาวะ รวมถึงอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อปัสสาวะ หากมีความผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์
ปัสสาวะบ่อย อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคอันตราย รีบตรวจสุขภาพ เพื่อรักษาสุขภาพที่ดีในระยะยาว
อาการปัสสาวะบ่อยเป็นบางครั้งบางคราวอาจเกิดขึ้นได้จากพฤติกรรมการดื่มน้ำ สภาพอากาศ และสภาพจิตใจในขณะนั้น ซึ่งเป็นภาวะปกติที่ไม่ต้องรักษา แต่หากปัสสาวะบ่อยเป็นประจำ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมกับปัสสาวะบ่อย อาจต้องเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
อย่าปล่อยให้การปัสสาวะบ่อย ๆ กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่คอยบั่นทอนสุขภาพกายและสุขภาพใจ แนะนำให้เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อติดตามข้อมูลสุขภาพของตนเองอย่างใกล้ชิด พร้อมรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพโดยแพทย์ เพื่อรักษาสุขภาพที่แข็งแรงเอาไว้ได้อีกยาวนาน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
- Facebook : Praram 9 hospital
- Line : @Praram9Hospital
- โทร. 1270
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัสสาวะบ่อย
1. การวินิจฉัยปัสสาวะบ่อยมีขั้นตอนอย่างไร?
การวินิจฉัยอาการปัสสาวะบ่อยเริ่มต้นจากการซักประวัติสุขภาพ เช่น ความถี่ในการปัสสาวะ ปริมาณปัสสาวะแต่ละครั้ง อาการร่วมเมื่อปัสสาวะ รวมถึงพฤติกรรมการดื่มน้ำ การใช้ยา หรือโรคประจำตัว จากนั้นอาจเก็บตัวอย่างปัสสาวะและเลือดของผู้ป่วยสำหรับการตรวจในห้องปฏิบัติการเพื่อหาสาเหตุของการเกิดปัสสาวะบ่อย กรณีที่แพทย์สงสัยว่าอาการปัสสาวะบ่อยเกิดจากอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง และต้องการตรวจหาความผิดปกติ อาจมีการตรวจด้วยเครื่องมือแพทย์เพิ่มเติม เช่น อัลตราซาวนด์, CT Scan การส่องกล้อง เป็นต้น
References
Dunkin, MA. (2023, September 5). Frequent Urination: Causes and Treatments. WebMD. https://www.webmd.com/urinary-incontinence-oab/frequent-urination-causes-and-treatments
Paddock, C. (2025, February 14). Why do I have to pee all the time?. MedicalNewsToday. https://www.medicalnewstoday.com/articles/70782