หลาย ๆ คนอาจจะกำลังเผชิญกับอาการปวดศีรษะเรื้อรัง เวียนศีรษะ อ่อนแรงหรือชาตามร่างกาย สิ่งที่จะช่วยให้การรักษาดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยการวินิจฉัยที่มีความแม่นยำสูง เพราะยิ่งรู้สาเหตุของการเกิดโรคได้ชัดเจนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยให้รักษาได้ตรงจุด ช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูจนกลับสู่สภาวะปกติได้เร็วขึ้น
ในบางโรคที่ค่อนข้างมีความซับซ้อน จึงต้องใช้หลายวิธีในการวินิจฉัยร่วมกัน รวมถึงการทำ MRI scan เพื่อใช้เป็นตัวยืนยันผลวินิจฉัยให้มีความชัดเจนเพียงพอ สำหรับคนที่สงสัยว่า MRI คืออะไร? MRI มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร หรือ MRI ตรวจอะไรได้บ้าง สามารถหาคำตอบได้ในบทความนี้
Key Takeaways
- MRI คือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ให้ภาพละเอียดสูง สามารถสร้างภาพ 3 มิติ โดยไม่ใช้รังสีที่เป็นอันตราย
- MRI ใช้ตรวจได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย ทั้งสมอง เส้นเลือด อวัยวะภายใน กระดูก และข้อต่อ ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้แม่นยำ
- การเตรียมตัวก่อนตรวจ MRI จำเป็นต้องถอดโลหะทุกชนิดออก และในบางกรณีต้องงดน้ำและอาหาร 4-6 ชั่วโมง
- MRI ต่างจาก CT Scan ตรงที่ใช้เวลานานกว่าประมาณ 30-90 นาที แต่ปลอดภัยกว่า เพราะไม่ใช้รังสีเอกซเรย์และไม่ต้องฉีดสารทึบรังสี
สารบัญบทความ
- MRI คืออะไร? เครื่องตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง
- MRI ใช้ตรวจส่วนไหนของร่างกายได้บ้าง?
- ข้อดีของ MRI ปลอดภัย และแม่นยำ
- วิธีเตรียมตัวก่อนทำ MRI เพื่อให้ผลตรวจถูกต้อง
- หลังทำ MRI จะต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
- MRI ต่างจาก CT Scan อย่างไร?
- MRI เครื่องวินิจฉัยโรคด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำ
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ MRI
MRI คืออะไร? เครื่องตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง

Magnetic Resonance Imaging หรือ MRI คือ การใช้เครื่องมือทางการแพทย์ตรวจหาความผิดปกติตามอวัยวะต่าง ๆ โดยเครื่อง MRI จะมีลักษณะเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ประมาณ 60 เซนติเมตร ที่ถูกล้อมรอบด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อผู้ป่วยเข้าไปอยู่ภายใต้สนามแม่เหล็ก เครื่องจะส่งคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency) ไปกระตุ้นยังอวัยวะ ทำให้เกิดกระบวนการทางฟิสิกส์ที่เรียกว่า การกำทอน (Resonance) ขึ้น
หลังจากเครื่องหยุดกระตุ้น ไฮโดรเจนอะตอมในร่างกายจะคายพลังงานเข้าสู่อุปกรณ์รับสัญญาณ แล้วไปแสดงผลบนหน้าจอที่ควบคุมโดยนักรังสีเทคนิค ภาพที่ได้จากเครื่อง MRI จะเป็นภาพเสมือนจริงที่มีความละเอียดสูง เนื่องจากสามารถทำภาพได้หลายระนาบ ไม่ว่าจะเป็นแนวขวาง แนวยาว หรือแนวเฉียง เป็นภาพ 3 มิติ ช่วยให้มองเห็นความแตกต่างของเนื้อเยื่อได้ดี ดังนั้น การตรวจ MRI จึงช่วยในการวินิจฉัยรอยโรคได้แม่นยำกว่าวิธีอื่น ๆ ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด และอันตรายใด ๆ แก่ผู้ป่วยอีกด้วย
MRI ใช้ตรวจส่วนไหนของร่างกายได้บ้าง?

เทคโนโลยี MRI คือเครื่องมือที่สามารถใช้ตรวจได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย ที่มีไฮโดรเจนเป็นส่วนประกอบ ซึ่งส่วนที่มักทำการสแกน MRI มีดังนี้
- MRI สมอง หรือ MRI brain คือ การตรวจหาความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับสมองและเส้นประสาทในสมอง วิธีนี้จะช่วยวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้แก่ เส้นเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke), เส้นเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke) รวมถึงคัดกรองเนื้องอกในสมอง (Brain tumor) และวินิจฉัยโรคสมองเสื่อม (Dementia)ได้อีกด้วย
- MRI เส้นเลือด (MRA หรือ Magnetic resonance angiography) เป็นวิธีที่ช่วยให้ตรวจประเมินสภาพหลอดเลือดของอวัยวะต่าง ๆ ได้ดี เช่น หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง หรือหลอดเลือดไต โดยไม่ต้องใส่สายสวนเข้าหลอดเลือดแดง (บางโรคต้องฉีดสารทึบรังสี)
- MRI อวัยวะภายในช่องท้อง (MRI Abdomen) เป็นการตรวจหาความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในช่องท้อง ไม่ว่าจะเป็น ตับ ถุงน้ำดี ไต กระเพาะปัสสาวะ เหมาะสำหรับการตรวจหาโรค เช่น เนื้องอกในช่องท้อง มะเร็งตับ มะเร็งในท่อน้ำดี นิ่วในทางเดินน้ำดี หรือใช้เพื่อตรวจมดลูกกับรังไข่ของผู้หญิง และต่อมลูกหมากในผู้ชาย
- MRI กระดูกสันหลัง (MRI spine) ช่วยในการตรวจหาต้นตอความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากบางสภาวะ เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ที่ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการแขนขาอ่อนแรง ปวดหลังเรื้อรังจนร้าวไปยังส่วนอื่น ๆ รวมถึงการตรวจหาสภาวะโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ กระดูกสันหลังเสื่อม เนื้องอก เป็นต้น
- MRI กระดูกและข้อ (MRI Musculoskeletal system) เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องข้ออักเสบ เกิดการฉีกขาดของเส้นเอ็น มีเนื้องอกที่กระดูก กระดูกอ่อน ข้อต่อขากรรไกรผิดปกติ ข้อเข่าเสื่อม หรือได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
ข้อดีของ MRI ปลอดภัย และแม่นยำ

MRI คือ เครื่องมือที่มีความทันสมัย และมีข้อดีอยู่หลายประการ ดังนี้
- การทำ MRI scan จะใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากับคลื่นวิทยุความเข้มข้นสูงในการสร้างภาพเหมือนจริงของอวัยวะขึ้นมา จึงไม่มีรังสีเอกซเรย์ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
- ภาพที่ได้จากการทำ MRI จะมีความละเอียดมากกว่าวิธีอื่น ๆ เช่น CT Scan, Ultrasound หรือ X-ray ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ พร้อมวางแผนการรักษาได้ตรงจุดยิ่งขึ้น
- MRI สามารถให้ภาพที่แยกความแตกต่างของเนื้อเยื่อได้ชัดเจน ทำให้พบความผิดปกติในร่างกายได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
- มีความปลอดภัยสูง สะดวกสบาย สามารถตรวจได้ครบทุกระนาบ โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
- การตรวจหลอดเลือดด้วย MRI อาจไม่จำเป็นต้องฉีดสารทึบรังสี ผู้ป่วยโรคไต หรือผู้ป่วยที่แพ้สารทึบรังสีบางชนิดสามารถทำได้
- MRI ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดต่อร่างกาย จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวมากนัก และหลังทำสามารถกลับบ้านได้ทันที
วิธีเตรียมตัวก่อนทำ MRI เพื่อให้ผลตรวจถูกต้อง
MRI คือ การตรวจโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาจไม่จำเป็นต้องฉีดสารทึบแสง หรือมีรังสีที่เป็นอันตราย จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ สามารถทำตามข้อแนะนำได้ดังนี้
- ก่อนตรวจไม่จำเป็นต้องอดอาหาร ยกเว้นกรณีใช้ยานอนหลับ ยาสลบ หรือเข้ารับการตรวจอวัยวะภายในช่องท้อง ตรวจทางเดินน้ำดี ต้องงดน้ำและอาหารเป็นเวลา 4-6 ชั่วโมง
- งดการแต่งหน้า หรือใช้เครื่องสำอางที่อาจมีส่วนผสมของโลหะ เช่น มาสคาร่า อายแชโดว์ เป็นต้น
- พยายามผ่อนคลายจิตใจให้สงบ เข้าห้องน้ำก่อนตรวจ MRI ให้เรียบร้อย เพราะจำเป็นต้องนอนนิ่ง ๆ เป็นเวลานาน เพื่อให้ภาพออกมาชัดเจน
- ก่อนสแกน MRI ต้องถอดอุปกรณ์ที่เป็นโลหะทุกชิ้นไว้ภายนอก รวมถึงเคสจัดฟันต้องถอดเหล็กดัดฟันออกก่อนด้วยเช่นกัน
- บุคคลบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) เคยผ่าตัดใส่ Clips หรือมีโลหะแปลกปลอมในร่างกาย ต้องแจ้งแพทย์ก่อน เพราะอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่สามารถเข้าตรวจได้
หลังทำ MRI จะต้องดูแลตัวเองอย่างไร?

หลังเข้ารับการตรวจ MRI เสร็จสิ้น สามารถกลับบ้านและใช้ชีวิตตามปกติได้ทันที โดยไม่มีผลข้างเคียงอื่น ๆ ยกเว้นในรายที่มีการใช้ยาคลายเครียดหรือยาสลบ ที่อาจรู้สึกไม่ตื่นตัวดี จึงควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ การทำงานกับเครื่องจักร เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ดังนั้น ในวันที่เข้ารับการตรวจ ควรมีญาติคอยติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ป่วยเอง ทั้งนี้สามารถติดตามผลตรวจกับแพทย์เจ้าของคนไข้ได้โดยตรงภายใน 1-2 สัปดาห์
MRI ต่างจาก CT Scan อย่างไร?
MRI กับ CT scan ต่างกันอย่างไร? โดยเครื่อง MRI คือการนำคนไข้เข้าไปในสนามแม่เหล็ก แล้วกระตุ้นร่างกายด้วยคลื่นความถี่วิทยุ จากนั้นคอมพิวเตอร์จะประมวลผลออกมาเป็นภาพที่มีความละเอียดสูง ที่มองเห็นความต่างของเนื้อเยื่อได้ชัดเจน จึงเหมาะกับการตรวจเนื้อเยื่อต่าง ๆ
แต่ CT scan คือ เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ที่จะปล่อยรังสีเอกซเรย์ ผ่านไปยังตัวผู้เข้ารับการตรวจ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพได้หากมีรังสีตกค้าง วิธีการนี้เหมาะกับการตรวจกระดูกอย่างยิ่ง โดยระยะเวลาทำ CT scan จะอยู่ที่ 10-15 นาที รวดเร็วกว่า MRI ซึ่งต้องใช้เวลาราว 30-90 นาทีขึ้นไป
นอกจากนี้ CT Scan ยังต่างจาก MRI ตรงที่สามารถใช้ตรวจคนที่มีโลหะอยู่ในร่างกายได้ ทว่าในขั้นตอนการทำต้องฉีดสารทึบรังสี ซึ่งเป็นพิษต่อไต จึงไม่เหมาะกับผู้เป็นโรคไต และยังก่อให้เกิดอาการแพ้ได้มากกว่า MRI ที่ต้องใช้การฉีดสารทึบรังสีในบางกรณีเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามการเลือก MRI หรือ CT Scan ล้วนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ทั้งสิ้น
MRI เครื่องวินิจฉัยโรคด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำ
MRI คือ เครื่องมือทางการแพทย์ที่ไม่ใช้ค้นหาสาเหตุของความผิดปกติในร่างกาย เพื่อนำไปใช้ในการวินิจฉัยโรค พร้อมวางแผนการรักษาที่เหมาะสมแก่คนไข้ หากคุณกำลังมีอาการผิดปกติเรื้อรังที่รักษาไม่หาย หรือเข้าตรวจสุขภาพเบื้องต้นแล้ว แต่ยังวินิจฉัยได้ไม่ชัดเจน สามารถปรึกษาแพทย์ เพื่อเข้ารับโปรแกรมตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) อย่างปลอดภัย และมีความแม่นยำสูงได้ที่โรงพยาบาลพระรามเก้า
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
- Facebook : Praram 9 hospital
- Line : @Praram9Hospital
- โทร. 1270
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ MRI
1. โรคกลัวที่แคบ ตรวจ MRI ได้ไหม?
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการกลัวที่แคบ ควรแจ้งแพทย์ก่อนตรวจ MRI เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถรับมือได้อย่างเหมาะสม โดยอาจมีการพูดคุยเพื่อสร้างความผ่อนคลาย หรือให้ญาติเข้ามาเฝ้า เพื่อลดความกังวลของคนไข้ แต่ในบางกรณีแพทย์จะพิจารณาสั่งจ่ายยาคลายเครียดหรือยานอนหลับให้ ขึ้นอยู่กับระดับความกลัวของผู้ป่วย
References
MRI scan. (2022, July 26). NHS. https://www.nhs.uk/conditions/mri-scan/
Magnetic Resonance Imaging (MRI). (n.d.). NIH. https://www.nibib.nih.gov/science-education/science-topics/magnetic-resonance-imaging-mri
Lam, P. (2023, June 8). What to know about MRI scans. MedicalNewsToday. https://www.medicalnewstoday.com/articles/146309