Skip to content
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
Menu
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา

คู่มือโรคไต ฉบับอ่านง่าย รับวันไตโลก

พญ.ผ่องพรรณ ทานาค

บทความ

โรงพยาบาลพระรามเก้า

  • วันที่โพสต์ 11 มีนาคม 2021
คู่มือโรคไต 2021

“ตะเตือนไต” คำน่ารัก ๆ ซึ่งล้อเลียนมาจากคำว่า “สะเทือนใจ” ที่วัยรุ่นชอบใช้กัน แต่ดูเหมือนว่าในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา มนุษย์เริ่มมีปัญหา “สะเทือนไต” กันจริง ๆ เสียแล้ว มีรายงานว่า ในระหว่างปี ค.ศ. 1990 – 2010 อันดับของสาเหตุการเสียชีวิตของคนเนื่องมาจากโรคไตวายเรื้อรังนั้น ค่อย ๆ เขยิบขึ้นมาจากเดิมที่อยู่อันดับที่ 27 จนตอนนี้อยู่ที่อันดับที่ 18 แล้ว และมีแนวโน้มที่จะทำคะแนนสูงขึ้นในอนาคต

โรคไต เป็นคำสั้น ๆ ที่มีความหมายกว้างซึ่งบ่งบอกถึงความผิดปกติของไต แต่เมื่อเจาะลึกลงไปถึงลักษณะของความผิดปกติของไตแล้ว จะแบ่งแยกย่อยได้อีกตามลักษณะอาการและจุดที่มีปัญหา อย่างเช่น กรวยไตอักเสบ ไตวายเรื้อรัง ไตวายเฉียบพลัน เนื้อเยื่อไตอักเสบ และนิ่วในไต เป็นต้น

แต่มักจะมีกลุ่มอาการอยู่ 2 ประเภทที่พบกันมาก ได้แก่ ภาวะไตวายเฉียบพลันและภาวะไตวายเรื้อรัง โดยเฉพาะอาการไตวายเรื้อรังนั้น ทางการแพทย์ถือว่าเป็นฆาตรกรเงียบเลยทีเดียว เนื่องจากโรคนี้มักจะไม่แสดงอาการในช่วงแรกเริ่ม แต่จะเริ่มมีอาการเมื่อตอนที่ไตเสียหายพอสมควรแล้ว

 

สารบัญ

  • สาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เราเป็นโรคไต
  • อาการที่ฟ้องว่าเราอาจเป็นโรคไต
  • โรคไตวายเรื้อรัง ภัยร้ายล่องหนที่ควรระวัง!
  • แนวทางปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อหนีห่างโรคไต
  • แนวทางการรักษาอาการไตวายเรื้อรัง
  • สรุป
 
โรคไต
 

สาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เราเป็นโรคไต

ปราการด่านแรกที่จะทำให้เราปลอดภัยจากโรคไต คือ การรู้จักสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคนี้ เพื่อที่เราจะได้หลีกเลี่ยง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ต้นตอมักจะมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา โรคที่เราเป็นอยู่ และกรรมพันธุ์

 

1. กลุ่มโรค NCDs

หลายคนคงจะคุ้นเคยดีกับกลุ่มโรค NCDs (Non-Communicable diseases) หรือกลุ่มของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่มาจากความเสื่อมสภาพของร่างกายอันเป็นผลมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม ซึ่งมีอยู่ 6 โรค ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ โรคถุงลมโป่งพอง โรคมะเร็งต่าง ๆ โรคความดัน และโรคอ้วนลงพุง

 
โรคไตวาย
 

กลุ่มโรคเหล่านี้ มักมีคนพูดติดตลกว่า เหมือนเป็นสินค้าขายพ่วงแบบแพ็กเกจ ที่เวลาไปซื้อชิ้นหนึ่งแล้ว มักจะมีสินค้าชิ้นอื่น ๆ แถมพ่วงมาให้ด้วย หรือกล่าวคือ พอได้เป็นโรค ๆ หนึ่งแล้ว ก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคอื่น ๆ พ่วงตามมาด้วยนั่นเอง

สำหรับในประเทศไทยนั้น พบว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของโรคไตกว่า 70% เป็นผลมาจากโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง (ซึ่งอยู่ในกลุ่มโรค NCDs) เนื่องจากภาวะความดันโลหิตสูง จะไปเร่งอัตราการกรองของเสียผ่านไต

ในขณะที่โรคเบาหวาน จะทำให้เซลล์ต่าง ๆ ขาดพลังงานและตาย นอกจากนี้ ยังทำให้มีปริมาณน้ำตาลไหลเวียนในเลือดสูง ทั้งคู่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไตต้องทำงานหนักมากขึ้น

 

2. พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม

แม้ว่ากลุ่มโรคทางพฤติกรรมข้างต้น เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคไต แต่ก็ยังมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันของเราด้วย เช่น การดื่มน้ำน้อยเกินไป การกินอาหารรสจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารรสเค็ม เป็นต้น

 
โรคไตจากการกินอาหาร
 

อย่าคิดว่าไม่กินเค็มแล้วจะไม่เสี่ยง

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าสาเหตุของโรคไตอาจมาจากภาวะเจ็บป่วยโรคอื่นอยู่ก่อน แต่ก็ยังมีอีก 1 เรื่องที่คนไทยมักเข้าใจผิดกัน คือ การได้รับปริมาณโซเดียมต่อวันมากเกินไป แต่เข้าใจว่าตัวเองไม่ได้กินเค็ม

โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณโซเดียมที่ร่างกายควรได้รับใน 1 วัน สูงสุดไม่ควรจะเกิน 2,300 มิลลิกรัม ขึ้นอยู่กับเพศ อายุ และสภาวะในร่างกาย ซึ่งเทียบได้กับเกลือประมาณ 1 ช้อนชา หรือ 6 มิลลิกรัม

จะเห็นได้ว่า พิจารณาจากการเทียบเคียงนี้แล้ว เป็นไปได้มากว่าเราน่าจะได้รับโซเดียมเกินความต้องการของร่างกายเกือบทุกวันเลยทีเดียว

ดังนั้น การกะประมาณด้วยความรู้สึก ว่าตัวเองกินเค็มหรือไม่อย่างไรนั้น อาจเป็นวิธีที่ไม่แม่นยำ ทำให้เราไม่ระมัดระวังในการเลือกกินอาหารมากเท่าที่ควร เพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนกินอาหารรสจืดกว่าเพื่อน ๆ

นอกจากนี้ ด้วยความที่คนไทยมักเป็นชาติที่รับประทานอาหารที่มีรสเค็มเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว สังเกตได้จากเมนูอาหารต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน แม้ว่าจะสั่ง “เค็มน้อย” ก็ยังเกินเกณฑ์โซเดียมที่ควรได้รับต่อวันอยู่ดี

โดยสรุปแล้ว พวกเราล้วนมีพฤติกรรมการกินที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคไตได้โดยไม่รู้ตัว

 

ระวัง ยา อาหารเสริม สมุนไพร และสารเคมีที่ได้รับประจำ

เรามักจะได้ยินกันบ่อย ๆ อยู่แล้ว ว่าไม่ควรกินยาปริมาณมากหรือกินต่อเนื่องจนเกินไป เพราะจะมีผลต่อตับและไตได้ ปกติแล้ว ข้อแนะนำในการใช้ยามีดังนี้

  1. หากแพทย์ยังไม่สั่งให้หยุดกินยา ไม่ควรหยุดยาเองเป็นอันขาด เช่น ยารักษาโรคความดัน
  2. ก่อนซื้อยา ควรสอบถามเภสัชกรหรือผู้จัดจำหน่าย
  3. หากจำเป็นต้องซื้อกินเอง พยายามหลีกเลี่ยงกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์แก้อาการปวดเมื่อย เช่น NSAIDs
 

ยา NSAIDs (Non-steroidalanti-inflammatory drugs) หรือที่เรียกว่า ยาเอ็นเสด เช่น ไอบิวพรอเฟน (ibuprofen) นาโปรเซน (naproxen) และ แอสไพริน (aspirin) ยาพวกนี้ไม่ควรกินบ่อย ๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์ ซึ่งมักเป็นยาที่ใช้ในการลดไข้ คลายเส้น แก้ปวดเมื่อย เป็นยาที่นิยมใช้กันมาก ยาชนิดนี้ จะทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงไตลดลง

นอกจากนี้ ตัวยาจะทำให้เนื้อไตเสียหายได้ด้วย โดยปกติแล้ว ไตจะฟื้นสภาพได้เองเมื่อหยุดใช้ยา แต่ถ้ามีการใช้ยาประเภทนี้ไปนาน ๆ อาจส่งผลให้ไตไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาดีเหมือนเดิมได้อีก

สมุนไพรและอาหารเสริมทำร้ายไต
 

สมุนไพรและอาหารเสริม หากกินไม่ถูกวิธี ก็ทำร้ายไตได้ นอกจากประเด็นของส่วนผสมและสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในตัวสมุนไพรหรืออาหารเสริมแล้ว ปริมาณการกินที่มาก และความต่อเนื่องในการกินที่ยาวนาน เช่น มากกว่า 3 เดือน ก็สามารถส่งผลเสียต่อไตได้เช่นเดียวกัน

จึงไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณาว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือสมุนไพรสามารถรักษาโรคได้ ไม่แนะนำให้ซื้อมาใช้เอง และควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและสมุนไพร

 

3. โรคอื่น ๆ

นอกจากพฤติกรรมและกลุ่มโรคเสื่อมอย่าง NCDs แล้ว โรคไตยังอาจมีสาเหตุมาจากการเจ็บป่วยหรือการติดโรคชนิดอื่น ๆ เช่น ร่างกายสร้างภูมิต้านทานที่ผิดปกติไปทำลายไต ไตมีการอักเสบจากการติดเชื้อ เป็นนิ่วอุดตัน และโรคเก๊าท์ เป็นต้น

 

>> กลับไปสารบัญ

 

อาการที่ฟ้องว่าเราอาจเป็นโรคไต

เมื่อรู้ถึงสาเหตุและวิธีป้องกันโรคไตกันไปบ้างแล้ว ต่อไปคือการสังเกตอาการเบื้องต้น ที่อาจแสดงให้เห็นว่าไตของเรากำลังมีปัญหา เพราะเมื่อไตทำงานได้ไม่ปกติ ร่างกายขับของเสียได้ไม่มีประสิทธิภาพ โดยทั่วไป มักจะแสดงออกมาในลักษณะอาการต่าง ๆ ที่พอสังเกตได้ ดังต่อไปนี้

 
  • ปัสสาวะออกลดลง
  • อ่อนเพลีย อ่อนแรง
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  • มีอาการบวม นอนราบแล้วเหนื่อย จากการขับน้ำออกน้อย
  • มีภาวะซีด
  • คันตามตัว 
  • ชาปลายมือเท้า
  • มีอาการซึม
  • เกิดภาวะชัก
 

หากมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจสอบโดยละเอียดต่อไป

อ่านรายละเอียด อาการโรคไตเพิ่มเติมได้ที่นี่

 

>> กลับไปสารบัญ

 

โรคไตวายเรื้อรัง ภัยร้ายล่องหนที่ควรระวัง!

โรคไตแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ 2 กลุ่ม ได้แก่ โรคไตชนิดเฉียบพลันและโรคไตชนิดเรื้อรัง ที่จริงแล้ว เราไม่ควรประมาทโรคไตทุกชนิดเลย เนื่องจากมีอันตรายพอ ๆ กัน แต่บทความนี้ จะขอพูดถึงโรคไตวายเรื้อรังเป็นพิเศษ เนื่องจากอาการไตวายเรื้อรังเป็นโรคที่มีความน่ากลัว 2 ประการ ดังนี้

 

1. ในช่วงเริ่มต้นจะไม่แสดงอาการ และเริ่มมีอาการเมื่อไตเสียหายไปแล้ว

แม้ว่าเราอาจจะเรียนรู้อาการที่คนเป็นโรคไตมักจะเป็นมาบ้างแล้ว แต่จะเป็นอย่างไร? หากว่าอาการที่กล่าวมานี้ ไม่ได้แสดงออกมาในระยะเริ่มต้นของอาการไตวายเรื้อรัง

เมื่ออาการไตวายเริ่มปรากฏให้เห็น ระดับการทำงานของไตมักจะลดเหลือเพียง 25% ของปกติ และจะแสดงอาการชัดเจนทุกราย เมื่อ ไตเสื่อมลงเหลือต่ำกว่า 10%

 

อาการที่พบในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง

ผู้ป่วยที่ไตมีระดับการทำงานที่ต่ำลงมาก จะเริ่มมีอาการแสดงออกมาให้เห็นบ้าง โดยมักจะเป็นอาการบวมน้ำ บวมรอบดวงตา ขา กดบุ๋มสองข้าง ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะแดงเป็นเลือด หรือมีฟองปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปวดบั้นเอว ซึ่งเกิดจากไตไม่สามารถกำจัดของเหลวและเกลือส่วนเกินได้

 
โรคไต อาการปวดหลัง
 

ในระยะสุดท้าย ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ซีด โลหิตจาง มีจ้ำตามตัว หรือรู้สึกคันตามตัว อาเจียนเป็นเลือด หรือมีภาวะน้ำท่วมปอด ถ้าของเสียค้างในสมองมาก ๆ อาจมีอาการชักหรือสมองหยุดทำงาน บางรายอาจเป็นหมันและหมดสมรรถภาพทางเพศได้อีกด้วย

 

ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เมื่อเริ่มอยู่ในกลุ่มเสี่ยง

โรคไตเรื้อรังสามารถเกิดได้กับทุกเพศ ทุกวัย แต่มีโอกาสสูงที่จะเกิดง่ายในผู้มีปัจจัยเสี่ยง หากพบว่าตัวเองเป็นกลุ่มที่เสี่ยง ได้แก่

  • มีน้ำหนักเกิน หรือ อ้วน
  • มีโรคประจำตัว หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคในกลุ่ม NCDs
  • มีประวัติคนในครอบครัวเป็นไตวายเรื้อรัง และเบาหวาน
  • สูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
 

ควรเข้ารับการตรวจร่างกายโดยละเอียดเป็นประจำตามข้อแนะนำของแพทย์ เช่น ตรวจค่าการทำงานของไตจากเลือด (Creatinine) เป็นต้น นอกจากนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แต่หากมีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป (ช่วงอายุที่ไตมีโอกาสเสื่อมลง) ก็ควรไปตรวจร่างกายเป็นประจำ เพราะหากรอให้มีอาการก่อนถึงค่อยไป เราก็มักจะไม่ได้ไปตรวจหาค่าเหล่านี้กันเป็นประจำอยู่แล้ว ยกเว้นแต่เพียงว่าเรากำลังรักษาโรคประจำตัวอื่น ๆ อยู่

 

2. กระทบคุณภาพชีวิตรอบด้าน โดยเฉพาะค่าใช้จ่าย

โรคไตวายเรื้อรังเป็นโรคที่สร้างผลกระทบให้กับผู้ป่วยและครอบครัวอย่างมาก เพราะเมื่อเป็นแล้ว ไตจะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติอีกต่อไป ทำให้ต้องได้รับการรักษา เช่น ฟอกเลือด หรือเปลี่ยนไต แล้วยังต้องระวังโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ทำให้มีค่าใช้จ่ายการรักษาที่สูงมาก โดยเฉพาะในระยะสุดท้าย

ดังนั้น แม้ว่าโรคไตวายเรื้อรังจะฟังดูน่ากลัว แต่การเข้าใจถึงสาเหตุของโรค และเรียนรู้วิธีป้องกันตัวเองจากโรคนี้อย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงที่เราจะเป็นโรคไตประเภทอื่น ๆ ที่มาจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเราด้วย

 

>> กลับไปสารบัญ

 

แนวทางปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อหนีห่างโรคไต

ดังที่ได้กล่าวถึงสาเหตุของการเป็นโรคไตไว้เบื้องต้นแล้ว จะเห็นได้ว่า ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม โรคไตมักมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา ซึ่งเป็นจุดที่เราสามารถควบคุมและเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้

อย่างแรกที่เราควรทำคือการลดอาหารรสจัด อาหารรสหวาน และอาหารรสเค็ม ซึ่งก็ไม่ได้หมายถึงการคิดเอาเองว่าตัวเองไม่ได้กินเค็ม แต่เป็นการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารหรือเครื่องดื่มที่เราบริโภคเป็นประจำ ควรตั้งเป้าหมายที่จะลดการกินอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูง

ขอแนะนำให้เข้าไปศึกษา ปริมาณโซเดียมของอาหารประเภทต่าง ๆ ได้ที่นี่

 
รักษาสุขภาพไตด้วยอาหาร
 

ถัดมา คือ การลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคในกลุ่ม NCDs ด้วยการเลือกเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารไขมันสูง ลดอาหารจำพวกแป้ง โดยเฉพาะข้าว ให้เลือกกินข้าวที่ยังไม่ผ่านการขัดสีมากนัก เน้นกินผักผลไม้ และควบคุมน้ำหนัก และแน่นอนว่า ควรลดสูบบุหรี่และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

หากเป็นไปได้ ควรเข้ารับการตรวจเช็คร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และควรตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน ความดันโลหิต และไขมันในเลือด

นอกจากนี้ การดื่มน้ำให้เพียงพอ (ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป) การพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ อย่าเครียด หรือหากมีอาการเครียดเรื้อรังอย่าปล่อยไว้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ และหมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ ก็เป็นข้อแนะนำยอดนิยมที่ได้ผลดีและไม่ควรมองข้าม

 

>> กลับไปสารบัญ

 

แนวทางการรักษาอาการไตวายเรื้อรัง

หากเป็นโรคไตวายเรื้อรังในระยะแรก แพทย์จะรักษาด้วยการใช้ยาและการคุมด้วยอาหารร่วมด้วย เพื่อประคับประคองไม่ให้ไตเสียหาย แต่หากโรคลุกลามจนไตอยู่ในสภาวะที่ทำงานไม่ได้แล้ว จะมีแนวทางการรักษาอยู่ 3 วิธี ได้แก่

 

การล้างช่องท้องด้วยน้ำยา

การล้างช่องท้องด้วยน้ำยา (Peritoneal Dialysis) แพทย์จะใช้ท่อพลาสติกขนาดเล็กเข้าไปในช่องท้องผู้ป่วย เพื่อล้างช่องท้อง โดยจะทำวันละประมาณ 4 – 6 ครั้ง

 
 

เมื่อให้น้ำยาแล้ว ของเสียต่าง ๆ ในกระแสเลือดจะซึมผ่านผนังหน้าท้องด้านในเข้าสู่น้ำยาล้างช่องท้อง ซึ่งแต่ละครั้งจะใช้ประมาณ 4 – 6 ชั่วโมงตามความสะดวกของผู้ป่วย ก่อนปล่อยน้ำเสียทิ้งไป

วิธีนี้มีข้อดีคือ ทำเองที่บ้านได้ ไม่ต้องเสียเวลามาโรงพยาบาลบ่อย ๆ แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องพยายามรักษาความสะอาดให้ดี ๆ เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อในช่องท้องได้

 

การใช้เครื่องฟอกเลือดหรือไตเทียม

เมื่อไตไม่สามารถทำงานได้แล้ว จึงต้องใช้เครื่องมือที่ทำหน้าที่ฟอกเลือดแทนไต วิธีดังกล่าวมีหลักการคือ การนำเลือดของผู้ป่วยให้ไหลผ่านระบบกรองในไตเทียม เพื่อกรองของเสียออกจากเลือด โดยต้องทำอาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง ครั้งละ 3 – 5 ชั่วโมง

ข้อดีของวิธีการนี้คือ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาค่อนข้างเร็ว และไม่ต้องมีท่อหรือสายคาอยู่ที่ท้องเหมือนวิธีการแรก แต่ก็มีข้อจำกัดคือ ต้องมาทำที่โรงพยาบาลเป็นประจำ อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สะดวกเท่าไรนักเมื่อเทียบกับวิธีแรก

 

การผ่าตัดเปลี่ยนไต

ทำได้โดยการนำเอาไตข้างหนึ่งจากผู้อื่น ซึ่งอาจเป็นผู้บริจาคที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือผู้ป่วยที่
ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะสมองตาย (brain death) แล้วนำไปใส่ให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรค
ไตวายระยะสุดท้าย โดยทั่วไปมักจะใช้ไตจากญาติพี่น้องหรือพ่อแม่ลูกที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน ยกเว้นในกรณีจำเป็นที่ต้องเป็นคนอื่นนอกเหนือจากนี้ จะต้องมีการตรวจสอบ
ความเข้ากันได้ของร่างกายโดยละเอียด

 
ผ่าตัดเปลี่ยนไต
 

แนวทางดังกล่าวค่อนข้างได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันที่ช่วยให้ขั้นตอนนี้ทำได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ การบริจาคไต 1 ข้างให้กับญาติ ๆ ไม่ได้มีผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริจาคแต่อย่างใดอีกด้วย

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม การผ่าตัดเปลี่ยนไตได้ที่นี่

 

>> กลับไปสารบัญ

 

สรุป

ส่วนมากแล้ว โรคไตเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ ยิ่งเรารู้ได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น ปัจจุบัน เทคโนโลยีและแนวทางการรักษาโรคนี้ กำลังพัฒนาและมีแนวทางที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการผ่าตัดเปลี่ยนไต ที่เป็นแนวทางการรักษาที่ได้รับการยอมรับ และมีประสิทธิภาพดี

เนื่องในวันไตโลก (World kidney) ปี 2564 นี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะช่วยให้ความรู้และกระตุ้นให้ผู้อ่านทุกท่านเห็นถึงความสำคัญของโรคไต เพราะถึงแม้ว่าแนวทางรักษากำลังพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง

แต่หนทางป้องกันโรคไตที่มีต้นทุนต่ำและยังมีประสิทธิภาพที่สุด กลับเป็นเรื่องของการมีความรู้ความเข้าใจในโรคนี้ แล้วรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตตั้งแต่เนิ่น ๆ นั่นเอง

>> กลับไปสารบัญ

บทความล่าสุด

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร เลือกผ่าตัดแบบไหนให้เหมาะกับปัญหาข้อเข่าเสื่อม ของเรา?

อ่านเพิ่มเติม
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

เยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดจากอะไร รู้จักสังเกตอาการก่อนเป็นอันตรายถึงชีวิต

อ่านเพิ่มเติม
เลือดออกในสมอง

เข้าใจภาวะเลือดออกในสมอง วิกฤติสุขภาพที่อาจร้ายแรงถึงชีวิต

อ่านเพิ่มเติม
ดูบทความทั้งหมด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V

ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

  • Praram 9 Hospital
  • @praram9hospital

แพทย์ผู้เขียนบทความ

พญ.ผ่องพรรณ ทานาค

พญ.ผ่องพรรณ ทานาค

ศูนย์ตรวจสุขภาพ

นัดหมาย

ประวัติเพิ่มเติม

 

ศูนย์แพทย์

1677919536144

สถาบันโรคไตและเปลี่ยนไต

เยี่ยมชม

ดูทั้งหมด

บทความอื่นๆ

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร เลือกผ่าตัดแบบไหนให้เหมาะกับปัญหาข้อเข่าเสื่อม ของเรา?

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ? สามารถแบ่งการผ่าตัดข้อเข่าเทียมออกเป็น 2 แบบหลัก ๆ คือผ่าตัดใส่ผิวข้อเข่าเทียมบางส่วน และการผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียมทั้งหมด

อ่านเพิ่มเติม
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

เยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดจากอะไร รู้จักสังเกตอาการก่อนเป็นอันตรายถึงชีวิต

เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) คือภาวะที่เยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังเกิดการอักเสบบวมจนก่อให้เกิดอาการผิดปกติ ซึ่งสาเหตุมีทั้งจากการติดเชื้อและไม่ใช่จากการติดเชื้อ

อ่านเพิ่มเติม
เลือดออกในสมอง

เข้าใจภาวะเลือดออกในสมอง วิกฤติสุขภาพที่อาจร้ายแรงถึงชีวิต

เลือดออกในสมอง (Intracerebral Hemorrhage) คือภาวะเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้เลือดไหลไปกดทับเนื้อเยื่อสมอง และเป็นสาเหตุของความพิการหรือเสียชีวิตในที่สุด

อ่านเพิ่มเติม
อ่านบทความทั้งหมด
Facebook-f Youtube Instagram Line
  • 1270
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • นัดหมาย
  • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ข่าว และกิจกรรม รพ.
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • นักลงทุนสัมพันธ์
  • การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
  • ร่วมงานกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • ข้อกำหนดและเงื่อนไข

Copyright © 2025 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา