เคยไหมที่บางครั้งเราลืมว่าวางกุญแจไว้ไหน จำชื่อคนไม่ค่อยได้ หรือพูดแล้วลืมว่ากำลังจะพูดอะไร? อาการขี้ลืมเหล่านี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เมื่ออายุมากขึ้นหลายคนก็อาจกังวลว่านี่คือสัญญาณของโรคอะไรหรือไม่ เป็นสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์กันแน่ ทั้งสองต่างกันอย่างไร และสามารถรักษาหรือป้องกันได้หรือไม่? บทความนี้จะมาตอบทุกคำถามเหล่านี้ให้ได้รู้กัน
Key Takeaways
- สมองเสื่อมไม่ใช่โรคเดียวกับอัลไซเมอร์ สมองเสื่อมเป็นชื่อเรียกกลุ่มอาการรวมของการมีภาวะบกพร่องในการทำงานของสมอง ส่งผลต่อการใช้ชีวิต เช่น ในด้านความจำ ความคิด การตัดสินใจ หรือความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป ซึ่งอัลไซเมอร์เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม
- หากภาวะสมองเสื่อมเกิดจากปัจจัยที่แก้ไขได้ เช่น ขาดวิตามิน หรือภาวะไทรอยด์ผิดปกติ การรักษาที่เหมาะสมก็อาจช่วยให้ดีขึ้น แต่หากเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถใช้ยาและการดูแลที่ถูกต้องเพื่อช่วยชะลออาการได้
- การดูแลสุขภาพสมองตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่น ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ และฝึกใช้สมอง ช่วยลดความเสี่ยงลงได้
- หากมีอาการขี้ลืมมากผิดปกติหรือรู้สึกว่าไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เหมือนเดิมควรเข้ารับการตรวจที่ศูนย์สมองและระบบประสาท เพื่อรับการวินิจฉัยและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม
สารบัญบทความ
- สมองเสื่อมคืออะไร?
- สมองเสื่อมมีสาเหตุมาจากอะไร?
- เปิดปัจจัยเสี่ยง! ใครบ้างที่อาจมีภาวะสมองเสื่อม
- อาการสมองเสื่อมเป็นอย่างไร?
- วิธีวินิจฉัยสมองเสื่อมทำอย่างไรบ้าง?
- โรคสมองเสื่อมรักษาอย่างไรได้บ้าง?
- ตรวจพบไว ป้องกันภัยสมองเสื่อมได้เร็ว!
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสมองเสื่อม
สมองเสื่อมคืออะไร?
โรคสมองเสื่อม (Dementia) คือภาวะที่สมองสูญเสียความสามารถในการทำงานเนื่องจากเซลล์สมองที่ทำงานได้มีจำนวนลดลง ส่งผลให้ความจำ การคิด การตัดสินใจ และบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดในผู้สูงอายุวัย 65 ปีขึ้นไป แต่ก็สามารถเกิดในคนที่อายุน้อยได้เช่นกัน
สมองเสื่อมมีสาเหตุมาจากอะไร?

คำว่าสมองเสื่อมเป็นคำควบรวมอาการที่เกิดขึ้น ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุที่ล้วนแล้วแต่ส่งผลให้เซลล์สมองทำงานได้ไม่ดีเท่าเดิมหรือมีการตายของเซลล์สมอง ซึ่งมักจะต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ต่อไป เช่น
- โรคอัลไซเมอร์ : เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของภาวะสมองเสื่อม เกิดจากการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง ทำให้การสื่อสารของประสาทแย่ลง ส่งผลให้ความจำและการเรียนรู้ถดถอยไปเรื่อย ๆ ซึ่งอาการจะรุนแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
- โรคหลอดเลือดสมอง : เป็นสาเหตุที่พบบ่อยเป็นอันดับสอง เกิดจากการตีบตันหรือการแตกของหลอดเลือดสมอง ทำให้สมองขาดออกซิเจนและสารอาหารจนเซลล์สมองบางส่วนตาย ซึ่งนอกจากอาจจะทำให้อ่อนแรง การทรงตัวไม่ดี และพูดไม่ชัดแล้ว ยังอาจนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมในระยะยาว ดังนั้นการรู้จักโรคหลอดเลือดสมองจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยด้วยเช่นกัน
- การติดเชื้อและความผิดปกติของร่างกาย : โรคบางโรคสามารถส่งผลกระทบต่อสมองและนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมได้ เช่น การติดเชื้อ HIV หรือซิฟิลิส การทำงานผิดปกติของต่อมไทรอยด์ และภาวะขาดวิตามินบี 12
- การได้รับสารพิษหรืออุบัติเหตุทางสมอง : ยาบางประเภท สารเคมี หรือแอลกอฮอล์ อาจจะสามารถทำลายเซลล์สมองได้ นอกจากนี้ผู้ที่เคยได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองอย่างรุนแรงหรือมีประวัติมีการกระทบกระทั่งของศีรษะเป็นประจำก็อาจมีความเสี่ยงมากขึ้น
- โรคที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างสมอง : บางโรคที่ส่งผลต่อสมองโดยตรง เช่น ภาวะโพรงน้ำในสมองโต เนื้องอกในสมอง หรือโรคที่ทำให้การทำงานของตับและไตผิดปกติเรื้อรัง ก็อาจทำให้เป็นโรคสมองเสื่อมได้เช่นกัน
เปิดปัจจัยเสี่ยง! ใครบ้างที่อาจมีภาวะสมองเสื่อม
ภาวะสมองเสื่อมเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะนี้ ได้แก่
- อายุที่เพิ่มขึ้น : เมื่ออายุมากขึ้นเซลล์สมองจะลดลงไปตามธรรมชาติ ทำให้ความสามารถในการคิดและจดจำลดลง
- พันธุกรรมและประวัติครอบครัวที่มีภาวะสมองเสื่อม : หากมีคนในครอบครัวเคยเป็นโรคสมองเสื่อม ความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ก็จะสูงขึ้น โดยเฉพาะในโรคสมองเสื่อมที่เกิดก่อนอายุ 65 ปี
- โรคประจำตัว : เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคตับ และโรคไตเรื้อรัง โรคเหล่านี้ส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้สมองได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ
- การดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ในปริมาณมาก : สารพิษจากแอลกอฮอล์และบุหรี่สามารถทำลายเซลล์สมองและเพิ่มความเสี่ยงได้ โดยเฉพาะบุหรี่ซึ่งทำให้มีการเสื่อมของระบบไหลเวียนเลือด ส่งผลในระยะยาวต่อการทำงานของสมอง
- การได้รับสารพิษจากสิ่งแวดล้อมหรือสารเสพติด : สารพิษบางชนิด เช่น โลหะหนัก หรือสารเคมีบางประเภท อาจมีผลต่อการทำงานของสมองได้
- โรคต่อมไทรอยด์หรือพาราไทรอยด์ทำงานผิดปกติ : ความไม่สมดุลของฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์อาจส่งผลต่อระบบประสาทและการทำงานของสมอง
- การติดเชื้อ HIV หรือซิฟิลิส : ซึ่งเป็นเชื้อโรคที่สามารถทำลายเซลล์สมองหรือทำให้การทำงานของสมองแย่ลง ซึ่งทำให้เกิดอาการสมองเสื่อม
- ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะเป็นประจำ : เช่น อาชีพนักมวย ซึ่งมีการกระทบกระเทือนที่ศีรษะบ่อย ๆ ทำให้มีการบาดเจ็บของสมองได้ง่าย
- การขาดวิตามินบี 12 : บี 12 เป็นวิตามินที่สำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท การขาดสารอาหารนี้อาจส่งผลต่อความจำและการรับรู้
- เป็นผู้ที่มีภาวะโพรงน้ำในสมองโตหรือการมีเนื้องอกในสมอง : โรคที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างสมองอาจรบกวนการทำงานของสมองได้
อาการสมองเสื่อมเป็นอย่างไร?

อาการสมองเสื่อมไม่ได้มีเพียงแค่การหลงลืมธรรมดาตามวัย แต่เป็นยังมีอาการอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอีกมากมาย อาการของโรคสมองเสื่อมสามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบ ดังนี้
- หลงลืมง่าย : ลืมเหตุการณ์สำคัญ จำชื่อคนใกล้ชิดไม่ได้ หรือถามคำถามซ้ำ ๆ
- เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ยาก : เข้าใจข้อมูลใหม่ได้ช้าลง หรือไม่สามารถจดจำสิ่งที่เพิ่งเรียนรู้ได้
- พูดและเขียนได้ไม่คล่อง : ใช้คำผิด ลำดับประโยคไม่ถูก หรืออธิบายสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้ยากขึ้น
- ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง : ทำกิจวัตรประจำวันที่เคยทำได้เองลำบากขึ้น เช่น แต่งตัว กินข้าว หรือใช้ของใช้ในบ้าน
- อารมณ์ผันผวน : หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า วิตกกังวล หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวโดยไม่มีเหตุผล
- บุคลิกเปลี่ยนไป : จากคนที่เคยร่าเริงอาจกลายเป็นเฉยชา หรือจากคนใจดีอาจกลายเป็นฉุนเฉียว
- นอนไม่หลับ เห็นภาพหลอน : นอนหลับยาก ตื่นกลางดึก หรือมีอาการเห็นภาพและได้ยินเสียงที่ไม่มีอยู่จริง
วิธีวินิจฉัยสมองเสื่อมทำอย่างไรบ้าง?

การวินิจฉัยสมองเสื่อมต้องอาศัยหลายขั้นตอนเพื่อระบุสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์จะใช้วิธีการตรวจต่าง ๆ ดังนี้
- ตรวจร่างกายและซักประวัติโดยแพทย์ : แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการ ประวัติสุขภาพของผู้ป่วยและครอบครัว รวมถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป จากนั้นจะทำการตรวจร่างกายระบบประสาท เช่น การตอบสนองของกล้ามเนื้อ การทรงตัว และการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
- ตรวจสอบศักยภาพของสมอง : ใช้แบบทดสอบเพื่อประเมินความสามารถทางสมอง เช่น ความจำ การเรียนรู้ การใช้ภาษา การคิดคำนวณ การรับรู้เวลาและสถานที่ รวมถึงความสามารถในการวางแผนและตัดสินใจ
- ตรวจเลือด : ตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ ตับ ไต และระดับเกลือแร่ในร่างกาย เพื่อดูว่ามีภาวะผิดปกติที่อาจเป็นสาเหตุของอาการสมองเสื่อมหรือไม่
- ตรวจภาพสมอง : ใช้วิธี MRI (การสแกนสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) หรือ EEG (การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง) เพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น การฝ่อของสมอง เนื้องอก หรือภาวะหลอดเลือดสมองที่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้สมองเสื่อม
- เจาะน้ำไขสันหลัง : ในกรณีที่สงสัยว่าภาวะสมองเสื่อมอาจเกิดจากการติดเชื้อหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท แพทย์อาจทำการเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อตรวจหาสารที่บ่งชี้ถึงโรค
โรคสมองเสื่อมรักษาอย่างไรได้บ้าง?
การรักษาภาวะสมองเสื่อมขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค หากเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขต้นเหตุ แต่หากเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จะเน้นการดูแลประคับประคองเพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด
1. การรักษาตามสาเหตุ
เป็นวิธีที่จะใช้สำหรับอาการที่เกิดจากโรคหรือภาวะที่สามารถรักษาได้ เช่น
- โรคหลอดเลือดสมอง : ควบคุมความดันโลหิต ลดไขมัน และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด
- การติดเชื้อในสมอง : ใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสรักษาตามชนิดของเชื้อ
- ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ : ปรับสมดุลฮอร์โมนไทรอยด์ด้วยยา
- ภาวะขาดวิตามิน : ให้วิตามินเสริมเพื่อฟื้นฟูการทำงานของสมอง
- ภาวะโพรงน้ำสมองโตหรือเนื้องอกในสมอง : อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดหรือระบายน้ำในสมอง
2. การรักษาแบบประคับประคอง
สำหรับโรคที่ส่งผลแบบถาวร เช่น โรคอัลไซเมอร์ การรักษาก็จะมุ่งเน้นที่การชะลออาการและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแทน เช่น
- การใช้ยา : อาจใช้ยาที่ช่วยชะลอการเสื่อมของสมอง เช่น ยากลุ่ม Cholinesterase inhibitors หรือ Memantine ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ป่วยจดจำและใช้ชีวิตได้นานขึ้น
- ดูแลทางด้านจิตใจและพฤติกรรม : อาจใช้จิตบำบัด หรือกิจกรรมกระตุ้นสมอง เช่น การทำกิจกรรมที่ช่วยฝึกความจำ
- ให้ความดูแลจากครอบครัวและผู้ดูแล : ผู้ป่วยจะต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด ครอบครัวควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและจัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย
- ใช้กิจกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพ : อาจมีการทำกายภาพบำบัด ฝึกการพูด หรือกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง
ตรวจพบไว ป้องกันภัยสมองเสื่อมได้เร็ว!
สมองเสื่อมเป็นภาวะส่งผลต่อความจำ การเรียนรู้ การใช้ภาษา และพฤติกรรม ซึ่งอาจเริ่มจากการหลงลืมเล็กน้อยไปจนถึงระดับที่รุนแรงจนจำเรื่องราวสำคัญในชีวิตไม่ได้อีกต่อไปและไม่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติ สาเหตุของภาวะสมองเสื่อมมีทั้งที่รักษาได้และไม่ได้ โดยจะต้องอาศัยการตรวจทางระบบประสาท การทดสอบความจำ การตรวจเลือด หรือการสแกนสมองเพื่อใช้ในการวินิจฉัยสาเหตุและวิธีการรักษาโรคนี้
หากสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการสมองเสื่อม ก็สามารถมาเข้ารับการตรวจที่ศูนย์สมองและระบบประสาทที่โรงพยาบาลพระราม 9 เพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสมกับแผนการชีวิตของแต่ละคน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
- Facebook : Praram 9 hospital
- Line : @Praram9Hospital
- โทร. 1270
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสมองเสื่อม
1. สมองเสื่อมคือโรคอัลไซเมอร์หรือไม่?
ไม่ใช่ เพราะโรคอัลไซเมอร์เป็นเพียงหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง การติดเชื้อในสมอง ภาวะขาดสารอาหาร หรือโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ ที่อาจทำให้เป็นโรคนี้ได้เช่นกัน
2. เราสามารถป้องกันอาการสมองเสื่อมได้หรือไม่?
แม้ว่าบางสาเหตุ เช่น โรคอัลไซเมอร์ อาจไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการดูแลสุขภาพสมองด้วยวิธี ดังนี้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ : ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมอง
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสมอง : เช่น อาหารที่มีโอเมก้า-3 ผักผลไม้ และหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
- ฝึกใช้สมองอยู่เสมอ : เช่น อ่านหนังสือ เล่นเกมฝึกสมอง หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
- ควบคุมโรคประจำตัว : เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง
- หลีกเลี่ยงสารอันตราย : งดสูบบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงสารพิษ
- พักผ่อนให้เพียงพอ : นอนหลับอย่างมีคุณภาพเพื่อให้สมองฟื้นฟูตัวเอง
References
Dementia. (2023, March 15). World Health Organization. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/dementia
What is Dementia? (n.d.). Alzheimer’s Association. https://www.alz.org/alzheimers-dementia/what-is-dementia
What Is Dementia? Symptoms, Types, and Diagnosis. (2022, December 8). National Institute on Aging. https://www.nia.nih.gov/health/alzheimers-and-dementia/what-dementia-symptoms-types-and-diagnosis
What is the difference between dementia and Alzheimer’s disease? (2024, November). Alzheimer’s Society. https://www.alzheimers.org.uk/blog/difference-between-dementia-alzheimers-disease