บทความสุขภาพ

Knowledge

ตาแห้ง ภาวะที่ควรเฝ้าระวัง มีแนวทางการรักษาและป้องกันอย่างไร

พญ. ชญาตา เหลี่ยมศิริเจริญ

ตาแห้ง เป็นภาวะที่มักเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเป็นภาวะที่มีปริมาณน้ำตาหล่อเลี้ยงผิวตาไม่เพียงพอ หากปล่อยให้เกิดภาวะตาแห้งเรื้อรังโดยไม่รีบรักษา อาจทำให้เคืองตารุนแรง เสี่ยงทำให้ตาบอดได้ในที่สุด


บทความนี้จะพาไปสำรวจภาวะตาแห้งว่าคืออะไร มีอาการอย่างไร เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง ตลอดจนแนวทางการรักษาที่เหมาะสม และการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันภาวะตาแห้ง


Key Takeaways


  • ตาแห้ง คือภาวะที่ร่างกายผลิตน้ำตาไม่เพียงพอ หรือน้ำตามีคุณภาพไม่ดี ทำให้ดวงตาขาดความชุ่มชื้น และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • อาการของภาวะตาแห้ง เช่น คันตา, แสบตา, เคืองเหมือนมีฝุ่นในตา, ตาแดง, ตาสู้แสงไม่ได้ และตาพร่ามัวเป็นบางครั้ง
  • สาเหตุตาแห้งเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น การใช้สายตามากเกินไป ใส่คอนแทกต์เลนส์นาน ๆ และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม รวมถึงปัจจัยภายใน เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น และการใช้ยาบางชนิด

ภาวะตาแห้ง คืออะไร


ภาวะตาแห้ง (Dry Eye) เป็นอาการที่เกิดจากระบบการผลิตน้ำตาทำงานได้ไม่เต็มที่ หรือน้ำตาที่ผลิตออกมานั้นไม่มีคุณภาพ ทำให้มีน้ำตาไม่เพียงพอที่จะสร้างความชุ่มชื้นให้ดวงตา ซึ่งความชุ่มชื้นในดวงตามีส่วนสำคัญอย่างมากในการป้องกันการติดเชื้อ


หากปล่อยให้ตาแห้ง หรือตาแห้งข้างเดียวโดยไม่รักษา อาจเกิดการอักเสบที่กระจกตา เยื่อบุตา และเปลือกตา จนอาจทำให้ขนตาทิ่มตาได้ในระยะท้ายของโรค และถ้าหากกระจกตาเกิดการระคายเคืองจนเป็นแผล ก็อาจนำไปสู่ภาวะที่รุนแรง จนต้องรักษาด้วยการผ่าตัดในที่สุด


อาการภาวะตาแห้งเป็นอย่างไร


ตาแห้งข้างเดียว

ภาวะตาแห้งมีอาการแสดงหลากหลาย ซึ่งอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ไปจนถึงสร้างความรำคาญในการใช้ชีวิตประจำวัน อาการที่พบบ่อยได้แก่


  • รู้สึกไม่สบายตา
  • คันตา เหมือนมีฝุ่นอยู่ในตา
  • แสบตาโดยไม่มีสาเหตุ
  • ตาแดง และมีขี้ตาเป็นเมือก
  • ตาสู้แสงไม่ได้ แสบตา แพ้ลม ทำให้ต้องหรี่ตา
  • ตาพร่ามัวเป็นบางครั้ง หรือมองเห็นไม่ชัดเจน
  • ลืมตาได้ยากและรู้สึกฝืด ๆ ตาในตอนเช้า
  • รู้สึกเคืองตา แต่ไม่มีอะไรในตา

ภาวะตาแห้ง เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง


ภาวะตาแห้งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งปัจจัยภายนอกและภายในร่างกาย ซึ่งแบ่งเป็นสองกลุ่มหลัก ๆ ได้ดังนี้


น้ำตาระเหยเร็ว หรือมีคุณสมบัติผิดปกติ (Evaporative Dry Eyes)


ภาวะนี้เกิดจากคุณภาพของน้ำตาที่ไม่ดี ทำให้ระเหยได้ง่ายกว่าปกติ ซึ่งอาจมีสาเหตุจาก


  • ใช้สายตามากเกินไป เช่น อ่านหนังสือ ใช้คอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นตัวการดูดน้ำออกจากลูกตา ทำให้ตาแห้ง เมื่อรวมกับพฤติกรรมชอบจ้องจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา ทำให้กระตุ้นน้ำตาออกมาน้อยและระเหยเร็ว
  • ใส่คอนแทกต์เลนส์เป็นเวลานานเกินไป หรือใช้คอนแทกต์เลนส์ที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้การกระตุ้นน้ำตาตามธรรมชาติผิดไปจากเดิม
  • ผู้ที่มีความผิดปกติของเปลือกตา เช่น การกะพริบตาน้อยผิดปกติ การปิดตาไม่สนิท เป็นต้น
  • อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน เช่น บริเวณที่มีอากาศแห้งหรือลมแรง
  • การทำงานที่ผิดปกติของต่อมน้ำตาไมโบเมียน (Meibomian Gland Dysfunction; MGD) ซึ่งเป็นต่อมที่อยู่บริเวณเปลือกตา ทำหน้าที่สร้างน้ำมันมาเคลือบดวงตา
  • เปลือกตาอักเสบ เมื่อชั้นไขมันเกิดความผิดปกติ จะทำให้น้ำตาระเหยเร็ว
  • ภาวะหลังโดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุตาจนอาจเกิดแผลเป็น ส่งผลให้การสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตามีปัญหา

การสร้างน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ (Aqueous Tear Deficiency)


ภาวะนี้เกิดจากการที่ร่างกายผลิตน้ำตาออกมาได้น้อยลง โดยมักเกี่ยวข้องกับ


  • อายุที่เพิ่มขึ้น มีการสร้างน้ำตาลดลง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ และผู้หญิงในวัยทอง
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ ยาคลายเครียด หรือยาลดความดันโลหิตบางประเภท เนื่องจากมียาบางชนิดที่มีส่วนผสมของสารกันเสีย ทำให้ตาแห้งได้มากขึ้น
  • ปัญหาสุขภาพ เช่น ภูมิแพ้ที่ตา การอักเสบเรื้อรังที่เปลือกตาหรือเยื่อตา
  • โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น กลุ่มโรค Sjogren’s Syndrome ซึ่งอาจเกิดจากกลุ่มโรคข้อ เช่น โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือไม่ทราบสาเหตุ
  • ความผิดปกติของต่อมน้ำตา ที่มีมาตั้งแต่กำเนิด
  • โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือการอักเสบจนท่อน้ำตาจากต่อมน้ำตาอุดตัน

การรักษาภาวะตาแห้ง มีวิธีใดบ้าง


การรักษาภาวะตาแห้งมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ โดยส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบ ดังนี้


  • การใช้น้ำตาเทียม เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ดวงตา เป็นวิธีแก้แสบตาจากภาวะตาแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การใช้ยาหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบของผิวนัยน์ตาหรือผิวเยื่อบุตา พร้อมบรรเทาอาการคันระคายเคือง แต่ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ และใช้ในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
  • การใช้ยากระตุ้นการสร้างน้ำตา แพทย์พิจารณาสั่งจ่ายสำหรับผู้ที่มีภาวะตาแห้งในระดับปานกลางถึงรุนแรง โดยเฉพาะผู้ที่รักษาด้วยน้ำตาเทียมแล้วอาการไม่ดีขึ้น ยาเหล่านี้มีกลไกสำคัญคือการช่วยให้ดวงตาผลิตน้ำตาธรรมชาติออกมาได้มากขึ้นและมีคุณภาพดีขึ้น
  • การทำความสะอาดเปลือกตาด้วยน้ำยาพิเศษ เพื่อกำจัดเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่บริเวณรอบเปลือกตา
  • การประคบน้ำอุ่น อุณหภูมิประมาณ 41-43 องศาเซลเซียสเป็นประจำเช้า-เย็น เป็นวิธีแก้ภาวะตาแห้งที่ทำได้ง่าย และช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้

นอกจากการรักษาด้วยยาหยอดตาหรือการดูแลตนเองแล้ว ยังมีหัตถการทางการแพทย์ที่ช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะตาแห้งเรื้อรัง


  • การนวดและทำความสะอาดเปลือกตา ช่วยบรรเทาภาวะตาแห้งเรื้อรัง และต่อมไขมันอุดตัน โดยเฉพาะต่อมไมโบเมียน (Meibomian Gland) ต่อมไขมันขนาดเล็กที่อยู่บริเวณโคนขนตาของเปลือกตาบนและล่าง การนวดจะช่วยรีดไขมันที่อุดตันในต่อมออกมา ทำให้ชั้นน้ำตาที่เคลือบผิวตากลับมามีคุณภาพดีขึ้น
  • การรักษาด้วย IPL + LLLT (Intense Pulsed Light + Low Level Light Therapy) เป็นการใช้แสงที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อจัดการกับต้นตอของภาวะตาแห้ง แสงสีแดงจะทำให้เกิดความร้อนที่เปลือกตา กระตุ้นการทำงานของเซลล์ ทำให้มีการสร้างน้ำตาเพิ่มขึ้นในระยะยาวและช่วยลดการอักเสบ นอกจากนี้ยังทำให้ไขมันที่อุดตันบริเวณต่อมไขมันที่เปลือกตาอ่อนตัวลง ลดการอุดตัน ช่วยให้เส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติหดตัวลง รวมถึงฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไร (Demodex) ที่เกาะอยู่บนขนตาได้ด้วย

การรักษาด้วย IPL + LLLT

การดูแลและป้องกันตาแห้ง ทำได้อย่างไร


สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาตาแห้ง คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันตั้งแต่ต้นเหตุ และไม่ปล่อยให้เป็นปัญหาเรื้อรัง โดยสามารถทำได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ดังนี้


  • ป้องกันดวงตาจากสภาพแวดล้อม เมื่อต้องอยู่ในบริเวณที่มีลมแรง ฝุ่นควันมาก หรือในห้องแอร์ที่อากาศแห้ง ควรหลับตาพักสายตาเป็นระยะ หรือสวมแว่นตากันแดด กันลม เพื่อปกป้องดวงตาจากปัจจัยภายนอกโดยตรง
  • การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต พักสายตาเป็นประจำ เมื่อต้องใช้สายตาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนนาน ๆ ควรใช้กฎ 20-20-20 คือ พักสายตา 20 วินาที ด้วยการมองไปยังที่ไกล ๆ 20 ฟุต ทุก 20 นาที และพยายามกะพริบตาให้บ่อยขึ้น เพื่อให้น้ำตาหล่อเลี้ยงดวงตาตลอดเวลา
  • ไม่ใส่คอนแทกต์เลนส์นานเกินไป ไม่ควรใส่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หากตาแห้ง ควรหยอดน้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
  • ทำความสะอาดเปลือกตา การประคบอุ่นที่ตาและทำความสะอาดขอบเปลือกตาจะช่วยกำจัดเชื้อโรค สิ่งสกปรก และไขมันที่อุดตัน ทำให้ไม่เกิดภาวะเปลือกตาอักเสบเรื้อรัง
  • งดสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตาแห้ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สูบเอง หรือผู้ที่ไม่ได้สูบ ก็ควรหลีกเลี่ยงควันบุหรี่

ภาวะตาแห้ง ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เลือกรักษากับจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ


ภาวะตาแห้งเป็นปัญหาที่หลายคนมองข้าม แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแลรักษาอย่างถูกวิธี อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ การทำความเข้าใจสาเหตุและอาการของโรคจึงเป็นสิ่งสำคัญ การรักษาตาแห้งมีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การใช้น้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น การใช้ยาหยอดตา และการดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ เช่น การประคบน้ำอุ่น และการทำความสะอาดเปลือกตา นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมการรักษาด้วยแสง IPL + LLLT ที่ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ลดการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลพระรามเก้า เรามีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตาที่มีความชำนาญในการวินิจฉัยและรักษาภาวะตาแห้งโดยเฉพาะ พร้อมด้วยเครื่องวิเคราะห์เซลล์กระจกตา (Endothelium Cell Count) ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถตรวจวิเคราะห์และวัดจำนวนเซลล์กระจกตาได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ ศูนย์จักษุยังให้บริการรักษาด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การทำความสะอาดเปลือกตา การใช้ยาหยอดตา และการรักษาด้วยIPL + LLLT ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาภาวะตาแห้งเรื้อรังได้อย่างตรงจุด


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับตาแห้ง


1. ภาวะตาแห้ง ปล่อยไว้อันตรายไหม


ภาวะตาแห้งไม่ใช่อาการที่รุนแรง แต่หากปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายถึงขั้นตาบอดได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยโรคประจำตัวบางชนิด เมื่อตาแห้งมาก ๆ จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและเป็นแผลที่กระจกตา หากแผลรุนแรงจนกระจกตาทะลุ อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร ดังนั้นจึงไม่ควรละเลย และควรรีบรักษาอาการตาแห้งตั้งแต่เนิ่น ๆ


2. ตาแห้ง ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนอะไรบ้าง


ภาวะตาแห้งอาจนำไปสู่อาการแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เนื่องจากน้ำตามีหน้าที่รักษาความชุ่มชื้นและปกป้องดวงตา เมื่อน้ำตาไม่เพียงพอ ดวงตาจะระคายเคืองและเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น


นอกจากนี้ ตาแห้งยังอาจทำให้เกิดตาอักเสบ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้อาการรุนแรงขึ้น ส่งผลต่อการมองเห็น และในระยะยาวอาจทำให้เกิดภาวะขนตาทิ่มตา เนื่องจากเปลือกตาถูกดึงรั้ง ทำให้ขนตาเสียดสีกับกระจกตาจนเกิดแผล หากไม่รีบรักษาอาจเป็นอันตรายต่อดวงตาและการมองเห็นอย่างถาวร


References


Michael A Puente, Jr., MD. (2024, October 15). What Is Dry Eye? Symptoms, Causes and Treatment. American Academy of Ophthalmology. https://www.aao.org/eye-health/diseases/what-is-dry-eye


Dry Eyes. (2025, June 20). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/24479-dry-eye


Mayo Clinic Staff. (2022, September 23). Dry eyes. Mayo Clinic. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/dry-eyes/symptoms-causes/syc-20371863

บทความที่เกี่ยวข้อง (8)

ดูทั้งหมด

ต้อหิน รู้เร็ว รักษาก่อน

โรคต้อหิน คือโรคที่มีความเสื่อมของขั้วประสาทตาอย่างช้าๆ ทำให้สูญเสียการมองเห็น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตัวเองป่วยโรคนี้ เนื่องจากส่วนมากไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า เป็นสาเหตุหลักของภาวะตาบอดถาวร และหากเป็นแล้ว แม้ได้รับการรักษาก็ไม่สามารถกลับมามองเห็นได้ดังเดิม แต่สามารถควบคุมโรคไม่ให้ขั้วประสาทตาถูกทำลายไปเรื่อยๆได้ สำหรับกลไกการเกิดต้อหิน เกิดจาดความผิดปกติของน้ำหล่อเลี้ยงภายในลูกตา ซึ่งปกติจะถูกสร้างและมีทางระบายออก ในโรคต้อหินชนิดความดันตาสูง มีความผิดปกติของการระบายน้ำออก ทำให้ความดันตาสูงขึ้น (ปกติ คาความดันตาไม่ควรเกิน 21 มม.ปรอท) และไปกดทับเส้นประสาทตา ส่วนในโรคต้อหินชนิดความดันตาไม่สูง เชื่อว่า เส้นประสาทตามีการเสื่อมตัวลงอย่างช้าๆจากภาวะการไหลเวียนของเลือดไม่สมบูรณ์ มักพบในผู้ป่วยกลุ่มโรคเบาหวาน ความดัน ไมเกรน

อ่านเพิ่มเติม

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital