บทความสุขภาพ

Knowledge

การรักษาไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบบีกลายพันธุ์

นพ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย

ในโลกปัจจุบันที่โรคต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ง่ายและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โรคตับอักเสบบีได้กลายเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่สำคัญและน่ากังวล สาเหตุอย่างหนึ่งของโรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่โจมตีตับ สามารถนำไปสู่อาการเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา อาจนำไปสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้น เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับ บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโรคตับอักเสบบี รวมทั้งวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยจะพาผู้อ่านไปสำรวจข้อมูลตั้งแต่การวินิจฉัยโรค การใช้ยาต้านไวรัส การดูแลตัวเอง เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตประจำวัน


ไวรัสตับอักเสบบี คืออะไร?


ไวรัสตับอักเสบบี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำลายเซลล์ตับ ไวรัสนี้มีชื่อว่า hepatitis B virus (HBV) และสามารถแพร่กระจายได้หลายวิธี ทั้งผ่านการสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของบุคคลที่ติดเชื้อ การใช้เข็มหรืออุปกรณ์ที่ปนเปื้อนไวรัส การมีเพศสัมพันธ์ และจากแม่สู่ลูกในระหว่างคลอด


ไวรัสตับอักเสบบีสามารถทำให้เกิดโรคทั้งในรูปแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง ในรูปแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจมีอาการเช่น คลื่นไส้ อาเจียน ตัวเหลือง และปวดท้อง ส่วนในรูปแบบเรื้อรัง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อไวรัสอยู่ในร่างกายเป็นเวลานาน อาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่ยังคงทำลายตับ ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับในระยะยาว


การรักษาไวรัสตับอักเสบบี


การรักษาไวรัสตับอักเสบบีมุ่งเน้นทั้งการจัดการกับการติดเชื้อและการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับ วิธีการรักษาสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักคือการรักษาในระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรัง


การรักษาในระยะเฉียบพลัน


ผู้ป่วยที่มีไวรัสตับอักเสบบีในรูปแบบเฉียบพลันมักไม่ต้องการการรักษาด้วยยาเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้เอง อาจกินเวลาหลายเดือน การรักษาในระยะนี้มักเน้นที่การบรรเทาอาการ เช่น การให้สารน้ำทดแทนและการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ในกรณีที่อาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัสหรือการนอนโรงพยาบาลร่วมด้วย


การรักษาในระยะเรื้อรัง

สำหรับผู้ที่มีโรคตับอักเสบบีเรื้อรัง การรักษามุ่งเน้นไปที่การใช้ยาต้านไวรัสเพื่อลดการเพิ่มจำนวนของไวรัสและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน ยาต้านไวรัสจะช่วยลดจำนวนไวรัสในร่างกาย ลดการอักเสบและความเสียหายของตับ และช่วยป้องกันการกลายเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับ การรักษานี้มักต้องใช้เวลาหลายปีหรือตลอดชีวิต โดยแพทย์มีการนัดตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการรักษาและปรับปรุงแผนการรักษาตามความจำเป็น


อย่างไรก็ตาม หนึ่งในความท้าทายในการรักษาไวรัสตับอักเสบบีคือ การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่อาจทำให้เกิดภาวะดื้อยาต้านไวรัสบางชนิด การกลายพันธุ์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของไวรัส ทำให้ยาที่เคยใช้ได้ผลกลายเป็นไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจำเป็นต้องมีการตรวจติดตามและปรับเปลี่ยนการรักษาอย่างสม่ำเสมอ


ไวรัสตับอักเสบบีกลายพันธุ์


ไวรัสตับอักเสบบีสามารถกลายพันธุ์ได้ ซึ่งหมายความว่าไวรัสสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมของตัวเองได้ การกลายพันธุ์นี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการกินยาไม่สม่ำเสมอ และปัจจัยทางกายภาพอื่น ๆ ของผู้ป่วย เช่น มีโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน เป็นเพศชาย เป็นโรคเอดส์ร่วมด้วย มีค่าเอนไซม์ก่อนการรักษาต่ำ ผลการตรวจชิ้นเนื้อไม่ดีตั้งแต่ก่อนการรักษา นับไวรัส DNA ก่อนรักษา มากกว่า 149 ล้านตัว และหลังการรักษาไประยะหนึ่งแล้วไวรัสยังมากกว่า 10,000 ตัว การกลายพันธุ์หลัก ๆ มี 2 ชนิด ดังนี้


ไวรัสบีที่มีการกลายพันธุ์แบบไม่มี HBeAg (HBeAg negative hepatitis)


ในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีทั่วไป (HBeAg positive hepatitis) การตรวจ HBeAg จะเป็นบวก ซึ่งหมายถึงมีจำนวนไวรัสที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบเยอะอย่างเห็นได้ชัด แต่ใน HBeAg negative hepatitis การตรวจ HBeAg จะเป็นลบ ซึ่งหมายถึงตรวจไม่พบ HBeAg แต่ยังมีการอักเสบเกิดขึ้นอยู่


**HBeAg (hepatitis B e-antigen) เป็นค่าที่บ่งบอกว่ามีการติดเชื้อและมีการแบ่งตัวของไวรัสตับอักเสบบี (viral replication)


การวินิจฉัย

การวินิจฉัยภาวะนี้เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบระดับ SGPT (serum glutamic pyruvic transaminase) เพื่อตรวจสอบระดับของการอักเสบในตับของผู้ป่วย ถ้า SGPT สูงขึ้น อาจแสดงถึงการอักเสบในตับ จากนั้นแพทย์อาจส่งการตรวจ HBeAg เพื่อดูว่าเป็นลบหรือบวก ถ้า HBeAg เป็นลบและไม่มีสาเหตุตับอักเสบอื่น ๆ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจนับไวรัสตับอักเสบบี ถ้าจำนวนไวรัสตับอักเสบบีมากกว่า 1 แสนตัว อาจเป็นสัญญาณที่ชี้ว่ามีการกลายพันธุ์ของไวรัสและไม่มี HBeAg ในเลือดของผู้ป่วย


การรักษา

การรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีกลายพันธุ์นั้นมีความสำคัญ เนื่องจากมีความยากลำบากในการรักษาและมีความรุนแรงของโรคที่เพิ่มขึ้น การรักษาแบบเดิมๆ ด้วย IFN (interferon) หรือ Lamivudine ในช่วงแรกอาจมีผลดี แต่จะมีปัญหาการดื้อยาภายหลังที่มีความยากลำบากในการรักษาและเสี่ยงสูง ผลการรักษายังไม่ดีเท่าไวรัสตับอักเสบบีธรรมดา ในปัจจุบันมักให้ยาทาน Lamivudine หรือ Adefovir ตลอดชีวิตโดยไม่หยุดยาเลย หรือแพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยารักษาเป็นระยะเวลา 1 ปี แต่ข้อจำกัดของยาฉีดคือมีราคาสูง


ผลการรักษาไวรัสบีกลายพันธุ์ ชนิดนี้พบว่ารักษาแล้ว สามารถหยุดการแบ่งตัวไวรัสได้ แต่ผลการรักษาไม่ดีเท่าไวรัสบีปกติทั่วไป ถ้าเลือกรับประทานยาตลอดชีวิต ในระยะยาวก็มักเกิดการดื้อยา ต้องเปลี่ยนยาไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดอาจไม่มียารักษา ผู้ป่วยหลาย ๆ รายจึงอาจตัดสินใจฉีดยารักษาแม้ว่าแพงกว่ามากก็ตาม


การกลายพันธุ์จนสามารถดื้อยารักษาแบบรับประทาน Lamivudine (YMDD mutant)


Tyrosine-methionine-aspartate-aspartate (YMDD) mutant เป็นรูปแบบที่เกิดการกลายพันธุ์ที่กระทบต่อการรักษาโดยใช้ยาต้านไวรัส เช่น Lamivudine หรือ Entecavir ในผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยในระหว่างการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเช่น Lamivudine ไวรัสตับอักเสบบีอาจมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมในพื้นที่ที่เรียกว่า YMDD motif ที่เป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์ที่ไวรัสใช้ในกระบวนการเพิ่มจำนวนไวรัส การกลายพันธุ์นี้ทำให้ยา Lamivudine ไม่สามารถยับยั้งไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ


การวินิจฉัย

การวินิจฉัยทำได้โดยการติดตามการรักษาด้วยยา Lamivudine ในระยะเวลาหนึ่ง หากเกิดตับอักเสบร่วมกับการเพิ่มจำนวนไวรัสตับอักเสบบีในเลือดเป็นหลักแสนหรือล้านตัว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชี้ว่าไวรัสกลายพันธุ์และมีความเสี่ยงในการดื้อยา Lamivudine ในระยะยาว


แต่อย่างไรก็ตามต้องแยกจากผู้ป่วยกลุ่มที่รับประทานยาไม่สม่ำเสมอ จนทำให้จำนวนไวรัสในร่างกายเพิ่มจำนวนขึ้น หรือมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้ตับอักเสบมากขึ้น ซึ่งในกลุ่มนี้หากกลับมารับประทานยาสม่ำเสมอและแก้สาเหตุของตับอักเสบอื่น ๆ อาการก็จะดีขึ้นและไม่ใช่กลุ่มที่เป็นไวรัสตับอักเสบกลายพันธุ์


การรักษา

ให้เพิ่มยารักษาไวรัสบีตัวใหม่ ๆ เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งตัว แล้วทำการติดตามตรวจรักษาอย่างใกล้ชิด หรือ นัดตรวจถี่ขึ้นจนแน่ใจว่าไวรัสไม่อักเสบแล้ว หรือ พิจารณาย้ายไปรักษาด้วยการฉีดยารักษาแทนการกินยารักษา


การดำเนินโรคของการกลายพันธุ์


การกลายพันธุ์ของไวรัสตับอักเสบบีมีรายงานว่าสามารถทำให้โรคดำเนินไปเร็วกว่าไวรัสตับอักเสบบีธรรมดา และอาจทำให้สุขภาพของผู้ป่วยแย่ลง ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขอย่างหนึ่งของผู้ป่วยกลุ่มที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี


อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยา


  • ในระยะ 1 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 14%
  • ในระยะ 2 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 38%
  • ในระยะ 3 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 49%
  • ในระยะ 4 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 66%
  • ในระยะ 5 ปี: อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาประมาณ 69%

อัตราการกลายพันธุ์ดื้อยาจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดระยะเวลาที่ผู้ป่วยต้องรับยาต้านไวรัส ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การรักษาไวรัสตับอักเสบบีที่กลายพันธุ์ดื้อยาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและควรคำนึงถึงอย่างใกล้ชิดในการรักษาผู้ป่วยในระยะยาว


การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี


การฉีดวัคซีนตับอักเสบบี


วัคซีนตับอักเสบบีเป็นวิธีป้องกันหลักที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคนี้ การฉีดวัคซีนจะช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบีและป้องกันการติดเชื้อในระยะต่อไป


การฉีดวัคซีนตับอักเสบบีสามารถทำได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ เด็กทารกแรกเกิดจะได้รับวัคซีนตับอักเสบบีในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนใหญ่จะได้รับในวันแรกหรือไม่นานหลังเกิดทั้งหมด 3 รอบ วัยผู้ใหญ่มีรอบการฉีดทั้งหมด 3 รอบในลักษณะเดียวกัน โดยรอบแรกจะเริ่มต้นในเวลาที่กำหนด และจากนั้นจะฉีดเข็มที่ 2 หลังจากผ่านไปประมาณ 1 เดือน และฉีดเข็มที่ 3 หลังจากผ่านไปประมาณ 6 เดือนหลังจากเข็มที่ 1


ควบคุมพฤติกรรมเสี่ยง


การเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงเป็นอีกวิธีหนึ่งในการป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ควรเลิกสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และป้องกันหากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย


การตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ


ในผู้ที่ยังไม่มีการติดเชื้อ การตรวจสุขภาพตับจะช่วยลดความเสี่ยงและช่วยวางแผนสุขภาพเพื่อป้องกันการติดเชื้อได้ เช่น การวางแผนการฉีดวัคซีน และยังช่วยให้ทราบสุขภาพของตับโดยรวมอีกด้วย


ส่วนในผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ การตรวจสุขภาพตับจะทำให้ทราบถึงระยะของโรค ความรุนแรงของโรค ซึ่งมีประโยชน์ในการวางแผนการรักษา ประเมินการรักษา และช่วยให้วางแผนการดูแลตัวเอง เพื่อควบคุมไม่ไห้โรครุนแรงขึ้น


ซึ่งแพทย์อาจแนะนำให้ตรวจค่าต่าง ๆ เช่น


  • การตรวจ ALT ALT (alanine aminotransferase) ช่วยในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของตับ ถ้าระดับ ALT สูงเกินไปอาจเป็นสัญญาณของการทำงานของตับที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
  • การตรวจระดับไวรัสตับอักเสบบี (HBV DNA) ในเลือดช่วยให้แพทย์ประเมินปริมาณไวรัสที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งสามารถใช้เพื่อประเมินความรุนแรงของการติดเชื้อและติดตามการเปลี่ยนแปลงของระดับไวรัสในระยะต่อไป
  • การตรวจ HBsAg (hepatitis B surface antigen) เป็นวิธีการตรวจสอบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ถ้าผลตรวจเป็นบวก หมายความว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

สรุป


ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคที่มีการติดเชื้อไวรัสแล้วทำให้เกิดตับอักเสบ และเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งตับ การรักษาปัจจุบันของโรคนี้คือการรักษาด้วยยา ซึ่งอาจมีทั้งยากินและยาฉีด ทั้งนี้ต้องร่วมกับการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันสาเหตุของตับอักเสบอื่น ๆ อย่างไรก็ตามการป้องกันการติดเชื้อเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อ การตรวจสุขภาพตับอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อตับอักเสบบีได้


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)


เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. ระพีพันธุ์  กัลยาวินัย

นพ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย

ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital