บทความสุขภาพ

Knowledge

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease; CAD) เป็นภาวะที่หลอดเลือดมีการสะสมไขมัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ ซึ่งอาจนำไปสู่หัวใจวาย การรักษาด้วย การทำบอลลูนหัวใจ (Percutaneous Coronary Intervention – PCI) เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ เป็นวิธีที่ช่วยเปิดหลอดเลือดที่ตีบโดยไม่ต้องผ่าตัดเปิดหัวใจ ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับวิธีการทำบอลลูนหัวใจ กระบวนการต่าง ๆ รวมถึงข้อดีและข้อควรระวังที่ผู้ป่วยควรรู้ เพื่อให้การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ


บอลลูนหัวใจ คืออะไร?


บอลลูนหัวใจ (Balloon Angioplasty หรือ Percutaneous Coronary Intervention; PCI) เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยเป็นกระบวนการที่ใช้เทคโนโลยีบอลลูนขยายหลอดเลือดที่ตีบเพื่อให้เลือดสามารถไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อหัวใจได้มากขึ้น ทำให้ลดอาการเจ็บหน้าอกและป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือดได้ โดยการทำบอลลูนจะถูกใช้เมื่อหลอดเลือดหัวใจมีการตีบหรืออุดตันแต่ยังไม่ถึงขั้นต้องผ่าตัดบายพาส ซึ่งทำให้วิธีนี้มีความปลอดภัยและฟื้นตัวได้เร็วกว่า


ขั้นตอนการทำบอลลูนหัวใจ


  1. การเตรียมตัวก่อนการทำบอลลูน: ก่อนการทำบอลลูนหลอดเลือดหัวใจ แพทย์จะให้คำแนะนำในการหยุดยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด รวมถึงการงดอาหารหรือเครื่องดื่มในช่วง 6-8 ชั่วโมงก่อนการรักษา เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการทำหัตถการ
  2. การสอดสายสวน: เมื่อเข้าสู่ห้องสวนหัวใจแล้ว แพทย์จะทำการสอดสายสวนบอลลูนเข้าไปในหลอดเลือด ผ่านทางข้อมือหรือขา แล้วนำสายสวนไปบริเวณที่มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจ โดยในขณะที่ใส่สายสวน แพทย์จะใช้เครื่องเอกซเรย์ (fluoroscopy) ถ่ายภาพ เพื่อให้แพทย์เห็นภาพตำแหน่งของสายสวนได้ชัดเจน
  3. การขยายหลอดเลือด: เมื่อสายสวนบอลลูนถึงตำแหน่งที่ตีบแล้ว แพทย์จะทำการพองบอลลูนให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อขยายหลอดเลือดที่ตีบให้กว้างขึ้น ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
  4. การใส่ขดลวด (Stent): หากจำมีความจำเป็นและเพื่อการป้องกันการตีบซ้ำของหลอดเลือด แพทย์อาจใส่ขดลวด (stent) ซึ่งเป็นอุปกรณ์โลหะสังเคราะห์ทางการแพทย์ที่ไม่ทำปฏิกิริยากับร่างกาย ที่ตำแหน่งที่มีการตีบและขยายด้วยบอลลูนแล้ว โดยขดลวดจะถูกปล่อยออกมาหลังจากขยายด้วยบอลลูนแล้ว

ข้อบ่งชี้ของการทำบอลลูนหัวใจมีอะไรบ้าง?


การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยการทำบอลลูนหัวใจมีข้อบ่งชี้ดังนี้


1. มีอาการเจ็บหน้าอกเรื้อรังที่ควบคุมด้วยยาไม่ได้


หากผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกเรื้อรังจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอาการไม่สามารถควบคุมได้ด้วยการรักษาด้วยยาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การทำบอลลูนหัวใจอาจช่วยบรรเทาอาการได้


2. มีอาการเจ็บหน้าอกที่ไม่คงที่ (Unstable Angina) หรือหัวใจขาดเลือดบางส่วน (NSTEMI)


ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกที่เกิดขึ้นบ่อยและรุนแรง หรือมีอาการหัวใจขาดเลือดบางส่วน การทำบอลลูนหัวใจจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดหัวใจวายได้


3. หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (STEMI)


ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (STEMI) การทำบอลลูนหัวใจจะเป็นวิธีการรักษามาตรฐาน หากสามารถทำได้ภายในเวลาที่เหมาะสม (ภายใน 90 นาทีหลังจากมีอาการ) จะซึ่งช่วยเปิดหลอดเลือดที่อุดตันและลดความเสียหายที่เกิดกับกล้ามเนื้อหัวใจได้


4. หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจเส้นหลักด้านซ้ายตีบ (Left Main Coronary Artery Disease)


หลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจเส้นหลักด้านซ้าย (Left coronary artery) เป็นหลอดเลือดที่ส่งเลือดไปยังหัวใจส่วนใหญ่ หากมีการตีบมากและไม่สามารถทำการรักษาด้วยการผ่าตัดบายพาสได้ การทำบอลลูนหัวใจจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและช่วยลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลวได้


5. โรคหลอดเลือดหัวใจที่รุนแรงในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง


ในกรณีที่ผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจรุนแรงและมีความเสี่ยงสูงในการทำการผ่าตัดบายพาส ผู้ป่วยอาจได้รับการพิจารณาให้ทำบอลลูนหัวใจแทน


6. ไม่สามารถทำการผ่าตัดบายพาสได้


หากผู้ป่วยเหมาะสมที่จะได้รับการผ่าตัดบายพาส แต่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้เนื่องจากมีภาวะสุขภาพที่ไม่เอื้อต่อการผ่าตัด การทำบอลลูนหัวใจก็จะเป็นทางเลือกในการรักษา


7. มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจที่ทำให้การทำงานของหัวใจผิดปกติ


หากการตีบของหลอดเลือดหัวใจส่งผลให้หัวใจทำงานไม่ปกติ การทำบอลลูนหัวใจอาจช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจให้ดีขึ้นด้วย


8. มีความเสี่ยงของหัวใจขาดเลือดสูงในอนาคต


หากผู้ป่วยมีภาวะหัวใจขาดเลือดที่รุนแรงและเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายในอนาคต การทำบอลลูนหัวใจจะช่วยลดความเสี่ยงและช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น


9. เคยผ่าตัดบายพาสหรือทำบอลลูนหัวใจแล้วเกิดปัญหาหรือไม่สำเร็จ


แพทย์อาจพิจารณาการทำบอลลูนหัวใจในผู้ป่วยที่เคยได้รับการทำผ่าตัดบายพาสหรือทำบอลลูนหัวใจมาก่อน แต่หลอดเลือดยังตีบซ้ำ หรือการรักษาก่อนหน้านี้ไม่ได้ผล


โดยปัจจัยที่แพทย์จะพิจารณาการรักษาด้วยวิธีการบอลลูนหัวใจขึ้นอยู่กับสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับจากการรักษาเทียบกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น


อย่างไรก็ตามการทำบอลลูนหัวใจเป็นการรักษาด้วยวิธีการเฉพาะ ซึ่งต้องทำโดยอายุรแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจที่มีความชำนาญเท่านั้น


ข้อดีของการทำบอลลูนหัวใจ


  • ลดอาการเจ็บหน้าอก: การขยายหลอดเลือดจะทำให้เลือดสามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีขึ้น เป็นผลให้อาการเจ็บแน่นหน้าอกจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดลดลง หรือหายไป
  • เพิ่มการไหลเวียนเลือด: การทำบอลลูนช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดหัวใจที่ตีบ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจได้รับออกซิเจนและสารอาหารอย่างเพียงพอ
  • ลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจวาย: การรักษาด้วยวิธีนี้สามารถลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลว ที่เกิดจากการขาดเลือดในกล้ามเนื้อหัวใจ
  • ฟื้นตัวเร็ว: การทำบอลลูนหัวใจไม่ต้องผ่าตัดเปิดหน้าอก ทำให้การฟื้นตัวเร็วกว่าเมื่อเทียบกับการผ่าตัดบายพาส

ความแตกต่างระหว่างการทำบอลลูนหัวใจกับการผ่าตัดบายพาส (CABG)


บอลลูนหัวใจ และ การผ่าตัดบายพาส (CABG) ต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือการรักษาหลอดเลือดหัวใจตีบ แต่มีข้อแตกต่างกันทั้งในเรื่องของวิธีการและระยะเวลาในการฟื้นตัวดังนี้


  • บายพาสหัวใจ (CABG): เป็นการผ่าตัดเพื่อสร้างเส้นทางการไหลเวียนเลือดใหม่ โดยการนำหลอดเลือดจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกายมาใช้สร้างเส้นทางใหม่เพื่อข้ามตำแหน่งที่มีการตีบของหลอดเลือดเดิม โดยการผ่าตัดบายพาสจะต้องผ่าเปิดหน้าอก จึงต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า
  • บอลลูนหัวใจ: เป็นการขยายหลอดเลือดที่ตีบโดยใช้บอลลูน ซึ่งไม่ต้องผ่าตัดเปิดอก และมักจะใช้ในกรณีที่หลอดเลือดตีบเพียง 1-2 จุด

ใครบ้างที่เหมาะกับการทำบอลลูนหัวใจ?


  • ผู้ป่วยที่มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจไม่เกินสองเส้นหรือมีการตีบที่ไม่ซับซ้อนเกินไป
  • ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกจากการตีบของหลอดเลือดหัวใจ
  • ผู้ป่วยที่มีการตีบเพียงจุดเดียวหรือสองจุด
  • ผู้ป่วยที่ไม่สามารถผ่าตัดบายพาสได้เนื่องจากสภาพร่างกายไม่เหมาะสม

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น


แม้ว่าการทำบอลลูนหัวใจจะค่อนข้างปลอดภัย แต่ยังคงมีความเสี่ยงบางประการ ได้แก่


  • การเกิดลิ่มเลือด: หลังการทำบอลลูน อาจเกิดลิ่มเลือดที่บริเวณที่ขยายหลอดเลือดได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายหรือหลอดเลือดสมองตีบหรือสโตรกได้
  • ภาวะหลอดเลือดตีบซ้ำ: แม้จะขยายหลอดเลือดออกแล้ว แต่ก็มีโอกาสที่หลอดเลือดอาจตีบซ้ำได้
  • ภาวะเลือดออก: การใส่สายสวนเข้าสู่ร่างกายอาจทำให้เกิดเลือดออกในบางกรณี
  • ภาวะแทรกซ้อนจากการใส่ขดลวด: ในบางกรณีอาจมีการติดเชื้อ หรือขดลวดอาจกางตัวออกไม่สุด

อย่างไรก็ตาม ก่อนทำการรักษาด้วยวิธีการบอลลูนหัวใจ แพทย์จะทำการตรวจร่างกายผู้ป่วย และตรวจค่าเลือดต่าง ๆ อย่างละเอียด รวมถึงพิจารณาถึงความเสี่ยงอื่น ๆ เพื่อใช้วางแผนการรักษาให้ผู้ป่วยปลอดภัย และเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยที่สุด


การดูแลตัวเองหลังการทำบอลลูนหัวใจ


การดูแลตัวเองหลังการทำบอลลูนหัวใจเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อการฟื้นตัวที่เร็ว และสามารถกลับไปทำงานและทำกิจวัตรประจำวันได้


  • การรับประทานยาตามคำแนะนำ: ผู้ป่วยต้องรับประทานยาตามที่แพทย์ส่งอย่างเคร่งครัด เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดลิ่มเลือด
  • การปรับพฤติกรรมการกิน: ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและเค็ม เพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
  • การออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป: หลังจากการทำบอลลูนหัวใจ ควรออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพหัวใจ
  • ควบคุมน้ำหนัก: การมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • เลิกสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบ ดังนั้นการเลิกสูบบุหรี่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะหากไม่เลิกอาจทำให้มีหลอดเลือดมีการตีบซ้ำ หรือตีบที่บริเวณอื่นได้

การเปรียบเทียบระหว่างบอลลูนหัวใจกับการใช้ขดลวด (Stent)


การใช้ขดลวดร่วมกับบอลลูนหัวใจมีข้อดีคือ จะช่วยให้หลอดเลือดที่ตีบสามารถเปิดได้มากขึ้นและคงรูปร่างไว้ได้ นอกจากนี้ขดลวดยังช่วยลดโอกาสในการตีบซ้ำ โดยขดลวดที่ใช้ในปัจจุบันมีการพัฒนาให้มีคุณสมบัติที่ดีกว่าเดิม เช่น ขดลวดที่ปล่อยยาหรือที่เรียกว่า drug-eluting stents (DES) ซึ่งช่วยลดการเกิดการตีบซ้ำหลังการทำบอลลูนได้มาก


สรุป


การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นวิธีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย การรักษานี้เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (1)

ดูทั้งหมด

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

฿ 4,500

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

ทำความรู้จักโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาการเป็นแบบไหน เกิดจากอะไร รักษาได้ไหม

กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เสี่ยงหัวใจวายมีลักษณะอาการแบบไหน เกิดจากอะไรได้บ้าง และสามารถรักษาโรคนี้ได้อย่างไร หาคำตอบได้ในบทความนี้

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital