บทความสุขภาพ

Knowledge

เจ็บหน้าอกจากโรคหลอดเลือดหัวใจ รู้ได้อย่างไร ? คุณหมอมีคำตอบ

นพ. ณัฐพล เก้าเอี้ยน

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรังเป็นโรคที่พบบ่อยในยุคปัจจุบัน และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้อันตรายถึงเสียชีวิต หรืออาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายและนำไปสู่ภาวะหัวใจวายได้


เป็นที่ทราบกันดีว่าอาการของหลอดเลือดหัวใจตีบตันคืออาการเจ็บหน้าอก และหลาย ๆ ท่านน่าจะเคยรู้สึกเจ็บหน้าอก และทำให้กังวลจนต้องไปโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาแพทย์ว่าท่านเป็นโรคหัวใจหรือไม่


บทความนี้ นพ.ณัฐพล เก้าเอี้ยน อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ ประจำสถาบันหัวใจและหลอดเลือดพระรามเก้า จะมาให้ความรู้และอธิบายวิธีการตรวจเพื่อวินิจฉัยว่าอาการเจ็บหน้าอกนั้น ๆ ใช่โรคหัวใจหรือไม่ ?

อาการเจ็บหน้าอกที่ผู้ป่วยมักมาปรึกษาแพทย์โรคหัวใจ


“คุณหมอครับ ผมมีอาการเจ็บหน้าอก มันเป็นอาการของโรคหัวใจรึเปล่าครับ ?”


หลาย ๆ คนคงจะเคยมีอาการเจ็บหน้าอก ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บแบบแปล๊บ ๆ เจ็บแน่นอึดอัดเหมือนมีอะไรมาทับ เจ็บแสบ ๆ เสียด ๆ เจ็บตอนออกกำลังกาย หรือบางคนอาจมาด้วยอาการเจ็บหน้าอกร่วมกับอาการวูบหมดสติ แล้วเราจะทราบได้อย่างไร ว่าอาการไหน เป็นอาการของโรคหัวใจ


ในความเป็นจริง ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ จะมาพบแพทย์ด้วยอาการเจ็บหน้าอกที่หลากหลายดังที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งแม้แต่ตัวแพทย์เอง บางครั้งก็แยกอาการเจ็บเหล่านั้นได้ยาก ว่าอันไหนเป็นอาการเจ็บหน้าอกที่เกิดจากโรคหัวใจจริง ๆ อันไหนเป็นอาการเจ็บจากอย่างอื่น เราจึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบอาการเหล่านั้นครับ


อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โรคหัวใจ


Fig_1.jpg

การวินิจฉัยอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหลอดเลือดหัวใจ


โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะทำการซักประวัติสอบถามอาการและลักษณะของการเจ็บหน้าอกและแพทย์อาจจะแนะนำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อบอกว่าเป็นโรคหัวใจหรือไม่ ได้แก่ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, การเดินสายพานตรวจสมรรถภาพหัวใจ หรือผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องฉีดสีหลอดเลือดหัวใจเพื่อเข้าไปตรวจดูหลอดเลือดหัวใจ


Fig_2 (1).jpg

การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiography; EKG)


เป็นการตรวจเพื่อดูสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจซึ่งสามารถใช้คัดกรอง เพื่อวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ แต่แพทย์มักแนะนำให้ตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติม ทำให้หลาย ๆ คนก็อาจมีคำถามว่า “เราตรวจคลื่นไฟฟ้าอย่างเดียวไม่ได้เหรอครับ” คำตอบคือ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะพัก สามารถบอกได้ชัดเจนแค่ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน และมักใช้ควบคู่กับการประเมินค่าหัวใจขาดเลือด หรือที่เราเรียกว่า cardiac enzyme ก็จะได้ความแม่นยำที่มากขึ้น ดังนั้นในรายที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเรื้อรัง คลื่นไฟฟ้าหัวใจและค่าหัวใจขาดเลือด (cardiac enzyme) อาจอยู่ในเกณฑ์ปกติทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นโรคหัวใจหรือไม่ จึงจำเป็นต้องมีการตรวจเดินสายพานในลำดับต่อไป


Fig_3_Ekg.jpg

การเดินสายพานตรวจสมรรถภาพหัวใจ (exercise stress test; EST)


การเดินสายพานตรวจสมรรถภาพหัวใจ เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ง่ายและค่อนข้างสะดวก ในการตรวจผู้ป่วยที่มาด้วยอาการเจ็บหน้าอก ควบคู่กับการตรวจเลือดของผู้ป่วย เพื่อใช้แยกภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน กับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเรื้อรัง


หากค่าหัวใจขาดเลือด (cardiac enzyme) ผิดปกติชัดเจน ก็จะเป็นการยืนยันว่าผู้ป่วยน่าจะมีภาวะหลอดเลือดตีบเฉียบพลัน ซึ่งผู้ป่วยก็จะได้ข้ามขั้นตอนการเดินสายพานไปสู่การสวนหัวใจ หรือที่เรียกว่าฉีดสีหัวใจเป็นลำดับต่อไปแทนครับ


สำหรับผู้ป่วยที่มาตรวจเดินสายพาน จะได้รับการติดตัววัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจไว้ที่บริเวณหน้าอก เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ขณะที่เรากำลังเดิน โดยเป้าหมายของการเดินสายพานคือ เราต้องการทำให้หัวใจผู้ป่วยเต้นเร็วขึ้น เพราะเมื่อหัวใจเต้นเร็วก็จะต้องการเลือดไปเลี้ยงหัวใจมากขึ้น ถ้าเรามีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบเรื้อรังซ่อนอยู่ เมื่อหัวใจเต้นเร็ว เลือดก็จะเริ่มไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ และมีสภาวะขาดเลือดเกิดขึ้น ซึ่งจะแสดงให้เห็นโดยผู้ป่วยจะรู้สึกแน่นหน้าอก เหนื่อย หรือมีคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเราตรวจพบภาวะความผิดปกติจากการเดินสายพานแล้ว จะมีการยืนยันโดยการฉีดสีสวนหัวใจเป็นลำดับต่อไป


Fig_4_Est-1024x1024.jpg

การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (coronary angiography; CAG)


การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ หรือ coronary angiography ย่อสั้น ๆ ว่า CAG ภาษาหมอ ๆ ก็จะพูดกันว่า ”ไปทำแคท” หรือบางคนอาจเรียกว่า “ฉีดสีหัวใจ” คือ การใส่สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดหัวใจผ่านทางขาหนีบหรือข้อมือ โดยแพทย์จะฉีดยาชาและใช้เข็มขนาดเล็กเจาะผ่านหลอดเลือดเข้าไป


หลังจากที่แพทย์สอดสายสวนไปอยู่ที่บริเวณหลอดเลือดหัวใจแล้ว ก็จะฉีดสารทึบแสงเข้าไปในหลอดเลือด เพื่อตรวจสอบว่าหลอดเลือดหัวใจของเรามีการตีบตันหรือไม่ (โดยปกติหลอดเลือดหัวใจของคนเราจะมีทั้งหมด 3 เส้นหลัก ๆ เป็นหลอดเลือดด้านซ้าย 2 เส้น และด้านขวา 1 เส้น) เมื่อแพทย์ได้ข้อมูลว่ามีการตีบของหลอดเลือด ก็จะทำการวางแผนการรักษาต่อไปว่าจะให้การรักษาด้วยการรับประทานยา, ทำบอลลูนและใส่ขดลวด หรือส่งต่อผู้ป่วยให้กับทางแพทย์ศัลยกรรมทรวงอกเพื่อทำการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ (CABG) เป็นลำดับต่อไป


หากแพทย์ประเมินว่าสามารถทำบอลลูนได้ ก็จะดำเนินการซ่อมหลอดเลือดหัวใจต่อไป โดยทำผ่านสายสวนเส้นเดิม (ผู้ป่วยจึงไม่ต้องเจ็บตัวเพิ่มขึ้นจากการทำบอลลูน) หลังจากการทำบอลลูนเพื่อขยายหลอดเลือดแล้ว แพทย์ก็จะใส่ขดลวดค้ำยันชนิดเคลือบยาที่ป้องกันการตีบซ้ำ (drug eluting stent; DES) เพื่อค้ำยันไม่ให้หลอดเลือดกลับมาตีบซ้ำ เนื่องจากการทำบอลลูนเพียงอย่างเดียว จะมีโอกาสหลอดเลือดตีบตันซ้ำถึง 50%


หลังจากซ่อมหลอดเลือดเลือดเรียบร้อย แพทย์จะเอาสายสวนออกจากบริเวณข้อมือหรือขาหนีบ โดยถ้าเป็นบริเวณข้อมือ จะมีที่รัดข้อมือใส่ไว้เพื่อห้ามเลือดประมาณ 4 ชม. ซึ่งผู้ป่วยสามารถลุกเดินไปไหนได้ตามปกติ ถ้าเป็นบริเวณขาหนีบ จะมีการกดห้ามเลือดประมาณ 15-30 นาที และมีการวางหมอนทราย แล้วให้ผู้ป่วยนอนราบต่อเป็นเวลาประมาณ 6 ชม. โดยหลังการทำบอลลูนผู้ป่วยจะย้ายไปที่หอผู้ป่วยโรคหัวใจ (cardiac care unit; CCU) และค้างคืนเป็นเวลา 1 วัน ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนก็สามารถกลับบ้านได้ในวันต่อมาครับ


fig4-เจ็บหน้าอกจากโรคหลอดเลือดหัวใจ.jpg

สรุป


โรคหลอดเลือดหัวใจตีบทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้อันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นหากท่านมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย อย่าลืมมาตรวจอาการเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลนะครับ เพื่อให้แน่ใจว่าอาการของเราใช่หรือไม่ใช่โรคหัวใจ ให้ถือคติว่า “มาแล้วไม่ใช่ ดีกว่าใช่แล้วไม่ได้มา อีกเลย”


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. ณัฐพล เก้าเอี้ยน

นพ. ณัฐพล เก้าเอี้ยน

สถาบันหัวใจและหลอดเลือดพระรามเก้า

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital