บทความสุขภาพ

Knowledge

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลว (Heart Failure) เป็นภาวะที่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจถึงความรุนแรง และมักมองข้ามสัญญาณเตือนสำคัญที่อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพหัวใจ ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างเพียงพอ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ หากไม่เฝ้าระวังและรักษาอย่างถูกต้อง จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างรุนแรง


บทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการ สาเหตุ การวินิจฉัย และการรักษาหัวใจล้มเหลว เพื่อช่วยให้สามารถเฝ้าระวังและดูแลสุขภาพหัวใจได้อย่างถูกต้อง


หัวใจล้มเหลวคืออะไร?


หัวใจล้มเหลว (Heart Failure) เป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ ภาวะนี้อาจเกิดจากการที่กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงหรือสูญเสียความสามารถในการทำงานตามปกติ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ทั้งในขณะที่หัวใจบีบตัว (systolic heart failure) หรือหัวใจคลายตัว (diastolic heart failure)


หัวใจล้มเหลวแบ่งออกเป็นกี่ประเภท?


  • หัวใจล้มเหลวด้านซ้าย (Left-sided Heart Failure) เกิดจากการที่หัวใจห้องล่างซ้ายไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เพียงพอ ทำให้เลือดคั่งในปอด ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบาก น้ำท่วมปอด
  • หัวใจล้มเหลวด้านขวา (Right-sided Heart Failure): เกิดจากการที่หัวใจห้องล่างขวาไม่สามารถส่งเลือดไปปอดได้เพียงพอ ส่งผลให้เกิดการคั่งของเลือดในส่วนล่างของร่างกาย เช่น ขาและหน้าท้อง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการขาบวม ท้องบวม
  • หัวใจล้มเหลวทั้งสองด้าน (Biventricular Heart Failure): เกิดจากการที่หัวใจทั้งสองด้านสูบฉีดเลือดผิดปกติ ทำให้มีน้ำคั่งทั่วร่างกาย

หัวใจล้มเหลว มีอาการอย่างไร?


อาการของหัวใจล้มเหลวเกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ ทำให้เกิดความผิดปกติในระบบไหลเวียนโลหิตและการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ โดยอาการที่พบได้บ่อยของหัวใจล้มเหลว ได้แก่


  • เหนื่อยง่ายผิดปกติ
    • รู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้นหรือเหนื่อยมากกว่าปกติขณะทำกิจกรรมที่เคยทำได้ เช่น เดินขึ้นบันได หรือออกกำลังกายเบา ๆ
  • หายใจลำบาก
    • รู้สึกหายใจไม่อิ่ม โดยเฉพาะเมื่อออกแรงหรือเมื่อนอนราบ
    • อาจตื่นกลางดึกด้วยอาการหายใจติดขัด (Paroxysmal Nocturnal Dyspnea)
  • บวมตามร่างกาย
    • ข้อเท้าและขาบวมเนื่องจากการคั่งของของเหลวในร่างกาย
    • หน้าท้องบวมจากการคั่งน้ำในช่องท้อง
  • น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    • ซึ่งเกิดจากการสะสมของของเหลวในร่างกาย โดยไม่มีการเพิ่มของไขมันหรือกล้ามเนื้อ
  • ใจสั่นหรือหัวใจเต้นผิดปกติ
    • รู้สึกหัวใจเต้นเร็วหรือแรงผิดปกติ บางครั้งอาจเต้นไม่สม่ำเสมอ
  • อ่อนเพลียและไม่มีแรง
    • เนื่องจากเลือดและออกซิเจนที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่เพียงพอ
  • เบื่ออาหารและคลื่นไส้
    • การคั่งของของเหลวในช่องท้องอาจส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ

สาเหตุของหัวใจล้มเหลว


หัวใจล้มเหลวเกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ซึ่งสามารถแบ่งเป็นสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้


จากโรคหัวใจโดยตรง


  • โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease): หลอดเลือดหัวใจที่อุดตันทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ส่งผลให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ไม่เต็มที่
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ (Cardiomyopathy): กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงหรือหนาผิดปกติ อาจเกิดจากพันธุกรรม การติดเชื้อ หรือการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ (Valvular Heart Disease): ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่วทำให้เลือดไหลย้อนกลับ ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
  • ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia): หัวใจเต้นเร็วหรือช้าผิดปกติ ซึ่งทำให้การทำงานของหัวใจผิดปกติ

โรคหรือภาวะอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อหัวใจ


  • ความดันโลหิตสูง (Hypertension): ความดันโลหิตสูงทำให้หัวใจต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือด ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้นและการทำงานของหัวใจแย่ลง
  • โรคเบาหวาน (Diabetes): ระดับน้ำตาลในเลือดสูงส่งผลต่อหลอดเลือดและหัวใจ โดยเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหัวใจล้มเหลว
  • โรคปอดเรื้อรัง (Chronic Lung Diseases): เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ทำให้การไหลเวียนเลือดระหว่างหัวใจและปอดผิดปกติ
  • โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease): การทำงานผิดปกติของไตทำให้ของเหลวคั่งในร่างกายเพิ่มภาระให้หัวใจ

พฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ


  • การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ทำให้หลอดเลือดอักเสบ ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบ ลดการไหลเวียนเลือดไปยังหัวใจ ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
  • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป: แอลกอฮอล์ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ (Alcoholic Cardiomyopathy) และส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ
  • การใช้สารเสพติด: สารเสพติดส่งผลของการทำงานของหัวใจ และทำให้เกิดปัญหาการไหลเวียนเลือด
  • ความเครียดเรื้อรัง: ความเครียดมีผลต่อระบบประสาทและฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจ

หัวใจล้มเหลววินิจฉัยอย่างไร?


การวินิจฉัยหัวใจล้มเหลวต้องอาศัยการประเมินอาการจากผู้ป่วย การตรวจร่างกาย และการทดสอบต่าง ๆ เช่น


  • ประเมินอาการและประวัติการเจ็บป่วย: โดยผู้ป่วยมักมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม หรืออาการผิดปกติที่หัวใจ เช่น เจ็บหน้าอก
  • การตรวจร่างกาย: การฟังเสียงหัวใจเพื่อหาสัญญาณผิดปกติ เช่น เสียงน้ำในปอด หรือตรวจหาอาการบวมตามแขนขา
  • การตรวจเลือด: เช่น การตรวจระดับ BNP หรือ N-terminal proBNP ที่สูงสามารถบ่งบอกถึงภาวะหัวใจล้มเหลวได้
  • เอกซเรย์ปอด: เพื่อดูน้ำในปอดหรือขนาดหัวใจที่ขยายใหญ่
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG): เพื่อหาความผิดปกติในการเต้นของหัวใจ
  • การตรวจอัลตราซาวด์หัวใจ (Echocardiogram): เป็นการตรวจที่สำคัญในการประเมินการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจและลิ้นหัวใจ รวมถึงการไหลเวียนของเลือด
  • การตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม: ในบางกรณีแพทย์อาจพิจารณาให้ตรวจ MRI หรือ CT Scan เพื่อภาพที่หัวใจและหลอดเลือดชัดเจนมากขึ้น หรืออาจพิจารณาให้ตรวจสมรรถภาพการออกกำลังกายเพื่อประเมินดูระดับความรุนแรงของโรค

การรักษาหัวใจล้มเหลว


การรักษาหัวใจล้มเหลวจะเน้นการควบคุมอาการ ลดภาระการทำงานของหัวใจ และรักษาสาเหตุของโรค วิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและสภาพของผู้ป่วย ซึ่งแนวทางการรักษามีดังนี้


  • การใช้ยา เช่น
    • ยาขับปัสสาวะ (Diuretics): เพื่อลดภาวะน้ำคั่งในร่างกายและลดอาการบวม
    • ยาควบคุมความดันโลหิต (ACE inhibitors, ARB, Beta-blockers): ช่วยลดความดันโลหิตและลดภาระการทำงานของหัวใจ
    • ยารักษาการเต้นผิดจังหวะ (Anti-arrhythmic drugs): ใช้เพื่อควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ
    • ยาลดภาระการทำงานของหัวใจ (Aldosterone antagonists): ช่วยลดการกักเก็บน้ำและเกลือในร่างกาย

อย่างไรก็ตามการใช้ยาในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ดังนั้นผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวไม่ควรปรับยาเอง


  • การปรับพฤติกรรมและการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต:
    • ควบคุมอาหาร: ลดการบริโภคเกลือและไขมันสูง ซึ่งช่วยลดภาระของหัวใจ
    • การออกกำลังกาย: ออกกำลังกายเบา ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อเพิ่มสมรรถภาพร่างกาย
    • การเลิกสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์: การหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจล้มเหลวที่รุนแรงขึ้น
  • การใช้เครื่องช่วยการทำงานของหัวใจ เช่น
    • เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker): ใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นช้า
    • เครื่องกระตุ้นหัวใจ (CRT): ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวประสานกันดีขึ้น
    • เครื่องช่วยการทำงานของหัวใจ (ICD): สำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง หรือหัวใจหยุดเต้น
    • หัวใจเทียม (VADs): ใช้ในกรณีที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เพียงพอ
  • การผ่าตัดและปลูกถ่ายหัวใจ
    • การผ่าตัดลิ้นหัวใจ: ใช้ในกรณีที่มีภาวะลิ้นหัวใจรั่วหรือลิ้นหัวใจตีบ
    • การผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ (CABG): ใช้ในผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดหัวใจตีบ
    • การปลูกถ่ายหัวใจ (Heart Transplantation): ใช้ในกรณีที่หัวใจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติและไม่ได้ผลจากการรักษาอื่น ๆ

การรักษาหัวใจล้มเหลวจำเป็นต้องมีการประเมินและการจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อให้เหมาะสมกับความรุนแรงของโรคและสภาพของผู้ป่วย เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ


การป้องกันหัวใจล้มเหลว


การป้องกันหัวใจล้มเหลวสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคและส่งเสริมสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง ซึ่งสามารถทำได้โดย


  • ดูแลสุขภาพหัวใจ
    • ควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    • รักษาระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
    • เลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากสารเคมีในบุหรี่ส่งผลเสียต่อหัวใจและหลอดเลือด
    • ลดการบริโภคแอลกอฮอล์หรือดื่มในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์
  • ปรับปรุงการรับประทานอาหาร
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียม (เกลือ) สูง
    • เพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนไขมันต่ำ
  • การออกกำลังกาย
    • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็วหรือว่ายน้ำ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
    • ตรวจหัวใจและตรวจสุขภาพทั่วไปตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
  • จัดการความเครียด
    • ฝึกการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิหรือโยคะ เพื่อควบคุมความดันโลหิตและส่งเสริมสุขภาพหัวใจ

สรุป


หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และเบาหวาน การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้


การป้องกันหัวใจล้มเหลวทำได้โดยปรับพฤติกรรมสุขภาพ เช่น ควบคุมอาหาร ลดเกลือ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และเลิกสูบบุหรี่ หากคุณมีความเสี่ยงหรือสงสัยว่ามีอาการที่อาจเกี่ยวข้องกับภาวะนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสม และเป็นการส่งเสริมสุขภาพหัวใจและคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (2)

ดูทั้งหมด

แพ็กเกจตรวจสุขภาพหัวใจพร้อมตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (9 Healthy Heart: ECHO)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพหัวใจพร้อมตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (9 Healthy Heart: ECHO)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพหัวใจพร้อมตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (9 Healthy Heart: ECHO)

฿ 7,900

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

฿ 4,500

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

ทำความรู้จักโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาการเป็นแบบไหน เกิดจากอะไร รักษาได้ไหม

กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน เสี่ยงหัวใจวายมีลักษณะอาการแบบไหน เกิดจากอะไรได้บ้าง และสามารถรักษาโรคนี้ได้อย่างไร หาคำตอบได้ในบทความนี้

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital