Skip to content
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Praram 9 Star Doctors
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
Menu
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Praram 9 Star Doctors
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา

เบาหวาน รู้ไว้เบาใจกว่า

พญ.ณัฐกานต์ มยุระสาคร

บทความ

โรงพยาบาลพระรามเก้า

  • วันที่โพสต์ 6 กันยายน 2023
เบาหวาน รู้ไว้เบาใจกว่า

“เบาหวาน” โรคที่เราทุกคนเคยได้ยินชื่อและคุ้นเคยกับชื่อโรคนี้ดี จากข้อมูลของสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พบว่า ในปี 2564 ประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานมากกว่า 3.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 1.5 แสนคน คน จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เราทุกคนก็อาจจะมีญาติหรือมีคนรู้จักที่กำลังเป็นโรคเบาหวาน

ข้อมูลสถิติที่น่าเป็นกังวล คือเมื่อเปรียบเทียบระหว่างปี พ.ศ. 2560 ถึงปี 2564  พบว่า คนไทยป่วยเป็นเบาหวานมากขึ้น เฉลี่ยปีละ 300,000 คน และพบการป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นในทุกช่วงอายุ โดยจุดที่น่ากังวลคือ การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยเบาหวานในวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่งจะส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตและเพิ่มโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานตั้งแต่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว

สนใจนัดหมายแพทย์

สารบัญ

  • โรคเบาหวานคืออะไร?
  • สาเหตุของโรคเบาหวาน
  • โรคเบาหวานมีกี่ชนิด?
  • ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน
  • อาการของโรคเบาหวาน
  • การวินิจฉัยโรคเบาหวาน
  • การรักษาโรคเบาหวาน
  • ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
  • การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
  • อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
  • การป้องกันโรคเบาหวาน
  • สรุป

โรคเบาหวานคืออะไร?

เบาหวาน คือ โรคที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติอย่างต่อเนื่องเรื้อรัง ชื่อ “เบาหวาน” มาจากคำว่า “เบา” เป็นคำเก่าที่หมายถึง ปัสสาวะ รวมกับคำว่า “หวาน” เนื่องมาจากโรคนี้จะทำให้มีน้ำตาลรั่วออกมาในปัสสาวะ

> กลับสู่สารบัญ

สาเหตุของโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นโรคที่ร่างกายมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงอยู่เป็นเวลานานและต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนที่หลั่งฮอร์โมน “อินซูลิน” ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หรือมีภาวะที่ร่างกายดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลินที่ตับ กล้ามเนื้อ และเซลล์ไขมัน ทำให้ฮอร์โมนอินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ ทำให้ร่างกายมีปัญหาการเผาผลาญน้ำตาล

ฮอร์โมนอินซูลินเป็นฮอร์โมนที่สำคัญ ทำหน้าที่กระตุ้นให้มีการนำน้ำตาลในกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์เนื้อเยื่อของร่างกาย เมื่อมีฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ หรือมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ก็จะทำให้ร่างกายไม่สามารถเก็บน้ำตาลออกจากเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อได้ ทำให้ระดับน้ำตาลค้างสูงอยู่ในเลือด

> กลับสู่สารบัญ

โรคเบาหวานมีกี่ชนิด?

โรคเบาหวานแบ่งตามสาเหตุการเกิดโรคได้เป็น  4 ชนิด คือ

  1. เบาหวานชนิดที่ 1: เกิดจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลิน เนื่องจากโรคแพ้ภูมิตนเอง ทำลายเบตาเซลล์ของตับอ่อนที่ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน
  2. เบาหวานชนิดที่ 2: เป็นโรคเบาหวานที่ผู้ป่วยมีภาวะฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ รวมกับภาวะที่ร่างกายดื้อต่อฤทธิ์ของอินซูลิน ทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้น้อยลง ระดับน้ำตาลในเลือดจึงสูงขึ้น โดยผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานชนิดนี้มีมากกว่า 90% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด
  3. เบาหวานจากสาเหตุอื่น ๆ: เป็นโรคเบาหวานที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น เบาหวานชนิด MODY เบาหวานจากตับอ่อนอักเสบ เบาหวานที่เกิดจากยา เช่น สเตียรอยด์  เป็นต้น
  4. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ เป็นภาวะเบาหวานที่วินิจฉัยในไตรมาสที่สองและไตรมาสที่สามของการตั้งครรภ์

> กลับสู่สารบัญ

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน

เบาหวานทั้ง 4 ชนิดที่กล่าวไปข้างต้น มีกลไกการเกิดโรคที่แตกต่างกัน จึงทำให้มีปัจจัยเสี่ยงที่แตกต่างกันตามไปด้วย โดยในที่นี้จะกล่าวถึงปัจจัยเสี่ยงของเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ซึ่งพบได้บ่อย

ปัจจัยเสี่ยงของเบาหวานชนิดที่ 1

ปัจจัยเสี่ยงของเบาหวานชนิดที่ 1 ได้แก่    

  • พันธุกรรม
  • ความผิดปกติของยีนบางตัว
  • ประวัติภาวะแพ้ภูมิตนเอง
  • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด

ปัจจัยเสี่ยงของเบาหวานชนิดที่ 2

ปัจจัยเสี่ยงของเบาหวานชนิดที่ 2 ได้แก่

  • ความอ้วน ไขมันพอกตับ
  • อายุที่มากขึ้นมาก
  • ประวัติเบาหวานในครอบครัว
  • ความดันเลือดสูง
  • มีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ดี เช่น ขาดการออกกำลังกาย ดื่มแอลกอฮอล์ ขาดการออกแรงขยับร่างกายในชีวิตประจำวัน หรือต้องทำงานมีลักษณะงานนั่งโต๊ะหรืองานที่ต้องนั่งหรือมีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย

> กลับสู่สารบัญ

อาการของโรคเบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวานในระยะแรกอาจไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นชัดเจน อย่างไรก็ตามผู้ป่วยอาจมีอาการต่าง ๆ ดังนี้

  • ปัสสาวะบ่อย ต้องลุกมาปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยครั้ง
  • กระหายน้ำบ่อย แม้ว่าจะดื่มน้ำมากแล้วแต่ก็ยังรู้สึกหิวน้ำอยู่
  • หิวบ่อย เมื่อหิวแล้วจะรู้สึกหิวจัด
  • อ่อนเพลีย
  • น้ำหนักลดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
  • อาจวูบหมดสติจากภาวะน้ำตาลต่ำ หากไม่ได้รับประทานอาหาร
  • สายตาแย่ลง ตาพร่ามัว
  • ชาปลายมือปลายเท้า
  • เมื่อเป็นแผล แผลมักจะหายช้า
สนใจนัดหมายแพทย์

> กลับสู่สารบัญ

การวินิจฉัยโรคเบาหวาน

การวินิจฉัยโรคเบาหวานจะอาศัยผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นหลัก ประกอบกับการซักประวัติอาการของผู้ป่วย ซึ่งเกณฑ์การวินิจฉัยขึ้นกับวิธีการตรวจน้ำตาลในเลือดซึ่งมีอยู่หลายวิธี โดยการวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะมีเกณฑ์ดังนี้

  1. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (fasting plasma glocose; FPG)
    – ค่าน้ำตาลปกติจะน้อยกว่า 100 มก./ดล.
    – ค่าน้ำตาลระหว่าง 100-125 มก./ดล. ถือเป็นภาวะที่มีความเสี่ยง หรือภาวะเบาหวานแฝง
    – ค่าน้ำตาลเกิน 126 มก./ดล. แสดงว่าเป็นโรคเบาหวาน
  1. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากทดสอบ oral glucose tolerance test; OGTT ทดสอบโดยให้ผู้ป่วยงดอาหารและเครื่องดื่มที่ให้พลังงานอย่างน้อย 8 ชั่วโมง แล้วให้ผู้ป่วยดื่มน้ำที่มีน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม แล้วตรวจค่าน้ำตาลหลังดื่มไปแล้ว 2 ชั่วโมง
    –
    ค่าน้ำตาลปกติจะต่ำกว่า 140 มก./ดล.
    – ค่าน้ำตาลระหว่าง 140-199 มก./ดล. จะอยู่ในเกณฑ์เสี่ยง หรือเรียกว่าเป็นเบาหวานแฝง
    – ค่าน้ำตาลเกิน 200 มก./ดล. ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน
  1. ระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) เป็นค่าแสดงระดับน้ำตาลที่สะสมในเม็ดเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยเป็นการวัดเปอร์เซ็นต์ของน้ำตาลที่จับกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง
    –
    ค่าน้ำตาลสะสมปกติจะน้อยกว่า 5.7%
    – ค่าน้ำตาลสะสมที่อยู่ระหว่าง 5.7-6.4% เป็นเบาหวานแฝงหรือมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานในโดยอนาคต ร้อยละ 10-25 ต่อปี
    – ถ้าค่าน้ำตาลสะสมมากกว่า 6.5% ขึ้นไปถือว่าเป็นโรคเบาหวาน
  1. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ณ เวลาใดก็ได้ (random plasma glucose) โดยไม่ต้องมีการงดน้ำและอาหารก่อนตรวจ เพื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือด และเพื่อนำค่าที่ได้ไปพิจารณาร่วมกับอาการของผู้ป่วย เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย น้ำหนักลด โดยค่าน้ำตาลในเลือดที่มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 200 มก./ดล. บ่งชี้ว่าเป็นโรคเบาหวาน

ซึ่งการวินิจฉัยจะต้องทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อผลการวินิจฉัยที่แม่นยำและถูกต้อง

> กลับสู่สารบัญ

การรักษาโรคเบาหวาน

เป้าหมายหลักของการรักษาเบาหวาน คือ การป้องกันภาวะแทรกซ้อน และฟื้นฟูกลไกการใช้น้ำตาลของร่างกาย

ซึ่งการรักษาประกอบด้วยการปรับพฤติกรรม (lifestyle modification) ได้แก่ การรับประทานอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ สามารถจัดการความเครียดได้

ยาเป็นตัวช่วยให้น้ำตาลลดลงสู่เป้าหมาย และช่วยลดโรคแทรกซ้อนได้ โดยยารักษาเบาหวานมีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีการออกฤทธิ์ที่ต่างกัน เช่น เพิ่มการหลั่งอินซูลิน เพิ่มการตอบสนองต่ออินซูลินโดยไปลดภาวะดื้ออินซูลิน เป็นต้น ปัจจุบันมียากลุ่มใหม่ๆ ช่วยลดน้ำหนักตัว และภาวะแทรกซ้อนของเบาหวาน มีทั้งชนิดยากิน และยาฉีด แต่หากการการดำเนินของโรคแย่ลงมากจนร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ ก็จำเป็นที่จะต้องใช้ยาฉีดอินซูลินในการรักษา

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่มาช่วยผู้ป่วยเบาหวาน เช่น insulin pump เครื่องปล่อยอินซูลินเข้าสู่ร่างกาย และ CGM continuous glucose monitoring เครื่องตรวจน้ำตาลแบบต่อเนื่อง เพื่อติดตามระดับน้ำตาลอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาแบบเรียลไทม์ ทำให้ตัวผู้ป่วยสามารถทราบระดับน้ำตาลของตนเอง และทำให้แพทย์วางแผนการรักษาได้ดีขึ้นด้ว

ซึ่งการรักษาเบาหวานแพทย์จะพิจารณาการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด

> กลับสู่สารบัญ

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน

การปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน จะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย อาจทำให้พิการ หรือรุนแรงจนถึงเสียชีวิตได้ ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ได้แก่

  • โรคไตวายเรื้อรัง เบาหวานเป็นสาเหตุหลักของผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่จำเป็นต้องบำบัดทดแทนไต หรือฟอกไต
  • ภาวะเบาหวานขึ้นตา (diabetic retinopathy) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็น
  • ภาวะปลายประสาทเสื่อม ทำให้รู้สึกชาที่ปลายมือปลายเท้า ไม่รู้สึกเจ็บที่เท้า หรือที่เรียกว่า เบาหวานลงเท้า อาการชาจะทำให้เกิดแผลได้โดยไม่รู้ตัว และแผลมักจะหายช้าและติดเชื้อได้ง่ายและมักลุกลามรุนแรง จนอาจต้องสญเสียขาหรือเท้า หรืออาการปวดแสบปวดร้อนเท้า ทำให้คุณภาพชีวิตลดลงมาก
  • การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันลดลง ทำให้เสี่ยงเกิดการติดเชื้อที่รุนแรงมากกว่าคนปกติ
  • ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ เช่น  ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำซึ่งจะทำให้หมดสติ หรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับเลือดเป็นกรด (diabetic ketoacidosis; DKA) หรือภาวะน้ำตาลสูงร่วมกับความเข้มข้นเลือดสูง ( Hyperosmolar coma ) ซึ่งอาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้
  • โรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะถ้ามีโรคร่วม ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ มีประวัติในครอบครัวโรคหลอดเลือดตีบ
  • โรคหลอดเลือดสมองหรืออัมพฤกษ์อัมพาต
  • โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน  ซึ่งเป็นสาเหตุที่แผลที่เท้าหายช้า และสูญเสียขาหรือเท้าได้

> กลับสู่สารบัญ

การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

  • รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง
  • พบแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือด และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ  เช่น ตรวจจอประสาทตา ตรวจปัสสาวะดูโปรตีนรั่ว (microalbumin ) ค่าเลือดการทำงานไต ตรวจการรับความรู้สึกเท้าด้วย monofilament และฉีดวัคซีนประจำปี เพื่อลดโอกาสเกิดการติดเชื้อที่รุนแรง
  • หากมีภาวะอ้วน ควรลดน้ำหนักตัวลงร้อยละ 5-10 ช่วยให้ระดับน้ำตาล และปัจจัยเสี่ยงต่างๆลดลง
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอโดย ออกกำลังกายแบบแอโรบิกความแรงปานกลาง 150 นาทีค่อสัปดาห์ โดยแบ่ง 3-5 วัน เช่น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ  ปั่นจักรยาน โยคะ ไทเก๊ก  เป็นต้น และออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
  • ลดการนั่งนิ่ง ๆ นาน ๆ เช่น ลุกยืนขยับตัวบ้าง หมั่นเปลี่ยนอิริยาบถ อาจจะลุกเปลี่ยนอริยาบถทุก ๆ 30 นาที
  • รับประทานอาหารเหมาะสมทั้งชนิดและปริมาณ ไม่จำกัดแค่หมวดคาร์โบไฮเดรต หมายรวม โปรตีน ไขมัน ผัก ผลไม้ ที่เหมาะสม  อาหารที่มีไฟเบอร์สูง  
  • ลดการบริโภคน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เช่น เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ข้าวขาว ข้าวเหนียว ขนมหวาน ไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เกลือ ผงชูรส อาหารแปรรูป อาหารหมักดอง เป็นต้น
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • งดสูบบุหรี่ รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า
  • ดูแลทำความสะอาดเท้า ทาโลชั่นให้ผิวหนังที่เท้าชุ่มชื้น ใส่ถุงเท้าและรองเท้าป้องกันอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแผลได้ง่าย ตัดเล็บอย่างระมัดระวัง และหากเป็นเล็บขบควรรับการรักษาที่โรงพยาบาล
  • รู้จักภาวะฉุกเฉินของโรคเบาหวาน อาการและวิธีแก้ไขเบื้องต้น เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และการดูแลตนเองยามเจ็บป่วยเฉียบพลัน (sick day rule) การปฏิบัติตัวในเวลาพิเศษ เช่น เดินทาง หรือถือศีลอด
  • หมั่นสังเกตและดูแลระดับน้ำตาลของตนเอง ซึ่งผู้ป่วยอาจต้องมีการวัดระดับน้ำตาลที่ปลายนิ้วเพื่อติดตามระดับน้ำตาลของตนเอง หรือบางคนอาจจำเป็นต้องใช้เครื่องตรวจน้ำตาลแบบต่อเนื่อง เพื่อติดตามระดับน้ำตาลอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาตามคำแนะนำของแพทย์
  • เข้าใจยาที่ใช้รักษา ผลข้างเคียง  ปฏิกริยาระหว่างยา (drug interaction) ไม่ควรปรับยาด้วยตนเอง
  • นอนหลับพักผ่อน 6-8 ชั่วโมงต่อวัน รู้วิธีผ่อนคลาย จัดการความเครียด หากสังเกตตนเองวิตกกังวล หรือหดหู่ผิดปกติควรปรึกษาคนใกล้ชิดหรือแพทย์

> กลับสู่สารบัญ

อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานจำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงต้องเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม โดยเป้าหมายของการควบคุมอาหารในผู้ป่วยเบาหวานคือ

  1. รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติหรือใกล้เคียงปกติ
  2. รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม ลดภาวะอ้วน
  3. รักษาโรคร่วม เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง ไขมันพอกตับ ตับอักเสบ โรคเก๊าท์ โรคไตวายเรื้อรัง ภาวะโปรตีนรั่วในปัสสาวะ เป็นต้น
  4. รับประทานอาหารให้มีคุณค่าสารอาหารครบถ้วน

โดยมีหลักการในการเลือกรับประทานอาหารคือ

  • เลือกรับประทานอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีเส้นใยสูง เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท
  • รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง ได้แก่ ผัก และผลไม้ โดยเลือดชนิดผลไม้ที่ไม่หวานจัด และรับประทานในปริมาณพอเหมาะ
  • ลดอาหารน้ำตาลเชิงเดี่ยว เช่น เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล น้ำผลไม้ ขนมหวาน เป็นต้น
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันดี เช่น ปลาทะเล ถั่วเปลือกแข็ง อาโวคาโด น้ำมันมะกอก  งดไขมันทรานส์ เช่น ครีมเทียม มายองเนส เบเกอรี่ต่างๆ อาหารทอดกรอบ ลดไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันสูง น้ำมันปาล์ม และกะทิ  ควบคุมปริมาณอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น หอย ปลาหมึก กุ้ง ไข่แดง เป็นต้น
  • เลือกรับประทานอาหารที่รสไม่จัด ไม่ปรุงเค็ม ลดการบริโภคผงชูรส อาหารแปรรูป อาหารที่ใส่สารกันบูด

> กลับสู่สารบัญ

การป้องกันโรคเบาหวาน

  • รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง
  • รับประทานอาหารที่มีไขมันที่ดี เช่น ถั่วลิสง อัลมอนต์ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เช่น เค็มจัด หวานจัด
  • ออกกำลังสม่ำเสมอ
  • ควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้มีภาวะอ้วน
  • หลีกเลี่ยงความเครียด
  • นอนหลับ พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ไม่สูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮล์
  • ตรวจสุขภาพประจำปี
  • หากพบว่าเริ่มมีระดับน้ำตาลสูงแต่ยังไม่เป็นโรคเบาหวาน ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน

> กลับสู่สารบัญ

สรุป

เบาหวานเป็นโรคที่พบได้บ่อยซึ่งเกิดจากความผิดปกติของการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน หรือมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมออาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน หรือเกิดโรคอื่น ๆ ตามมาได้ ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เป็นโรคเบาหวานน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่หากป่วยเป็นโรคเบาหวานแล้วก็ต้องปรับพฤติกรรม รวมถึงรับประทานอาหารให้เหมาะสม เพื่อรักษาระดับน้ำตาลและโรคร่วมให้ปกติ และเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดตามมาได้

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

สนใจนัดหมายแพทย์

> กลับสู่สารบัญ

บทความล่าสุด

ทำไมกินหมูแล้วหูดับ?

อ่านเพิ่มเติม
หัวใจล้มเหลว

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

อ่านเพิ่มเติม
ลิ้นหัวใจเทียม

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

อ่านเพิ่มเติม
ดูบทความทั้งหมด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V

ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

  • Praram 9 Hospital
  • @praram9hospital

แพทย์ผู้เขียนบทความ

พญ.ณัฐกานต์ มยุระสาคร

พญ.ณัฐกานต์ มยุระสาคร

ศูนย์เบาหวานและเมตาบอลิก

นัดหมาย

ประวัติเพิ่มเติม

 

ศูนย์แพทย์

ศูนย์เบาหวานและเมตาบอลิค_1-1

ศูนย์เบาหวานและเมตาบอลิก

เยี่ยมชม

ดูทั้งหมด

บทความอื่นๆ

ทำไมกินหมูแล้วหูดับ?

โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อสู่คนได้ 2 ทาง

อ่านเพิ่มเติม
หัวใจล้มเหลว

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

อ่านเพิ่มเติม
ลิ้นหัวใจเทียม

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

อ่านเพิ่มเติม
อ่านบทความทั้งหมด
Facebook-f Youtube Instagram Line
  • 1270
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • นัดหมาย
  • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ข่าว และกิจกรรม รพ.
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • นักลงทุนสัมพันธ์
  • การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
  • ร่วมงานกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • ข้อกำหนดและเงื่อนไข

Copyright © 2025 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Praram 9 Star Doctors
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา