บทความสุขภาพ
Knowledge
พญ. ณัฐกานต์ มยุระสาคร
จากวิถีชีวิตของคนในปัจจุบัน พฤติกรรมการบริโภคที่มีอาหารให้เลือกมากมายหลากหลาย แต่อาจไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น อาหารที่มีไขมันสูง อาหารแปรรูป อาหารที่มีโซเดียมสูง เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล และขนมเบเกอรี่ต่าง ๆ เป็นต้น ร่วมกับกิจวัตรประจำวันหรืองานที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ขาดการออกกำลังกาย ทำให้ผู้คนจำนวนมากมีภาวะน้ำหนักตัวเกิน จนเป็นโรคอ้วน โดยเฉพาะ “อ้วนลงพุง” จนนำไปสู่ “โรคเมตาบอลิก” ซึ่งเป็นภาวะที่มีความผิดปกติของระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย มีภาวะดื้ออินซูลิน เกิดไขมันพอกตับ ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งหากปล่อยไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา โรคเมตาบอลิกพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ และจะพบมากเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
โรคเมตาบอลิก (metabolic syndrome) หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “ภาวะดื้ออินซูลิน (insulin resistance) คือกลุ่มความผิดปกติที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ กลุ่มความผิดปกติดังกล่าวได้แก่
ภาวะต่าง ๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่สอง โรคความดันโลหิตสูง และกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular diseases) เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์อัมพาต โรคของหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ โรคของหลอดเลือดแดงใหญ่ เป็นต้น
ภาวะดื้ออินซูลิน เป็นภาวะที่ฮอร์โมนอินซูลินไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ตามปกติ ฮอร์โมนอินซูลินเป็นฮอร์โมนสำคัญ ควบคุมการใช้พลังงานของร่างกาย โดยกระบวนการนำน้ำตาลในเลือดเข้าไปในเซลล์ต่าง ๆ โดยเฉพาะตับ กล้ามเนื้อลาย และเซลล์ไขมัน แล้วนำไปผลิตพลังงานเพื่อให้เซลล์ต่าง ๆ ทำงานได้อย่างปกติ และสะสมพลังงานไว้ในรูปของไกลโคเจนที่ตับ และเพิ่มการสังเคราะห์โปรตีนที่กล้ามเนื้อ ยับยั้งการสลายไตรกลีเซอไรด์ออกจากเซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง ดังนั้นผู้ที่มีภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน การเก็บพลังงานจะผิดตำแหน่ง ร่างกายไม่สามารถใช้พลังงานจากน้ำตาลได้ จึงมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง มีไขมันในเลือดผิดปกติ ไขมันพอกตับ เซลล์ไขมันปล่อยสาร adipokines ทำให้เซลล์เยื่อบุหลอดเลือดทำงานผิดปกติ ความดันโลหิตสูง การอักเสบของผนังหลอดเลือด มีไขมันสะสมที่ผนังหลอดเลือดชั้นใน นำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) เกิดหลอดเลือดแดงตีบตัน และอวัยวะต่าง ๆ ขาดเลือดในที่สุด
ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสการเกิดโรคเมตาบอลิก ได้แก่
โรคเมตาบอลิกไม่มีอาการแสดงที่เฉพาะเจาะจง แต่มีลักษณะหรืออาการที่สังเกตเห็นได้ เช่น
ทางการแพทย์ยังถกเถียงกันว่าการควรจัดภาวะนี้เป็น “โรค” หรือเป็นกลุ่มอาการที่มีปัจจัยเสี่ยง และวิธีรักษาร่วมกัน เมื่อพบความผิดปกติอย่างใดอย่างนึง ควรตรวจหากลุ่มโรคอื่น แม้ไม่ครบเกณฑ์ 3ใน 5 ข้อนี้ ก็ควรรักษาทุกๆปัจจัยเสี่ยง
เกณฑ์ความผิดปกติอย่างน้อย 3 ข้อ ใน 5 ข้อ ได้แก่
ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเมตาบอลิกต้องลดน้ำหนักส่วนเกิน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคอื่น ๆ โดยมักพิจารณาการรักษาดังนี้
ควบคุมน้ำหนักหรือลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยให้ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ให้อยู่ระหว่าง 18.5–23 กิโลกรัมต่อตารางเมตร หรือลดน้ำหนักให้ได้อย่างน้อย 5 – 10% ของน้ำหนักตัว จะช่วยลดภาวะดื้อต่ออินซูลินและความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ได้
โรคเมตาบอลิกเป็นเสมือนภัยเงียบใกล้ตัว เนื่องจากไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจน แต่เมื่อเป็นแล้วจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่โรคต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์อัมพาต โรคความดันสูง และโรคเบาหวาน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มโรคเรื้อรัง
เพื่อเป็นการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ห่างไกลจากโรคร้ายต่าง ๆ ควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ซึ่งจะส่งผลให้มีสุขภาพจิตดี ให้คุณใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีความสุข
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)
เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ
แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (0)
ดูทั้งหมด
บทความที่เกี่ยวข้อง (10)
ดูทั้งหมด
Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital