บทความสุขภาพ

Knowledge

การตรวจสมรรถภาพปอดหรือการเป่าปอดบอกอะไรเราบ้าง? ใครบ้างที่ควรตรวจ?

พญ. มัณฑนา สันดุษฎี

ปัจจุบันปัญหามลภาวะต่าง ๆ มีมากและรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกปีและแต่ละปีก็มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วยังมีมลภาวะทางถนนที่ทำอันตรายต่อปอด และสำหรับผู้ที่ต้องทำงานในที่ที่มีฝุ่นเยอะ เช่น ในเหมืองหิน โรงไม้ โรงโม่ปูน ยิ่งทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคปอดมากขึ้น นอกจากนี้ผู้ที่สูบบุรี่ก็เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีโรคปอดได้เช่นก้น


ปอดเป็นอวัยวะที่สำคัญที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซ นำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย ปอดเป็นอวัยวะที่มีการทำงานสำรองสูงทำให้หากมีความผิดปกติเพียงเล็กน้อย จะไม่มีอาการผิดปกติแสดงให้เห็น อาการผิดปกติมักจะเกิดในระยะที่โรครุนแรงแล้ว


การตรวจสมรรถภาพปอดเป็นการตรวจที่ไม่ต้องมีการเจาะเลือด หรือต้องแทงเข็มหรือใส่อุปกรณ์ใด ๆ เข้าไปในตัวผู้ป่วย ทำให้การตรวจนี้เป็นการตรวจที่ปลอดภัย มีภาวะแทรกซ้อนไม่มาก และให้ผลการตรวจที่ค่อนข้างแม่นยำ


การตรวจสมรรถภาพปอดคืออะไร?


การตรวจสมรรถภาพปอด (pulmonary function test; PFT หรือ lung function test) เป็นการตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอด หรือบางคนเรียกว่า การเป่าปอด เป็นการตรวจที่บอกได้ถึงการทำงานโดยรวมของปอดและหลอดลม ปริมาตรปอด ความจุปอด อัตราการไหลของอากาศ เพื่อนำค่าที่ได้มาช่วยวินิจฉัย ประเมินความรุนแรง ของผู้ที่สงสัยว่ามีอาการของโรคปอดและหลอดลม เช่น หอบหืด ถุงลมโป่งพอง รวมทั้งใช้ติดตามผลการรักษาในผู้ป่วยโรคปอด


ตรวจสมรรถภาพปอดเพื่ออะไร? บอกอะไรได้บ้าง?


การตรวจสมรรถภาพปอดเป็นการตรวจที่สำคัญและมีประโยชน์มากในการบอกถึงสมรรถภาพการทำงานของปอดและหลอดลม ผลการตรวจทำให้ทราบถึงปริมาตรปอด ความจุปอด อัตราการไหลของอากาศ การอุดกั้นหลอดลม เป็นต้น


สามารถใช้ได้ทั้งในแง่การคัดกรอง และการวินิจฉัย เพราะจะบอกได้ถึงสมรรถภาพปอดว่าปกติหรือไม่ หรือมีความเสื่อมของการทำงานของปอดหรือไม่ เนื่องจากปอดเป็นอวัยวะที่มีความสามารถสำรอง (functional reserve) สูง ทำให้ในระยะแรกของโรคที่ปอดยังมีความผิดปกติไม่มากจะไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ กว่าจะมีอาการเหนื่อย ความผิดปกติก็เกิดขึ้นมากแล้ว ซึ่งการตรวจสมรรถภาพปอดเป็นการตรวจที่สามารถพบความผิดปกติของปอดได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ ของโรคบางชนิด เช่น หอบหืด ถุงลมโป่งพอง


นอกจากจะบอกถึงสมรรถภาพของปอดแล้ว การตรวจสมรรถภาพปอดยังมีความสำคัญ โดยเฉพาะในการวินิจฉัยโรคของระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคปอดจากการประกอบอาชีพต่าง ๆ และยังสามารถใช้ในการประเมินความรุนแรงของโรค การติดตามการรักษาและยังสามารถใช้ประเมินความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดในผู่ป่วยที่ต้องดมยาสลบได้อีกด้วย


ใครบ้างควรตรวจสมรรถภาพปอด?


  • ผู้ที่สงสัยว่ามีอาการจากความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ เช่น อาการเหนื่อย ไอเรื้อรัง หายใจแล้วมีเสียงวี้ดบางเวลา หายใจลำบาก
  • ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ได้รับควันบุหรี่มือสองจากคนที่ใกล้ชิดกัน
  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลภาวะสูง เช่น ใกล้ถนนที่มีมลพิษจากควันรถยนต์ หรือใกล้โรงงานที่ปล่อยมลพิษ
  • ผู้ที่อาศัยในบริเวณที่มีฝุ่น PM 2.5 สูง
  • ผู้ที่ทำงานในที่ที่มีมลภาวะสูง เช่น ในโรงงานที่มีฝุ่น โรงเลื่อย โรงไม้ เหมืองแร่ โรงโม่หิน หรือโรงงานที่มีไอสารเคมี
  • ผู้ที่มีอาการไอเรื้อรังมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป แล้ว Chest X-Ray ปกติ
  • ผู้ที่มีโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด ถุงลมโป่งพอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
  • ผู้ที่ยังไม่มีอาการผิดปกติที่ต้องการตรวจคัดกรอง
  • ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 ที่ต้องการทดสอบสมรรถภาพปอด

ตรวจสมรรถภาพปอด ตรวจอย่างไร?


การตรวจสมรรถภาพปอดโดยทั่วไปจะใช้วิธีการที่เรียกว่า สไปโรเมตรีย์ (spirometry) เป็นการตรวจที่ทำได้ง่าย ใช้เครื่องมือไม่ซับซ้อน และให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ


การตรวจจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะ และอาศัยความร่วมมือจากผู้ป่วย เพราะขณะตรวจจะต้องใช้การหายใจทางปาก ซึ่งจะแตกต่างกับการหายใจตามปกติของเรา และเจ้าหน้าที่ที่ทำการตรวจต้องมีประสบการณ์และความชำนาญในการตรวจ เพราะต้องสามารถให้คำแนะนำและการจัดท่าทางของผู้ป่วยได้ โดยขั้นตอนการตรวจคร่าว ๆ เป็นดังนี้


  • ผู้ป่วยจะต้องนั่งตัวตรงขณะทำการทดสอบ
  • ผู้ป่วยจะต้องใช้มือประคองเครื่องสไปโรมิเตอร์ (spirometer) ที่ใช้ในการตรวจ
  • ผู้ป่วยจะต้องอมปลายกรวยกระดาษโดยเม้มริมฝีปากให้สนิท เพื่อไม่ให้ลมรั่วออกทางปาก
  • หนีบจมูกด้วยอุปกรณ์ที่จัดไว้เพื่อไม่ให้ลมรั่วออกทางจมูก
  • หายใจตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะแนะนำให้หายใจเข้าหรือออก เร็ว ๆ แรง ๆ เพื่อบันทึกค่าวัดต่าง ๆ
  • เมื่อเจ้าหน้าที่ให้สัญญาณหยุดการทดสอบ ผู้ป่วยสามารถเอาที่หนีบจมูกออก และนำท่อที่ทดสอบออกจากปากได้
  • เจ้าหน้าที่อาจจะให้ผู้ป่วยนั่งพัก เพื่อให้หายเหนื่อยก่อนเสร็จการทดสอบ

ใช้เวลาในการตรวจสมรรถภาพปอดนานไหม?


โดยทั่วไปใช้เวลาตรวจประมาณ 15-30 นาที แต่ในกรณีที่ต้องมีการทดสอบซ้ำเพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำขึ้นอาจใช้เวลานานกว่า 30 นาที ทั้งนี้แพทย์และเจ้าหน้าที่จะประเมินการทดสอบเป็นราย ๆ ไป เพื่อให้ได้ผลการตรวจที่ถูกต้องและแม่นยำที่สุด


การเตรียมตัวก่อนตรวจสมรรถภาพปอด


  • สวมเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ไม่อึดอัด หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่รัดช่วงอก คอ และท้อง เพื่อความสะดวกในการตรวจ
  • งดออกกำลังกายก่อนตรวจอย่างน้อย 30 นาที
  • งดรับประทานอาหารมื้อใหญ่ก่อนตรวจประมาณ 2-3 ชั่วโมง โดยไม่ต้องงดน้ำ-อาหารก่อนตรวจ
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนตรวจ 4-6 ชั่วโมง
  • งดสูบบุหรี่ก่อนตรวจอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
  • ผู้ป่วยที่ใช้ยาพ่น ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะยาพ่นขยายหลอดลมอาจมีผลต่อการตรวจ

ค่าปอดปกติ มีค่าเท่าไหร่?


การตรวจสมรรถภาพปอดด้วยวิธี spirometry มีค่าที่ได้หลายค่า ตัวอย่างค่าที่วัดได้ ได้แก่



**ค่าคาดหมาย (predicted value) คือค่าปกติตามอายุ เพศ ส่วนสูง และเชื้อชาติ


ความผิดปกติของปอดมีกี่แบบ?


ความผิดปกติที่มักจะตรวจพบ แบ่งเป็น 3 แบบ ได้แก่


  1. กลุ่มที่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจ (obstructive airways disease) โดยจะพบว่าค่า FEV1/ FVC จะต่ำกว่า 70% แต่จะมีค่า FVC ปกติ พบในโรค หอบหืด และถุงลมโป่งพอง
  2. กลุ่มที่มีการจำกัดการขยายตัวของปอด (restrictive lung disease) ทำให้ความจุของปอดลดลง โดยจะพบว่าค่า FVC จะต่ำกว่า 80% แต่ค่า FEV1/FVC จะอยู่ในเกณฑ์ปกติ พบในโรคที่มีความผิดปกติของเนื้อปอด กล้ามเนื้อหายใจ หรือกระดูกที่ทำให้การหายใจผิดปกติไป
  3. กลุ่มที่พบความผิดปกติทั้ง 2 อย่างร่วมกัน (combined obstructive – restrictive lung disease) คือกลุ่มที่มีค่า FVC และ FEV1/FVC ผิดปกติ

ทั้งนี้ต้องได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อผลการตรวจที่ถูกต้องและแม่นยำ


การตรวจสมรรถภาพปอดปลอดภัยหรือไม่?


การตรวจสมรรถภาพปอดเป็นการตรวจที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่อย่างไรก็ตามอาจมีภาวะแทรกซ้อนจากการตรวจได้ เช่น


  • มีอาการปวดศีรษะ อาจมีอาการเวียนศีรษะ มึนงง
  • เป็นลม วูบ หน้ามืด
  • มีอาการไอ
  • เจ็บหน้าอก
  • มีทางเดินหายใจตีบแคบในรายที่เป็นหอบหืด หรือปอดอุดกั้นที่อาการยังไม่คงที่
  • อาการอื่น ๆ

ขณะตรวจหรือหลังตรวจมีอาการผิดปกติ ควรแจ้งเจ้าหน้าที่หรือแพทย์ทันที


ผู้ป่วยแบบไหนที่ไม่ควรทำการตรวจสมรรถภาพปอด?


ผู้ป่วยที่ไม่ควรตรวจสมรรถภาพปอด ได้แก่ผู้ป่วยที่มีภาวะดังนี้


  • มีอาการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการตรวจ เช่น อาเจียน คลื่นไส้ หรือมีอาการบ้านหมุน
  • ไอเป็นเลือด
  • มีภาวะลมรั่วในช่องเยื่อหุ้มปอดที่ยังไม่ได้รักษา
  • เพิ่งได้รับการผ่าตัดช่องอกหรือช่องท้อง
  • เพิ่งได้รับการผ่าตัดตา
  • มีโรคหลอดเลือดแดงในช่องท้อง ช่องอก หรือสมองโป่งพอง
  • มีการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือดไม่คงที่ เช่น มีความดันสูงหรือความดันต่ำที่ควบคุมไม่ได้ มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือมีภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นหลอดเลือดแดงใหญ่ของปอด
  • มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น วัณโรคปอดระยะติดต่อ หรือกำลังติดเชื้อโควิด-19

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือมีภาวะการเจ็บป่วยต่าง ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมและความปลอดภัยก่อนเข้ารับการตรวจ


สรุป


การตรวจสมรรถภาพปอดเป็นการตรวจที่ไม่ซับซ้อน และผลการตรวจค่อนข้างแม่นยำ และมีความปลอดภัยสูง โดยผู้ที่มีอาการที่สงสัยว่าเป็นอาการจากโรคทางระบบทางเดินหายใจ หรือผู้ที่ต้องทำงานในที่ที่มีมลภาวะ ฝุ่น พื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูง ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือรับควันบุหรี่มือ 2 จากผู้ใกล้ชิด ควรเข้ารับการตรวจสมรรถภาพปอด


เนื่องจากปอดเป็นอวัยวะที่มีการทำงานสำรองสูง ดังนั้นผู้ป่วยมักจะแสดงอาการเมื่อปอดทำงานผิดปกติมากแล้ว ทำให้การตรวจพบโรคจะพบในระยะที่รุนแรง การตรวจสมรรถภาพปอดจะทำให้เราทราบความผิดปกติของปอดได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ และสามารถรักษาหรือป้องกันอาการรุนแรงได้


การรักษาสุขภาพปอดเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันโรคทางระบบทางเดินหายใจได้ ซึ่งสามารถทำได้โดย รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เลิกบุหรี่ หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 สูง หรือพื้นที่ที่มีมลภาวะหรือมลพิษ และหากจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อสุขภาพปอด ควรใช้อุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เพื่อป้องกันมลพิษเหล่านี้เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ เพื่อสุขภาพปอดที่แข็งแรง


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)




เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. มัณฑนา สันดุษฎี

พญ. มัณฑนา สันดุษฎี

ศูนย์โรคปอดและระบบทางเดินหายใจ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital