อาการปวดหลังช่วงเอวอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับหลายๆ คน แต่แท้จริงแล้ว มันอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง โดยเฉพาะอาการปวดหลังช่วงเอวที่เกี่ยวข้องกับโรคไต ซึ่งหากละเลยและปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะไตเสื่อมหรือไตวายในระยะยาว การสังเกตอาการและดูแลสุขภาพไตตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตในระยะยาว
Key Takeaways
- โรคไตมีหลายสาเหตุ เช่น นิ่วในไต การติดเชื้อ โรคเรื้อรังอย่างเบาหวานและความดันโลหิตสูง
- การวินิจฉัยโรคไตต้องอาศัยหลายวิธี เช่น ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด อัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์
- การรักษาโรคไตขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค ทำได้ตั้งแต่การปรับพฤติกรรม การใช้ยา ไปจนถึงการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไตในกรณีที่รุนแรง
- ป้องกันปัญหาไตเบื้องต้นได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้ดี ดื่มน้ำให้เพียงพอ ลดอาหารเค็ม ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ
สารบัญบทความ
- สัญญาณเตือนบ่งชี้อาการโรคไตมีอะไรบ้าง?
- โรคไตมีสาเหตุมาจากอะไร?
- วิธีวินิจฉัยการปวดหลังช่วงเอวว่าเป็นจากโรคไตหรือไม่
- วิธีรักษาโรคไตมีอะไรบ้าง?
- ป้องกันอาการปวดหลังช่วงเอวจากโรคไตได้อย่างไร?
- ปวดหลังช่วงเอว สัญญาณเตือนภัยโรคไตที่ควรจับตามอง
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปวดหลังช่วงเอว ไต
สัญญาณเตือนบ่งชี้อาการโรคไตมีอะไรบ้าง?
โรคไตเป็นภาวะที่ไตทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถกรองของเสียและควบคุมสมดุลของเหลวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสังเกตสัญญาณเตือนของโรคไตจึงสามารถทำได้โดยการสังเกตจากอาการดังต่อไปนี้
ปัสสาวะมีเลือดปน
ปัสสาวะที่มีสีแดงหรือชมพูอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาเกี่ยวกับไตและทางเดินปัสสาวะ โดยอาจจะเกิดจากการติดเชื้อ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ภาวะไตอักเสบจากสาเหตุต่าง ๆ หรือมะเร็งในทางเดินปัสสาวะ
ปัสสาวะเป็นฟอง
การที่ปัสสาวะเป็นฟองมากกว่าปกติและฟองไม่หายไปหลังจากเวลาผ่านไป อาจบ่งบอกถึงการมีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ ซึ่งเป็นสัญญาณของความผิดปกติในไต
ปัสสาวะมากหรือน้อยผิดปกติ
หากปัสสาวะบ่อยเกินไป อาจเป็นสัญญาณว่าไตไม่สามารถควบคุมสมดุลของเหลวได้ดี แต่หากดื่มน้ำในปริมาณปกติแต่ปัสสาวะน้อยหรือไม่ปัสสาวะเลย ก็อาจเป็นสัญญาณของภาวะไตเสื่อมหรือการอุดกั้นในทางเดินปัสสาวะส่วนล่างได้เช่นกัน
ความดันโลหิตสูง
ไตมีบทบาทสำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมความดันของเลือด หากไตทำงานผิดปกติก็อาจทำให้ระดับความดันโลหิตสูงขึ้น หรือความดันโลหิตสูงเรื้อรังอาจส่งผลกระทบต่อไตในระยะยาว ทำให้ไตเสื่อมลงเร็วขึ้น หากคุณมีภาวะความดันโลหิตสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรตรวจสุขภาพไตเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างอาการทั้งสอง
ปวดหลังช่วงเอว
อาการปวดหลังช่วงเอวด้านข้าง หรือปวดท้องปวดหลังพร้อมกันอาจเป็นสัญญาณของโรคไตโดยเฉพาะ นิ่วในไต หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะหากมีอาการปวดร้าวลงไปที่ขาหนีบหรือปวดเป็นระยะ ๆ ควรสังเกตว่าปวดมากขึ้นเมื่อขยับตัวหรือมีไข้ร่วมด้วยหรือไม่ หากอาการปวดยังคงอยู่เป็นเวลานาน ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
อาการบวม
ภาวะไตเสื่อมอาจทำให้ร่างกายไม่สามารถขับของเสียและน้ำส่วนเกินออกไปได้หรือมีการรั่วของโปรตีนลงในปัสสาวะ ส่งผลให้เกิดอาการบวมที่ใบหน้า มือ เท้า และขา หากสังเกตว่าร่างกายบวมผิดปกติและกดแล้วบุ๋ม อาจเป็นสัญญาณว่าไตทำงานผิดปกติและควรเข้ารับการตรวจ
อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย
เมื่อไตทำงานผิดปกติ ของเสียจะสะสมในร่างกายเเละอาจมีความไม่สมดุลย์ของเกลือเเร่ในร่างกาย ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และไม่มีแรง นอกจากนี้ ภาวะไตเสื่อมอาจส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง เนื่องจากไตมีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง หากรู้สึกเหนื่อยล้าเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรตรวจสุขภาพเพื่อหาสาเหตุ
โรคไตมีสาเหตุมาจากอะไร?

โรคไตเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในร่างกายและพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยทั่วไปมักเกิดจากการทำงานของไตที่ผิดปกติ จนไม่สามารถกรองของเสียหรือควบคุมสมดุลของเหลวและเกลือแร่ในร่างกายได้ ส่งผลให้เกิดอาการและภาวะต่าง ๆ ที่กระทบต่อสุขภาพ
- นิ่วในไตและการอุดตัน : เกิดจากแร่ธาตุในปัสสาวะตกผลึกเป็นก้อนนิ่ว ส่งผลให้ปัสสาวะติดขัดและไตทำงานหนักขึ้น ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การดื่มน้ำน้อย และการกินอาหารที่มีโซเดียมสูง
- การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ : แบคทีเรียที่เข้าสู่ทางเดินปัสสาวะอาจลุกลามไปยังไต ทำให้เกิดกรวยไตอักเสบ อาการที่พบบ่อยคือปวดหลังช่วงเอว ปัสสาวะขุ่น มีไข้
- ความดันโลหิตสูงและเบาหวาน : ทั้งสองภาวะนี้ทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น เส้นเลือดในไตถูกทำลาย ส่งผลให้ประสิทธิภาพการกรองของเสียลดลงและเสี่ยงต่อภาวะไตวาย
- การใช้ยาบางชนิด : ยาแก้อักเสบ ยาปฏิชีวนะ และสมุนไพรบางชนิด หากใช้เป็นเวลานานอาจส่งผลเสียต่อไต โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคไตอยู่แล้ว
- โรคทางพันธุกรรมและความผิดปกติโดยกำเนิด : โรคถุงน้ำในไตและความผิดปกติของไตแต่กำเนิด อาจทำให้การทำงานของไตเสื่อมลงเรื่อย ๆ
- พฤติกรรมเสี่ยง : การดื่มน้ำน้อย บริโภคอาหารเค็มจัด ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และไม่ออกกำลังกาย ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไต
วิธีวินิจฉัยการปวดหลังช่วงเอวว่าเป็นจากโรคไตหรือไม่
อาการปวดหลังช่วงเอวจากไตอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากกล้ามเนื้อ เส้นประสาท หรือไตเอง ซึ่งส่วนมากเเล้วจะเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อ เเต่ หากต้องการแยกว่าปวดหลังนี้เกี่ยวข้องกับโรคไตหรือไม่ สามารถใช้วิธีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
- ซักประวัติและประเมินอาการ : แพทย์จะสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับอาการ เช่น
- ตำแหน่งที่ปวด : หากปวดช่วงกลางหลังค่อนไปทางด้านข้างบริเวณชายโครง อาจเกี่ยวข้องกับไต
- ลักษณะของอาการ : ปวดตื้อ ๆ ต่อเนื่อง หรือปวดแบบรุนแรงเป็นพัก ๆ อาจบ่งชี้ปัญหาที่ระบบทางเดินปัสสาวะ
- สิ่งกระตุ้นอาการปวด : หากปวดมากขึ้นสัมพันธ์กับการขยับตัวในท่าทางที่ชัดเจน หรือมีอาการเกิดหลังจากพฤติกรรมกระตุ้นที่ชัดเจน เช่น ยกของหนักก่อนมีอาการ อาจสัมพันธ์กับอาการทางกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อหลังอักเสบ
- อาการร่วมอื่น ๆ : เช่น ปัสสาวะขุ่น ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ หรือมีไข้
- การตรวจร่างกาย : แพทย์จะตรวจโดยการกดบริเวณหน้าท้อง คลำโอบบริเวณหน้าท้องหรือเคาะบริเวณบั้นเอว หากรู้สึกเจ็บ อาจเป็นสัญญาณของโรคไต เช่น กรวยไตอักเสบ
- การตรวจเพิ่มเติม : หากสงสัยว่าเป็นโรคไต แพทย์อาจสั่งตรวจดังนี้
- ตรวจปัสสาวะ : เพื่อตรวจหาค่าโปรตีน เม็ดเลือด
- ตรวจเลือด : ดูค่าการทำงานของไตเเละระบบที่เกี่ยวข้อง เช่น เม็ดเลือด ครีเอตินิน (Creatinine) และยูเรียไนโตรเจน (BUN)
- อัลตราซาวด์หรือเอกซเรย์ : ตรวจหาอาการบวม นิ่ว หรือความผิดปกติของไตอื่น ๆ
- ส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะ : ในกรณีที่ต้องการตรวจหาความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ
วิธีรักษาโรคไตมีอะไรบ้าง?

หลังจากที่ปวดหลังจนไปตรวจและพบโรคไตหรืออาการไตอักเสบ การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค การรักษาแบ่งออกเป็นการดูแลตนเอง การใช้ยา และการรักษาทางการแพทย์
1. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
การดูแลไตให้แข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคไตต้องอาศัยการปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม เช่น
- ควบคุมอาหาร : ลดปริมาณโซเดียม จำกัดโปรตีนจากสัตว์ และเลือกโปรตีนจากพืชบางมื้อ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย มันฝรั่ง และถั่วบางชนิด
- รักษาสุขภาพและควบคุมโรคที่เกิดร่วม : เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคเก๊าต์ โดยควรตรวจสุขภาพสม่ำเสมอและทานยาตามแพทย์สั่ง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ : อย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30-45 นาที เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนัก ความดันโลหิต และระดับน้ำตาลในเลือด
- ระวังการใช้ยา : หลีกเลี่ยงยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น Ibuprofen และ Diclofenac เพราะอาจทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น รวมถึงหลีกเลี่ยงยาลูกกลอนและยาสมุนไพรที่ไม่มีมาตรฐาน
- งดบุหรี่และแอลกอฮอล์ : เพราะทำให้ไตทำงานหนักขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไตวายและมะเร็งไต
นอกจากนี้ การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ จะช่วยให้ไตทำงานได้ดีขึ้นและเสื่อมช้าลง
2. รักษาด้วยยา
การรักษาด้วยยานั้นมีหลากหลายรูปเเบบ ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยโรคเเละสาเหตุของการเกิดโรค เช่น ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไตอักเสบหรือติดเชื้อ แพทย์ก็จะสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมการติดเชื้อ หากมีโรคไตเสื่อมร่วมกับความดันโลหิตสูง การใช้ยาควบคุมความดัน ในกลุ่ม ACE inhibitors หรือ ARBs อาจช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของไต ร่วมกับการควบคุมความดันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
หากผู้ป่วยมีอาการปวดหลังช่วงเอวจากภาวะไตเสื่อม ก็ควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวดที่อาจส่งผลเสียต่อไต เช่น ยากลุ่ม NSAIDs อย่างไอบูโพรเฟน หรือไดโคลฟีแนค และเลือกใช้ยาแก้ปวดที่ปลอดภัยต่อไตตามคำแนะนำของแพทย์แทน
3. รักษาด้วยกระบวนการทางการแพทย์
หากโรคไตเข้าสู่ระยะรุนแรงจนไตไม่สามารถกรองของเสียได้ตามปกติ ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ที่ช่วยทดแทนการทำงานของไต ดังนี้
- ฟอกไต (Hemodialysis) : ซึ่งเป็นการใช้เครื่องฟอกเลือดเพื่อกำจัดของเสียออกจากร่างกาย วิธีนี้ต้องทำเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายสามารถทำงานได้ตามปกติ
- ล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis) : ซึ่งใช้เยื่อบุช่องท้องเป็นตัวกรองของเสีย โดยผู้ป่วยสามารถทำเองได้ที่บ้านภายใต้คำแนะนำของแพทย์
- ปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant) : อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายและต้องการวิธีรักษาที่ยั่งยืนกว่า โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนไตจากผู้บริจาคที่มีเนื้อเยื่อเข้ากันได้ วิธีนี้ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากขึ้น แต่ต้องมีการติดตามผลและรับประทานยากดภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง
ป้องกันอาการปวดหลังช่วงเอวจากโรคไตได้อย่างไร?

อาการปวดหลังช่วงเอวจากโรคไตสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้ดีและลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ไตทำงานหนักเกินไป การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันจะช่วยให้ไตทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสเกิดภาวะไตเสื่อมและอาการปวดหลังที่เกี่ยวข้อง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ : การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วเป็นสิ่งสำคัญ เพราะน้ำช่วยให้ไตสามารถกรองของเสียและขับออกทางปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไตได้
- คุมอาหาร
- ลดการบริโภคโซเดียม : จำกัดเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน เพื่อลดความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น
- ควบคุมปริมาณโปรตีน : อาจเลือกโปรตีนจากพืช เช่น เต้าหู้ ถั่วเหลือง และธัญพืช เพื่อลดภาระของไตในการกรองของเสีย หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมันและอาหารแปรรูป
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : แอลกอฮอล์ส่งผลเสียต่อไตโดยทำให้ร่างกายขาดน้ำและเพิ่มภาระการทำงานของไต นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจทำให้อาการปวดหลังรุนแรงขึ้น
- รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล : สุขอนามัยที่ดีช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ไตอักเสบและนำไปสู่อาการปวดหลังช่วงเอว ควรอาบน้ำให้สะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดอยู่เสมอ และหากมีเพศสัมพันธ์ ควรใช้วิธีป้องกันที่ปลอดภัยเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ : การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลังและกระดูกสันหลังให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงของอาการปวดหลังที่อาจเกิดจากกล้ามเนื้อล้าหรืออักเสบ นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมน้ำหนัก ป้องกันโรคอ้วนและความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไต ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เช่น การเดิน โยคะ หรือว่ายน้ำ
ปวดหลังช่วงเอว สัญญาณเตือนภัยโรคไตที่ควรจับตามอง
อาการปวดหลังช่วงเอวอาจเป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับไตที่มีปัญหา โดยเฉพาะหากมีอาการอื่นร่วม เช่น ปัสสาวะผิดปกติ อ่อนเพลีย บวมตามร่างกาย หรือความดันโลหิตสูง หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะไตเสื่อมหรือไตวาย สัญญาณเตือนเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ควรหมั่นสังเกตและพบแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ
ซึ่งที่โรงพยาบาลพระรามเก้าก็เป็นสถานที่ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ป่วยมาอย่างยาวนาน ด้วยมาตรฐานการรักษาที่ทันสมัยและมีทีมแพทย์หลากหลายสาขาที่พร้อมจะดูแลอย่างทั่วถึง พร้อมด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง ยิ่งตอกย้ำว่าโรงพยาบาลพระรามเก้ามุ่งมั่นในการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างเป็นส่วนตัวและมีความใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อให้ทุกคนได้รับการรักษาที่ดีที่สุดในทุกๆ ด้าน พร้อมด้วยการบริการที่อบอุ่นและมืออาชีพ หากมีข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติมก็สามารถติดต่อได้ตามช่องทางด้านล่างต่อไปนี้
- Facebook : Praram 9 hospital
- Line : @Praram9Hospital
- โทร. 1270
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปวดหลังช่วงเอว ไต
หลังจากที่รู้แล้วว่าปวดหลังแบบไหนเป็นโรคไต และปวดไตจะปวดตรงไหน หลายคนก็อาจจะมีคำถามเกี่ยวกับโรคไตต่อเนื่องไปอีก โดยคำถามที่พบบ่อยพร้อมคำตอบก็จะมีอยู่ ดังนี้
1. อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าโรคไตอยู่ในภาวะวิกฤต?
หากมีอาการปวดหลังช่วงเอวอย่างรุนแรงร่วมกับอาการอื่น เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะลดลง บวมตามร่างกาย อ่อนเพลีย หายใจลำบาก หรือความดันโลหิตสูงผิดปกติ อาจไม่ใช่แค่ปวดหลังช่วงเอวธรรมดาแต่เป็นสัญญาณของโรคไต ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
References
Kidney pain. (2022, May 31). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/symptoms/17688-kidney-pain
Kidney pain. (2023, May). HealthDirect. https://www.healthdirect.gov.au/kidney-pain#:~:text=Kidney%20pain%20is%20usually%20felt,can%20help%20prevent%20kidney%20pain
Klein, E. (2024, November 27). Kidney pain vs. back pain: How to tell the difference. Healthline. https://www.healthline.com/health/kidney-pain-vs-back-pain