บทความสุขภาพ

Knowledge

ปวดหลังช่วงเอว อาจเป็นอาการช่วยเตือนว่าควรรักษาไตได้แล้ว

อาการปวดหลังช่วงเอวอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับหลายๆ คน แต่แท้จริงแล้ว มันอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง โดยเฉพาะอาการปวดหลังช่วงเอวที่เกี่ยวข้องกับโรคไต ซึ่งหากละเลยและปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะไตเสื่อมหรือไตวายในระยะยาว การสังเกตอาการและดูแลสุขภาพไตตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตในระยะยาว


Key Takeaways


  • โรคไตมีหลายสาเหตุ เช่น นิ่วในไต การติดเชื้อ โรคเรื้อรังอย่างเบาหวานและความดันโลหิตสูง
  • การวินิจฉัยโรคไตต้องอาศัยหลายวิธี เช่น ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด อัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์
  • การรักษาโรคไตขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค ทำได้ตั้งแต่การปรับพฤติกรรม การใช้ยา ไปจนถึงการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไตในกรณีที่รุนแรง
  • ป้องกันปัญหาไตเบื้องต้นได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้ดี ดื่มน้ำให้เพียงพอ ลดอาหารเค็ม ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ

สัญญาณเตือนบ่งชี้อาการโรคไตมีอะไรบ้าง?


โรคไตเป็นภาวะที่ไตทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถกรองของเสียและควบคุมสมดุลของเหลวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสังเกตสัญญาณเตือนของโรคไตจึงสามารถทำได้โดยการสังเกตจากอาการดังต่อไปนี้


ปัสสาวะมีเลือดปน


ปัสสาวะที่มีสีแดงหรือชมพูอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาเกี่ยวกับไตและทางเดินปัสสาวะ โดยอาจจะเกิดจากการติดเชื้อ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ภาวะไตอักเสบจากสาเหตุต่าง ๆ หรือมะเร็งในทางเดินปัสสาวะ


ปัสสาวะเป็นฟอง


การที่ปัสสาวะเป็นฟองมากกว่าปกติและฟองไม่หายไปหลังจากเวลาผ่านไป อาจบ่งบอกถึงการมีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ ซึ่งเป็นสัญญาณของความผิดปกติในไต


ปัสสาวะมากหรือน้อยผิดปกติ


หากปัสสาวะบ่อยเกินไป อาจเป็นสัญญาณว่าไตไม่สามารถควบคุมสมดุลของเหลวได้ดี แต่หากดื่มน้ำในปริมาณปกติแต่ปัสสาวะน้อยหรือไม่ปัสสาวะเลย ก็อาจเป็นสัญญาณของภาวะไตเสื่อมหรือการอุดกั้นในทางเดินปัสสาวะส่วนล่างได้เช่นกัน


ความดันโลหิตสูง


ไตมีบทบาทสำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมความดันของเลือด หากไตทำงานผิดปกติก็อาจทำให้ระดับความดันโลหิตสูงขึ้น หรือความดันโลหิตสูงเรื้อรังอาจส่งผลกระทบต่อไตในระยะยาว ทำให้ไตเสื่อมลงเร็วขึ้น หากคุณมีภาวะความดันโลหิตสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรตรวจสุขภาพไตเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างอาการทั้งสอง


ปวดหลังช่วงเอว


อาการปวดหลังช่วงเอวด้านข้าง หรือปวดท้องปวดหลังพร้อมกันอาจเป็นสัญญาณของโรคไตโดยเฉพาะ นิ่วในไต หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะหากมีอาการปวดร้าวลงไปที่ขาหนีบหรือปวดเป็นระยะ ๆ ควรสังเกตว่าปวดมากขึ้นเมื่อขยับตัวหรือมีไข้ร่วมด้วยหรือไม่ หากอาการปวดยังคงอยู่เป็นเวลานาน ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ


อาการบวม


ภาวะไตเสื่อมอาจทำให้ร่างกายไม่สามารถขับของเสียและน้ำส่วนเกินออกไปได้หรือมีการรั่วของโปรตีนลงในปัสสาวะ ส่งผลให้เกิดอาการบวมที่ใบหน้า มือ เท้า และขา หากสังเกตว่าร่างกายบวมผิดปกติและกดแล้วบุ๋ม อาจเป็นสัญญาณว่าไตทำงานผิดปกติและควรเข้ารับการตรวจ


อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย


เมื่อไตทำงานผิดปกติ ของเสียจะสะสมในร่างกายเเละอาจมีความไม่สมดุลย์ของเกลือเเร่ในร่างกาย ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และไม่มีแรง นอกจากนี้ ภาวะไตเสื่อมอาจส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง เนื่องจากไตมีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง หากรู้สึกเหนื่อยล้าเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรตรวจสุขภาพเพื่อหาสาเหตุ


โรคไตมีสาเหตุมาจากอะไร?


back-pain-kidney-1024x683.jpg

โรคไตเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในร่างกายและพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยทั่วไปมักเกิดจากการทำงานของไตที่ผิดปกติ จนไม่สามารถกรองของเสียหรือควบคุมสมดุลของเหลวและเกลือแร่ในร่างกายได้ ส่งผลให้เกิดอาการและภาวะต่าง ๆ ที่กระทบต่อสุขภาพ


  • นิ่วในไตและการอุดตัน : เกิดจากแร่ธาตุในปัสสาวะตกผลึกเป็นก้อนนิ่ว ส่งผลให้ปัสสาวะติดขัดและไตทำงานหนักขึ้น ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การดื่มน้ำน้อย และการกินอาหารที่มีโซเดียมสูง
  • การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ : แบคทีเรียที่เข้าสู่ทางเดินปัสสาวะอาจลุกลามไปยังไต ทำให้เกิดกรวยไตอักเสบ อาการที่พบบ่อยคือปวดหลังช่วงเอว ปัสสาวะขุ่น มีไข้
  • ความดันโลหิตสูงและเบาหวาน : ทั้งสองภาวะนี้ทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น เส้นเลือดในไตถูกทำลาย ส่งผลให้ประสิทธิภาพการกรองของเสียลดลงและเสี่ยงต่อภาวะไตวาย
  • การใช้ยาบางชนิด : ยาแก้อักเสบ ยาปฏิชีวนะ และสมุนไพรบางชนิด หากใช้เป็นเวลานานอาจส่งผลเสียต่อไต โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคไตอยู่แล้ว
  • โรคทางพันธุกรรมและความผิดปกติโดยกำเนิด : โรคถุงน้ำในไตและความผิดปกติของไตแต่กำเนิด อาจทำให้การทำงานของไตเสื่อมลงเรื่อย ๆ
  • พฤติกรรมเสี่ยง : การดื่มน้ำน้อย บริโภคอาหารเค็มจัด ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และไม่ออกกำลังกาย ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไต

วิธีวินิจฉัยการปวดหลังช่วงเอวว่าเป็นจากโรคไตหรือไม่


อาการปวดหลังช่วงเอวจากไตอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากกล้ามเนื้อ เส้นประสาท หรือไตเอง ซึ่งส่วนมากเเล้วจะเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อ เเต่ หากต้องการแยกว่าปวดหลังนี้เกี่ยวข้องกับโรคไตหรือไม่ สามารถใช้วิธีวินิจฉัยดังต่อไปนี้


  • ซักประวัติและประเมินอาการ : แพทย์จะสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับอาการ เช่น
    • ตำแหน่งที่ปวด : หากปวดช่วงกลางหลังค่อนไปทางด้านข้างบริเวณชายโครง อาจเกี่ยวข้องกับไต
    • ลักษณะของอาการ : ปวดตื้อ ๆ ต่อเนื่อง หรือปวดแบบรุนแรงเป็นพัก ๆ อาจบ่งชี้ปัญหาที่ระบบทางเดินปัสสาวะ
    • สิ่งกระตุ้นอาการปวด : หากปวดมากขึ้นสัมพันธ์กับการขยับตัวในท่าทางที่ชัดเจน หรือมีอาการเกิดหลังจากพฤติกรรมกระตุ้นที่ชัดเจน เช่น ยกของหนักก่อนมีอาการ อาจสัมพันธ์กับอาการทางกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อหลังอักเสบ
    • อาการร่วมอื่น ๆ : เช่น ปัสสาวะขุ่น ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ หรือมีไข้
  • การตรวจร่างกาย : แพทย์จะตรวจโดยการกดบริเวณหน้าท้อง คลำโอบบริเวณหน้าท้องหรือเคาะบริเวณบั้นเอว หากรู้สึกเจ็บ อาจเป็นสัญญาณของโรคไต เช่น กรวยไตอักเสบ
  • การตรวจเพิ่มเติม : หากสงสัยว่าเป็นโรคไต แพทย์อาจสั่งตรวจดังนี้
    • ตรวจปัสสาวะ : เพื่อตรวจหาค่าโปรตีน เม็ดเลือด
    • ตรวจเลือด : ดูค่าการทำงานของไตเเละระบบที่เกี่ยวข้อง เช่น เม็ดเลือด ครีเอตินิน (Creatinine) และยูเรียไนโตรเจน (BUN)
    • อัลตราซาวด์หรือเอกซเรย์ : ตรวจหาอาการบวม นิ่ว หรือความผิดปกติของไตอื่น ๆ
    • ส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะ : ในกรณีที่ต้องการตรวจหาความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ

วิธีรักษาโรคไตมีอะไรบ้าง?


right-waist-pain-kidney-1024x684.jpg

หลังจากที่ปวดหลังจนไปตรวจและพบโรคไตหรืออาการไตอักเสบ การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค การรักษาแบ่งออกเป็นการดูแลตนเอง การใช้ยา และการรักษาทางการแพทย์


1. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต


การดูแลไตให้แข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคไตต้องอาศัยการปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม เช่น


  • ควบคุมอาหาร : ลดปริมาณโซเดียม จำกัดโปรตีนจากสัตว์ และเลือกโปรตีนจากพืชบางมื้อ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย มันฝรั่ง และถั่วบางชนิด
  • รักษาสุขภาพและควบคุมโรคที่เกิดร่วม : เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคเก๊าต์ โดยควรตรวจสุขภาพสม่ำเสมอและทานยาตามแพทย์สั่ง
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ : อย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30-45 นาที เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนัก ความดันโลหิต และระดับน้ำตาลในเลือด
  • ระวังการใช้ยา : หลีกเลี่ยงยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น Ibuprofen และ Diclofenac เพราะอาจทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น รวมถึงหลีกเลี่ยงยาลูกกลอนและยาสมุนไพรที่ไม่มีมาตรฐาน
  • งดบุหรี่และแอลกอฮอล์ : เพราะทำให้ไตทำงานหนักขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไตวายและมะเร็งไต

นอกจากนี้ การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ จะช่วยให้ไตทำงานได้ดีขึ้นและเสื่อมช้าลง


2. รักษาด้วยยา


การรักษาด้วยยานั้นมีหลากหลายรูปเเบบ ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยโรคเเละสาเหตุของการเกิดโรค เช่น ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไตอักเสบหรือติดเชื้อ แพทย์ก็จะสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมการติดเชื้อ หากมีโรคไตเสื่อมร่วมกับความดันโลหิตสูง การใช้ยาควบคุมความดัน ในกลุ่ม ACE inhibitors หรือ ARBs อาจช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของไต ร่วมกับการควบคุมความดันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม


หากผู้ป่วยมีอาการปวดหลังช่วงเอวจากภาวะไตเสื่อม ก็ควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวดที่อาจส่งผลเสียต่อไต เช่น ยากลุ่ม NSAIDs อย่างไอบูโพรเฟน หรือไดโคลฟีแนค และเลือกใช้ยาแก้ปวดที่ปลอดภัยต่อไตตามคำแนะนำของแพทย์แทน


3. รักษาด้วยกระบวนการทางการแพทย์


หากโรคไตเข้าสู่ระยะรุนแรงจนไตไม่สามารถกรองของเสียได้ตามปกติ ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ที่ช่วยทดแทนการทำงานของไต ดังนี้


  • ฟอกไต (Hemodialysis) : ซึ่งเป็นการใช้เครื่องฟอกเลือดเพื่อกำจัดของเสียออกจากร่างกาย วิธีนี้ต้องทำเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายสามารถทำงานได้ตามปกติ
  • ล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis) : ซึ่งใช้เยื่อบุช่องท้องเป็นตัวกรองของเสีย โดยผู้ป่วยสามารถทำเองได้ที่บ้านภายใต้คำแนะนำของแพทย์
  • ปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant) : อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่มีภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายและต้องการวิธีรักษาที่ยั่งยืนกว่า โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนไตจากผู้บริจาคที่มีเนื้อเยื่อเข้ากันได้ วิธีนี้ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากขึ้น แต่ต้องมีการติดตามผลและรับประทานยากดภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง

ป้องกันอาการปวดหลังช่วงเอวจากโรคไตได้อย่างไร?


ป้องกันอาการปวดหลังช่วงเอวจากโรคไตได้อย่างไร-1024x1024.jpg

อาการปวดหลังช่วงเอวจากโรคไตสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้ดีและลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ไตทำงานหนักเกินไป การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันจะช่วยให้ไตทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสเกิดภาวะไตเสื่อมและอาการปวดหลังที่เกี่ยวข้อง


  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ : การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วเป็นสิ่งสำคัญ เพราะน้ำช่วยให้ไตสามารถกรองของเสียและขับออกทางปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไตได้
  • คุมอาหาร
    • ลดการบริโภคโซเดียม : จำกัดเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน เพื่อลดความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น
    • ควบคุมปริมาณโปรตีน : อาจเลือกโปรตีนจากพืช เช่น เต้าหู้ ถั่วเหลือง และธัญพืช เพื่อลดภาระของไตในการกรองของเสีย หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมันและอาหารแปรรูป
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : แอลกอฮอล์ส่งผลเสียต่อไตโดยทำให้ร่างกายขาดน้ำและเพิ่มภาระการทำงานของไต นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจทำให้อาการปวดหลังรุนแรงขึ้น
  • รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล : สุขอนามัยที่ดีช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ไตอักเสบและนำไปสู่อาการปวดหลังช่วงเอว ควรอาบน้ำให้สะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดอยู่เสมอ และหากมีเพศสัมพันธ์ ควรใช้วิธีป้องกันที่ปลอดภัยเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ : การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลังและกระดูกสันหลังให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงของอาการปวดหลังที่อาจเกิดจากกล้ามเนื้อล้าหรืออักเสบ นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมน้ำหนัก ป้องกันโรคอ้วนและความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไต ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เช่น การเดิน โยคะ หรือว่ายน้ำ

ปวดหลังช่วงเอว สัญญาณเตือนภัยโรคไตที่ควรจับตามอง


อาการปวดหลังช่วงเอวอาจเป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับไตที่มีปัญหา โดยเฉพาะหากมีอาการอื่นร่วม เช่น ปัสสาวะผิดปกติ อ่อนเพลีย บวมตามร่างกาย หรือความดันโลหิตสูง หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะไตเสื่อมหรือไตวาย สัญญาณเตือนเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ควรหมั่นสังเกตและพบแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ


ซึ่งที่โรงพยาบาลพระรามเก้าก็เป็นสถานที่ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ป่วยมาอย่างยาวนาน ด้วยมาตรฐานการรักษาที่ทันสมัยและมีทีมแพทย์หลากหลายสาขาที่พร้อมจะดูแลอย่างทั่วถึง พร้อมด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง ยิ่งตอกย้ำว่าโรงพยาบาลพระรามเก้ามุ่งมั่นในการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างเป็นส่วนตัวและมีความใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อให้ทุกคนได้รับการรักษาที่ดีที่สุดในทุกๆ ด้าน พร้อมด้วยการบริการที่อบอุ่นและมืออาชีพ หากมีข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติมก็สามารถติดต่อได้ตามช่องทางด้านล่างต่อไปนี้



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปวดหลังช่วงเอว ไต


หลังจากที่รู้แล้วว่าปวดหลังแบบไหนเป็นโรคไต และปวดไตจะปวดตรงไหน หลายคนก็อาจจะมีคำถามเกี่ยวกับโรคไตต่อเนื่องไปอีก โดยคำถามที่พบบ่อยพร้อมคำตอบก็จะมีอยู่ ดังนี้


1. อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าโรคไตอยู่ในภาวะวิกฤต?


หากมีอาการปวดหลังช่วงเอวอย่างรุนแรงร่วมกับอาการอื่น เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะลดลง บวมตามร่างกาย อ่อนเพลีย หายใจลำบาก หรือความดันโลหิตสูงผิดปกติ อาจไม่ใช่แค่ปวดหลังช่วงเอวธรรมดาแต่เป็นสัญญาณของโรคไต ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน


References


Kidney pain. (2022, May 31). Cleveland Clinic. https://my.clevelandclinic.org/health/symptoms/17688-kidney-pain


Kidney pain. (2023, May). HealthDirect. https://www.healthdirect.gov.au/kidney-pain#:~:text=Kidney%20pain%20is%20usually%20felt,can%20help%20prevent%20kidney%20pain


Klein, E. (2024, November 27). Kidney pain vs. back pain: How to tell the difference. Healthline. https://www.healthline.com/health/kidney-pain-vs-back-pain


บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital