Skip to content
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
Menu
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา

ตรวจหูดีอย่างไร อาการแบบไหนบ้างที่ควรตรวจหู?

พญ.วรรนธนี อภิวัฒนเสวี

บทความ

โรงพยาบาลพระรามเก้า

  • วันที่โพสต์ 30 พฤศจิกายน 2023
การตรวจหูและการได้ยิน

หูเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้เราได้ยินเสียง ทั้งเสียงสนทนา และเสียงของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อการสื่อสาร การใช้ชีวิตประจำวัน และการเรียนรู้ การสูญเสียการได้ยินสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย ดังนั้นการตรวจหูจึงเป็นการตรวจที่สำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาได้อย่างเหมาะสม เพราะหากปล่อยให้เป็นโรคทางหูอย่างเรื้อรัง จนเกิดการสูญเสียการได้ยิน จะทำให้ไม่อาจฟื้นฟูให้กลับมาเป็นปกติดังเดิมได้

สารบัญ

  • หูสำคัญอย่างไร?
  • ตรวจหูดูอะไรบ้าง?
  • ใครบ้างควรตรวจหู?
  • อาการที่ควรไปตรวจหู
  • การตรวจการได้ยินคืออะไร?
  • ตรวจการได้ยินทำอย่างไร?
  • สรุป

หูสำคัญอย่างไร?

การได้ยินเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารกับผู้คนรอบตัว หูจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยหูเป็นจุดเริ่มต้นในกระบวนการทางประสาทของการรับเสียง การเดินทางของเสียงเริ่มตั้งแต่ภายนอกสู่ภายใน ตามลำดับ โดยเริ่มจาก

  • ใบหูและช่องหู ทำหน้าที่รับและนำส่งคลื่นเสียงให้ตกกระทบบนเยื่อแก้วหู 
  • เยื่อแก้วหู ทำหน้าที่เป็นเหมือนหนังกลอง ส่งต่อการสั่นสะเทือนที่เกิดจากการกระทบของเสียงเข้าสู่หูชั้นกลาง 
  • หูชั้นกลาง ประกอบไปด้วยกระดูกขนาดเล็กสามชิ้น ทำหน้าที่ปรับขนาดคลื่น และส่งต่อไปยังหูชั้นใน
  • หูชั้นใน จะเปลี่ยนคลื่นความสั่นสะเทือนไปเป็นสัญญาณประสาท เข้าสู่สมอง
  • สมอง จะทำหน้าที่แปลเสียงที่ได้ยินเป็นคำที่มีความหมาย หรือแปลเสียงสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่ได้ยินให้เราเข้าใจเสียงนั้น ๆ ว่าคือเสียงอะไร 

ดังนั้นความผิดปกติไม่ว่าในส่วนใด ๆ ของหูจึงมีผลกระทบต่อการเดินทางของเสียง และทำให้การได้ยินลดลงจนอาจถึงขั้นหูหนวกได้ ความผิดปกติที่พบได้ เช่น ขี้หูอุดตันในช่องหู เยื่อแก้วหูทะลุ หูน้ำหนวกเรื้อรังจนกระดูกในหูชั้นกลางผิดรูป การเสื่อมของเซลล์ขนในหูชั้นในของผู้สูงอายุ ความพิการแต่กำเนิด เป็นต้น 

นอกจากนี้ ในส่วนของหูชั้นในยังมีอวัยวะอีกส่วนที่หน้าที่รับรู้ตำแหน่งของศีรษะ เช่น ตั้งตรง เอนซ้ายขวา ก้มเงย เคลื่อนที่หรือหยุดนิ่ง ซึ่งมีความสำคัญมากในการควบคุมการทรงตัว ดังนั้นหากเกิดความผิดปกติของหูชั้นในจะทำให้เกิดอาการเวียนหัวบ้านหมุนทรงตัวลำบากตามมาได้

> กลับสู่สารบัญ

ตรวจหูดูอะไรบ้าง?

การตรวจหูโดยทั่วไปจะประกอบไปด้วยการตรวจ 2 ส่วน ได้แก่ 

  1. ตรวจช่องหู เป็นการตรวจดูลักษณะทางกายภาพของหู ตั้งแต่ใบหู ช่องหู จนถึงเยื่อบุแก้วหู โดยใช้อุปกรณ์เฉพาะส่องเข้าไปดูในช่องหูเพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น การอักเสบหรือติดเชื้อ เยื่อแก้วหูทะลุ ขี้หูอุดตัน แมลงหรือสิ่งแปลกปลอมในหู เป็นต้น นอกจากนี้ การตรวจหูด้วยอุปกรณ์ที่มีกล้องจุลทรรศน์ในการขยายภาพ ก็จะช่วยทำให้เห็นลักษณะทางกายภาพได้ชัดเจน และตรวจได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น
  2. ตรวจการได้ยิน เป็นการตรวจประเมินการทำงานด้านการรับเสียงของหู ซึ่งจะดำเนินการโดยนักโสตสัมผัสวิทยา (audiologist)

> กลับสู่สารบัญ

ใครบ้างควรตรวจหู?

โรคทางหูสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ทั้งวัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ และวัยสูงอายุ ทุกคนจึงควรเข้ารับการตรวจหูเพื่อประเมินสุขภาพของหูอย่างสม่ำเสมอ 

  • ทารกขวบปีแรก ซึ่งเป็นการตรวจเพื่อคัดกรองภาวะหูหนวกและหากพบความผิดปกติ จะทำให้สามารถวางแผนการรักษาเพื่อแก้ไขความพิการแต่กำเนิด 
  • เด็กปฐมวัย ที่มีความเสี่ยงโรคหูน้ำหนวกเฉียบพลันและเรื้อรัง แมลงหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปติดในหู การบาดเจ็บจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือการติดเชื้อที่ส่งผลให้หูหนวกตามมาได้ เช่น หัด คางทูม และไข้สมองอักเสบ เป็นต้น 
  • วัยผู้ใหญ่ ที่ต้องเจอมลภาวะทางเสียงติดต่อกันเป็นเวลานานจากการทำงาน หรือมีพฤติกรรมการบริโภคหมูดิบซึ่งเสี่ยงต่อโรคไข้หูดับ
  • ผู้สูงอายุ ที่เริ่มมีความเสื่อมทางการได้ยิน ทำให้มีอาการหูตึง

> กลับสู่สารบัญ

อาการที่ควรไปตรวจหู

อาการที่ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหู มีดังนี้

  • ปวดหู
  • มีของเหลว หนอง หรือเลือดไหลออกมาจากหู
  • ไม่ได้ยินเสียงจากหูข้างใดข้างหนึ่งอย่างเฉียบพลัน
  • หูอื้อ
  • มีเสียงดังในหู
  • เวียนหัวหรือบ้านหมุน
  • ฟังเสียงพูดไม่ออก
  • มีไข้ร่วมกับมีอาการปวดหูและไม่ได้ยินเสียงอย่างเฉียบพลัน

ในกรณีเด็กเล็ก ตัวเด็กเองมักไม่สามารถบอกได้ว่าการได้ยินลดลง ผู้ดูแลควรสังเกตพฤติกรรมการได้ยินที่ผิดปกติไป เช่น ไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียก พูดตอบเสียงดังมาก ต้องปรับระดับเสียงให้ดังมากถึงจะได้ยิน เวลาคุยด้วยมักถูกขอให้พูดซ้ำ เป็นต้น

> กลับสู่สารบัญ

การตรวจการได้ยินคืออะไร?

การตรวจการได้ยินเป็นการประเมินการทำงานของหูด้านการรับเสียง ซึ่งเป็นการทดสอบการได้ยินเสียงโดยใช้ระดับความดังของเสียงในหน่วยเดซิเบล โดยผู้ทดสอบจะค่อย ๆ ปรับความดังของเสียงจนผู้ถูกทดสอบเริ่มได้ยินเสียง ซึ่งผู้ทดสอบจะบันทึกค่าระดับความดังแรกที่เริ่มได้ยิน ซึ่งค่าที่ได้นี้จะใช้ในการวินิจฉัยความผิดปกติของการได้ยิน และบ่งบอกระดับความรุนแรงของการสูญเสียการได้ยิน หากมีระดับสมรรถภาพการได้ยินเริ่มต้นที่ความดังเกินกว่า 25 เดซิเบล จะถือว่าเริ่มมีอาการหูตึงแล้ว

> กลับสู่สารบัญ

ตรวจการได้ยินทำอย่างไร?

โดยทั่วไป การตรวจการได้ยินมักจะประกอบไปด้วย 

  1. ตรวจสมรรถภาพการได้ยิน (audiometry) โดยการเปิดคลื่นเสียงในระดับความถี่และความดังที่ค่อย ๆ ไล่ระดับจากความถี่ต่ำไปความถี่สูง หรือความดังตั้งแต่ระดับน้อย ๆ ไปจนถึงระดับดังมาก ผู้รับการตรวจจะต้องกดปุ่มทุกครั้งที่ได้ยินเสียง ผลการตรวจจะออกมาเป็นกราฟออดิโอแกรม (audiogram) ที่แสดงระดับการได้ยินในคลื่นเสียงแต่ละความถี่ของหูแต่ละข้าง
  2. ตรวจหูชั้นกลาง (tympanometry) เป็นการตรวจจับการสั่นไหวของเยื่อแก้วหู ใช้ตรวจว่ามีของเหลวหรือหนองในหูชั้นกลางหรือไม่ 
  3. ตรวจการได้ยินบทสนทนา (speech perception test) เป็นการตรวจที่คล้ายกับการตรวจสมรรถภาพการได้ยิน เพียงแต่เปลี่ยนจากคลื่นเสียง เป็นเสียงบทสนทนาพูดคุยที่พบได้ในชีวิตประจำวัน 

นอกจากนั้น ยังอาจมีการตรวจช่องหูด้วยกล้องจุลทรรศน์ และการให้บริการทำความสะอาดเพื่อสุขอนามัยที่ดีและปลอดภัยต่อเยื่อแก้วหู

> กลับสู่สารบัญ

สรุป

หูเป็นอวัยวะสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม เพราะมีส่วนในการสื่อสาร การเรียนรู้ การทำงาน รวมถึงการใช้ชีวิตการตรวจหูจะช่วยให้เราทราบถึงสุขภาพหู และหากพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรก ๆ จะเป็นประโยชน์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมและถูกต้อง เราทราบกันดีว่าการสูญเสียการได้ยินมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิต และยังส่งผลต่อสภาพจิตใจอีกด้วย เพราะการสูญเสียการได้ยินทำให้เราตัดขาดการสื่อสารกับคนรอบข้างซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจได้

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

สนใจนัดหมาย

> กลับสู่สารบัญ

บทความล่าสุด

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร เลือกผ่าตัดแบบไหนให้เหมาะกับปัญหาข้อเข่าเสื่อม ของเรา?

อ่านเพิ่มเติม
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

เยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดจากอะไร รู้จักสังเกตอาการก่อนเป็นอันตรายถึงชีวิต

อ่านเพิ่มเติม
เลือดออกในสมอง

เข้าใจภาวะเลือดออกในสมอง วิกฤติสุขภาพที่อาจร้ายแรงถึงชีวิต

อ่านเพิ่มเติม
ดูบทความทั้งหมด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V

ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

  • Praram 9 Hospital
  • @praram9hospital

แพทย์ผู้เขียนบทความ

พญ.วรรนธนี อภิวัฒนเสวี

พญ.วรรนธนี อภิวัฒนเสวี

ศูนย์หู คอ จมูก

นัดหมาย

ประวัติเพิ่มเติม

 

ศูนย์แพทย์

ศูนย์หู คอ จมูก

ศูนย์หู คอ จมูก

เยี่ยมชม

ดูทั้งหมด

บทความอื่นๆ

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร เลือกผ่าตัดแบบไหนให้เหมาะกับปัญหาข้อเข่าเสื่อม ของเรา?

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ? สามารถแบ่งการผ่าตัดข้อเข่าเทียมออกเป็น 2 แบบหลัก ๆ คือผ่าตัดใส่ผิวข้อเข่าเทียมบางส่วน และการผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียมทั้งหมด

อ่านเพิ่มเติม
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

เยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดจากอะไร รู้จักสังเกตอาการก่อนเป็นอันตรายถึงชีวิต

เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) คือภาวะที่เยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังเกิดการอักเสบบวมจนก่อให้เกิดอาการผิดปกติ ซึ่งสาเหตุมีทั้งจากการติดเชื้อและไม่ใช่จากการติดเชื้อ

อ่านเพิ่มเติม
เลือดออกในสมอง

เข้าใจภาวะเลือดออกในสมอง วิกฤติสุขภาพที่อาจร้ายแรงถึงชีวิต

เลือดออกในสมอง (Intracerebral Hemorrhage) คือภาวะเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้เลือดไหลไปกดทับเนื้อเยื่อสมอง และเป็นสาเหตุของความพิการหรือเสียชีวิตในที่สุด

อ่านเพิ่มเติม
อ่านบทความทั้งหมด
Facebook-f Youtube Instagram Line
  • 1270
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • นัดหมาย
  • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ข่าว และกิจกรรม รพ.
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • นักลงทุนสัมพันธ์
  • การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
  • ร่วมงานกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • ข้อกำหนดและเงื่อนไข

Copyright © 2025 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา