Skip to content
  • EN
    • TH
    • CN
    • AR
  • EN
    • TH
    • CN
    • AR
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us
Menu
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us

Day: May 9, 2019

ด.เด็ก ดาวน์

กุมารเวช: ด.เด็ก ดาวน์ ด.เด็ก ดาวน์ ตัว ด.เด็ก ทำให้ผมนึกถึงเด็กที่เป็นดาวน์ โปรดสังเกตนะครับว่า คำว่า ดาวน์ นั้นมี น.หนู การันต์ มิได้เขียนว่า ดาว เฉยๆ ประเดี๋ยวจะทำให้คิดไปว่าผมกำลังจะเขียนถึงดาวจุฬา หรือดาวธรรมศาสตร์ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีหน้าตาจิ้มลิ้มสวยงามทั้งนั้น แต่เด็กดาวน์ที่ผมจะเขียนถึงนี้เป็นไปในทางตรงกันข้ามครับ เพราะจะเป็นเด็กที่มีปัญหาพิการมาแต่กำเนิด ผมเข้าใจว่าคุณท่านส่วนมากคงจะเคยเห็นเด็กดาวน์มาบ้างแล้วนะครับ เห็นหน้าปั๊บก็รู้เลยว่านี่แหละเด็กดาวน์ เพราะหน้าตาของเด็กดาวน์มีความคล้ายคลึงกันมากดุจดังเด็กแฝดกันมาเลยทีเดียว ฝรั่งเรียกหน้าตาเด็กดาวน์ว่าเป็นหน้าแบบชาวมองโกล จะเป็นเด็กชาติไหนๆ เมื่อเกิดมาเป็นดาวน์หน้าตาจะคล้ายกันทั้งสิ้น คือ ศีรษะเล็กแบน เพราะสมองมีขนาดเล็กตาเฉียงขึ้น ดั้งจมูกแบน ปากเล็ก ลิ้นคับปาก และมักยื่นออกมานอกปาก ตัวเตี้ย มือสั้น มักมีโรคหัวใจพิการหรือ มักมีโรคลำไส้อุดตันตั้งแต่ ลักษณะเหล่านี้แหละครับ ใครๆที่เคยเห็นก็จะบอกได้ทันทีแม้แต่เด็กแรกคลอด พอเห็นเด็กโผล่หน้าออกมาแพทย์หรือพยาบาลก็แทบจะบอกได้ทันทีว่าเป็นเด็กดาวน์ แต่ถ้าจะให้แน่ก็ต้องตรวจดูที่โครโมโซมครับ เพราะสาเหตุของการเป็นดาวน์นั้นเกิดขึ้นเพราะความผิดปกติของโครโมโซมนั่นเอง โดยปกติมนุษย์เรามีโครโมโซมทั้งหมด 46 ตัว ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีลักษณะเฉพาะของมัน มันจะจับกันอยู่เป็นคู่ๆ คู่ใคร คู่มัน และโครโมโซมแต่ละตัวจะเป็นตัวนำรหัสชีวิต หรือสารพันธุกรรมนับเป็นล้านๆหน่วย เพื่อถ่ายทอดในการสืบสายพันธุ์กันต่อๆไป แต่ถ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับโครโมโซมนั่นก็หมายความว่า ย่อมมีความผิดปกติทางพันธุกรรมเกิดขึ้น ความพิการของเด็กตั้งแต่กำเนิดก็จะเกิดขึ้นมาด้วย ดังเช่นกรณีของเด็กดาวน์ เป็นต้น ซึ่งมักจะพบว่าโครโมโซม คู่ที่ 21 มีจำนวนของโครโมโซมเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งตัว ทำให้แทนที่จะมีแค่ 46 ตัว กลับกลายเป็น 47 ตัว เรียกว่ามากตัวไปก็ไม่ดี ความผิดปกติชนิดนี้ พบได้บ่อยที่สุดมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ที่เป็นต้นเหตุของเด็กดาวน์ ดังนั้นการตรวจโครโมโซม เพื่อหาว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ตั้งแต่เด็กทารกยังอยู่ในครรภ์ของแม่จึงสามารถบอกได้ ถ้าหากชวนให้สงสัย และชวนให้ตรวจก็ควรจะได้รับการตรวจเป็นต้นว่า คุณแม่อายุมากแล้ว หรือเคยแท้งมาก่อนหลายครั้ง โดยเฉพาะการแท้งที่เกิดขึ้นเพราะตัวเด็กเองเป็นต้นเหตุ หากคุณมีลักษณะเข้าตามตำราแบบนี้ ก็ควรจะได้รับการตรวจดูโครโมโซมของทารกขณะที่ตั้งครรภ์ได้ประมาณห้าเดือน ด้วยการเจาะน้ำคร่ำเองเซลล์ของเด็กที่ปะปนอยู่ในน้ำคร่ำนั่นแหละมาตรวจหาโครโมโซม หากตรวจดูแล้วพบว่าปกติก็สบายใจไป แต่ถ้าพบว่าผิดปกติเด็กเป็นดาวน์แน่นอน ทีนี้ก็ต้องมานั่งคิดกันซีครับว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป ซึ่งส่วนมากแล้วมักจะไม่ขอเอาไว้ โดยขอให้แพทย์ช่วยคลอดเพื่อสิ้นสุดการตั้งครรภ์เสียก่อนที่เด็กจะโตจนสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกได้ แต่เอาละบางครั้งบางคราว และก็บ่อยไปที่คุณพ่อคุณแม่ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าลูกในครรภ์เป็นเด็กดาวน์ พอคลอดออกมาแล้วถึงจะรู้ก็อย่าเพิ่งท้อถอย หรือเอาลูกของคุณไปทิ้งไว้ที่อื่น แต่คุณยังพอมีหนทางนะครับที่จะช่วยเหลือลูกของคุณให้สามารถอยู่ในสังคมต่อไปได้ โดยที่คุณอย่าได้รอช้า เมื่อลูกดาวน์ของคุณอายุได้เดือนสองเดือน ก็ขอให้คุณได้ไปปรึกษาที่โรงพยาบาลราชานุกูลของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตั้งอยู่แถวดินแดง หรือต่างจังหวัดทุกภาคก็มีสถานที่ให้ความช่วยเหลืออยู่ เช่น ทางภาคเหนือที่เชียงใหม่ ภาคอีสานที่จังหวัดอุดรธานี ภาคใต้ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช หากคุณสงสัยว่าลูกคุณจะเป็นเด็กดาวน์ก็ขอได้โปรดปรึกษากับผู้ชำนาญการเสียก่อนนะครับ เพราะบางทีอาจจะไม่ใช่ก็ได้ อย่างกับเด็กคนหนึ่งที่พ่อแม่เข้าใจว่าเป็นปัญญาอ่อน ก็เลยเอาไปเข้าโรงเรียนปัญญาอ่อนแต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เพราะเมื่อแพทย์ได้ตรวจเด็กแล้วกลับกลายเป็นว่า เด็กมิได้ปัญญาอ่อนแต่อย่างใด แต่ตรงกันข้ามคุณหมอบอกว่าเด็กมีไอคิวสูงกว่าธรรมดาเข้าขั้นอัจฉริยะด้วยซ้ำไป รายการนี้เลยไม่รู้ว่า พ่อ แม่ หรือลูก ใครปัญญาอ่อนกันแน่…

Read More »

ลดอันตรายมะเร็งหู-คอ-จมูก

การตรวจหามะเร็งระยะแรก ทางหู-คอ-จมูก เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะในกลุ่มคน ที่มีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป คือ 1. ผู้ที่สืบเชื้อสายจากชาวจีนในตอนใต้ เช่น มณฑลกวางตุ้ง, ฟกเกี๋ยน, ไหหลำ เป็นต้น มีโอกาสเป็นมะเร็งของ ช่องหลังจมูก (Nasopharynx) สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า 2. ผู้ที่สูบบุหรี่จัดเป็นเวลาหลายปี รวมทั้งดื่มสุราด้วย มีโอกาสเป็นมะเร็งกล่องเสียง , ลำคอ มากกว่าคนที่ไม่สูบ บุหรี่เป็นร้อยเท่า 3. ผู้ที่ชอบเคี้ยวยาเส้น , เคี้ยวหมาก อาจเป็นมะเร็งของกระพุ้งแก้ม , ลิ้น และริมฝีปาก หรือเหงือกได้มาก 4. บุคคลที่ทำงานใกล้ชิดกับสารเคมี , สี , น้ำยาเคมี หรือน้ำมัน-ไฮโดรคาร์บอน มีส่วนเพิ่มของอัตราเสี่ยงเกี่ยว กับมะเร็งในช่องจมูก-ไซนัส วิธีการตรวจทาง หู-คอ-จมูก นอกจากการตรวจด้วยเครื่องมือปกติทั่วไปแล้ว ปัจจุบันมาตรฐานการตรวจสูง ขึ้น โดยการใช้กล้องใยแก้วชนิดขดเลื้อยได้ (Flexible Fiberoptic Rhino-laryngoscope) หรือที่แพทย์ มักจะเรียกกันว่า ENT-Scope (รูป 1) ENT-Scope ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.4 มิลลิเมตร จะตรวจได้ละเอียดตามซอกมุมในจมูก ลำคอ-กล่องเสียง ได้ดีกว่าใช้กระจกส่อง (รูป 2,3) ทำได้ง่ายใช้เวลาเพียง 2-3 นาที ก่อนตรวจจะต้องพ่นยาชาในจมูกและลำคอ เป็นที่ทราบกันในวงการแพทย์ว่าความผิดปกติของเยื่อบุลำคอ , กล่องเสียงที่เป็นฝ้าขาว Leukoplakia ซึ่งปล่อย ไว้จะกลายเป็นมะเร็งได้ (รูป 4) Leukoplakia สามารถตรวจพบได้ง่ายโดยใช้กล้องส่องนี้ดีกว่าทำ X-ray computer ซึ่งไม่สามารถจะบอกถึงความผิดปกติชนิดนี้ได้ ผู้ที่อยู่ในกลุ่มอัตราเสี่ยงสูง เมื่ออายุเกิน 35-40 ปีขึ้นไป สามารถส่องกล้องตรวจได้ทุกปี ส่วนคนทั่วไปอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป อาจตรวจได้ทุก 3-5 ปี ตามความเหมาะสม ประโยชน์ของการส่องด้วย ENT Scope ยังสามารถตรวจหาสาเหตุของผู้ที่เป็นหวัดเรื้อรัง มีเสลดลงคอบ่อย เช่น โรคโพรงจมูกอักเสบ โรคริดสีดวงจมูกระยะเริ่มแรก (รูป 5,6,7) สำหรับผู้ที่นอนกรน ENT Scope นี้สามารถนำมาตรวจโดยวิธี Muller’s Maneuver เพื่อตรวจหาจุดที่ตีบ แคบของลำคอ อันจะนำไปสู่การผ่าตัดรักษาโรคนอนกรนได้ จะเห็นได้ว่า การตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มแรกสำหรับอวัยวะส่วนต่างๆ ต้องทำด้วยความละเอียดพอเพียง และต้องทำต่อเนื่องสม่ำเสมอ จึงจะสามารถให้ประโยชน์สูงสุด ในการลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคร้ายเหล่า นี้ เพราะโรคมะเร็งในระยะเริ่มแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้ การซักประวัติเพื่อพิจารณาชนิดของการ ตรวจสำหรับ Check up ประจำปี จึงมีความสำคัญมาก ไม่ตรวจมากไปหรือน้อยไปและอย่างคุ้มค่าด้วย.

Read More »

ปัญหาของผู้สูงอายุ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ หู-คอ-จมูก

ปัญหาของผู้สูงอายุ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ หู-คอ-จมูก ที่สำคัญคือ คอ-จมูก นอนกรน กรณีเช่นนี้จำเป็นต้องรีบตรวจหาตำแหน่งที่เป็นสาเหตุของโรค โดยการใช้กล้อง Flexible ENT-scope ทำ Muller’s test (ภาพ 3) และการสังเกตตรวจจับความผิดปกติเวลานอน (Sleep study) การแพทย์ปัจจุบันเราสามารถแก้ไขเรื่องนอนกรน และทางเดินหายใจติดขัดเวลานอน โดยการผ่าตัดและ/หรือ การใช้เครื่องมือพิเศษอื่น ๆ ได้ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ และเป็นการแก้ไขที่ต้น เหตุที่แท้จริง . ผู้สูงอายุที่พบว่านอนกรนมาก กลางคืนนอนมีหายใจสะดุด ตื่นบ่อย หายใจติดขัด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุ นำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง , โรคหัวใจ สมอง-ความจำเสื่อม มีอาการเพลียเมื่อตื่นนอนตอนเช้า แม้จะนอน วันละ 7-8 ชั่วโมงก็ตาม สาเหตุจากทางเดินหายใจติดขัดเวลานอน (Obstructive sleep apnea) ทำให้ออกซิเจน ไปเลี้ยงสมองไม่พอ มีแก๊ส CO2 คั่งในร่างกายการตรวจสุขภาพประจำปี สำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้ที่มีเชื้อสายจีนตอนใต้ เช่น แต้จิ๋ว, กวางตุ้ง , ไหหลำ เป็นต้น และผู้ที่มีประวัติ สูบบุหรี่มาเป็นเวลาหลายปี แม้ขณะนี้จะหยุดสูบไปแล้วก็ตาม ควรได้รับการ ตรวจทาง หู-คอ-จมูก ร่วมกับการส่องกล้องตรวจช่องจมูก – กล่องเสียง (Flexible rhinonasopharyngo – laryngoscopy) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการตรวจหามะเร็งในช่อง-หลังจมูก และกล่องเสียง ถ้าเกิดพบความผิด ปกติ จะได้รับการรักษาในระยะต้นๆ มะเร็งในระยะต้นๆ ซื่งโอกาสรักษาให้หายขาดก็มีสูงขึ้น (ภาพ 2) การได้ยินลดลง – หูตึง อันตรายจากมะเร็งของช่องจมูก-คอ-กล่องเสียง เรื่องทางเดินหายใจติดขัดเวลานอน – นอนกรน ซึ่งมักจะถูกมองข้ามความสำคัญไป หูตึง คนอายุเกินกว่า 60-70 ปี อาจมีประสาทหูเสื่อมโดยเฉพาะในย่านความถี่สูง จะมากหรือน้อยนั้น บางส่วน เกี่ยวข้องกับทางกรรมพันธุ์ ผลกระทบต่อการได้ยินจะยิ่งรุนแรง ถ้าผู้สูงอายุนั้นเคยมีปัญหาเรื่องหูน้ำหนวก หรือเคยได้รับผลกระทบจากเสียงดังเกินขนาดมาก่อนในช่วงเยาว์วัย อาการหูตึง อาจแสดงออกในลักษณะต่างๆ กันเช่น 1. เวลาสนทนาในหมู่คนมากๆ จะฟังคำพูดลำบาก 2. ต้องอาศัยการมองริมฝีปากผู้พูด ถึงจะจับความได้ดีขึ้น 3. มีคนทักท้วงว่าฟังคำพูดผิดบ่อยๆ กว่าแต่ก่อน ก่อนใช้เครื่องขยายเสียง – เครื่องช่วยฟัง ควรตรวจการได้ยินโดยผู้ชำนาญเสียก่อน ผลการตรวจที่ละเอียดไม่เพียงแต่ทำให้เราสามารถเลือกเครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมแต่ยัสามารถช่วยตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้หูตึงได้ เช่น โรคของหูส่วนกลาง ซึ่งสามารถรักษา – ผ่าตัด ให้ดีขึ้นได้ ผู้สูงอายุถ้าการได้ยินเสื่อมลงอย่างรวดเร็วอาจมีสาเหตุอื่นๆ นอกจากประสาทหูเสื่อมตามอายุ เช่น การมีน้ำขัง

Read More »

ขี้หู…มาจากไหน

รูหูส่วนนอกเท่านั้นที่มีต่อมสร้างขี้หู ทำให้เราพบขี้หูอยู่รอบๆ ปากทางเข้ารูหู ซึ่งมีหน้าที่ดักฝุ่น , สิ่งสกปรกไม่ให้เข้าไปถึงเยื่อแก้วหู ธรรมชาติสร้างรูหูให้มีรูปร่างเป็นกรวย มีปากทางเข้ากว้างกว่ารูหูส่วนใน (ดังรูป) ขี้หูที่สะสมอยู่นี้ปกติจะแห้งหลุดออกมาได้เอง โดยไม่เคลื่อนตัวเข้าไปในส่วนลึกๆ ของรูหู จึงไม่จำเป็นที่คนจะต้องแคะหูหรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดหู เพราะบ่อยครั้งอาจจะดันให้ขี้หูเข้าไปสะสมในรูหูส่วนใน หรือทำให้รูหูถลอก อักเสบ-ติดเชื้อได้ หนังหุ้มรูหูส่วนในนั้นเปราะบางมาก เวลาแหย่หูลึกๆ ถ้ากระแทกโดนจะเจ็บมาก หลายคนเข้าใจผิดว่า ควรต้องเช็ดรูหูให้สะอาดเสมอ หรือเช็ดหูด้วยไม้พันสำลีหลังอาบน้ำทุกครั้ง แต่จริงๆ แล้ว มีขี้หูเคลือบรูหูบ้างจะดีกว่า เพราะว่ายิ่งเช็ดหรือแคะหูมาก รูหูจะยิ่งแห้งและคันหูได้มากกว่า หลังอาบน้ำหรือสระผม ถ้าน้ำเปียกหู อาจใช้ไม้พันสำลีชนิดเนื้อแน่น ขนาดเล็ก ซับน้ำที่ปากรูหูนิดหน่อยก็พอ ถ้าน้ำเข้าหูเป็นชั่วโมงแล้วยังไม่ออกมา – หูยังอื้ออยู่ ส่วนใหญ่เป็นเพราะมีขี้หูในส่วนลึกของรูหูซึ่งอมน้ำไว้ กรณีเช่นนี้ควรให้แพทย์ หู-คอ-จมูก ตรวจทำความสะอาดหู แพทย์อาจล้างหูด้วยการฉีดน้ำ หรือใช้เครื่องดูดขี้หู แล้วแต่ความเหมาะสม ผู้ที่มีปัญหาขี้หูมาก หรือขี้หูแห้ง – คันหูมาก หลังจากให้แพทย์ทำความสะอาดหูแล้วอาจใช้น้ำมันพวก GLYCERINE, BABY OIL หยอดหูอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยชะล้างรูหูให้สะอาดขึ้นได้ วิธีนี้ใช้ได้ดีกับเด็กเล็กๆ เพราะรูหูเล็ก เช็ดก็ยาก แคะก็ยาก ถ้าคันหูบ่อยๆ สิ่งที่ควรกระทำ คือ 1. งดแคะหู หรือ ใช้ไม้พันสำลีปั่นหู 2. ให้แพทย์ทำความสะอาดหู แล้วใช้น้ำมันหยอดหูเป็นประจำ 3. ถ้าเป็นโรคผิวหนังที่รูหู เช่น Seborrheic dermatitis แพทย์จะให้ป้ายยา – หยอดยาที่มี Cortisone ผสมอยู่ ถ้าเจ็บหู รูหูอักเสบบ่อย ควรปฏิบัติเพิ่มเติมจากปัญหาคันหู คือ 1. อย่าใช้นิ่วแหย่หูเด็ดขาด เพราะขอบเล็กที่ปลายนิ้วจะทำให้รูหูถลอก ติดเชื้อ และอักเสบได้ง่าย 2. ให้แพทย์ตรวจ ทำความสะอาดหูปีละ 2-3 ครั้ง ไม่ให้ขี้หูค้างในรูหู 3. หลังว่ายน้ำทุกครั้ง ควรหยอดหูด้วย น้ำส้มสายชู (2% Acetic acid) หรือ น้ำส้มสายชูผสมแอลกอฮอล์ (1:1) ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ ทั้งแบคทีเรียและ เชื้อรา

Read More »

โคนนิ้วโป้งเหมือนปูดขึ้นมา ไม่ปวด ไม่เจ็บ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรครับ

ศัลยกรรมกระดูก: โคนนิ้วโป้งเหมือนปูดขึ้นมา ไม่ปวด ไม่เจ็บ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรครับ คำถาม ที่บริเวณข้อมือด้านในกระดูกตรงโคนนิ้วโป้งเหมือนปูดขึ้นมา ไม่ปวด ไม่เจ็บ แต่ไปเทียบกับของเพื่อนๆ แล้วเหมือนของเราจะปูดมากกว่าปกติ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรครับ ลักษณะจะแข็งๆ กดไม่ลงด้วยครับ คำตอบ โดย นายแพทย์วิเชียร กาญจนภูมิ (ศัลยกรรมกระดูก) น่าจะเป็นถุงน้ำของเยื่อบุข้อ หรือเยื่อบุเส้นเอ็นครับ หรืออาจจะเป็นหินปูนเกาะที่ข้อของโคนนิ้วโป้ง ควรจะได้รับการตรวจและเอ็กซเรย์ครับ

Read More »

Facial Design

ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก รอยย่น รูปหน้าไม่สมส่วน สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการรักษาในปัจจุบันด้วยสารที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยเฉพาะ ที่เรียกว่า Filler Filler คืออะไร ก็คือ สารที่ใช้ฉีดเพื่อเติมหรือเสริมในชั้นผิวหนัง หรือใต้จากผิวหนัง เพื่อช่วยลดแก้ไข ปัญหาบางประการของผิวหนัง เช่น รอยย่นจากวัย รอยย่นที่เกิดจากแสงแดด แผลเป็นชนิดหลุมหรือเสริมในบริเวณที่ขาด เช่น ร่องแก้ม ริมฝีปาก คาง และจมูก เป็นต้น ใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนบกพร่องของใบหน้า เช่น ความหย่อนคล้อย ร่องลึก แก้มตอบ หน้าลึกโหล หรือกรณีโครงหน้าแลดูมีอายุมาก และตัวสารปลอดภัยได้รับการรับรองจาก อย. นวัตกรรมที่แพทย์ผิวหนังและคนใช้เลือกใช้ทั่วโลก สาร Filler ที่ไม่ได้สกัดมาจากสัตว์จึงไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ นอกจากนี้โครงสร้างเจลได้ถูกออกแบบให้เสถียรคงทนมีคุณสมบัติยกตัวเติมร่องได้สูงเมื่อเข้าสู่ผิวหนัง และอยู่ได้นานเพราะเป็นสารธรรมชาติ จึงปลอดภัยและนำมาใช้ฉีดเติมเข้าผิวหนัง หรือเรียกว่า Demal Filler ซึ่งเห็นผลทันทีหลังการรักษาทำให้เป็นที่นิยมและใช้มากกว่า 10 ล้านทรีทเมนต์ทั่วโลก เพราะเป็นสารธรรมชาติจึงคงตัวเหมือนธรรมชาติ นั่นคือ ตัวสารจะค่อยๆ ถูกย่อยดูดซึมไปบ้างและดูดน้ำเข้ามาแทนที่ในผิวหนัง หากเจลยิ่งมีขนาดเม็ดเจลใหญ่จะยิ่งคงอยู่ได้นาน เช่น โดยทั่วไป Restylane อยู่ได้ 6-12 เดือนPertone 9-18 เดือนSub Qกว่า 2 ปีขึ้นไป เป็นต้น ทุกตัวได้รับการรับรองจาก อย.ไทย และสหรัฐอเมริกา (FDA APPROVED)และควรได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางเพื่อความปลอดภัยในเทคนิค และความสะอาดปลอดภัย ผลข้างเคียงที่พบได้บ้าง เช่น รอยเข็ม รอยซ้ำ ซึ่งพบได้บางโอกาสและหายได้เองตามธรรมชาติ

Read More »

รักษาโรคมะเร็งวิธีใหม่ ด้วยภูมิต้านทาน

(น.พ.วิโรจน์ เหล่าสุนทรสิริ) ปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความรู้ใหม่ๆ และยารุ่นใหม่ที่ ถูกนำมาใช้เพื่อประสิทธิผลการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งมีมากขึ้น ยาเดิมๆ ที่เคยใช้อยู่ก็กำลังเริ่มใช้น้อยลง ขณะ เดียวกันยาที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เริ่มแสดงบทบาทสำคัญในการรักษาโรคมะเร็งร้ายเหล่านี้อย่างชัดเจนขึ้น ความหลากหลายของการรักษาโรคเหล่านี้มีมากก็จริงอยู่ แต่ที่แพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกให้ความสำคัญ ถึง หรือฝากความหวังว่า “การเปลี่ยนแปลงภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทานของร่างกาย” อาจจะมีประสิทธิผลใน การรักษาโรคมะเร็งให้หาย หรือรักษาให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวออกไปได้ การรักษาเหล่านี้มักจะมีผลข้าง เคียงน้อยลง แต่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เพื่อที่จะนำผู้อ่านให้เข้าใจถึงบทบาทของการใช้ภูมิต้านทาน (Immune) ในการรักษาโรคมะเร็งเป็นอย่าง ไรนั้น เรามาเข้าใจถึง Concept ของภูมิต้านทาน (Immune) ต่อเซลล์มะเร็งเป็นอย่างไรก่อน ปัจจุบันเรายังมีความเชื่อว่าเซลล์ของคนนั้นอาจจะกลายพันธุ์ หรือเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ ด้วยผลจากยีนส์ที่ผิดปกติ หรือจากสิ่งแวดล้อมข้างเคียง (Environment) แต่เนื่องจากร่างกายมีเซลล์ภูมิต้านทาน (Cellular Immune System) ที่คอยตรวจสอบทั่วไป เมื่อเซลล์ภูมิต้านทานเหล่านี้พบเซลล์ที่กำลังกลายพันธุ์ไปเป็น มะเร็งนั้น เซลล์ภูมิคุ้มกันก็จะเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งเหล่านี้เพื่อไม่ให้มีโอกาสขยายพันธุ์ได้ต่อไป เป็นการ ควบคุมการกลายพันธุ์ของเซลล์ในร่างกาย แต่หากว่าร่างกายมีเซลล์ภูมิต้านทานที่ผิดปกติ เช่น เกิดจากความ ผิดปกติของภูมิต้านทานอย่างไม่มีสาเหตุ , การติดโรคเอดส์ , อัตราการเกิดโรคมะเร็งในผู้ป่วยเหล่านี้จะมีสูง มากกว่าคนปกติอย่างชัดเจน ในการรักษาโรคมะเร็งด้วยยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) , วงการแพทย์เชื่อว่า ยาเคมีบำบัดไม่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้หมดเอง แต่จะช่วยลดจำนวนเซลล์เหล่านี้ให้เหลือน้อยมากๆ จนเซลล์ ภูมิต้านทานสามารถจะกำจัดเซลล์มะเร็งได้หมด ซึ่งเป็นผลทำให้ผู้ป่วยสามารถหายขาดจากโรคมะเร็ง (Curable) เหล่านั้นได้ แนวคิดเรื่องการปรับปรุงเพิ่มภูมิต้านทานต่อเซลล์มะเร็งจึงเป็นงานที่มีผู้สนใจ และศึกษากันอย่าง กว้างขวาง และนำมาใช้ในทางคลินิกเพื่อรักษาโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น วิธีที่มีในปัจจุบันอาจจะยังแยกออกอย่างชัดเจนไม่ได้ ผู้เขียนขอสรุปแนวทางการรักษาโรคมะเร็งด้วย การเปลี่ยนแปลงทางภูมิต้านทานอย่างคร่าว ๆ ให้เห็นภาพรวมอย่างชัดเจน การปลูกถ่ายเซลล์ไขกระดูก และการให้เซลล์ภูมิต้านทานในการรักษาโรคมะเร็ง การปลูกถ่ายเซลล์ไขกระดูกปัจจุบันทำได้ง่ายกว่าเดิมมาก เนื่องจากเรามีความรู้เกี่ยวกับเซลล์ต้น กำเนิด (Stem Cell) อย่างมากมาย เราสามารถนำเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) มาขยายจำนวนได้ในหลอด ทดลองแล้วนำไปให้ผู้ป่วยได้ Stem Cell นี้สามารถนำมาจากการคัดกรองเม็ดเลือดขาวของผู้บริจาค (Donor) โดยเพียงแต่ให้เลือดผ่านเข้าเครื่องปั่น และคัดกรองเม็ดเลือด (Apheresis) หรืออาจจะเก็บจากเลือดของสาย สะดือและรก (Umbilical Cord Blood) ในกรณีจากผู้บริจาค (Donor) เราไม่จำเป็นต้องเจาะโดยตรงจากไขกระดูก ของผู้บริจาค แล้ว Stem Cell ที่ได้จากการทำ Apheresis จะให้ผลที่ดีในผู้ป่วย (Recipient) ในการเข้าไปเจริญ เติบโต และทดแทนไขกระดูกของผู้ป่วยได้อย่างดีและรวดเร็วกว่า การปลูกถ่ายเซลล์ไขกระดูกจะมีบทบาทมาก ในการรักษาโรคมะเร็งของเม็ดเลือดทั้งแบบเรื้อรัง และเฉียบพลัน (Chronic and acute Leukemia) และโรค มะเร็งของต่อมน้ำเหลือง (Hodgkin’s and Non-Hodgkin’s Lymphome) เป็นส่วนใหญ่ ความเชื่อเนื่องจากการ ให้ยาเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งร่วมกับการให้เซลล์ภูมิต้านทาน (T-Cell) จะสามารถช่วยกำจัดเซลล์มะเร็งออก ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเซลล์ภูมิต้านทานของผู้ป่วยเอง ไม่มีความสามารถที่จะกำจัดเซลล์มะเร็ง เหล่านั้นออกไปได้ ต้องใช้เซลล์ภูมิต้านทาน (T – Cell) จาก Donor เพื่อไปฆ่า หรือ ควบคุมเซลล์มะเร็งอย่าง ได้ผล สิ่งที่ได้รับความสนใจในเรื่องการปลูกถ่ายเซลล์นี้ คือ ขบวนการของ “Non-myeloabative Stem cell Transplantation” ในการรักษาโรคมะเร็ง วิธีนี้บางทีเราเรียกแบบเล่น ๆ ว่า “Mini Transplantation” เพราะ ขบวนการมีเพียงแต่การให้ยากดภูมิคุ้มกันในผู้ป่วย เพื่อให้เราสามารถที่จะนำเอาเซลล์ภูมิต้านทาน (T – Cell) ใส่เข้าไปในผู้ป่วย และให้ขยายตัว เพื่อไปทำลายหรือควบคุมเซลล์มะเร็งตามทฤษฎีของภูมิต้านทานต่อโรค มะเร็ง ขบวนการนี้พบว่าจะมีผลข้างเคียงที่น้อยกว่าการปลูกถ่ายเซลล์ไขกระดูกอย่างเดิมอย่างมาก เพราะไม่ ต้องใช้ยาเคมีบำบัดในขนาดที่สูง และทำให้อัตราตายในระยะแรกของการรักษาต่ำลงอย่างชัดเจน การทำ Minitransplant เพียงแต่ปรับร่างกายของผู้ป่วยให้ยอมรับเซลล์จาก Donor ได้ในขนาดที่พอเหมาะ เพื่อให้ T-Cell เติบโตและทำลายเซลล์มะเร็งร้ายออกไปจากร่างกาย, การทำการรักษาวิธีนี้จะต้องหา Donor ที่เหมาะสม จึงจะทำให้ผลการรักษาออกมาดี รายงานที่แสดงถึงประโยชน์ของการทำ Minitransplant นี้มีเพิ่มขึ้น ทั้งในการ รักษาโรคมะเร็งของเม็ดเลือดขาว ทั้งแบบเรื้อรังและเฉียบพลัน มะเร็งของต่อมน้ำเหลือง และรายงานล่าสุด ที่แสดงถึงความสามารถที่จะควบคุมโรคมะเร็งของไตที่แพร่กระจายได้อย่างดี ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของ Mini- transplant คือ สามารถทำการรักษาได้ในผู้ป่วยที่มีอายุเกิน 50 ปีได้ เพราะเดิมการทำ Stem Cell transplant ในผู้ป่วยเกิน50 – 55 ปี มักจะมีอัตราตายที่สูงมาก การใช้สารภูมิต้านทาน (Passive antibody) ในการรักษาโรคมะเร็ง ปัจจุบันนี้มีสารภูมิต้านทาน (Antibody) ใหม่ๆ ที่มีบทบาทในการรักษาโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ ที่เห็นว่ามีการนำมาใช้มาก คือ การรักษาโรคมะเร็งเต้านม และ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง การใช้สารภูมิต้านทานในการรักษามะเร็งเต้านม – บทบาทของ antibody ต่อ Growth factor receptor, ที่ชื่อว่า Her-2/Neu มีมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะว่ามะเร็งของเต้านมพบมากในสตรี และเป็นโรคที่สามารถรักษา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Read More »

ศัลยกรรมตกแต่ง: ควรทำช่วงอายุไหน, อายุ 47 ปี จะดูดไขมันหน้าท้องได้หรือไม่

ศัลยกรรมตกแต่ง: ควรทำช่วงอายุไหน, อายุ 47 ปี จะดูดไขมันหน้าท้องได้หรือไม่ คำถาม – การทำศัลยกรรมควรทำศัลยกรรมตกแต่งช่วงอายุไหน – อายุ 47 ปี จะดูดไขมันหน้าท้องได้หรือไม่ คำตอบ โดย แพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง – ไม่สามารถทำได้ทุกคน ถึงแม้อายุจะมากขึ้นก็ตาม เป็นปัญหาเฉพาะตัวของแต่ละคน แต่อย่างน้อยถ้าทำเพื่อความสวยงามควรรอให้บรรลุนิติภาวะพอที่จะตัดสินใจด้วยตนเองได้ นอกจากนี้บางคนก็ไม่เหมาะสมจะทำศัลยกรรมตกแต่ง ถ้าสภาพจิตใจหรือบุคลิกบางอย่างไม่เหมาะสม เพราะถึงทำไปแล้วก็มักไม่พอใจ ทั้งนี้เป็นเรื่องของจิตใจเป็นใหญ่ แต่ถ้าแก้ไขความพิการสามารถทำได้ตั้งแต่เด็ก แล้วแต่ชนิดของความพิการ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวของท่านก่อน – ควรให้แพทย์ตรวจร่างกายก่อน หน้าท้องย้อยมีสาเหตุจากอะไร ไม่ใช่จะไปดูดไขมันเลย ถ้าแก้ไขไม่ตรงจุดก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ทั้งนี้ทั้งข้อ 1 และ 2 ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวของท่านหรือแพทย์ประจำครอบครัว หรือแพทย์ประจำที่ทำงานก่อนแล้วให้แพทย์ท่านนั้นแนะนำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่เหมาะสมต่อไป ท่านสามารถปรึกษาแพทย์หลายท่านก็ได้ถ้าต้องการความมั่นใจ ไม่ควรปรึกษาตามรายการวิทยุหรือหนังสือพิมพ์อย่างเดียว

Read More »

การทำไอออนโต คืออะไรคะ ช่วยอะไรกับผิวหนังได้บ้างคะ

ผิวหนัง: การทำไอออนโต คืออะไรคะ ช่วยอะไรกับผิวหนังได้บ้างคะ คำถามจากคุณประภานี การทำไอออนโต คืออะไรคะ ช่วยอะไรกับผิวหนังได้บ้างคะ คำตอบ โดย นายแพทย์สมชัย ลีลาศิริวงศ์ Iontophoresis คือ อุปกรณ์ที่สร้างคลื่นไฟฟ้ากระแสตรงอ่อนๆ เพื่อช่วยให้ยาที่ใช้ทาบนใบหน้าสามารถดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น มีการนำมาใช้กับยารักษาสิว, ฝ้า หลายชนิด เช่น กรดวิตามินเอ , กรดวิตามินซี เป็นต้น ส่วนผลการรักษายังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ บ้างก็ว่าได้ผลดี บ้างก็เห็นว่าได้ผลพอๆ กับการทายาธรรมดาโดยไม่ต้องใช้ Ioutophoresis แต่ที่แน่ๆ ก็คือ การใช้ยาด้วย Iontophoresis ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงจะปลอดภัยครับ

Read More »

ผิวหนัง: เวลาเป็นแผลเป็นจะเป็นรอยนูน ควรจะรักษาด้วยวิธีใด

ผิวหนัง: เวลาเป็นแผลเป็นจะเป็นรอยนูน ควรจะรักษาด้วยวิธีใด คำถามจากคุณอำนวย-ลาดพร้าว เวลาเกิดแผลตามร่างกาย เช่น ผ่าตัด เวลาแผลหายแล้วจะมีรอยแผลเป็นนูน บางคนไม่เป็นไม่ทราบเกิดจากสาเหตุอะไร และถ้าอยากให้รอยแผลเป็นนูนหายควรจะรักษาด้วยวิธีใด มีโอกาสมากน้อยแค่ไหน คำตอบ โดย นายแพทย์สมชัย ลีลาศิริวงศ์ แผลเป็นที่นูนขึ้นขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุด เรียกว่า คีลอยด์ (Keloid) ครับ การเกิด Keloid ขึ้นอยู่กับความลึกของบาดแผล, ตำแหน่งของแผล เช่น หน้าอก , แผ่นหลังส่วนบน , ติ่งหูด เป็นต้น และแนวโน้มที่จะเป็นแผลเป็นของคนไข้บางคนเอง วิธีรักษาทำได้หลายอย่าง เช่น การทายา , ฉีดยาเข้าแผลเป็น , ใช้แผ่นปิดรักษาแผลเป็น , จี้ด้วยความเย็น หรือ การฉายเลเซอร์ เป็นต้น แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ การรักษาทำให้แผลเป็นยุบหรือราบลงเท่านั้น ไม่สามารถทำให้แผลเป็นกลับมาเป็นผิวปกติได้ และมีโอกาสนูนขึ้นมาใหม่ในภายหลัง ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีใดก็ตาม

Read More »
Page1 Page2 Page3 Page4 Page5 Page6

ด.เด็ก ดาวน์

กุมารเวช: ด.เด็ก ดาวน์ ด.เด็ก ดาวน์ ตัว ด.เด็ก ทำให้ผมนึกถึงเด็กที่เป็นดาวน์ โปรดสังเกตนะครับว่า คำว่า ดาวน์ นั้นมี น.หนู การันต์ มิได้เขียนว่า ดาว เฉยๆ ประเดี๋ยวจะทำให้คิดไปว่าผมกำลังจะเขียนถึงดาวจุฬา หรือดาวธรรมศาสตร์ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีหน้าตาจิ้มลิ้มสวยงามทั้งนั้น แต่เด็กดาวน์ที่ผมจะเขียนถึงนี้เป็นไปในทางตรงกันข้ามครับ เพราะจะเป็นเด็กที่มีปัญหาพิการมาแต่กำเนิด ผมเข้าใจว่าคุณท่านส่วนมากคงจะเคยเห็นเด็กดาวน์มาบ้างแล้วนะครับ เห็นหน้าปั๊บก็รู้เลยว่านี่แหละเด็กดาวน์ เพราะหน้าตาของเด็กดาวน์มีความคล้ายคลึงกันมากดุจดังเด็กแฝดกันมาเลยทีเดียว ฝรั่งเรียกหน้าตาเด็กดาวน์ว่าเป็นหน้าแบบชาวมองโกล จะเป็นเด็กชาติไหนๆ เมื่อเกิดมาเป็นดาวน์หน้าตาจะคล้ายกันทั้งสิ้น คือ ศีรษะเล็กแบน เพราะสมองมีขนาดเล็กตาเฉียงขึ้น ดั้งจมูกแบน ปากเล็ก ลิ้นคับปาก และมักยื่นออกมานอกปาก ตัวเตี้ย มือสั้น มักมีโรคหัวใจพิการหรือ มักมีโรคลำไส้อุดตันตั้งแต่ ลักษณะเหล่านี้แหละครับ ใครๆที่เคยเห็นก็จะบอกได้ทันทีแม้แต่เด็กแรกคลอด พอเห็นเด็กโผล่หน้าออกมาแพทย์หรือพยาบาลก็แทบจะบอกได้ทันทีว่าเป็นเด็กดาวน์ แต่ถ้าจะให้แน่ก็ต้องตรวจดูที่โครโมโซมครับ เพราะสาเหตุของการเป็นดาวน์นั้นเกิดขึ้นเพราะความผิดปกติของโครโมโซมนั่นเอง โดยปกติมนุษย์เรามีโครโมโซมทั้งหมด 46 ตัว ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีลักษณะเฉพาะของมัน มันจะจับกันอยู่เป็นคู่ๆ คู่ใคร คู่มัน และโครโมโซมแต่ละตัวจะเป็นตัวนำรหัสชีวิต หรือสารพันธุกรรมนับเป็นล้านๆหน่วย เพื่อถ่ายทอดในการสืบสายพันธุ์กันต่อๆไป แต่ถ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับโครโมโซมนั่นก็หมายความว่า ย่อมมีความผิดปกติทางพันธุกรรมเกิดขึ้น ความพิการของเด็กตั้งแต่กำเนิดก็จะเกิดขึ้นมาด้วย ดังเช่นกรณีของเด็กดาวน์ เป็นต้น ซึ่งมักจะพบว่าโครโมโซม คู่ที่ 21 มีจำนวนของโครโมโซมเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งตัว ทำให้แทนที่จะมีแค่ 46 ตัว กลับกลายเป็น 47 ตัว เรียกว่ามากตัวไปก็ไม่ดี ความผิดปกติชนิดนี้ พบได้บ่อยที่สุดมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ที่เป็นต้นเหตุของเด็กดาวน์ ดังนั้นการตรวจโครโมโซม เพื่อหาว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ตั้งแต่เด็กทารกยังอยู่ในครรภ์ของแม่จึงสามารถบอกได้ ถ้าหากชวนให้สงสัย และชวนให้ตรวจก็ควรจะได้รับการตรวจเป็นต้นว่า คุณแม่อายุมากแล้ว หรือเคยแท้งมาก่อนหลายครั้ง โดยเฉพาะการแท้งที่เกิดขึ้นเพราะตัวเด็กเองเป็นต้นเหตุ หากคุณมีลักษณะเข้าตามตำราแบบนี้ ก็ควรจะได้รับการตรวจดูโครโมโซมของทารกขณะที่ตั้งครรภ์ได้ประมาณห้าเดือน ด้วยการเจาะน้ำคร่ำเองเซลล์ของเด็กที่ปะปนอยู่ในน้ำคร่ำนั่นแหละมาตรวจหาโครโมโซม หากตรวจดูแล้วพบว่าปกติก็สบายใจไป แต่ถ้าพบว่าผิดปกติเด็กเป็นดาวน์แน่นอน ทีนี้ก็ต้องมานั่งคิดกันซีครับว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป ซึ่งส่วนมากแล้วมักจะไม่ขอเอาไว้ โดยขอให้แพทย์ช่วยคลอดเพื่อสิ้นสุดการตั้งครรภ์เสียก่อนที่เด็กจะโตจนสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกได้ แต่เอาละบางครั้งบางคราว และก็บ่อยไปที่คุณพ่อคุณแม่ไม่รู้ตัวมาก่อนว่าลูกในครรภ์เป็นเด็กดาวน์ พอคลอดออกมาแล้วถึงจะรู้ก็อย่าเพิ่งท้อถอย หรือเอาลูกของคุณไปทิ้งไว้ที่อื่น แต่คุณยังพอมีหนทางนะครับที่จะช่วยเหลือลูกของคุณให้สามารถอยู่ในสังคมต่อไปได้ โดยที่คุณอย่าได้รอช้า เมื่อลูกดาวน์ของคุณอายุได้เดือนสองเดือน ก็ขอให้คุณได้ไปปรึกษาที่โรงพยาบาลราชานุกูลของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตั้งอยู่แถวดินแดง หรือต่างจังหวัดทุกภาคก็มีสถานที่ให้ความช่วยเหลืออยู่ เช่น ทางภาคเหนือที่เชียงใหม่ ภาคอีสานที่จังหวัดอุดรธานี ภาคใต้ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช หากคุณสงสัยว่าลูกคุณจะเป็นเด็กดาวน์ก็ขอได้โปรดปรึกษากับผู้ชำนาญการเสียก่อนนะครับ เพราะบางทีอาจจะไม่ใช่ก็ได้ อย่างกับเด็กคนหนึ่งที่พ่อแม่เข้าใจว่าเป็นปัญญาอ่อน ก็เลยเอาไปเข้าโรงเรียนปัญญาอ่อนแต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เพราะเมื่อแพทย์ได้ตรวจเด็กแล้วกลับกลายเป็นว่า เด็กมิได้ปัญญาอ่อนแต่อย่างใด แต่ตรงกันข้ามคุณหมอบอกว่าเด็กมีไอคิวสูงกว่าธรรมดาเข้าขั้นอัจฉริยะด้วยซ้ำไป รายการนี้เลยไม่รู้ว่า พ่อ แม่ หรือลูก ใครปัญญาอ่อนกันแน่…

Read More »

ลดอันตรายมะเร็งหู-คอ-จมูก

การตรวจหามะเร็งระยะแรก ทางหู-คอ-จมูก เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะในกลุ่มคน ที่มีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป คือ 1. ผู้ที่สืบเชื้อสายจากชาวจีนในตอนใต้ เช่น มณฑลกวางตุ้ง, ฟกเกี๋ยน, ไหหลำ เป็นต้น มีโอกาสเป็นมะเร็งของ ช่องหลังจมูก (Nasopharynx) สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า 2. ผู้ที่สูบบุหรี่จัดเป็นเวลาหลายปี รวมทั้งดื่มสุราด้วย มีโอกาสเป็นมะเร็งกล่องเสียง , ลำคอ มากกว่าคนที่ไม่สูบ บุหรี่เป็นร้อยเท่า 3. ผู้ที่ชอบเคี้ยวยาเส้น , เคี้ยวหมาก อาจเป็นมะเร็งของกระพุ้งแก้ม , ลิ้น และริมฝีปาก หรือเหงือกได้มาก 4. บุคคลที่ทำงานใกล้ชิดกับสารเคมี , สี , น้ำยาเคมี หรือน้ำมัน-ไฮโดรคาร์บอน มีส่วนเพิ่มของอัตราเสี่ยงเกี่ยว กับมะเร็งในช่องจมูก-ไซนัส วิธีการตรวจทาง หู-คอ-จมูก นอกจากการตรวจด้วยเครื่องมือปกติทั่วไปแล้ว ปัจจุบันมาตรฐานการตรวจสูง ขึ้น โดยการใช้กล้องใยแก้วชนิดขดเลื้อยได้ (Flexible Fiberoptic Rhino-laryngoscope) หรือที่แพทย์ มักจะเรียกกันว่า ENT-Scope (รูป 1) ENT-Scope ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.4 มิลลิเมตร จะตรวจได้ละเอียดตามซอกมุมในจมูก ลำคอ-กล่องเสียง ได้ดีกว่าใช้กระจกส่อง (รูป 2,3) ทำได้ง่ายใช้เวลาเพียง 2-3 นาที ก่อนตรวจจะต้องพ่นยาชาในจมูกและลำคอ เป็นที่ทราบกันในวงการแพทย์ว่าความผิดปกติของเยื่อบุลำคอ , กล่องเสียงที่เป็นฝ้าขาว Leukoplakia ซึ่งปล่อย ไว้จะกลายเป็นมะเร็งได้ (รูป 4) Leukoplakia สามารถตรวจพบได้ง่ายโดยใช้กล้องส่องนี้ดีกว่าทำ X-ray computer ซึ่งไม่สามารถจะบอกถึงความผิดปกติชนิดนี้ได้ ผู้ที่อยู่ในกลุ่มอัตราเสี่ยงสูง เมื่ออายุเกิน 35-40 ปีขึ้นไป สามารถส่องกล้องตรวจได้ทุกปี ส่วนคนทั่วไปอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป อาจตรวจได้ทุก 3-5 ปี ตามความเหมาะสม ประโยชน์ของการส่องด้วย ENT Scope ยังสามารถตรวจหาสาเหตุของผู้ที่เป็นหวัดเรื้อรัง มีเสลดลงคอบ่อย เช่น โรคโพรงจมูกอักเสบ โรคริดสีดวงจมูกระยะเริ่มแรก (รูป 5,6,7) สำหรับผู้ที่นอนกรน ENT Scope นี้สามารถนำมาตรวจโดยวิธี Muller’s Maneuver เพื่อตรวจหาจุดที่ตีบ แคบของลำคอ อันจะนำไปสู่การผ่าตัดรักษาโรคนอนกรนได้ จะเห็นได้ว่า การตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มแรกสำหรับอวัยวะส่วนต่างๆ ต้องทำด้วยความละเอียดพอเพียง และต้องทำต่อเนื่องสม่ำเสมอ จึงจะสามารถให้ประโยชน์สูงสุด ในการลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคร้ายเหล่า นี้ เพราะโรคมะเร็งในระยะเริ่มแรกสามารถรักษาให้หายขาดได้ การซักประวัติเพื่อพิจารณาชนิดของการ ตรวจสำหรับ Check up ประจำปี จึงมีความสำคัญมาก ไม่ตรวจมากไปหรือน้อยไปและอย่างคุ้มค่าด้วย.

Read More »

ปัญหาของผู้สูงอายุ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ หู-คอ-จมูก

ปัญหาของผู้สูงอายุ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ หู-คอ-จมูก ที่สำคัญคือ คอ-จมูก นอนกรน กรณีเช่นนี้จำเป็นต้องรีบตรวจหาตำแหน่งที่เป็นสาเหตุของโรค โดยการใช้กล้อง Flexible ENT-scope ทำ Muller’s test (ภาพ 3) และการสังเกตตรวจจับความผิดปกติเวลานอน (Sleep study) การแพทย์ปัจจุบันเราสามารถแก้ไขเรื่องนอนกรน และทางเดินหายใจติดขัดเวลานอน โดยการผ่าตัดและ/หรือ การใช้เครื่องมือพิเศษอื่น ๆ ได้ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ และเป็นการแก้ไขที่ต้น เหตุที่แท้จริง . ผู้สูงอายุที่พบว่านอนกรนมาก กลางคืนนอนมีหายใจสะดุด ตื่นบ่อย หายใจติดขัด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุ นำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง , โรคหัวใจ สมอง-ความจำเสื่อม มีอาการเพลียเมื่อตื่นนอนตอนเช้า แม้จะนอน วันละ 7-8 ชั่วโมงก็ตาม สาเหตุจากทางเดินหายใจติดขัดเวลานอน (Obstructive sleep apnea) ทำให้ออกซิเจน ไปเลี้ยงสมองไม่พอ มีแก๊ส CO2 คั่งในร่างกายการตรวจสุขภาพประจำปี สำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้ที่มีเชื้อสายจีนตอนใต้ เช่น แต้จิ๋ว, กวางตุ้ง , ไหหลำ เป็นต้น และผู้ที่มีประวัติ สูบบุหรี่มาเป็นเวลาหลายปี แม้ขณะนี้จะหยุดสูบไปแล้วก็ตาม ควรได้รับการ ตรวจทาง หู-คอ-จมูก ร่วมกับการส่องกล้องตรวจช่องจมูก – กล่องเสียง (Flexible rhinonasopharyngo – laryngoscopy) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการตรวจหามะเร็งในช่อง-หลังจมูก และกล่องเสียง ถ้าเกิดพบความผิด ปกติ จะได้รับการรักษาในระยะต้นๆ มะเร็งในระยะต้นๆ ซื่งโอกาสรักษาให้หายขาดก็มีสูงขึ้น (ภาพ 2) การได้ยินลดลง – หูตึง อันตรายจากมะเร็งของช่องจมูก-คอ-กล่องเสียง เรื่องทางเดินหายใจติดขัดเวลานอน – นอนกรน ซึ่งมักจะถูกมองข้ามความสำคัญไป หูตึง คนอายุเกินกว่า 60-70 ปี อาจมีประสาทหูเสื่อมโดยเฉพาะในย่านความถี่สูง จะมากหรือน้อยนั้น บางส่วน เกี่ยวข้องกับทางกรรมพันธุ์ ผลกระทบต่อการได้ยินจะยิ่งรุนแรง ถ้าผู้สูงอายุนั้นเคยมีปัญหาเรื่องหูน้ำหนวก หรือเคยได้รับผลกระทบจากเสียงดังเกินขนาดมาก่อนในช่วงเยาว์วัย อาการหูตึง อาจแสดงออกในลักษณะต่างๆ กันเช่น 1. เวลาสนทนาในหมู่คนมากๆ จะฟังคำพูดลำบาก 2. ต้องอาศัยการมองริมฝีปากผู้พูด ถึงจะจับความได้ดีขึ้น 3. มีคนทักท้วงว่าฟังคำพูดผิดบ่อยๆ กว่าแต่ก่อน ก่อนใช้เครื่องขยายเสียง – เครื่องช่วยฟัง ควรตรวจการได้ยินโดยผู้ชำนาญเสียก่อน ผลการตรวจที่ละเอียดไม่เพียงแต่ทำให้เราสามารถเลือกเครื่องช่วยฟังที่เหมาะสมแต่ยัสามารถช่วยตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้หูตึงได้ เช่น โรคของหูส่วนกลาง ซึ่งสามารถรักษา – ผ่าตัด ให้ดีขึ้นได้ ผู้สูงอายุถ้าการได้ยินเสื่อมลงอย่างรวดเร็วอาจมีสาเหตุอื่นๆ นอกจากประสาทหูเสื่อมตามอายุ เช่น การมีน้ำขัง

Read More »

ขี้หู…มาจากไหน

รูหูส่วนนอกเท่านั้นที่มีต่อมสร้างขี้หู ทำให้เราพบขี้หูอยู่รอบๆ ปากทางเข้ารูหู ซึ่งมีหน้าที่ดักฝุ่น , สิ่งสกปรกไม่ให้เข้าไปถึงเยื่อแก้วหู ธรรมชาติสร้างรูหูให้มีรูปร่างเป็นกรวย มีปากทางเข้ากว้างกว่ารูหูส่วนใน (ดังรูป) ขี้หูที่สะสมอยู่นี้ปกติจะแห้งหลุดออกมาได้เอง โดยไม่เคลื่อนตัวเข้าไปในส่วนลึกๆ ของรูหู จึงไม่จำเป็นที่คนจะต้องแคะหูหรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดหู เพราะบ่อยครั้งอาจจะดันให้ขี้หูเข้าไปสะสมในรูหูส่วนใน หรือทำให้รูหูถลอก อักเสบ-ติดเชื้อได้ หนังหุ้มรูหูส่วนในนั้นเปราะบางมาก เวลาแหย่หูลึกๆ ถ้ากระแทกโดนจะเจ็บมาก หลายคนเข้าใจผิดว่า ควรต้องเช็ดรูหูให้สะอาดเสมอ หรือเช็ดหูด้วยไม้พันสำลีหลังอาบน้ำทุกครั้ง แต่จริงๆ แล้ว มีขี้หูเคลือบรูหูบ้างจะดีกว่า เพราะว่ายิ่งเช็ดหรือแคะหูมาก รูหูจะยิ่งแห้งและคันหูได้มากกว่า หลังอาบน้ำหรือสระผม ถ้าน้ำเปียกหู อาจใช้ไม้พันสำลีชนิดเนื้อแน่น ขนาดเล็ก ซับน้ำที่ปากรูหูนิดหน่อยก็พอ ถ้าน้ำเข้าหูเป็นชั่วโมงแล้วยังไม่ออกมา – หูยังอื้ออยู่ ส่วนใหญ่เป็นเพราะมีขี้หูในส่วนลึกของรูหูซึ่งอมน้ำไว้ กรณีเช่นนี้ควรให้แพทย์ หู-คอ-จมูก ตรวจทำความสะอาดหู แพทย์อาจล้างหูด้วยการฉีดน้ำ หรือใช้เครื่องดูดขี้หู แล้วแต่ความเหมาะสม ผู้ที่มีปัญหาขี้หูมาก หรือขี้หูแห้ง – คันหูมาก หลังจากให้แพทย์ทำความสะอาดหูแล้วอาจใช้น้ำมันพวก GLYCERINE, BABY OIL หยอดหูอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยชะล้างรูหูให้สะอาดขึ้นได้ วิธีนี้ใช้ได้ดีกับเด็กเล็กๆ เพราะรูหูเล็ก เช็ดก็ยาก แคะก็ยาก ถ้าคันหูบ่อยๆ สิ่งที่ควรกระทำ คือ 1. งดแคะหู หรือ ใช้ไม้พันสำลีปั่นหู 2. ให้แพทย์ทำความสะอาดหู แล้วใช้น้ำมันหยอดหูเป็นประจำ 3. ถ้าเป็นโรคผิวหนังที่รูหู เช่น Seborrheic dermatitis แพทย์จะให้ป้ายยา – หยอดยาที่มี Cortisone ผสมอยู่ ถ้าเจ็บหู รูหูอักเสบบ่อย ควรปฏิบัติเพิ่มเติมจากปัญหาคันหู คือ 1. อย่าใช้นิ่วแหย่หูเด็ดขาด เพราะขอบเล็กที่ปลายนิ้วจะทำให้รูหูถลอก ติดเชื้อ และอักเสบได้ง่าย 2. ให้แพทย์ตรวจ ทำความสะอาดหูปีละ 2-3 ครั้ง ไม่ให้ขี้หูค้างในรูหู 3. หลังว่ายน้ำทุกครั้ง ควรหยอดหูด้วย น้ำส้มสายชู (2% Acetic acid) หรือ น้ำส้มสายชูผสมแอลกอฮอล์ (1:1) ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ ทั้งแบคทีเรียและ เชื้อรา

Read More »

โคนนิ้วโป้งเหมือนปูดขึ้นมา ไม่ปวด ไม่เจ็บ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรครับ

ศัลยกรรมกระดูก: โคนนิ้วโป้งเหมือนปูดขึ้นมา ไม่ปวด ไม่เจ็บ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรครับ คำถาม ที่บริเวณข้อมือด้านในกระดูกตรงโคนนิ้วโป้งเหมือนปูดขึ้นมา ไม่ปวด ไม่เจ็บ แต่ไปเทียบกับของเพื่อนๆ แล้วเหมือนของเราจะปูดมากกว่าปกติ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรครับ ลักษณะจะแข็งๆ กดไม่ลงด้วยครับ คำตอบ โดย นายแพทย์วิเชียร กาญจนภูมิ (ศัลยกรรมกระดูก) น่าจะเป็นถุงน้ำของเยื่อบุข้อ หรือเยื่อบุเส้นเอ็นครับ หรืออาจจะเป็นหินปูนเกาะที่ข้อของโคนนิ้วโป้ง ควรจะได้รับการตรวจและเอ็กซเรย์ครับ

Read More »

Facial Design

ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก รอยย่น รูปหน้าไม่สมส่วน สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการรักษาในปัจจุบันด้วยสารที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยเฉพาะ ที่เรียกว่า Filler Filler คืออะไร ก็คือ สารที่ใช้ฉีดเพื่อเติมหรือเสริมในชั้นผิวหนัง หรือใต้จากผิวหนัง เพื่อช่วยลดแก้ไข ปัญหาบางประการของผิวหนัง เช่น รอยย่นจากวัย รอยย่นที่เกิดจากแสงแดด แผลเป็นชนิดหลุมหรือเสริมในบริเวณที่ขาด เช่น ร่องแก้ม ริมฝีปาก คาง และจมูก เป็นต้น ใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนบกพร่องของใบหน้า เช่น ความหย่อนคล้อย ร่องลึก แก้มตอบ หน้าลึกโหล หรือกรณีโครงหน้าแลดูมีอายุมาก และตัวสารปลอดภัยได้รับการรับรองจาก อย. นวัตกรรมที่แพทย์ผิวหนังและคนใช้เลือกใช้ทั่วโลก สาร Filler ที่ไม่ได้สกัดมาจากสัตว์จึงไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ นอกจากนี้โครงสร้างเจลได้ถูกออกแบบให้เสถียรคงทนมีคุณสมบัติยกตัวเติมร่องได้สูงเมื่อเข้าสู่ผิวหนัง และอยู่ได้นานเพราะเป็นสารธรรมชาติ จึงปลอดภัยและนำมาใช้ฉีดเติมเข้าผิวหนัง หรือเรียกว่า Demal Filler ซึ่งเห็นผลทันทีหลังการรักษาทำให้เป็นที่นิยมและใช้มากกว่า 10 ล้านทรีทเมนต์ทั่วโลก เพราะเป็นสารธรรมชาติจึงคงตัวเหมือนธรรมชาติ นั่นคือ ตัวสารจะค่อยๆ ถูกย่อยดูดซึมไปบ้างและดูดน้ำเข้ามาแทนที่ในผิวหนัง หากเจลยิ่งมีขนาดเม็ดเจลใหญ่จะยิ่งคงอยู่ได้นาน เช่น โดยทั่วไป Restylane อยู่ได้ 6-12 เดือนPertone 9-18 เดือนSub Qกว่า 2 ปีขึ้นไป เป็นต้น ทุกตัวได้รับการรับรองจาก อย.ไทย และสหรัฐอเมริกา (FDA APPROVED)และควรได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางเพื่อความปลอดภัยในเทคนิค และความสะอาดปลอดภัย ผลข้างเคียงที่พบได้บ้าง เช่น รอยเข็ม รอยซ้ำ ซึ่งพบได้บางโอกาสและหายได้เองตามธรรมชาติ

Read More »

รักษาโรคมะเร็งวิธีใหม่ ด้วยภูมิต้านทาน

(น.พ.วิโรจน์ เหล่าสุนทรสิริ) ปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความรู้ใหม่ๆ และยารุ่นใหม่ที่ ถูกนำมาใช้เพื่อประสิทธิผลการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งมีมากขึ้น ยาเดิมๆ ที่เคยใช้อยู่ก็กำลังเริ่มใช้น้อยลง ขณะ เดียวกันยาที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เริ่มแสดงบทบาทสำคัญในการรักษาโรคมะเร็งร้ายเหล่านี้อย่างชัดเจนขึ้น ความหลากหลายของการรักษาโรคเหล่านี้มีมากก็จริงอยู่ แต่ที่แพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกให้ความสำคัญ ถึง หรือฝากความหวังว่า “การเปลี่ยนแปลงภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทานของร่างกาย” อาจจะมีประสิทธิผลใน การรักษาโรคมะเร็งให้หาย หรือรักษาให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวออกไปได้ การรักษาเหล่านี้มักจะมีผลข้าง เคียงน้อยลง แต่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เพื่อที่จะนำผู้อ่านให้เข้าใจถึงบทบาทของการใช้ภูมิต้านทาน (Immune) ในการรักษาโรคมะเร็งเป็นอย่าง ไรนั้น เรามาเข้าใจถึง Concept ของภูมิต้านทาน (Immune) ต่อเซลล์มะเร็งเป็นอย่างไรก่อน ปัจจุบันเรายังมีความเชื่อว่าเซลล์ของคนนั้นอาจจะกลายพันธุ์ หรือเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ ด้วยผลจากยีนส์ที่ผิดปกติ หรือจากสิ่งแวดล้อมข้างเคียง (Environment) แต่เนื่องจากร่างกายมีเซลล์ภูมิต้านทาน (Cellular Immune System) ที่คอยตรวจสอบทั่วไป เมื่อเซลล์ภูมิต้านทานเหล่านี้พบเซลล์ที่กำลังกลายพันธุ์ไปเป็น มะเร็งนั้น เซลล์ภูมิคุ้มกันก็จะเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งเหล่านี้เพื่อไม่ให้มีโอกาสขยายพันธุ์ได้ต่อไป เป็นการ ควบคุมการกลายพันธุ์ของเซลล์ในร่างกาย แต่หากว่าร่างกายมีเซลล์ภูมิต้านทานที่ผิดปกติ เช่น เกิดจากความ ผิดปกติของภูมิต้านทานอย่างไม่มีสาเหตุ , การติดโรคเอดส์ , อัตราการเกิดโรคมะเร็งในผู้ป่วยเหล่านี้จะมีสูง มากกว่าคนปกติอย่างชัดเจน ในการรักษาโรคมะเร็งด้วยยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) , วงการแพทย์เชื่อว่า ยาเคมีบำบัดไม่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้หมดเอง แต่จะช่วยลดจำนวนเซลล์เหล่านี้ให้เหลือน้อยมากๆ จนเซลล์ ภูมิต้านทานสามารถจะกำจัดเซลล์มะเร็งได้หมด ซึ่งเป็นผลทำให้ผู้ป่วยสามารถหายขาดจากโรคมะเร็ง (Curable) เหล่านั้นได้ แนวคิดเรื่องการปรับปรุงเพิ่มภูมิต้านทานต่อเซลล์มะเร็งจึงเป็นงานที่มีผู้สนใจ และศึกษากันอย่าง กว้างขวาง และนำมาใช้ในทางคลินิกเพื่อรักษาโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น วิธีที่มีในปัจจุบันอาจจะยังแยกออกอย่างชัดเจนไม่ได้ ผู้เขียนขอสรุปแนวทางการรักษาโรคมะเร็งด้วย การเปลี่ยนแปลงทางภูมิต้านทานอย่างคร่าว ๆ ให้เห็นภาพรวมอย่างชัดเจน การปลูกถ่ายเซลล์ไขกระดูก และการให้เซลล์ภูมิต้านทานในการรักษาโรคมะเร็ง การปลูกถ่ายเซลล์ไขกระดูกปัจจุบันทำได้ง่ายกว่าเดิมมาก เนื่องจากเรามีความรู้เกี่ยวกับเซลล์ต้น กำเนิด (Stem Cell) อย่างมากมาย เราสามารถนำเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) มาขยายจำนวนได้ในหลอด ทดลองแล้วนำไปให้ผู้ป่วยได้ Stem Cell นี้สามารถนำมาจากการคัดกรองเม็ดเลือดขาวของผู้บริจาค (Donor) โดยเพียงแต่ให้เลือดผ่านเข้าเครื่องปั่น และคัดกรองเม็ดเลือด (Apheresis) หรืออาจจะเก็บจากเลือดของสาย สะดือและรก (Umbilical Cord Blood) ในกรณีจากผู้บริจาค (Donor) เราไม่จำเป็นต้องเจาะโดยตรงจากไขกระดูก ของผู้บริจาค แล้ว Stem Cell ที่ได้จากการทำ Apheresis จะให้ผลที่ดีในผู้ป่วย (Recipient) ในการเข้าไปเจริญ เติบโต และทดแทนไขกระดูกของผู้ป่วยได้อย่างดีและรวดเร็วกว่า การปลูกถ่ายเซลล์ไขกระดูกจะมีบทบาทมาก ในการรักษาโรคมะเร็งของเม็ดเลือดทั้งแบบเรื้อรัง และเฉียบพลัน (Chronic and acute Leukemia) และโรค มะเร็งของต่อมน้ำเหลือง (Hodgkin’s and Non-Hodgkin’s Lymphome) เป็นส่วนใหญ่ ความเชื่อเนื่องจากการ ให้ยาเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งร่วมกับการให้เซลล์ภูมิต้านทาน (T-Cell) จะสามารถช่วยกำจัดเซลล์มะเร็งออก ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเซลล์ภูมิต้านทานของผู้ป่วยเอง ไม่มีความสามารถที่จะกำจัดเซลล์มะเร็ง เหล่านั้นออกไปได้ ต้องใช้เซลล์ภูมิต้านทาน (T – Cell) จาก Donor เพื่อไปฆ่า หรือ ควบคุมเซลล์มะเร็งอย่าง ได้ผล สิ่งที่ได้รับความสนใจในเรื่องการปลูกถ่ายเซลล์นี้ คือ ขบวนการของ “Non-myeloabative Stem cell Transplantation” ในการรักษาโรคมะเร็ง วิธีนี้บางทีเราเรียกแบบเล่น ๆ ว่า “Mini Transplantation” เพราะ ขบวนการมีเพียงแต่การให้ยากดภูมิคุ้มกันในผู้ป่วย เพื่อให้เราสามารถที่จะนำเอาเซลล์ภูมิต้านทาน (T – Cell) ใส่เข้าไปในผู้ป่วย และให้ขยายตัว เพื่อไปทำลายหรือควบคุมเซลล์มะเร็งตามทฤษฎีของภูมิต้านทานต่อโรค มะเร็ง ขบวนการนี้พบว่าจะมีผลข้างเคียงที่น้อยกว่าการปลูกถ่ายเซลล์ไขกระดูกอย่างเดิมอย่างมาก เพราะไม่ ต้องใช้ยาเคมีบำบัดในขนาดที่สูง และทำให้อัตราตายในระยะแรกของการรักษาต่ำลงอย่างชัดเจน การทำ Minitransplant เพียงแต่ปรับร่างกายของผู้ป่วยให้ยอมรับเซลล์จาก Donor ได้ในขนาดที่พอเหมาะ เพื่อให้ T-Cell เติบโตและทำลายเซลล์มะเร็งร้ายออกไปจากร่างกาย, การทำการรักษาวิธีนี้จะต้องหา Donor ที่เหมาะสม จึงจะทำให้ผลการรักษาออกมาดี รายงานที่แสดงถึงประโยชน์ของการทำ Minitransplant นี้มีเพิ่มขึ้น ทั้งในการ รักษาโรคมะเร็งของเม็ดเลือดขาว ทั้งแบบเรื้อรังและเฉียบพลัน มะเร็งของต่อมน้ำเหลือง และรายงานล่าสุด ที่แสดงถึงความสามารถที่จะควบคุมโรคมะเร็งของไตที่แพร่กระจายได้อย่างดี ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของ Mini- transplant คือ สามารถทำการรักษาได้ในผู้ป่วยที่มีอายุเกิน 50 ปีได้ เพราะเดิมการทำ Stem Cell transplant ในผู้ป่วยเกิน50 – 55 ปี มักจะมีอัตราตายที่สูงมาก การใช้สารภูมิต้านทาน (Passive antibody) ในการรักษาโรคมะเร็ง ปัจจุบันนี้มีสารภูมิต้านทาน (Antibody) ใหม่ๆ ที่มีบทบาทในการรักษาโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ ที่เห็นว่ามีการนำมาใช้มาก คือ การรักษาโรคมะเร็งเต้านม และ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง การใช้สารภูมิต้านทานในการรักษามะเร็งเต้านม – บทบาทของ antibody ต่อ Growth factor receptor, ที่ชื่อว่า Her-2/Neu มีมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะว่ามะเร็งของเต้านมพบมากในสตรี และเป็นโรคที่สามารถรักษา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Read More »

ศัลยกรรมตกแต่ง: ควรทำช่วงอายุไหน, อายุ 47 ปี จะดูดไขมันหน้าท้องได้หรือไม่

ศัลยกรรมตกแต่ง: ควรทำช่วงอายุไหน, อายุ 47 ปี จะดูดไขมันหน้าท้องได้หรือไม่ คำถาม – การทำศัลยกรรมควรทำศัลยกรรมตกแต่งช่วงอายุไหน – อายุ 47 ปี จะดูดไขมันหน้าท้องได้หรือไม่ คำตอบ โดย แพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง – ไม่สามารถทำได้ทุกคน ถึงแม้อายุจะมากขึ้นก็ตาม เป็นปัญหาเฉพาะตัวของแต่ละคน แต่อย่างน้อยถ้าทำเพื่อความสวยงามควรรอให้บรรลุนิติภาวะพอที่จะตัดสินใจด้วยตนเองได้ นอกจากนี้บางคนก็ไม่เหมาะสมจะทำศัลยกรรมตกแต่ง ถ้าสภาพจิตใจหรือบุคลิกบางอย่างไม่เหมาะสม เพราะถึงทำไปแล้วก็มักไม่พอใจ ทั้งนี้เป็นเรื่องของจิตใจเป็นใหญ่ แต่ถ้าแก้ไขความพิการสามารถทำได้ตั้งแต่เด็ก แล้วแต่ชนิดของความพิการ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวของท่านก่อน – ควรให้แพทย์ตรวจร่างกายก่อน หน้าท้องย้อยมีสาเหตุจากอะไร ไม่ใช่จะไปดูดไขมันเลย ถ้าแก้ไขไม่ตรงจุดก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ทั้งนี้ทั้งข้อ 1 และ 2 ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวของท่านหรือแพทย์ประจำครอบครัว หรือแพทย์ประจำที่ทำงานก่อนแล้วให้แพทย์ท่านนั้นแนะนำปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่เหมาะสมต่อไป ท่านสามารถปรึกษาแพทย์หลายท่านก็ได้ถ้าต้องการความมั่นใจ ไม่ควรปรึกษาตามรายการวิทยุหรือหนังสือพิมพ์อย่างเดียว

Read More »

การทำไอออนโต คืออะไรคะ ช่วยอะไรกับผิวหนังได้บ้างคะ

ผิวหนัง: การทำไอออนโต คืออะไรคะ ช่วยอะไรกับผิวหนังได้บ้างคะ คำถามจากคุณประภานี การทำไอออนโต คืออะไรคะ ช่วยอะไรกับผิวหนังได้บ้างคะ คำตอบ โดย นายแพทย์สมชัย ลีลาศิริวงศ์ Iontophoresis คือ อุปกรณ์ที่สร้างคลื่นไฟฟ้ากระแสตรงอ่อนๆ เพื่อช่วยให้ยาที่ใช้ทาบนใบหน้าสามารถดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น มีการนำมาใช้กับยารักษาสิว, ฝ้า หลายชนิด เช่น กรดวิตามินเอ , กรดวิตามินซี เป็นต้น ส่วนผลการรักษายังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ บ้างก็ว่าได้ผลดี บ้างก็เห็นว่าได้ผลพอๆ กับการทายาธรรมดาโดยไม่ต้องใช้ Ioutophoresis แต่ที่แน่ๆ ก็คือ การใช้ยาด้วย Iontophoresis ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงจะปลอดภัยครับ

Read More »

ผิวหนัง: เวลาเป็นแผลเป็นจะเป็นรอยนูน ควรจะรักษาด้วยวิธีใด

ผิวหนัง: เวลาเป็นแผลเป็นจะเป็นรอยนูน ควรจะรักษาด้วยวิธีใด คำถามจากคุณอำนวย-ลาดพร้าว เวลาเกิดแผลตามร่างกาย เช่น ผ่าตัด เวลาแผลหายแล้วจะมีรอยแผลเป็นนูน บางคนไม่เป็นไม่ทราบเกิดจากสาเหตุอะไร และถ้าอยากให้รอยแผลเป็นนูนหายควรจะรักษาด้วยวิธีใด มีโอกาสมากน้อยแค่ไหน คำตอบ โดย นายแพทย์สมชัย ลีลาศิริวงศ์ แผลเป็นที่นูนขึ้นขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุด เรียกว่า คีลอยด์ (Keloid) ครับ การเกิด Keloid ขึ้นอยู่กับความลึกของบาดแผล, ตำแหน่งของแผล เช่น หน้าอก , แผ่นหลังส่วนบน , ติ่งหูด เป็นต้น และแนวโน้มที่จะเป็นแผลเป็นของคนไข้บางคนเอง วิธีรักษาทำได้หลายอย่าง เช่น การทายา , ฉีดยาเข้าแผลเป็น , ใช้แผ่นปิดรักษาแผลเป็น , จี้ด้วยความเย็น หรือ การฉายเลเซอร์ เป็นต้น แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ การรักษาทำให้แผลเป็นยุบหรือราบลงเท่านั้น ไม่สามารถทำให้แผลเป็นกลับมาเป็นผิวปกติได้ และมีโอกาสนูนขึ้นมาใหม่ในภายหลัง ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีใดก็ตาม

Read More »
Page1 Page2 Page3 Page4 Page5
Facebook-f Youtube Instagram
  • 1270
  • About Us
  • Medical center
  • Doctors
  • Make an Appointment
  • Knowledge
  • Package
  • News & Events
  • Privacy Policy
  • Investor
  • Sustainability
  • Work with Us
  • Contact Us
  • Terms and Conditions

Copyright © 2025. All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • Medical Center
  • แพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us