Skip to content
  • EN
    • TH
    • CN
    • AR
  • EN
    • TH
    • CN
    • AR
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us
Menu
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us

Day: May 9, 2019

ผิวหนัง: ทำไมคนเราถึงต้องเป็นสิวคะ จะมีใครซักคนไหมคะที่ไม่มีสิวสักเม็ดบนใบหน้าค่ะ

ผิวหนัง: ทำไมคนเราถึงต้องเป็นสิวคะ จะมีใครซักคนไหมคะที่ไม่มีสิวสักเม็ดบนใบหน้าค่ะ คำถาม ทำไมคนเราถึงต้องเป็นสิวคะ จะมีใครซักคนไหมคะที่ไม่มีสิวสักเม็ดบนใบหน้าค่ะ คำตอบ โดย นายแพทย์สมชัย ลีลาศิริวงศ์ สิวเกิดขึ้นจากอิทธิพลของฮอร์โมนแอนโดรเจนที่มีต่อต่อมไขมัน และรุขุมขนของผิวหนังโดยเฉพาะที่ใบหน้า ซึ่งฮอร์โมนดังกล่าวจะมีสูงในช่วงวัยรุ่น แต่สิวจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความไวที่ผิวแต่ละคนจะตอบสนองต่อฮอร์โมน ดังนั้นคนในช่วงวัยนี้จึงมักมีสิวไม่มากก็น้อย คนที่ไม่มีสิวเลยในช่วงวัยรุ่นก็พอมีบ้างแต่เป็นคนส่วนน้อย เพราะฉะนั้นอย่ากังวลเรื่องสิวมากจนเกินไป แม้มีสิวก็ยัง “ดูดี” ได้ถ้าดูแลรักษาถูกวิธีครับ.

Read More »

ผิวหนัง: สิวเสี้ยนเยอะมาก จุดดำๆ เต็มไปหมด จะแก้ไขอย่างไรดีคะ

สิวเสี้ยนเยอะมาก จุดดำๆ เต็มไปหมด จะแก้ไขอย่างไรดีคะ คำถาม เป็นสิวเสี้ยนเยอะมาก โดยเฉพาะบริเวณจมูก ยิ่งเป็นยิ่งมีมากขึ้น และสังเกตว่าเป็นจุดดำๆ เต็มไปหมด จะแก้ไขอย่างไรดีคะ คำตอบ โดย นายแพทย์สมชัย ลีลาศิริวงศ์ (แพทย์ผิวหนัง) สิวเสี้ยนเกิดจากการอุดตันของปากรูขุมขน (Comedone) บนใบหน้า พบได้บ่อยบริเวณจมูก หน้าผาก และคาง (T Zone) ถ้าการอุดตันอยู่ลึกจะเป็นตุ่มสีขาว แต่ถ้าการอุดตันอยู่ตื้นจะเห็นเป็นหัวสีดำ สิวเสี้ยนรักษาได้โดยการทาด้วยกรดวิตามินเอ เช่น เรติโนอิค ขนาด 0.025% ถึง 0.05% ทาวันละครั้งตอนเย็น สิวเสี้ยนจะหลุดไปได้ภายใน 4-8 สัปดาห์ แต่ยากลุ่มนี้อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองเป็นผื่นคันและลอกได้ในบางคน วิธีหลีกเลี่ยงอาการระคายเคือง คือ ทายาทิ้งไว้แค่ 10-20 นาที แล้วล้างออก จะช่วยลดการระคายเคืองได้ ถ้าหากทายาแล้วสิวเสี้ยนยังไม่หายควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง ไม่ควร “กด” หรือ “บีบ” สิวเสี้ยนด้วยตนเอง เพราะนอกจากจะไม่ค่อยได้ผลแล้ว อาจทำให้สิวเสี้ยนกลายเป็นสิวอักเสบได้ง่ายขึ้น การใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยน ช่วยแก้ปัญหาได้ชั่วคราว แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ก็อาจกลับมาอุดตันใหม่ได้ครับ

Read More »

ผิวหนัง: ลูกชอบมาเอาเครื่องสำอางไปใช้ ไม่อยากขัดใจ ทำอย่างไร

ผิวหนัง: ลูกชอบมาเอาเครื่องสำอางไปใช้ ไม่อยากขัดใจ ทำอย่างไร คำถาม ดิฉันมีลูกสาวเป็นวัยรุ่น แกชอบมาเอาเครื่องสำอางของดิฉันไปใช้บ่อยๆ ไม่อยากขัดใจลูก แต่ก็ไม่อยากส่งเสริมเพราะผิวแกยังดีอยู่นะคะ จะมีวิธีแนะนำหรือห้ามอย่างไร เพราะเด็กวัยนี้ 15-16 ปี แกได้รับอิทธิพลโฆษณาสินค้าเครื่องสำอางจากทีวีมากเหลือเกิน คำตอบ โดย นายแพทย์สมชัย ลีลาศิริวงศ์ (แพทย์โรคผิวหนังและศัลยกรรมเลเซอร์) ก่อนอื่นคุณแม่ต้องทำความเข้าใจว่าลูกสาวทุกคนกำลังก้าวเข้าสู่วัยที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งทางร่างกาย, อารมณ์, ความคิดอ่าน ก่อนจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เด็กวัยนี้จะเริ่มสนใจดูแลตัวเองให้ “ดูสวย ดูดี” การใช้เครื่องสำอางเป็นครั้งคราวเวลาที่ต้องออกงานสังคม เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ครับ แต่ไม่ควรใช้เครื่องสำอางมากๆ เป็นประจำ เพราะอาจจะแพ้เครื่องสำอางจนทำให้เกิดสิว (ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เกิดได้ง่ายในวัยนี้อยู่แล้ว) สำหรับวัยรุ่นที่มีปัญหาสิวอยู่แล้วไม่ควรใช้เครื่องสำอางเพื่อรักษาสิวด้วยตนเอง หรือเพื่อปกปิดรอยสิว เพราะนอกจากจะไม่ได้ผลเท่าที่ควรอาจทำให้สิวลุกลามรุนแรงขึ้น ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะเหมาะสมกว่า อนึ่งคุณแม่ควรอธิบายให้ลูกที่เป็นวัยรุ่นฟังว่าวัยนี้ผิวพรรณของเขาสวยที่สุดอยู่แล้ว ผู้หญิงวัยรุ่นคุณแม่ อีกจำนวนมากยอมเสียเงินทองมากมายนับพันนับหมื่น เพียงเพื่ออยากให้ผิวของตนกลับมาเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง ฉะนั้นจงภูมิใจว่าผิวพรรณตอนนี้สวยที่สุดอยู่แล้ว โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยก็สำอางอยู่แล้ว

Read More »

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคแพนิค ( Panic disorder )

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคแพนิค ( Panic disorder ) Panic Disorder and Agoraphobia เนื่องจาก Panic Attack และ Agoraphobia สามารถพบร่วมกับโรคในกลุ่มนี้ได้หลายโรค จึงแยกแสดงเกณฑ์การวินิจฉัยของ Panic Disorder และ Agoraphobia ต่างหากออกมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้น ทั้งสองกลุ่มอาการนี้ไม่มีรหัสเฉพาะ และไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้โดยโดด ๆ Panic Attack มีความกลัวหรือความอึดอัดไม่สบายอย่างรุนแรงเป็นระยะเวลาที่ชัดเจน โดยมีอาการในหัวข้อต่อไปนี้ ตั้งแต่ 4 อาการขึ้นไป อาการ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และถึงระดับสูงสุดภายใน 10 นาที 1. ใจสั่น ใจเต้นแรง หรือใจเต้นเร็วมาก 2. เหงื่อแตก 3. สั่น 4. หายใจไม่อิ่ม หรือ หายใจขัด 5. รู้สึกอึดอัด หรือแน่นอยู่ข้างใน 6. เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก 7. คลื่นไส้ ท้องไส้ปั่นป่วน 8. วิงเวียน โคลงเคลง มึนตื้อ หรือเป็นลม 9. derealization หรือ depersonalization 10. กลัวคุมตัวเองไม่ได้ หรือกลัวเป็นบ้า 11. กลัวว่าจะตาย 12. paresthesias (ชา หรือรู้สึกซู่ซ่า) 13. หนาวสั่น หรือร้อนวูบวาบ Agoraphobia A. กังวลต่อการอยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์ที่อาจหลีกเลี่ยงได้ลำบาก (หรืออาจทำให้อับอาย) หรืออาจไม่ได้รับการช่วยเหลือ หากว่าผู้ป่วยเกิดมี Panic Attack หรือมีอาการที่คล้าย Panic ไม่ว่าจะเป็นขึ้นมาเองหรือเป็นจากบางสถานการณ์มากระตุ้นก็ตาม ความกลัวแบบ Agoraphobia ที่เป็นแบบฉบับ มักจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์เหล่านี้ ซึ่งประกอบด้วย การออกนอกบ้านตามลำพัง การอยู่ท่านกลางหมู่คนหรือยืนต่อแถว การอยู่บนสะพาน และการเดินทางโดยรถเมล์ รถไฟ หรือรถยนต์ หมายเหตุ : หากการหลีกเลี่ยงจำกัดอยู่เฉพาะสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง หรือเพียงไม่กี่สถานการณ์ ให้คำนึงถึงการวินิจฉัย Specific Phobia หากการหลีกเลี่ยงจำกัดอยู่แต่การพบปะผู้คนให้คำนึงถึง Social Phobia B. มีการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ (เช่น งดการเดินทาง) หรือไม่ก็ต้องทนเผชิญโดยมีความทุกข์ใจมากหรือมีความวิตกกังวลว่าจะเกิด Panic Attack หรือมีอาการที่คล้าย Panic หรือต้องมีผู้อื่นอยู่ร่วมด้วย C. อาการวิตกกังวลหรือการเลี่ยงจากความกลัวนี้ ไม่ได้เข้ากับโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ได้ดีกว่า เช่น Social Phobia (เช่น การหลีกเลี่ยงจำกัดอยู่เฉพาะการพบปะผู้คน เนื่องจากเกรงว่าจะแสดงความประหม่า), Specific Phobia (การหลีกเลี่ยงจำกัดอยู่เฉพาะสถานการณ์เดียวเท่านั้น เช่น ลิฟต์), Obsessive-Compulsive Disorder ( เช่น บางคนหลีกเลี่ยงสิ่งสกปรกเนื่องจากหมกมุ่นกับการกลัวติดเชื้อโรค), Posttraumatic Stress Disorder (เช่น หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่เกี่ยวข้องกับความกดดันที่รุนแรงนั้น), หรือ Separation Anxiety Disorder (เช่น หลีกเลี่ยงการห่างจากบ้านหรือญาติ) F41.0 Panic Disorder Without Agoraphobia A. มีทั้ง (1) และ (2) (1) มี Panic Attacks เกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยคาดไม่ได้ (ดูหน้า ppp) (2) อย่างน้อยหนึ่งครั้งของการเกิดอาการ จะต้องมีอาการดังต่อไปนี้หนึ่งข้อ (หรือมากกว่า) ติดตามมาเป็นเวลานาน 1 เดือน (หรือมากกว่า) (a) กังวลว่าจะเกิดอาการขึ้นอีกอยู่ตลอดเวลา (b) กังวลว่าอาจส่อถึงโรคร้ายแรงหรือกังวลเกี่ยวกับผลติดตามมา (เช่น คุมตัวเองไม่ได้ เป็นโรคหัวใจ เป็นบ้า) (c) พฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เนื่องมาจากการเกิดอาการ B. ไม่มี Agoraphobia C. Panic Attacks นี้มิได้เป็นจากผลโดยตรงด้านสรีรวิทยาจากสาร (เช่น สารเสพติด ยา) หรือจากภาวะความเจ็บป่วยทางกาย (เช่น hyperthyroidism) D. Panic Attacks นี้ ไม่ได้เข้ากับโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ได้ดีกว่า เช่น Social Phobia (เช่น เกิดอาการขณะเผชิญกับสถานการณ์ทางสังคมที่หวั่นเกรง) Specific Phobia (เช่น เผชิญกับสถานการณ์ที่กลัว), Obsessive-Compulsive Disorder ( เช่น เผชิญกับสิ่งสกปรกในคนที่หมกมุ่นกับการกลัวติดเชื้อโรค), Posttraumatic Stress Disorder (เช่น เกิดอาการจากสิ่งเร้าที่เกี่ยวข้องกับความกดดันที่รุนแรงนั้น), หรือ Separation Anxiety Disorder (เช่น เกิดอาการจากการต้องห่างจากบ้านหรือญาติใกล้ชิด) F40.01 Panic Disorder With

Read More »

จิตเวช เด็ก และ วัยรุ่น: ลูกสาวอายุ 4 ขวบ ชอบเถียง และดื้อมาก ขัดใจก็จะร้องไห้ทำอย่างไรดีคะ

จิตเวช เด็ก และ วัยรุ่น: ลูกสาวอายุ 4 ขวบ ชอบเถียง และดื้อมาก ขัดใจก็จะร้องไห้ทำอย่างไรดีคะ คำถาม ลูกสาวอายุ 4 ขวบ ชอบเถียง และดื้อมาก ทำอะไรขัดใจก็จะร้องไห้ทำอย่างไรดีคะ ตอนนี้ไม่มีใครปราบได้เลยค่ะ คำตอบ โดย แพทย์หญิงสุภาพร ปิตวิวัฒนานนท์ (จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น) เด็กในช่วงวัย 3-5 ขวบ จะเป็นวัยที่เด็กมีความเป็นตัวของตัวเองมาก พัฒนาการทั้งทางร่างกายและทางภาษาก็ก้าวหน้าไปมาก ในขณะเดียวกันก็ยังไม่ทราบถึงความควรไม่ควรในบทบาทของเขา วัยนี้เด็กมักอยากรู้อยากเห็นอยากทดลองทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อทดสอบพลังของตน และสังเกตว่าผลจะออกมาอย่างไร ซึ่งพฤติกรรมของเด็กจะมีความรุนแรงมากน้อยก็ขึ้นกับพื้นฐานอารมณ์ของเด็กประกอบกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขา ซึ่งหลักๆ คือ การเลี้ยงดูของพ่อแม่นั่นเอง ถ้าพูดถึงในจุดที่ปรับเปลี่ยนได้ คือ การเลี้ยงดูนั้น พบว่าเด็กที่ถูกตามใจมากตั้งแต่เล็กมักจะมีปฏิกิริยารุนแรงกว่าเด็กที่ถูกฝึกวินัย และมีขอบเขตในการเลี้ยงดูมากกว่า เนื่องจากเด็กรู้สึกคับข้องใจเพราะไม่ได้ดังใจเหมือนที่เคยได้มาจนเคยชิน ฉะนั้นการจะแก้ปัญหาพฤติกรรมตรงนี้คงต้องมีการฝึกวินัยลูก โดยมีหลักการคร่าวๆ คือ ใช้เหตุผลในการตัดสินเหตุการณ์ว่าสิ่งนั้นควรหรือไม่ควร เมื่อตัดสินแล้วว่าไม่ควรก็ปฏิเสธลูกตรงๆ ด้วยความหนักแน่น อย่าหลีกเลี่ยงบ่ายเบี่ยงหรือให้เหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ถ้าลูกยังคงไม่ฟังยังต้องหนักแน่น อย่าใจอ่อน เพราะถ้ายอมตามใจเมื่อลูกงอแง ก็เท่ากับพ่อแม่ให้รางวัลเขากับพฤติกรรมนี้ เด็กจะเรียนรู้และใช้วิธีนี้ไปเรื่อยๆ โดยวิธีจะพัฒนาซับซ้อนขึ้นตามวัย ทำให้ยิ่งจัดการยากขึ้นในวัยที่โตขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากสิ่งที่ลูกขอเป็นสิ่งที่พอจะให้ได้ ก็ไม่ควรปฏิเสธเพียงเพราะจะดัดนิสัยลูก เพราะนั่นเหมือนเป็นการเอาชนะ แสดงอำนาจของพ่อแม่โดยไม่ใช้เหตุผล ซึ่งขัดกับสิ่งที่เราต้องการสอนเขา เมื่อพ่อแม่ใช้เหตุผลและมีความหนักแน่นอย่างสม่ำเสมอ ลูกก็จะค่อยๆ เรียนรู้เหตุผล ความควรไม่ควรเข้าไปในจิตสำนึกของตน และสิ่งเหล่านี้จะเป็นแกนกลางของการพัฒนาบทบาทที่เหมาะสมของเด็กต่อไปค่ะ จริงๆ แล้วการฝึกวินัยเด็ก สามารถเริ่มได้ตั้งแต่ขวบปีที่สองค่ะ แต่อย่างไรก็ตามเริ่มวันนี้ก็ดีกว่าเริ่มวันหน้าค่ะ

Read More »

จิตเวช: ลูกชายซึมแต่ติดละคร เป็นอาการออทิสทิคหรือไม่

จิตเวช: ลูกชายซึมแต่ติดละคร เป็นอาการออทิสทิคหรือไม่ น่ากลัว และเลี้ยงดูอย่างไร คำถามคุณพายัพ ลูกชายผมเป็นเด็กซึมๆ ไม่ค่อยชอบพูดกับใคร แต่เวลาดูโทรทัศน์ เขามีสมาธิดีมากและมีอารมณ์อินกับเรื่องราวในข่าว ในหนังในละครมากกว่าผู้ใหญ่เสียอีก ผิดปกติหรือไม่ครับ อาการออทิสทิคของเด็กแปดขวบจะเป็นอย่างไรบ้างครับ น่ากลัว หรือเลี้ยงลูกแบบนี้ยากไหมครับ คำตอบ โดย แพทย์หญิงสุภาพร ปิตวิวัฒนานนท์ (จิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่น) ขอตอบปัญหาคุณพายัพดังนี้ เข้าใจว่าคุณพายัพคงสังสัยว่าลูกจะเข้าเข้าข่ายเด็กออทิสทิคหรือไม่ เด็กออทิสทิคเป็นกลุ่มที่มีความผิดปกติของพัฒนาการด้านทักษะทางสังคมและทางภาษา และมักมีพฤติกรรมที่ซ้ำๆ แปลกๆ ร่วมด้วย แต่ความรุนแรงก็มีแตกต่างกันไป ในเด็กที่อาการไม่รุนแรงอาการอาจแสดงออกช้าและไม่ชัดเจนในวัยเด็กเล็ก ทำให้เพิ่งมาสังเกตุเห็นความแปลกเมื่อเข้าสู่วัยเรียน เด็กมักจะมีความพอใจจะเล่นคนเดียวมากกว่าสนใจที่จะสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เด็กอาจเข้ากลุ่มเพื่อนได้อย่างผิวเผิน และมักเป็นผู้ตามเด็ก มักจะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ และไม่ค่อยรับรู้ว่าผู้อื่นอยู่ใกล้ๆ เขา ไม่รับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น เด็กที่มีอาการไม่รุนแรงเมื่อค่อยๆ โตขึ้นเขาสามารถมีสัมพันธภาพกับคนในครอบครัวได้แต่มักจะห่างเหิน แยกตัวมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ในการดูแลเด็กเหล่านี้ต้องอาศัยความช่วยเหลือหลายๆ ด้านพร้อมกันไป พ่อแม่จะต้องเข้าใจธรรมชาติของโรค และช่วยกระตุ้นให้เพิ่มทักษะทางสังคมและภาษา ช่วยกันลดความความเครียดทั้งกับตัวเด็กเองและครอบครัว ถ้าอาการเหล่านี้คล้ายกับลักษณะของลูก หมอขอแนะนำให้คุณพายัพพาเด็กมาปรึกษากุมารแพทย์ที่ดูแลอยู่ เพื่อส่งต่อพบจิตแพทย์เด็กค่ะ เด็กออทิสทิคที่ได้รับการดูแลรักษาจะช่วยลดปัญหาที่จะเกิดตามมาได้ค่ะ

Read More »

จิตเวช: โรคซึมเศร้าเรื้อรัง

จิตเวช: สามีเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ไม่ทราบว่าต้องรักษาอย่างไรจึงจะหายขาด คำถาม สามีเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง พบแพทย์และรับประทานยามากว่า 2 ปีแล้ว พอหยุดยา อาการก็กลับมาอีก ไม่ทราบว่าต้องรักษาอย่างไรจึงจะหายขาด คำตอบ โดย นายแพทย์ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง (จิตแพทย์) โดยหลักวิชาการการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรังก็จะต้องมีอาการบ่อยๆ เกินกว่า 2 ปีอยู่แลัว ถ้าไม่ได้รับการรักษาในระหว่างที่มีอาการอยู่อาจมีอาการซึมเศร้าถึงขั้นรุนแรงได้ในบางราย กรณีของสามีคุณช่วงที่ได้รับการรักษาอาการคงทุเลา พอหยุดยาซึ่งไม่ทราบว่าหยุดนานแค่ไหน และมีเหตุกระตุ้นทางจิตใจอีกหรือไม่ อาการก็กำเริบอีก โรคซึมเศร้าเรื้อรังนั้นบางคนอาจไม่หายขาดเสียเลยทีเดียว แต่พอรักษาให้ทุเลาได้จนสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เกือบปกติ ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยทางชีวภาพที่เกี่ยวกับสารเคมีในสมองที่พร่องไปเนื่องจากกรรมพันธุ์ และปัจจัยทางจิตวิทยาและสังคมที่เกิดจากปัญหาชีวิตโดยเฉพาะการสูญเสียไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่รัก ทรัพย์สินเงินทอง หรือแม้แต่ความรู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจ ถ้าหากสามีคุณมีทั้งปัจจัยทางชีวภาพ นั่นคือ มีกรรมพันธุ์ในครอบครัว ประกอบกับมีปัญหาชีวิตเรื้อรัง มีการสูญเสียบ่อยๆ ซ้ำๆ อยู่ด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงตลอดเวลา การรักษาคงต้องยาวนานหลายๆปี ส่วนการรักษาจะกินยาต้านเศร้าอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องรักษาด้วยจิตบำบัดและพฤติกรรมบำบัดด้วย โดยเฉพาะจิตบำบัดชนิดปรับเปลี่ยนความคิดอย่าตำหนิตัวเองหรือมองโลกในแง่ร้าย ผู้ดูแลควรแสดงความเข้าใจในอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกของผู้ป่วย พร้อมแนะนำว่าความคิด ความรู้สึกที่มีอยู่ในขณะนั้นเป็นอาการของโรค เมื่อรักษาดีขึ้นแล้ว อารมณ์เศร้าและการมองสิ่งต่างๆ ในด้านลบจะดีขึ้น และคอยส่งเสริมให้ทำกิจกรรมที่ทำให้มีความมั่นใจ ภาคภูมิใจในตนเอง หรือมีความเพลิดเพลิน ถ้ามีปัญหาชีวิตและการสูญเสีย ต้องช่วยผู้ป่วยจัดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว มีข้อสังเกตที่สำคัญ 2 ประการ คือ ในระหว่างมีอาการต้องคอยประเมินความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย และเมื่ออาการทุเลาแล้วก็ยังต้องคอยสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงที่อาจแสดงถึงการกำเริบซ้ำ อย่างไรก็ตามโรคนี้ก็ยังมีโอกาสหายได้ครับ.

Read More »

จิตเวช: นอน… ใครว่าไม่สำคัญ

จิตเวช: นอน… ใครว่าไม่สำคัญ นอน… ใครว่าไม่สำคัญ น.พ.ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง จิตแพทย์ เมื่อก่อนหากมีใครกล่าวว่า “ กินได้นอนหลับ ” ย่อมถือว่าโชคดีมหาศาลแล้ว ผมก็เคยเชื่อตามนั้น แต่เดี๋ยวนี้ เราคำนึงถึงคุณภาพชีวิตกันมากขึ้น มิใช่สักแต่กินจนเป็นโรคอ้วน หรือนอนหลับฝันร้าย ก็คงไม่เอาด้วย ปัญหาการนอน เห็นทีจะปล่อยปละละเลยไม่ได้อีกแล้ว หากพิจารณาปัญหาการนอนใน เชิงปริมาณ ก็จะเป็นเรื่อง นอนไม่หลับ นอนน้อยไม่เพียงพอ และในทางตรงข้ามคือ นอนมากเกินไป ส่วนปัญหาการนอนใน เชิงคุณภาพ ก็คือ นอนฝันร้าย และนอนละเมอเดิน อาการนอนไม่หลับ (Insomnia) เกิดจากการเจ็บป่วยทางกาย เช่น เจ็บปวดของอวัยวะต่าง ๆ ไอหอบเหนื่อยของโรคทางปอดและหัวใจ เป็นต้น และการเจ็บป่วยทางจิตใจ เช่น เครียดวิตกกังวล ซึมเศร้า ก้าวร้าว สับสน เป็นต้น นอกจากนี้ ปัญหาการนอนไม่หลับอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงจังหวะเวลาของการตื่นหลับกะทันหัน (circadian rhythm) เช่น เดินทางโดยเครื่องบินไปต่างประเทศที่เรียกว่า Jet-lag หรือการเปลี่ยนกะทำงานจากกลางวันเป็นกลางคืน เป็นต้น ในคนอ้วน หรือทางเดินหายใจส่วนบนแคบ ก็อาจหยุดหาย ๆ เป็นพัก ๆ ทำให้ขาดออกซิเจนต้องตื่นบ่อย ๆ และบางรายนอนไม่หลับโดยไม่ทราบสาเหตุก็มี อาการนอนหลับมากไป (Hypersomnia) จะนอนหลับตอนกลางคืนระหว่าง 8-12 ชั่วโมง และมักงีบหลับตอนกลางวันด้วย นานกว่า 1 ชั่วโมง เมื่อตื่นก็ยังไม่สดชื่น ขาดสมาธิ ดูเหมือนเฉี่อยช้าและขี้เกียจ บางรายมีอาการ Cataplexy ร่วมด้วย กล่าวคือ เกิดภาวะที่กล้ามเนื้อของแขนขา หรือลำตัวหมดกำลัง ทำให้ทรุดตัวล้มลงทันทีทันใด ซึ่งเรียกว่า โรค Narcolepsy อาการนอนฝันร้าย (Nightmare and sleep terror) มักเกิดในเด็ก และเกิดขณะกำลังฝันเกี่ยวกับเรื่องราวที่เป็นอันตราย หรือภายหลังประสบเหตุการณ์ที่ร้ายแรงในชีวิต ขณะฝันร้ายอาจพูด ร้องส่งเสียงดัง หรือออกท่าทางต่าง ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ตื่นขึ้นจะรู้สึกไม่สบายใจ วิตกกังวล หรือสับสนบ้าง และอาจมีอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติทำงานเพิ่มขึ้น ใจเต้นใจสั่น เหงื่อออกมาก หอบเหนื่อย หน้าตาแดง กล้าเนื้อตึงเครียด เป็นต้น อาการนอนละเมอเดิน (Sleepwalking) มักเกิดอาการในช่วงแรกของการหลับ โดยแสดงพฤติกรรมรูปแบบต่างๆ เช่น ลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองไปมองมา จับผ้าห่มหรือหมอน รายที่เป็นมากจะลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมา เดินออกนอกห้อง ขึ้นลงบันได หรือเดินออกนอกบ้าน รับประทานอาหาร พูดคนเดียว วิ่งหรือพยายามหนีจากอันตรายที่รู้สึกในขณะนั้น โดยทั่วไป พฤติกรรมจะไม่ซับซ้อน กินเวลาหลายนาทีถึงครึ่งชั่วโมง แล้วนอนต่อจนถึงเช้า บางรายพบว่านอนอยู่ที่อื่นที่มิใช่เตียงนอนของตนก็มี การแก้ปัญหาการนอน ทุกรายต้องค้นหาและรักษาที่สาเหตุเสมอ ซึ่งอาจเกิดจากโรคทางกายหรือจิตใจ 1. การรักษาอาการนอนไม่หลับ ใช้หลักสุขอนามัยของการนอน และ/หรือใช้ยาคลายกังวล ยาด้านเศร้า หรือยานอนหลับเท่าที่จำเป็น ส่วนในรายที่เปลี่ยนเวลานอน ให้ค่อย ๆ ปรับเวลานอนของตนให้ใกล้เคียงกับเวลาท้องถิ่นให้มากที่สุดและในรายที่อ้วน ให้ลดน้ำหนักลง ใช้ไม้กดลิ้นให้ทางเดินหายใจโล่ง และให้ดมออกซิเจนก่อนนอน 2. การรักษาอาการนอนหลับมากไป อาจใช้ยากระตุ้นสมองบางชนิด ภายใต้การดูแลของแพทย์ 3. การรักษาอาการนอนฝันร้าย โดยทั่วไปถ้าอาการไม่มาก จะหายได้เอง ปลอบผู้ป่วยให้สบายใจ แต่บางรายอาจให้ยาคลายกังวลได้ 4. การรักษาอาการนอนละเมอเดิน ให้ระวังปิดประตูหน้าต่างห้องนอนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และให้ยาคลายกังวลร่วมด้วย

Read More »

จิตเวช: จาก I.Q. ถึง E.Q. สู่ A.Q.

จิตเวช: จาก I.Q. ถึง E.Q. สู่ A.Q. จาก I.Q. ถึง E.Q. สู่ A.Q. ศ.กิตติคุณ พ.ญ.พยอม อิงคตานุวัฒน์ E.Q. หรือ Emotional Quotient ที่เรียก E.Q. เพราะต้องการให้สัมผัสกับ I.Q. ตามตำราที่ถูกต้อง จะเรียกชื่อเต็มว่า Emotional Intelligence E.Q. หรือ Emotional Intelligence หมายถึงความสามารถทางอารมณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งประกอบด้วย 1. ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง (Self Control) 2. ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นและของตนเอง (Knowing one’s emotions) 3. ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงของอารมณ์ ไม่หวั่น ไหวง่าย รวมทั้งปฎิกริยาระหว่างบุคคลและปฎิกริยากับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้อง และสัมพันธ์กับเหตุการณ์ 4. ความสามารถที่ทำให้มีอารมณ์กระตือรือร้น อันจะก่อให้เกิดแรงจูงใจแล้วนำไปสู่ความสำเร็จส่วนตัว และความเจริญก้าวหน้าของสังคม ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง Self-control หมายถึงความสามารถควบคุมการแสดงออกทาง กาย วาจา และสีหน้าได้ สมเหตุ สมผล ตามแบบฉบับที่สังคมกำหนดไว้ หรือเป็นแบบฉบับซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคมที่ เราดำรงชีวิตอยู่ เช่น การทักทายกันและกันสีหน้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใส และใช้วาจาสุภาพ หรือ สามารถควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม เห็นของ ๆ ผู้อื่นซึ่งไม่ใช่ของตนก็อยากได้ ถ้าไม่มี E.Q. ควบคุมให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ก็จะละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่นโดยหยิบหรือขโมยไป ย่อมเป็นปัญหาของสังคมตามที่ท่านได้เคยพบเห็นมาแล้ว ความสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างบุคลิกภาพ ให้น่าดูน่าชมทุกคนที่พบเห็นอยากติดต่อคบค้าสมาคมด้วย 1997 Mayer และ Salo กล่าวว่าบุคคลใดก็ตามที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ถึงแม้จะมีสติปัญญาเฉียบแหลม แต่ความคิดสร้างสรรค์ก็ไม่อาจ จะเกิดขึ้นได้ เช่น ในปี 1998 ประธานาธิบดี บิล คลินตัน แห่งสหรัฐอเมริกา ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ทางเพศได้ นำไปสู่พฤติกรรมที่ขาดศีลธรรมเกิดเรื่องอื้อฉาวตามที่ทราบกันทั่วโลก ทำให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ตัองใช้เงินในการสอบสวนหลาย 10 ล้านเหรียญ เพราะสติปัญญาที่เฉียบแหลมถูกครอบงำด้วยอารมณ์ทางเพศแล้วไม่สามารถควบคุมอารมณ์นั้น ๆ ได้ จึงประพฤติผิดศีลธรรมอันดีงามทั้ง ๆ ที่เป็นผู้นำชาติระดับโลก หรือในบางคนที่ควบคุมอารมณ์โกรธ อารมณ์อิจฉาของตัวเองไม่ได้ ก็จะทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกขาดความเหมาะสม เพราะฉนั้น ความสามารถทางอารมณ์จะต้องควบคู่ไปกับความสามารถทางสติปัญหา จึงจะช่วยให้บุคคลนั้น ๆ ประสบความสำเร็จหรือมี A.Q. (Adversity Quotient) นั่นเอง ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นและอารมณ์ของตัวเอง เมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจอารมณ์ของตนเอง และของผู้อื่นที่เกี่ยวข้องด้วยก็จะทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน มีความอดทน มีความห่วงใยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความผูกพันทางอารมณ์ ผลที่ได้รับคือทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกต่อกัน สมเหตุ สมผล นำไปสู่ความรับผิดชอบต่อกันแล้วรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน จึงทำให้สังคมไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เจริญก้าวหน้า เป็นความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) ที่สำคัญที่ทำให้ทุกคนในสังคมมีความสุข และทำให้สังคมคงรูปอยู่ได้ไม่ปั่นป่วน การขาด E.Q. ในด้าน Social Responsibility สังคมจะมีแต่ความเดือดร้อน คนส่วนใหญ่หาความสุขไม่ได้ดังที่ปรากฎอยู่ในขณะนี้ ผู้นำครอบครัวผู้นำองค์กรหรือผู้นำประเทศถึงแม้จะมี I.Q. สูงมากสักปานใดแต่ถ้าขาด E.Q. หรือ Emotional Intelligence ก็จะขาดความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตนเอง (Self Control) ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แล้วยังขาด E.Q. ในส่วนของ Social Responsibility อีก ย่อมไม่อาจนำความเจริญมาสู่ครอบครัว สู่องค์กรหรือสู่ประเทศชาติได้ ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงของอารมณ์ (Emotional stability) เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้การดำรงชีวิตประจำวันของตนเอง ของผู้อยู่ร่วมด้วยตลอดจนบุคคลในสังคมรอบตัวมีความสุขและราบรื่น ทำให้มีคนอยากติดต่อด้วยอยากอยู่ใกล้ ๆ เพราะพูดคุยด้วยแล้วมีความสุข ในทางตรงข้ามผู้ที่มีอารมณ์ไม่มั่นคง โกรธง่าย โกรธบ่อย โกรธรุนแรงไม่สมเหตุสมผล อารมณ์ไม่แน่นอน วันนี้ทักทายยิ้มแย้มดี พรุ่งนี้อาจจะไม่มองหน้าไม่พูดด้วย หรือในวันเดียวกันอาจจะมีหลายอารมณ์ เช่น เสียใจง่าย เสียใจบ่อย หรือโกรธบ่อยโดยไม่มีเหตุ ตลอดวัน อาจจะอารมณ์ไม่แจ่มใสไม่ยิ้มแย้ม แล้วจะมีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากคบหาสมาคมด้วย ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงทางอารมณ์ (Emotional Stability) จะทำให้ความสัมพันธ์ดีทุกระดับ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ครูกับนักเรียน นายจ้างกับลูกจ้างหรือผู้บริหารประเทศกับประชาชน ซึ่งจะนำไปสู่การร่วมมือในทางสร้างสรรค์ทุกระดับชั้นของสังคมตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับประเทศ ความสามารถที่ทำให้มีอารมณ์กระตือรือร้น เกิดแรงจูงใจที่จะต่อสู้อุปสรรคทั้งมวล เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จส่วนตัว แล้วความเจริญของสังคมนั้น ๆ ย่อมเป็นผลตามมาอย่างแน่นอน สังคมใดที่มีทรัพยากรมนุษย์ที่มี E.Q. สูงทั้ง 4 องค์ประกอบดังกล่าวมาแล้วข้างต้น อันได้แก่ :- ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นและของตนเอง ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงของอารมณ์ ความสามารถที่ทำให้เกิดอารมณ์กระตือรื้นร้น บุคคลนั้นๆ ก็จะเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมในทางสร้างสรรค์ทุกรูปแบบ ต่อสังคมที่บุคคลนั้น ๆ ดำรงชีวิตอยู่ ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า I.Q. และ E.Q. จะนำท่านไปสู่ A.Q. (Adversity Quotient = ความสามารถสู่ความสำเร็จ) ด้วย E.Q. หรือความสามารถทางอารมณ์พัฒนาพร้อมๆ กับ I.Q. และการพัฒนาของ E.Q. ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้ 1. ปัจจัยทางพันธุกรรม โดยได้พื้นของอารมณ์จากบรรพบุรุษถ่ายทอดสู่ลูกหลาน ถ้าพื้นของอารมณ์ดีไม่หงุดหงิดจะทำให้ E.Q. ดี

Read More »

จิตเวช: ความฉลาดทางอารมณ์

จิตเวช: ความฉลาดทางอารมณ์ ความฉลาดทางอารมณ์ โดย อ.วรนันท์ ศรียากร ในปัจจุบันผู้ปกครองหลายท่านให้ความสนใจสอบถามเกี่ยวกับ “EQ” กันมาก หลายท่านพอจะเข้าใจบ้าง และอีกหลายท่านเพียงแต่เคยได้ยินเท่านั้น ผู้ปกครองท่านหนึ่ง เดินเข้ามาด้วยใบหน้าวิตกกังวลและบอกว่า “ครูประจำชั้นของลูกบอกว่า ลูกของดิฉัน “EQ” ต่ำ หมายความว่ายังไงคะ?” เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ เราควรมาทำความเข้าใจในเรื่องของ “EQ” กันก่อน “EQ” (Emotional Quotient หรือ Emotional Intelligence) หรือในภาษาไทย มีชื่อเรียกว่า ความฉลาดทางอารมณ์ หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ มีจิตใจที่มั่นคง การมองโลกในแง่ดี รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ มีเหตุผล มีสติ สามารถควบคุมตนเอง มีความสามารถในการรับรู้ถึงความต้องการของคนอื่น และรู้จักมารยาททางสังคม พูดง่ายๆ ก็คือ คนที่มี “EQ” ดี จะเป็นคนที่สามารถแสดงออกทางพฤติกรรมต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ตามวัยของตน และสามารถอยู่กับคนอื่นๆ ในสังคมได้อย่างดีนั่นเอง “EQ” และ “IQ” เป็นของคู่กัน “IQ” หมายถึง ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ทำความเข้าใจ ความสามารถในการจดจำสิ่งต่างๆ และสามารถนำมาประเมินค่าได้ เท่าที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักจะเน้นอยากให้บุตรหลานเรียนเก่งๆ ซึ่งนั่นก็คือ การเน้นที่ “IQ” อย่างเดียว ซึ่งในปัจจุบันความคิดนี้ไม่น่าจะถูกต้องนัก มีคนหลายคนที่เรียนเก่ง ได้คะแนนสูง ฉลาด แต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ในหน้าที่การงาน ดังนั้น คนเราถ้าจะเก่ง จะดี จะฉลาด และประสบความสำเร็จในชีวิต ควรจะต้องมีทั้ง “EQ” และ “IQ” ควบคู่กันไป ที่ผ่านมา ผู้ปกครอง พ่อ แม่ โรงเรียน มักจะเน้นการเรียนการสอนให้เด็กเป็นคนเก่งทางการเรียน เน้นการได้คะแนนสูงๆ คือ เน้นเฉพาะการพัฒนาด้าน IQ เพียงอย่างเดียว และมองข้ามการพัฒนาด้าน EQ ไป มองข้ามการพัฒนาเด็กให้มีความพร้อมทางจิตใจและอารมณ์ ในการที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม มีวิธีการง่ายๆ ที่ พ่อ – แม่ ผู้ปกครอง จะสามารถพัฒนา EQ ของลูกได้ โดยการ เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูก ในการแสดงออกต่างๆ เช่น การเอาใจเขามาใส่ใจเรา การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นต้น เล่นกับลูก หรือให้ลูกได้มีโอกาสเล่นกับเพื่อนๆ การเล่นนี้ พ่อ – แม่ ผู้ปกครอง อาจจะเป็นผู้นำในการเล่น เช่น “การเล่นแม่งูเอ๋ย” เพื่อให้เด็กรู้จักเคารพกติกา ซึ่งเป็นการฝึกทักษะทางสังคมให้กับเด็กนั่นเอง ฝึกการรู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อให้เด็กเรียนรู้ถึงการทำงานเป็นทีม มากกว่า ข้าเก่งอยู่คนเดียว เพื่อเป็นการเข้าใจถึงการยอมรับความคิดเป็นของคนอื่น เพื่อให้รู้จักการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับคนอื่นๆ เป็นต้น คุณพ่อ – คุณแม่ ทั้งหลาย ท่านหันมามองบุตรหลานของท่านกันหน่อย ว่าท่านสอนให้ลูกมี “EQ” คู่กับ “IQ” หรือว่าสอนแต่ให้ลูกมี “IQ” อย่างเดียว ถ้าอยากให้อนาคตของชาติเป็นคนดี มีประโยชน์ เป็นคนที่สังคมต้องการ พร้อมทั้งประสบความสำเร็จในชีวิต ถึงเวลาแล้วที่จะหันมาพัฒนา “EQ” ให้ลูกของท่าน ซึ่งการพัฒนา EQ นั้น ท่านสามารถลงมือปฏิบัติเองได้ อย่ามัวหลงเชื่อโฆษณาที่มุ่งเน้นแต่จะทำธุรกิจ หากินกับเด็กอยู่ต่อไปเลยนะคะ ตัวท่านเองนั่นแหละ ที่เป็นคนสำคัญ ที่จะพัฒนา “EQ” ให้กับลูกของท่านได้.

Read More »
Page1 … Page3 Page4 Page5 Page6

ผิวหนัง: ทำไมคนเราถึงต้องเป็นสิวคะ จะมีใครซักคนไหมคะที่ไม่มีสิวสักเม็ดบนใบหน้าค่ะ

ผิวหนัง: ทำไมคนเราถึงต้องเป็นสิวคะ จะมีใครซักคนไหมคะที่ไม่มีสิวสักเม็ดบนใบหน้าค่ะ คำถาม ทำไมคนเราถึงต้องเป็นสิวคะ จะมีใครซักคนไหมคะที่ไม่มีสิวสักเม็ดบนใบหน้าค่ะ คำตอบ โดย นายแพทย์สมชัย ลีลาศิริวงศ์ สิวเกิดขึ้นจากอิทธิพลของฮอร์โมนแอนโดรเจนที่มีต่อต่อมไขมัน และรุขุมขนของผิวหนังโดยเฉพาะที่ใบหน้า ซึ่งฮอร์โมนดังกล่าวจะมีสูงในช่วงวัยรุ่น แต่สิวจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความไวที่ผิวแต่ละคนจะตอบสนองต่อฮอร์โมน ดังนั้นคนในช่วงวัยนี้จึงมักมีสิวไม่มากก็น้อย คนที่ไม่มีสิวเลยในช่วงวัยรุ่นก็พอมีบ้างแต่เป็นคนส่วนน้อย เพราะฉะนั้นอย่ากังวลเรื่องสิวมากจนเกินไป แม้มีสิวก็ยัง “ดูดี” ได้ถ้าดูแลรักษาถูกวิธีครับ.

Read More »

ผิวหนัง: สิวเสี้ยนเยอะมาก จุดดำๆ เต็มไปหมด จะแก้ไขอย่างไรดีคะ

สิวเสี้ยนเยอะมาก จุดดำๆ เต็มไปหมด จะแก้ไขอย่างไรดีคะ คำถาม เป็นสิวเสี้ยนเยอะมาก โดยเฉพาะบริเวณจมูก ยิ่งเป็นยิ่งมีมากขึ้น และสังเกตว่าเป็นจุดดำๆ เต็มไปหมด จะแก้ไขอย่างไรดีคะ คำตอบ โดย นายแพทย์สมชัย ลีลาศิริวงศ์ (แพทย์ผิวหนัง) สิวเสี้ยนเกิดจากการอุดตันของปากรูขุมขน (Comedone) บนใบหน้า พบได้บ่อยบริเวณจมูก หน้าผาก และคาง (T Zone) ถ้าการอุดตันอยู่ลึกจะเป็นตุ่มสีขาว แต่ถ้าการอุดตันอยู่ตื้นจะเห็นเป็นหัวสีดำ สิวเสี้ยนรักษาได้โดยการทาด้วยกรดวิตามินเอ เช่น เรติโนอิค ขนาด 0.025% ถึง 0.05% ทาวันละครั้งตอนเย็น สิวเสี้ยนจะหลุดไปได้ภายใน 4-8 สัปดาห์ แต่ยากลุ่มนี้อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองเป็นผื่นคันและลอกได้ในบางคน วิธีหลีกเลี่ยงอาการระคายเคือง คือ ทายาทิ้งไว้แค่ 10-20 นาที แล้วล้างออก จะช่วยลดการระคายเคืองได้ ถ้าหากทายาแล้วสิวเสี้ยนยังไม่หายควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง ไม่ควร “กด” หรือ “บีบ” สิวเสี้ยนด้วยตนเอง เพราะนอกจากจะไม่ค่อยได้ผลแล้ว อาจทำให้สิวเสี้ยนกลายเป็นสิวอักเสบได้ง่ายขึ้น การใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยน ช่วยแก้ปัญหาได้ชั่วคราว แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ก็อาจกลับมาอุดตันใหม่ได้ครับ

Read More »

ผิวหนัง: ลูกชอบมาเอาเครื่องสำอางไปใช้ ไม่อยากขัดใจ ทำอย่างไร

ผิวหนัง: ลูกชอบมาเอาเครื่องสำอางไปใช้ ไม่อยากขัดใจ ทำอย่างไร คำถาม ดิฉันมีลูกสาวเป็นวัยรุ่น แกชอบมาเอาเครื่องสำอางของดิฉันไปใช้บ่อยๆ ไม่อยากขัดใจลูก แต่ก็ไม่อยากส่งเสริมเพราะผิวแกยังดีอยู่นะคะ จะมีวิธีแนะนำหรือห้ามอย่างไร เพราะเด็กวัยนี้ 15-16 ปี แกได้รับอิทธิพลโฆษณาสินค้าเครื่องสำอางจากทีวีมากเหลือเกิน คำตอบ โดย นายแพทย์สมชัย ลีลาศิริวงศ์ (แพทย์โรคผิวหนังและศัลยกรรมเลเซอร์) ก่อนอื่นคุณแม่ต้องทำความเข้าใจว่าลูกสาวทุกคนกำลังก้าวเข้าสู่วัยที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งทางร่างกาย, อารมณ์, ความคิดอ่าน ก่อนจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เด็กวัยนี้จะเริ่มสนใจดูแลตัวเองให้ “ดูสวย ดูดี” การใช้เครื่องสำอางเป็นครั้งคราวเวลาที่ต้องออกงานสังคม เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ครับ แต่ไม่ควรใช้เครื่องสำอางมากๆ เป็นประจำ เพราะอาจจะแพ้เครื่องสำอางจนทำให้เกิดสิว (ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เกิดได้ง่ายในวัยนี้อยู่แล้ว) สำหรับวัยรุ่นที่มีปัญหาสิวอยู่แล้วไม่ควรใช้เครื่องสำอางเพื่อรักษาสิวด้วยตนเอง หรือเพื่อปกปิดรอยสิว เพราะนอกจากจะไม่ได้ผลเท่าที่ควรอาจทำให้สิวลุกลามรุนแรงขึ้น ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังจะเหมาะสมกว่า อนึ่งคุณแม่ควรอธิบายให้ลูกที่เป็นวัยรุ่นฟังว่าวัยนี้ผิวพรรณของเขาสวยที่สุดอยู่แล้ว ผู้หญิงวัยรุ่นคุณแม่ อีกจำนวนมากยอมเสียเงินทองมากมายนับพันนับหมื่น เพียงเพื่ออยากให้ผิวของตนกลับมาเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง ฉะนั้นจงภูมิใจว่าผิวพรรณตอนนี้สวยที่สุดอยู่แล้ว โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยก็สำอางอยู่แล้ว

Read More »

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคแพนิค ( Panic disorder )

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคแพนิค ( Panic disorder ) Panic Disorder and Agoraphobia เนื่องจาก Panic Attack และ Agoraphobia สามารถพบร่วมกับโรคในกลุ่มนี้ได้หลายโรค จึงแยกแสดงเกณฑ์การวินิจฉัยของ Panic Disorder และ Agoraphobia ต่างหากออกมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้น ทั้งสองกลุ่มอาการนี้ไม่มีรหัสเฉพาะ และไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้โดยโดด ๆ Panic Attack มีความกลัวหรือความอึดอัดไม่สบายอย่างรุนแรงเป็นระยะเวลาที่ชัดเจน โดยมีอาการในหัวข้อต่อไปนี้ ตั้งแต่ 4 อาการขึ้นไป อาการ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และถึงระดับสูงสุดภายใน 10 นาที 1. ใจสั่น ใจเต้นแรง หรือใจเต้นเร็วมาก 2. เหงื่อแตก 3. สั่น 4. หายใจไม่อิ่ม หรือ หายใจขัด 5. รู้สึกอึดอัด หรือแน่นอยู่ข้างใน 6. เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก 7. คลื่นไส้ ท้องไส้ปั่นป่วน 8. วิงเวียน โคลงเคลง มึนตื้อ หรือเป็นลม 9. derealization หรือ depersonalization 10. กลัวคุมตัวเองไม่ได้ หรือกลัวเป็นบ้า 11. กลัวว่าจะตาย 12. paresthesias (ชา หรือรู้สึกซู่ซ่า) 13. หนาวสั่น หรือร้อนวูบวาบ Agoraphobia A. กังวลต่อการอยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์ที่อาจหลีกเลี่ยงได้ลำบาก (หรืออาจทำให้อับอาย) หรืออาจไม่ได้รับการช่วยเหลือ หากว่าผู้ป่วยเกิดมี Panic Attack หรือมีอาการที่คล้าย Panic ไม่ว่าจะเป็นขึ้นมาเองหรือเป็นจากบางสถานการณ์มากระตุ้นก็ตาม ความกลัวแบบ Agoraphobia ที่เป็นแบบฉบับ มักจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์เหล่านี้ ซึ่งประกอบด้วย การออกนอกบ้านตามลำพัง การอยู่ท่านกลางหมู่คนหรือยืนต่อแถว การอยู่บนสะพาน และการเดินทางโดยรถเมล์ รถไฟ หรือรถยนต์ หมายเหตุ : หากการหลีกเลี่ยงจำกัดอยู่เฉพาะสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง หรือเพียงไม่กี่สถานการณ์ ให้คำนึงถึงการวินิจฉัย Specific Phobia หากการหลีกเลี่ยงจำกัดอยู่แต่การพบปะผู้คนให้คำนึงถึง Social Phobia B. มีการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ (เช่น งดการเดินทาง) หรือไม่ก็ต้องทนเผชิญโดยมีความทุกข์ใจมากหรือมีความวิตกกังวลว่าจะเกิด Panic Attack หรือมีอาการที่คล้าย Panic หรือต้องมีผู้อื่นอยู่ร่วมด้วย C. อาการวิตกกังวลหรือการเลี่ยงจากความกลัวนี้ ไม่ได้เข้ากับโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ได้ดีกว่า เช่น Social Phobia (เช่น การหลีกเลี่ยงจำกัดอยู่เฉพาะการพบปะผู้คน เนื่องจากเกรงว่าจะแสดงความประหม่า), Specific Phobia (การหลีกเลี่ยงจำกัดอยู่เฉพาะสถานการณ์เดียวเท่านั้น เช่น ลิฟต์), Obsessive-Compulsive Disorder ( เช่น บางคนหลีกเลี่ยงสิ่งสกปรกเนื่องจากหมกมุ่นกับการกลัวติดเชื้อโรค), Posttraumatic Stress Disorder (เช่น หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่เกี่ยวข้องกับความกดดันที่รุนแรงนั้น), หรือ Separation Anxiety Disorder (เช่น หลีกเลี่ยงการห่างจากบ้านหรือญาติ) F41.0 Panic Disorder Without Agoraphobia A. มีทั้ง (1) และ (2) (1) มี Panic Attacks เกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยคาดไม่ได้ (ดูหน้า ppp) (2) อย่างน้อยหนึ่งครั้งของการเกิดอาการ จะต้องมีอาการดังต่อไปนี้หนึ่งข้อ (หรือมากกว่า) ติดตามมาเป็นเวลานาน 1 เดือน (หรือมากกว่า) (a) กังวลว่าจะเกิดอาการขึ้นอีกอยู่ตลอดเวลา (b) กังวลว่าอาจส่อถึงโรคร้ายแรงหรือกังวลเกี่ยวกับผลติดตามมา (เช่น คุมตัวเองไม่ได้ เป็นโรคหัวใจ เป็นบ้า) (c) พฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เนื่องมาจากการเกิดอาการ B. ไม่มี Agoraphobia C. Panic Attacks นี้มิได้เป็นจากผลโดยตรงด้านสรีรวิทยาจากสาร (เช่น สารเสพติด ยา) หรือจากภาวะความเจ็บป่วยทางกาย (เช่น hyperthyroidism) D. Panic Attacks นี้ ไม่ได้เข้ากับโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ได้ดีกว่า เช่น Social Phobia (เช่น เกิดอาการขณะเผชิญกับสถานการณ์ทางสังคมที่หวั่นเกรง) Specific Phobia (เช่น เผชิญกับสถานการณ์ที่กลัว), Obsessive-Compulsive Disorder ( เช่น เผชิญกับสิ่งสกปรกในคนที่หมกมุ่นกับการกลัวติดเชื้อโรค), Posttraumatic Stress Disorder (เช่น เกิดอาการจากสิ่งเร้าที่เกี่ยวข้องกับความกดดันที่รุนแรงนั้น), หรือ Separation Anxiety Disorder (เช่น เกิดอาการจากการต้องห่างจากบ้านหรือญาติใกล้ชิด) F40.01 Panic Disorder With

Read More »

จิตเวช เด็ก และ วัยรุ่น: ลูกสาวอายุ 4 ขวบ ชอบเถียง และดื้อมาก ขัดใจก็จะร้องไห้ทำอย่างไรดีคะ

จิตเวช เด็ก และ วัยรุ่น: ลูกสาวอายุ 4 ขวบ ชอบเถียง และดื้อมาก ขัดใจก็จะร้องไห้ทำอย่างไรดีคะ คำถาม ลูกสาวอายุ 4 ขวบ ชอบเถียง และดื้อมาก ทำอะไรขัดใจก็จะร้องไห้ทำอย่างไรดีคะ ตอนนี้ไม่มีใครปราบได้เลยค่ะ คำตอบ โดย แพทย์หญิงสุภาพร ปิตวิวัฒนานนท์ (จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น) เด็กในช่วงวัย 3-5 ขวบ จะเป็นวัยที่เด็กมีความเป็นตัวของตัวเองมาก พัฒนาการทั้งทางร่างกายและทางภาษาก็ก้าวหน้าไปมาก ในขณะเดียวกันก็ยังไม่ทราบถึงความควรไม่ควรในบทบาทของเขา วัยนี้เด็กมักอยากรู้อยากเห็นอยากทดลองทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อทดสอบพลังของตน และสังเกตว่าผลจะออกมาอย่างไร ซึ่งพฤติกรรมของเด็กจะมีความรุนแรงมากน้อยก็ขึ้นกับพื้นฐานอารมณ์ของเด็กประกอบกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขา ซึ่งหลักๆ คือ การเลี้ยงดูของพ่อแม่นั่นเอง ถ้าพูดถึงในจุดที่ปรับเปลี่ยนได้ คือ การเลี้ยงดูนั้น พบว่าเด็กที่ถูกตามใจมากตั้งแต่เล็กมักจะมีปฏิกิริยารุนแรงกว่าเด็กที่ถูกฝึกวินัย และมีขอบเขตในการเลี้ยงดูมากกว่า เนื่องจากเด็กรู้สึกคับข้องใจเพราะไม่ได้ดังใจเหมือนที่เคยได้มาจนเคยชิน ฉะนั้นการจะแก้ปัญหาพฤติกรรมตรงนี้คงต้องมีการฝึกวินัยลูก โดยมีหลักการคร่าวๆ คือ ใช้เหตุผลในการตัดสินเหตุการณ์ว่าสิ่งนั้นควรหรือไม่ควร เมื่อตัดสินแล้วว่าไม่ควรก็ปฏิเสธลูกตรงๆ ด้วยความหนักแน่น อย่าหลีกเลี่ยงบ่ายเบี่ยงหรือให้เหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ถ้าลูกยังคงไม่ฟังยังต้องหนักแน่น อย่าใจอ่อน เพราะถ้ายอมตามใจเมื่อลูกงอแง ก็เท่ากับพ่อแม่ให้รางวัลเขากับพฤติกรรมนี้ เด็กจะเรียนรู้และใช้วิธีนี้ไปเรื่อยๆ โดยวิธีจะพัฒนาซับซ้อนขึ้นตามวัย ทำให้ยิ่งจัดการยากขึ้นในวัยที่โตขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากสิ่งที่ลูกขอเป็นสิ่งที่พอจะให้ได้ ก็ไม่ควรปฏิเสธเพียงเพราะจะดัดนิสัยลูก เพราะนั่นเหมือนเป็นการเอาชนะ แสดงอำนาจของพ่อแม่โดยไม่ใช้เหตุผล ซึ่งขัดกับสิ่งที่เราต้องการสอนเขา เมื่อพ่อแม่ใช้เหตุผลและมีความหนักแน่นอย่างสม่ำเสมอ ลูกก็จะค่อยๆ เรียนรู้เหตุผล ความควรไม่ควรเข้าไปในจิตสำนึกของตน และสิ่งเหล่านี้จะเป็นแกนกลางของการพัฒนาบทบาทที่เหมาะสมของเด็กต่อไปค่ะ จริงๆ แล้วการฝึกวินัยเด็ก สามารถเริ่มได้ตั้งแต่ขวบปีที่สองค่ะ แต่อย่างไรก็ตามเริ่มวันนี้ก็ดีกว่าเริ่มวันหน้าค่ะ

Read More »

จิตเวช: ลูกชายซึมแต่ติดละคร เป็นอาการออทิสทิคหรือไม่

จิตเวช: ลูกชายซึมแต่ติดละคร เป็นอาการออทิสทิคหรือไม่ น่ากลัว และเลี้ยงดูอย่างไร คำถามคุณพายัพ ลูกชายผมเป็นเด็กซึมๆ ไม่ค่อยชอบพูดกับใคร แต่เวลาดูโทรทัศน์ เขามีสมาธิดีมากและมีอารมณ์อินกับเรื่องราวในข่าว ในหนังในละครมากกว่าผู้ใหญ่เสียอีก ผิดปกติหรือไม่ครับ อาการออทิสทิคของเด็กแปดขวบจะเป็นอย่างไรบ้างครับ น่ากลัว หรือเลี้ยงลูกแบบนี้ยากไหมครับ คำตอบ โดย แพทย์หญิงสุภาพร ปิตวิวัฒนานนท์ (จิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่น) ขอตอบปัญหาคุณพายัพดังนี้ เข้าใจว่าคุณพายัพคงสังสัยว่าลูกจะเข้าเข้าข่ายเด็กออทิสทิคหรือไม่ เด็กออทิสทิคเป็นกลุ่มที่มีความผิดปกติของพัฒนาการด้านทักษะทางสังคมและทางภาษา และมักมีพฤติกรรมที่ซ้ำๆ แปลกๆ ร่วมด้วย แต่ความรุนแรงก็มีแตกต่างกันไป ในเด็กที่อาการไม่รุนแรงอาการอาจแสดงออกช้าและไม่ชัดเจนในวัยเด็กเล็ก ทำให้เพิ่งมาสังเกตุเห็นความแปลกเมื่อเข้าสู่วัยเรียน เด็กมักจะมีความพอใจจะเล่นคนเดียวมากกว่าสนใจที่จะสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เด็กอาจเข้ากลุ่มเพื่อนได้อย่างผิวเผิน และมักเป็นผู้ตามเด็ก มักจะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ และไม่ค่อยรับรู้ว่าผู้อื่นอยู่ใกล้ๆ เขา ไม่รับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น เด็กที่มีอาการไม่รุนแรงเมื่อค่อยๆ โตขึ้นเขาสามารถมีสัมพันธภาพกับคนในครอบครัวได้แต่มักจะห่างเหิน แยกตัวมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ในการดูแลเด็กเหล่านี้ต้องอาศัยความช่วยเหลือหลายๆ ด้านพร้อมกันไป พ่อแม่จะต้องเข้าใจธรรมชาติของโรค และช่วยกระตุ้นให้เพิ่มทักษะทางสังคมและภาษา ช่วยกันลดความความเครียดทั้งกับตัวเด็กเองและครอบครัว ถ้าอาการเหล่านี้คล้ายกับลักษณะของลูก หมอขอแนะนำให้คุณพายัพพาเด็กมาปรึกษากุมารแพทย์ที่ดูแลอยู่ เพื่อส่งต่อพบจิตแพทย์เด็กค่ะ เด็กออทิสทิคที่ได้รับการดูแลรักษาจะช่วยลดปัญหาที่จะเกิดตามมาได้ค่ะ

Read More »

จิตเวช: โรคซึมเศร้าเรื้อรัง

จิตเวช: สามีเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ไม่ทราบว่าต้องรักษาอย่างไรจึงจะหายขาด คำถาม สามีเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง พบแพทย์และรับประทานยามากว่า 2 ปีแล้ว พอหยุดยา อาการก็กลับมาอีก ไม่ทราบว่าต้องรักษาอย่างไรจึงจะหายขาด คำตอบ โดย นายแพทย์ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง (จิตแพทย์) โดยหลักวิชาการการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรังก็จะต้องมีอาการบ่อยๆ เกินกว่า 2 ปีอยู่แลัว ถ้าไม่ได้รับการรักษาในระหว่างที่มีอาการอยู่อาจมีอาการซึมเศร้าถึงขั้นรุนแรงได้ในบางราย กรณีของสามีคุณช่วงที่ได้รับการรักษาอาการคงทุเลา พอหยุดยาซึ่งไม่ทราบว่าหยุดนานแค่ไหน และมีเหตุกระตุ้นทางจิตใจอีกหรือไม่ อาการก็กำเริบอีก โรคซึมเศร้าเรื้อรังนั้นบางคนอาจไม่หายขาดเสียเลยทีเดียว แต่พอรักษาให้ทุเลาได้จนสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เกือบปกติ ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยทางชีวภาพที่เกี่ยวกับสารเคมีในสมองที่พร่องไปเนื่องจากกรรมพันธุ์ และปัจจัยทางจิตวิทยาและสังคมที่เกิดจากปัญหาชีวิตโดยเฉพาะการสูญเสียไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่รัก ทรัพย์สินเงินทอง หรือแม้แต่ความรู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจ ถ้าหากสามีคุณมีทั้งปัจจัยทางชีวภาพ นั่นคือ มีกรรมพันธุ์ในครอบครัว ประกอบกับมีปัญหาชีวิตเรื้อรัง มีการสูญเสียบ่อยๆ ซ้ำๆ อยู่ด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงตลอดเวลา การรักษาคงต้องยาวนานหลายๆปี ส่วนการรักษาจะกินยาต้านเศร้าอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องรักษาด้วยจิตบำบัดและพฤติกรรมบำบัดด้วย โดยเฉพาะจิตบำบัดชนิดปรับเปลี่ยนความคิดอย่าตำหนิตัวเองหรือมองโลกในแง่ร้าย ผู้ดูแลควรแสดงความเข้าใจในอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกของผู้ป่วย พร้อมแนะนำว่าความคิด ความรู้สึกที่มีอยู่ในขณะนั้นเป็นอาการของโรค เมื่อรักษาดีขึ้นแล้ว อารมณ์เศร้าและการมองสิ่งต่างๆ ในด้านลบจะดีขึ้น และคอยส่งเสริมให้ทำกิจกรรมที่ทำให้มีความมั่นใจ ภาคภูมิใจในตนเอง หรือมีความเพลิดเพลิน ถ้ามีปัญหาชีวิตและการสูญเสีย ต้องช่วยผู้ป่วยจัดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว มีข้อสังเกตที่สำคัญ 2 ประการ คือ ในระหว่างมีอาการต้องคอยประเมินความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย และเมื่ออาการทุเลาแล้วก็ยังต้องคอยสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงที่อาจแสดงถึงการกำเริบซ้ำ อย่างไรก็ตามโรคนี้ก็ยังมีโอกาสหายได้ครับ.

Read More »

จิตเวช: นอน… ใครว่าไม่สำคัญ

จิตเวช: นอน… ใครว่าไม่สำคัญ นอน… ใครว่าไม่สำคัญ น.พ.ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง จิตแพทย์ เมื่อก่อนหากมีใครกล่าวว่า “ กินได้นอนหลับ ” ย่อมถือว่าโชคดีมหาศาลแล้ว ผมก็เคยเชื่อตามนั้น แต่เดี๋ยวนี้ เราคำนึงถึงคุณภาพชีวิตกันมากขึ้น มิใช่สักแต่กินจนเป็นโรคอ้วน หรือนอนหลับฝันร้าย ก็คงไม่เอาด้วย ปัญหาการนอน เห็นทีจะปล่อยปละละเลยไม่ได้อีกแล้ว หากพิจารณาปัญหาการนอนใน เชิงปริมาณ ก็จะเป็นเรื่อง นอนไม่หลับ นอนน้อยไม่เพียงพอ และในทางตรงข้ามคือ นอนมากเกินไป ส่วนปัญหาการนอนใน เชิงคุณภาพ ก็คือ นอนฝันร้าย และนอนละเมอเดิน อาการนอนไม่หลับ (Insomnia) เกิดจากการเจ็บป่วยทางกาย เช่น เจ็บปวดของอวัยวะต่าง ๆ ไอหอบเหนื่อยของโรคทางปอดและหัวใจ เป็นต้น และการเจ็บป่วยทางจิตใจ เช่น เครียดวิตกกังวล ซึมเศร้า ก้าวร้าว สับสน เป็นต้น นอกจากนี้ ปัญหาการนอนไม่หลับอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงจังหวะเวลาของการตื่นหลับกะทันหัน (circadian rhythm) เช่น เดินทางโดยเครื่องบินไปต่างประเทศที่เรียกว่า Jet-lag หรือการเปลี่ยนกะทำงานจากกลางวันเป็นกลางคืน เป็นต้น ในคนอ้วน หรือทางเดินหายใจส่วนบนแคบ ก็อาจหยุดหาย ๆ เป็นพัก ๆ ทำให้ขาดออกซิเจนต้องตื่นบ่อย ๆ และบางรายนอนไม่หลับโดยไม่ทราบสาเหตุก็มี อาการนอนหลับมากไป (Hypersomnia) จะนอนหลับตอนกลางคืนระหว่าง 8-12 ชั่วโมง และมักงีบหลับตอนกลางวันด้วย นานกว่า 1 ชั่วโมง เมื่อตื่นก็ยังไม่สดชื่น ขาดสมาธิ ดูเหมือนเฉี่อยช้าและขี้เกียจ บางรายมีอาการ Cataplexy ร่วมด้วย กล่าวคือ เกิดภาวะที่กล้ามเนื้อของแขนขา หรือลำตัวหมดกำลัง ทำให้ทรุดตัวล้มลงทันทีทันใด ซึ่งเรียกว่า โรค Narcolepsy อาการนอนฝันร้าย (Nightmare and sleep terror) มักเกิดในเด็ก และเกิดขณะกำลังฝันเกี่ยวกับเรื่องราวที่เป็นอันตราย หรือภายหลังประสบเหตุการณ์ที่ร้ายแรงในชีวิต ขณะฝันร้ายอาจพูด ร้องส่งเสียงดัง หรือออกท่าทางต่าง ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ตื่นขึ้นจะรู้สึกไม่สบายใจ วิตกกังวล หรือสับสนบ้าง และอาจมีอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติทำงานเพิ่มขึ้น ใจเต้นใจสั่น เหงื่อออกมาก หอบเหนื่อย หน้าตาแดง กล้าเนื้อตึงเครียด เป็นต้น อาการนอนละเมอเดิน (Sleepwalking) มักเกิดอาการในช่วงแรกของการหลับ โดยแสดงพฤติกรรมรูปแบบต่างๆ เช่น ลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองไปมองมา จับผ้าห่มหรือหมอน รายที่เป็นมากจะลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมา เดินออกนอกห้อง ขึ้นลงบันได หรือเดินออกนอกบ้าน รับประทานอาหาร พูดคนเดียว วิ่งหรือพยายามหนีจากอันตรายที่รู้สึกในขณะนั้น โดยทั่วไป พฤติกรรมจะไม่ซับซ้อน กินเวลาหลายนาทีถึงครึ่งชั่วโมง แล้วนอนต่อจนถึงเช้า บางรายพบว่านอนอยู่ที่อื่นที่มิใช่เตียงนอนของตนก็มี การแก้ปัญหาการนอน ทุกรายต้องค้นหาและรักษาที่สาเหตุเสมอ ซึ่งอาจเกิดจากโรคทางกายหรือจิตใจ 1. การรักษาอาการนอนไม่หลับ ใช้หลักสุขอนามัยของการนอน และ/หรือใช้ยาคลายกังวล ยาด้านเศร้า หรือยานอนหลับเท่าที่จำเป็น ส่วนในรายที่เปลี่ยนเวลานอน ให้ค่อย ๆ ปรับเวลานอนของตนให้ใกล้เคียงกับเวลาท้องถิ่นให้มากที่สุดและในรายที่อ้วน ให้ลดน้ำหนักลง ใช้ไม้กดลิ้นให้ทางเดินหายใจโล่ง และให้ดมออกซิเจนก่อนนอน 2. การรักษาอาการนอนหลับมากไป อาจใช้ยากระตุ้นสมองบางชนิด ภายใต้การดูแลของแพทย์ 3. การรักษาอาการนอนฝันร้าย โดยทั่วไปถ้าอาการไม่มาก จะหายได้เอง ปลอบผู้ป่วยให้สบายใจ แต่บางรายอาจให้ยาคลายกังวลได้ 4. การรักษาอาการนอนละเมอเดิน ให้ระวังปิดประตูหน้าต่างห้องนอนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และให้ยาคลายกังวลร่วมด้วย

Read More »

จิตเวช: จาก I.Q. ถึง E.Q. สู่ A.Q.

จิตเวช: จาก I.Q. ถึง E.Q. สู่ A.Q. จาก I.Q. ถึง E.Q. สู่ A.Q. ศ.กิตติคุณ พ.ญ.พยอม อิงคตานุวัฒน์ E.Q. หรือ Emotional Quotient ที่เรียก E.Q. เพราะต้องการให้สัมผัสกับ I.Q. ตามตำราที่ถูกต้อง จะเรียกชื่อเต็มว่า Emotional Intelligence E.Q. หรือ Emotional Intelligence หมายถึงความสามารถทางอารมณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งประกอบด้วย 1. ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง (Self Control) 2. ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นและของตนเอง (Knowing one’s emotions) 3. ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงของอารมณ์ ไม่หวั่น ไหวง่าย รวมทั้งปฎิกริยาระหว่างบุคคลและปฎิกริยากับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้อง และสัมพันธ์กับเหตุการณ์ 4. ความสามารถที่ทำให้มีอารมณ์กระตือรือร้น อันจะก่อให้เกิดแรงจูงใจแล้วนำไปสู่ความสำเร็จส่วนตัว และความเจริญก้าวหน้าของสังคม ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง Self-control หมายถึงความสามารถควบคุมการแสดงออกทาง กาย วาจา และสีหน้าได้ สมเหตุ สมผล ตามแบบฉบับที่สังคมกำหนดไว้ หรือเป็นแบบฉบับซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคมที่ เราดำรงชีวิตอยู่ เช่น การทักทายกันและกันสีหน้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใส และใช้วาจาสุภาพ หรือ สามารถควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม เห็นของ ๆ ผู้อื่นซึ่งไม่ใช่ของตนก็อยากได้ ถ้าไม่มี E.Q. ควบคุมให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ก็จะละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่นโดยหยิบหรือขโมยไป ย่อมเป็นปัญหาของสังคมตามที่ท่านได้เคยพบเห็นมาแล้ว ความสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างบุคลิกภาพ ให้น่าดูน่าชมทุกคนที่พบเห็นอยากติดต่อคบค้าสมาคมด้วย 1997 Mayer และ Salo กล่าวว่าบุคคลใดก็ตามที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ถึงแม้จะมีสติปัญญาเฉียบแหลม แต่ความคิดสร้างสรรค์ก็ไม่อาจ จะเกิดขึ้นได้ เช่น ในปี 1998 ประธานาธิบดี บิล คลินตัน แห่งสหรัฐอเมริกา ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ทางเพศได้ นำไปสู่พฤติกรรมที่ขาดศีลธรรมเกิดเรื่องอื้อฉาวตามที่ทราบกันทั่วโลก ทำให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ตัองใช้เงินในการสอบสวนหลาย 10 ล้านเหรียญ เพราะสติปัญญาที่เฉียบแหลมถูกครอบงำด้วยอารมณ์ทางเพศแล้วไม่สามารถควบคุมอารมณ์นั้น ๆ ได้ จึงประพฤติผิดศีลธรรมอันดีงามทั้ง ๆ ที่เป็นผู้นำชาติระดับโลก หรือในบางคนที่ควบคุมอารมณ์โกรธ อารมณ์อิจฉาของตัวเองไม่ได้ ก็จะทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกขาดความเหมาะสม เพราะฉนั้น ความสามารถทางอารมณ์จะต้องควบคู่ไปกับความสามารถทางสติปัญหา จึงจะช่วยให้บุคคลนั้น ๆ ประสบความสำเร็จหรือมี A.Q. (Adversity Quotient) นั่นเอง ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นและอารมณ์ของตัวเอง เมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจอารมณ์ของตนเอง และของผู้อื่นที่เกี่ยวข้องด้วยก็จะทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน มีความอดทน มีความห่วงใยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความผูกพันทางอารมณ์ ผลที่ได้รับคือทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกต่อกัน สมเหตุ สมผล นำไปสู่ความรับผิดชอบต่อกันแล้วรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน จึงทำให้สังคมไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เจริญก้าวหน้า เป็นความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) ที่สำคัญที่ทำให้ทุกคนในสังคมมีความสุข และทำให้สังคมคงรูปอยู่ได้ไม่ปั่นป่วน การขาด E.Q. ในด้าน Social Responsibility สังคมจะมีแต่ความเดือดร้อน คนส่วนใหญ่หาความสุขไม่ได้ดังที่ปรากฎอยู่ในขณะนี้ ผู้นำครอบครัวผู้นำองค์กรหรือผู้นำประเทศถึงแม้จะมี I.Q. สูงมากสักปานใดแต่ถ้าขาด E.Q. หรือ Emotional Intelligence ก็จะขาดความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตนเอง (Self Control) ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แล้วยังขาด E.Q. ในส่วนของ Social Responsibility อีก ย่อมไม่อาจนำความเจริญมาสู่ครอบครัว สู่องค์กรหรือสู่ประเทศชาติได้ ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงของอารมณ์ (Emotional stability) เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้การดำรงชีวิตประจำวันของตนเอง ของผู้อยู่ร่วมด้วยตลอดจนบุคคลในสังคมรอบตัวมีความสุขและราบรื่น ทำให้มีคนอยากติดต่อด้วยอยากอยู่ใกล้ ๆ เพราะพูดคุยด้วยแล้วมีความสุข ในทางตรงข้ามผู้ที่มีอารมณ์ไม่มั่นคง โกรธง่าย โกรธบ่อย โกรธรุนแรงไม่สมเหตุสมผล อารมณ์ไม่แน่นอน วันนี้ทักทายยิ้มแย้มดี พรุ่งนี้อาจจะไม่มองหน้าไม่พูดด้วย หรือในวันเดียวกันอาจจะมีหลายอารมณ์ เช่น เสียใจง่าย เสียใจบ่อย หรือโกรธบ่อยโดยไม่มีเหตุ ตลอดวัน อาจจะอารมณ์ไม่แจ่มใสไม่ยิ้มแย้ม แล้วจะมีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากคบหาสมาคมด้วย ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงทางอารมณ์ (Emotional Stability) จะทำให้ความสัมพันธ์ดีทุกระดับ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ครูกับนักเรียน นายจ้างกับลูกจ้างหรือผู้บริหารประเทศกับประชาชน ซึ่งจะนำไปสู่การร่วมมือในทางสร้างสรรค์ทุกระดับชั้นของสังคมตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับประเทศ ความสามารถที่ทำให้มีอารมณ์กระตือรือร้น เกิดแรงจูงใจที่จะต่อสู้อุปสรรคทั้งมวล เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จส่วนตัว แล้วความเจริญของสังคมนั้น ๆ ย่อมเป็นผลตามมาอย่างแน่นอน สังคมใดที่มีทรัพยากรมนุษย์ที่มี E.Q. สูงทั้ง 4 องค์ประกอบดังกล่าวมาแล้วข้างต้น อันได้แก่ :- ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นและของตนเอง ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงของอารมณ์ ความสามารถที่ทำให้เกิดอารมณ์กระตือรื้นร้น บุคคลนั้นๆ ก็จะเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมในทางสร้างสรรค์ทุกรูปแบบ ต่อสังคมที่บุคคลนั้น ๆ ดำรงชีวิตอยู่ ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า I.Q. และ E.Q. จะนำท่านไปสู่ A.Q. (Adversity Quotient = ความสามารถสู่ความสำเร็จ) ด้วย E.Q. หรือความสามารถทางอารมณ์พัฒนาพร้อมๆ กับ I.Q. และการพัฒนาของ E.Q. ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้ 1. ปัจจัยทางพันธุกรรม โดยได้พื้นของอารมณ์จากบรรพบุรุษถ่ายทอดสู่ลูกหลาน ถ้าพื้นของอารมณ์ดีไม่หงุดหงิดจะทำให้ E.Q. ดี

Read More »

จิตเวช: ความฉลาดทางอารมณ์

จิตเวช: ความฉลาดทางอารมณ์ ความฉลาดทางอารมณ์ โดย อ.วรนันท์ ศรียากร ในปัจจุบันผู้ปกครองหลายท่านให้ความสนใจสอบถามเกี่ยวกับ “EQ” กันมาก หลายท่านพอจะเข้าใจบ้าง และอีกหลายท่านเพียงแต่เคยได้ยินเท่านั้น ผู้ปกครองท่านหนึ่ง เดินเข้ามาด้วยใบหน้าวิตกกังวลและบอกว่า “ครูประจำชั้นของลูกบอกว่า ลูกของดิฉัน “EQ” ต่ำ หมายความว่ายังไงคะ?” เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ เราควรมาทำความเข้าใจในเรื่องของ “EQ” กันก่อน “EQ” (Emotional Quotient หรือ Emotional Intelligence) หรือในภาษาไทย มีชื่อเรียกว่า ความฉลาดทางอารมณ์ หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ มีจิตใจที่มั่นคง การมองโลกในแง่ดี รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ มีเหตุผล มีสติ สามารถควบคุมตนเอง มีความสามารถในการรับรู้ถึงความต้องการของคนอื่น และรู้จักมารยาททางสังคม พูดง่ายๆ ก็คือ คนที่มี “EQ” ดี จะเป็นคนที่สามารถแสดงออกทางพฤติกรรมต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ตามวัยของตน และสามารถอยู่กับคนอื่นๆ ในสังคมได้อย่างดีนั่นเอง “EQ” และ “IQ” เป็นของคู่กัน “IQ” หมายถึง ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ทำความเข้าใจ ความสามารถในการจดจำสิ่งต่างๆ และสามารถนำมาประเมินค่าได้ เท่าที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักจะเน้นอยากให้บุตรหลานเรียนเก่งๆ ซึ่งนั่นก็คือ การเน้นที่ “IQ” อย่างเดียว ซึ่งในปัจจุบันความคิดนี้ไม่น่าจะถูกต้องนัก มีคนหลายคนที่เรียนเก่ง ได้คะแนนสูง ฉลาด แต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ในหน้าที่การงาน ดังนั้น คนเราถ้าจะเก่ง จะดี จะฉลาด และประสบความสำเร็จในชีวิต ควรจะต้องมีทั้ง “EQ” และ “IQ” ควบคู่กันไป ที่ผ่านมา ผู้ปกครอง พ่อ แม่ โรงเรียน มักจะเน้นการเรียนการสอนให้เด็กเป็นคนเก่งทางการเรียน เน้นการได้คะแนนสูงๆ คือ เน้นเฉพาะการพัฒนาด้าน IQ เพียงอย่างเดียว และมองข้ามการพัฒนาด้าน EQ ไป มองข้ามการพัฒนาเด็กให้มีความพร้อมทางจิตใจและอารมณ์ ในการที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม มีวิธีการง่ายๆ ที่ พ่อ – แม่ ผู้ปกครอง จะสามารถพัฒนา EQ ของลูกได้ โดยการ เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูก ในการแสดงออกต่างๆ เช่น การเอาใจเขามาใส่ใจเรา การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นต้น เล่นกับลูก หรือให้ลูกได้มีโอกาสเล่นกับเพื่อนๆ การเล่นนี้ พ่อ – แม่ ผู้ปกครอง อาจจะเป็นผู้นำในการเล่น เช่น “การเล่นแม่งูเอ๋ย” เพื่อให้เด็กรู้จักเคารพกติกา ซึ่งเป็นการฝึกทักษะทางสังคมให้กับเด็กนั่นเอง ฝึกการรู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อให้เด็กเรียนรู้ถึงการทำงานเป็นทีม มากกว่า ข้าเก่งอยู่คนเดียว เพื่อเป็นการเข้าใจถึงการยอมรับความคิดเป็นของคนอื่น เพื่อให้รู้จักการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับคนอื่นๆ เป็นต้น คุณพ่อ – คุณแม่ ทั้งหลาย ท่านหันมามองบุตรหลานของท่านกันหน่อย ว่าท่านสอนให้ลูกมี “EQ” คู่กับ “IQ” หรือว่าสอนแต่ให้ลูกมี “IQ” อย่างเดียว ถ้าอยากให้อนาคตของชาติเป็นคนดี มีประโยชน์ เป็นคนที่สังคมต้องการ พร้อมทั้งประสบความสำเร็จในชีวิต ถึงเวลาแล้วที่จะหันมาพัฒนา “EQ” ให้ลูกของท่าน ซึ่งการพัฒนา EQ นั้น ท่านสามารถลงมือปฏิบัติเองได้ อย่ามัวหลงเชื่อโฆษณาที่มุ่งเน้นแต่จะทำธุรกิจ หากินกับเด็กอยู่ต่อไปเลยนะคะ ตัวท่านเองนั่นแหละ ที่เป็นคนสำคัญ ที่จะพัฒนา “EQ” ให้กับลูกของท่านได้.

Read More »
Page1 Page2 Page3 Page4 Page5
Facebook-f Youtube Instagram
  • 1270
  • About Us
  • Medical center
  • Doctors
  • Make an Appointment
  • Knowledge
  • Package
  • News & Events
  • Privacy Policy
  • Investor
  • Sustainability
  • Work with Us
  • Contact Us
  • Terms and Conditions

Copyright © 2025. All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • Medical Center
  • แพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us