Skip to content
  • EN
    • TH
    • CN
    • AR
  • EN
    • TH
    • CN
    • AR
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us
Menu
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us

Day: May 11, 2019

Metabolic Syndrome โรคที่มากับความอ้วน

Metabolic Syndrome เป็นศัพท์ทางการแพทย์ที่หมายถึง กลุ่มอาการของโรคที่เกี่ยวข้องและมีสาเหตุมาจากความอ้วนซึ่งมีมูลเหตุมาจากการเผาผลาญอาหารที่ผิดปกติ (Metabolism) ซึ่งนำไปสู่โรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และภาวะดื้ออินซูลินในที่สุดจะก่อให้เกิดโรคไขมันอุเตันหลอดเลือด (Atherosclorosis)ซึ่งนำพาไปสู่การเสียชีวิต สมัยก่อนทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า Syndrome X และ Insulin Resistane Syndrome แต่ในปัจจุบัน Metabolic Syndrome เป็นคำที่นิยมและสะท้อนถึงสาเหตุและอาการของโรคได้ดีที่สุด อาการของโรค Metabolic Syndrome จะก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ไตจะขับเกลือออกได้น้อยลงทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่สูงเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดหลอดเลือดแดงตีบ ทำให้ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ หรืออัมพาต และยังเพิ่มโอกาสให้เป็นโรคเบาหวานได้ง่าย ความน่ากลัวของโรค Metabolic Syndrome คือ เป็นโรคที่เป็นภัยเงียบ ไม่มีอาการบ่งชี้ล่วงหน้า คนไข้จะรู้ตัวก็ต่อเมื่อมีอาการของหลอดเลือดอุดตันแล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่มีอาการของโรคร้ายแรงอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เช่น หลอดเลือดสมองอุดตัน อัมพฤกษ์ หัวใจวาย หรืออาการผิดปกติอื่นๆ ตามแต่ตำแหน่งที่หลอดเลือดอุดตันสาเหตุของ metabolic syndrome มี 3 ประการได้แก่1.การรับประทานอาหารผิดสุขลักษณะ  เช่น อาหารหวาน อาหารมัน และอาหารรสเค็มจัด กินอาหารที่มีกากใยน้อย2.พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ส่งผลต่อการเร่งให้เกิดโรค เช่น ขาดการออกกำลังกาย ความเครียด นอนน้อยนอนดึก สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น3.พันธุกรรม เชื้อชาติ และสภาพแวดล้อม  ข้อบ่งชี้การเกิดโรคการบ่งชี้โอกาสในการเกิดโรค Metabolic Syndrome สามารถบ่งชี้ความเสี่ยงได้ก่อนเกิดโรค คือ อาการอ้วนลงพุงเกินระดับมาตราฐาน คือ มีเส้นรอบเอวมากกว่า 90 เซนติเมตรในผู้ชาย และ เกินกว่า 80 เซนติเมตรในเพศหญิง และมีข้อบ่งชี้ประกอบอย่างน้อย 2 ใน 4 อาการ ได้แก่- ความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มม.ปรอท หรือผู้ที่ได้รับยาลดความดันโลหิต- ระดับไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 150 mg% หรือผู้ที่เป็นไขมันสูงและได้รับยาลดไขมัน- ระดับน้ำตาลสูงกว่า 100 mg% หรือผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2หากมีเส้นรอบเอวที่เกินระดับมาตราฐานและมีข้อบ่งชี้มากกว่า 3 ประการจะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 2 เท่า และพบว่าผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงครบ 4 ประการจะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น 3 เท่า และ การเกิดโรคเบาหวานเพิ่ม 24 เท่า การดูแลป้องกันโรค Metabolic Syndrome สามารถป้องกันตัวเอง และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ โดยการปรับพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคได้ โดยการปรับพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรค ซึ่งแบ่งได้ 4 ประการหลัก ได้แก่- การออกกำลังกายชนิดแอโรบิกวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน- การรับประทานอาหารสุขภาพ  เช่น ลดอาหารประเภทไขมันลง ลดการรับประทานแป้งเหลือไม่เกิน 50% ของอาหารที่รับประทาน เน้นอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ธัญพืช ข้าวกล้อง ผัก ถั่ว ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และลดซอสปรุงรสต่างๆลง เป็นต้น- การลดน้ำหนัก จากการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ และสหรัฐอเมริกา พบว่า การลดน้ำหนักลง 5-10% ของน้ำหนักตัว จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้- การงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์- งดบุหรี่ การรักษาทางการแพทย์การรักษาทางการแพทย์ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ การรักษาอาการเบื้องต้น ไม่ให้เกิดโรคร้ายแรง และส่วนที่สอง การรักษาเมื่อมีอาการป่วยเฉียบพลัน ในการรักษาอาการเบื้องต้น สามารถแบ่งออกได้เป็น การรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 120/80 มม.ปรอท การรักษาไขมันในเลือด โดยการลดระดับไขมัน LDL ลดระดับ ไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มไขมัน HDL การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 100 mg% การรักษาเมื่อมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น มีอาการเจ็บหน้าอก อาการแขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว เป็นต้น ควรรีบพาผู้ป่วยมาพบแพทย์โดยด่วน เกร็ดความรู้ผู้ป่วย Metabolic Syndrome ควรให้ความใส่ใจกับสภาวะการเกิดโรคร้ายต่อเนื่องเป็นพิเศษ และต้องพบแพทย์เป็นประจำเพื่อรับคำปรึกษาอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งทำประวัติคนไข้ให้เรียบร้อย โดยมีการเลือกโรงพยาบาลที่ทำการรักษาและควรพิจารณาองค์ประกอบในหลายด้าน เช่น มาตราฐานการรักษาพยาบาลที่ได้รับมาตราฐานสากล ความพร้อมของเครื่องมือในการรักษา รวมถึงทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่พร้อมให้การดูแลรักษาตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลโดย : อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Metabolic Syndrome โรงพยาบาลพระรามเก้า

Read More »

โรคหัวใจ ไม่น่ากลัว.. อยู่ที่ตัว.. ที่คุณทำ

โรคหัวใจไม่น่ากลัว…อยู่ที่ตัว…ที่คุณทำ You are what you eat, what you do  สิ่งที่เกิดกับตัวเรานั้นเกิดเนื่องจากพฤติกรรมหรือการกระทำของตัวเราเอง โรคต่างๆก็เช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มของโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อเช่น โรคหัวใจ เบาหวาน อ้วน ไขมันสูง ความดันโลหิตสูง โรคเหล่านี้มักจะเกิดร่วมกันพร้อมๆกันในกลุ่มคนที่ไม่ดูแลตัวเองมีพฤติกรรมการดำรงชีวิตที่ไม่ถูกต้อง มีชีวิตที่เร่งรีบทำงานแข่งกับเวลาตลอด ทานอาหารเร่งรีบโดยไม่คำนึงถึงชนิดหรือจะทานให้ครบทุกหมวดหมู่ ทานอาหารเนื่องจากอิ่มอร่อยความอยาก เพื่อชดเชยกับความเหนื่อยความเครียด ทำงานมากพักผ่อนน้อย เหล่านี้เป็นการสร้างพฤติกรรมการดำรงชีวิตที่ไม่ถูกสุขลักษณะ นำไปสู่ภาวะการเกิดโรคหัวใจรวมและโรคในกลุ่มนี้ ดังนั้นถ้าทุกคนดูแลรักษาตนดี ทานพอควร ออกกำลังกายประจำ พักผ่อนให้พอดี  โอกาสที่จะเกิดโรคหัวใจและโรคกลุ่มนี้ก็น้อยลง เป็นการป้องกันตนเองก่อนที่จะเกิดโรค แต่ถ้าเกิดโรคขึ้นแล้ว การทานยาประจำ และการผ่าตัดทำบอลลูนขยายเส้นเลือดที่ตีบเป็นการรักษาตามอาการไม่ได้ทำให้หายขาดจากโรค การแก้ไขดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพียงส่วนเล็กน้อย ไม่ได้แก้ไขส่วนอื่นของเส้นเลือดที่ยาวมากมายที่มีอยู่ทั่วตัวเรา ดังนั้นถ้าคงดำเนินหรือมีพฤติกรรมการการดำรงชีวิตเหมือนเดิมอีกในไม่ช้าโรคเก็จะกลับมาเยือน ต้องทำการแก้ไขอีก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตให้ถูกต้อง ทานยาประจำ ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องกระทำต่อเนื่องตลอดไปหลังการเกิดโรคและได้รับการรักษาแก้ไข เพื่อป้องกันการเกิดโรคซ้ำขึ้นอีก ขบวนการนี้โดยรวมคือการฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจ โดยเริ่มจากการชะลอความเสื่อมคือการดูแลก่อนการเกิดโรคหรือการป้องกันการเกิดโรค การดูแลขณะเป็นโรคพร้อมช่วยแก้ไขสมรรถภาพร่างกายที่ผิดปกติขณะเป็นโรคให้กลับสู่สภาพเดิม ดังนั้นทุกคนต้องเริ่มดูแลสุขภาพฟื้นฟูร่างกายชะลอความเสื่อมของหัวใจป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (คงสภาพความหนุ่มสาว) เริ่มกันตั้งแต่วันนี้เถิดครับ

Read More »

การผ่าตัดเอามดลูกที่มีพยาธิสภาพผิดปกติออก ด้วยกล้องส่องช่องท้อง

การผ่าตัดเอามดลูกที่มี พยาธิสภาพผิดปกติออกด้วยกล้องส่องช่องท้องTotal Laparoscopic Hysterectomy (TLH) ศาสตราจารย์นายแพทย์ แสงชัย พฤทธิพันธุ์-แพทยศาสตรบัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล- Diploma Thai Board of Obstetrics & Gynecology- Diplomate Thai sub-board of Reproductive Medicine- Certificate in Assisted Reproduction and Endoscopic surgery,- Faculty of  Medicine, Royal Free Hospital, London, U.K.- Certificate in Reproductive Endocrinology,The JohnsHopkins Hospital, Baltimore, U.S.A.   ในอดีตที่ผ่านมาสตรีที่มีบุตรเพียงพอแล้วและป่วยด้วยโรคเนื้องอกของมดลูก (myoma uteri ภาพที่ 1) การรักษาที่ทำอยู่เป็นประจำและทำมาช้านานคือ การผ่าตัดเปิดหน้าท้อง กว้างประมาณ 10-15 เซนติเมตร เพื่อเข้าไปทำการผ่าตัดเอามดลูกพร้อมเนื้องอกออก โดยที่เก็บรังไข่ไว้ให้ผลิตฮอร์โมนต่อเพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหาทางสุขภาพอันเนื่องมาจากการขาดฮอร์โมนหรือเป็นวัยทองหลังผ่าตัด หรือที่เรียกว่า menopauseในระยะ 10 ปี ที่ผ่านมามีการใช้กล้องส่องมาช่วยในการวินิจฉัยโรคและทำการผ่าตัดรักษามากขึ้น ในหลายๆอวัยวะของร่างกาย เนื่องจากตัวกล้องและ อุปกรณ์เสริมที่ช่วยในการผ่าตัดได้รับการพัฒนาให้มี ประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ด้านนรีเวชกรรมหรือ โรคทางสตรี ได้มีการผ่าตัดด้วยกล้องในกรณีที่ผู้ป่วย มีพยาธิสภาพของระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรีมากขึ้น เนื่องจาก- กล้องส่องได้รับการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง ในขณะที่การมองเห็นภาพชัดคมมากขึ้น- อุปกรณ์เสริมที่ช่วยในการผ่าตัด เช่น เครื่องลำเลียงแสงเข้าสู่ช่องท้องเพื่อช่วยใน การมองเห็นในขณะทำการผ่าตัด- เครื่องลำเลียงแก๊สเข้าสู่ช่องท้องเพื่อขยาย พื้นที่ในช่องท้องให้กว้างขวางมากขึ้น เพียงพอสำหรับการ ผ่าตัด โดยที่ไม่ไปกระทบหรือทำอันตรายต่ออวัยวะข้างเคียง- เครื่องลำเลียงน้ำเข้าสู่ช่องท้องเพื่อเข้าไป ชะล้างเลือดที่ออกในขณะทำการผ่าตัด- อุปกรณ์ที่ทำการผ่าตัดโดยตรงได้แก่ กรรไกรขนาดเล็ก ตัวจับช่วยพยุงเนื้อเยื่อระหว่างทำการผ่าตัด- เครื่องจี้ตัดและห้ามเลือดไฟฟ้า – อุปกรณ์ชุดเย็บผูกไหมในช่องท้อง- อุปกรณ์ที่ทำการหั่นหรือทำการตัด ชิ้นเนื้อหรือเนื้องอกขนาดใหญ่ที่ผ่าตัดออกเรียบร้อยแล้ว (ภาพที่ 2) ให้มีขนาดเล็กลง เล็กพอที่จะนำออกจากช่องท้องหรือออกทางช่องคลอดได้  อุปกรณ์เหล่านี้ปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อยๆ และมี ขนาดเล็กลงเรื่อยๆ การผ่าตัดด้วยกล้องส่องในอวัยวะต่างๆของ ร่างกายที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันได้แก่ การผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี การผ่าตัดลำไส้ในช่องท้อง การผ่าตัดลดขนาดของกระเพาะอาหารเพื่อทำให้รับประทานอาหารน้อยลง จุดประสงค์เพื่อต้องการลดน้ำหนักของผู้ป่วย การผ่าตัด ต่อมไทรอยด์ การผ่าตัดในช่องหู คอ จมูก การผ่าตัดในข้อเข่า รวมถึงการผ่าตัดเนื้องอกของมดลูกและถุงน้ำรังไข่  ชอคโคแลตซีสของรังไข่ของสตรีเป็นต้นกล้องที่ใช้ในทางนรีเวชเพื่อผ่าตัดรักษาพยาธิสภาพของ อวัยวะสืบพันธุ์สตรีที่ใช้บ่อยมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิดได้แก่ 1.กล้องส่องช่องท้องหรือที่เรียกว่ากล้อง laparoscope  กล้องชนิด นี้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-10 มิลลิเมตร นำมาใช้ในการวินิจฉัยและผ่าตัดรักษาพยาธิสภาพ ที่เกิดขึ้นภายในช่องท้อง ในที่นี้คือพยาธิสภาพของมดลูก และ รังไข่หรือพังผืดที่เกิดขึ้นในช่องท้อง เช่น ใช้ในการผ่าตัดเนื้องอกของมดลูก (myoma uteri ภาพที่ 1) ซึ่งเป็นเนื้องอกที่พบบ่อย พบได้ประมาณร้อยละ 40-50 ของสตรี เป็นเนื้องอกที่ทำให้ ผู้ป่วยมีประจำเดือนออกมาก ออกเป็นก้อนลิ่มและ ปวดประจำเดือนมาก การผ่าตัดด้วยกล้องสามารถ ทำการผ่าตัดโดยที่ตัดเอาเฉพาะก้อนเนื้องอกออก หรือตัดเอามดลูกออกทั้งใบการผ่าตัดพยาธิสภาพของรังไข่ที่พบบ่อยได้แก่ถุงน้ำรังไข่ (ovarian cyst) ถุงน้ำชอคโคแลตซีส (endometriotic cyst ภาพที่ 3) ถุงน้ำรังไข่ ที่เรียกว่าdermoid cyst (ภาพที่ 4 ) โดยที่ทำการผ่าตัดเอาเฉพาะถุงน้ำรังไข่ ถุงน้ำรังไข่ dermoid cyst ถุงน้ำชอคโคแลตซีสออก โดยที่เก็บเอาเนื้อรังไข่ส่วนที่ดีไว้สำหรับการผลิตฮอร์โมน เพื่อการตั้งครรภ์ต่อไปการผ่าตัดพังผืดที่เกิดขึ้นในช่องท้อง เช่น พังผืดที่เกิดจากโรคเยื่อบุผนังมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) ซึ่งมักพบร่วมกับถุงน้ำชอคโคแลตซีส (endometriotic cyst) เป็นภาวะผิดปกติที่พบได้บ่อย ในสตรี เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดประจำ เดือนมาก และเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยเช่นกันที่ทำ ให้ผู้ป่วยมีบุตรยาก พังผืดที่เกิดขึ้นภายในช่องท้อง ภายหลังจากการผ่าตัดเปิดช่องท้องหรือผ่าตัด พยาธิสภาพในช่องท้องในอดีต หรือเกิดตามหลังการ ติดเชื้อภายในอุ้งเชิงกรานซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วย ปวดท้องทรมานเรื้อรัง พังผืดดังกล่าวข้างต้นก็สามารถ รักษาผ่าตัดผ่านกล้องได้ 2. กล้องส่องโพรงมดลูกหรือที่เรียกว่ากล้อง hysteroscope เป็นกล้องขนาดเล็กมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-4 มิลลิเมตร นำมาใช้ในการวินิจฉัยและผ่าตัดรักษาพยาธิสภาพ ที่เกิดขึ้นภายในโพรงมดลูก เช่น ผ่าตัดเนื้องอกที่เกิด ขึ้นภายในโพรงมดลูกที่เรียกว่า submucous myoma (ภาพที่ 5) เป็นเนื้องอกที่ทำให้ผู้ป่วยมีประจำเดือน ออกมาก ออกเป็นลิ่มเลือด และออกเป็นระยะเวลานาน ร่วมกับมีอาการปวดประจำเดือน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ผู้ป่วยมีปัญหามีบุตรยากได้ การผ่าตัดติ่งเนื้อ endometrial polyps (ภาพที่ 6 ) ซึ่งเป็นเนื้องอกที่ทำให้ผู้ป่วยมีประจำ เดือนออกกระปริดกระปรอย ผ่าตัดพังผืดภายในโพรง มดลูก (ภาพที่ 7) พังผืดภายในโพรงมดลูกดังกล่าว มักจะเกิดจากการขูดมดลูกที่ติดเชื้อหรือไม่สะอาด ภายหลังการแท้งบุตร ผ่าตัดความผิดปกติแต่กำเนิดของ มดลูกที่มีผนังกั้นกลางทำให้ โพรงมดลูกถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่องแทนช่องเดียวตามปกติ (septate uterus ภาพที่ 8) ความผิดปกติของมดลูกแต่กำเนิดดังกล่าวมักจะทำ ให้ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องแท้งบุตรซ้ำๆ เป็นต้น ข้อบ่งชี้ของการผ่าตัดเอามดลูกออกด้วยกล้องส่องช่องท้อง ผู้ป่วยที่มีบุตรเพียงพอแล้วและเป็นเนื้องอก ของมดลูกที่มีขนาดใหญ่ โดยทั่วไปจะแนะนำให้ตัดมด ลูกออก ถ้ามดลูกโตมีขนาดเท่ากับการตั้งครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป หรือเนื้องอกของมดลูกที่มีขนาดเล็ก กว่าขนาดตั้งครรภ์12 สัปดาห์

Read More »

เรื่องควรรู้ก่อนการเสริมจมูก

การเสริมจมูกเป็นผ่าตัดเสริมสวยที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในชาวไทยเนื่องจากธรรมชาติของเรามักจะมีดั้งจมูกที่ค่อนข้างต่ำและมักมีปัญหาปลายจมูกไม่ได้รูปทรงที่เด่นชัด ซึ่งอาจมีทั้งปลายจมูกแบนหรือค่อนข้างกว้างขวาง รวมถึงปัญหาปีกจมูกที่ค่อนข้างกว้าง ดังนั้นการผ่าตัดเสริมจมูกจำเป็นต้องวิเคราะห์รูปทรงของจมูกโดยดูความสัมพันธ์กับส่วนอื่นของใบหน้า เช่น ดวงตา ปาก คางด้วยเสมอเพื่อให้การทำศัลยกรรมได้ผลบออกมาเป็นที่น่าพอใจและรับกับใบหน้าของแต่ละคน ซึ่งการพิจารณาของศัลยแพทย์ปกติจะเริ่มวิเคราะห์ตั้งแต่ส่วนบนสุดถึงล่างดังต่อไปนี้ 1.ส่วนของสันจมูกหรือที่เรียกว่าดั้งจมูกซึ่งเรื่มตั้งแต่บริเวณระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง ปกติแล้วสันจมูกจะต้องเรื่มทำมุมจากหน้าผากออกมาตั้งแต่แนวของกึ่งกลางของตาดำทั้งสองข้างออกมาอย่างกลมกลืนการเสริมจมูกบริเวณนี้ต้องหลีกเลี่ยงการเสริมให้ดูลอยโด่งออกมาเป็นลักษณะของสันเขื่อนเพราะจะทำให้ดูผิดธรรมชาติในคนเอเชียการเสริมบริเวณดั้งนิยมใช้ซิลิโคนเนื่องจากควบคุมทรงได้ง่าย แต่หากต้องการความปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ ศัลยแพทย์อาจแนะนำให้ใช้กระดูกอ่อนหรือส่วนของไขมันของเราเอง เนื่องจากไม่ต้องกลัวว่าจะมีปัญหาในอนาคต ส่วนการเสริมดั้งจมูกด้วยการใช้ฟิลเลอร์นั้นก็ทำได้เช่นกัน แต่มีข้อเสียคือการควบคุมรูปทรงยาก ไม่อยู่ถาวรและมีโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนที่รุนแรงเข้าเส้นเลือดบริเวณรอบดวงตา 2.บริเวณปลายจมูก เป็นบริเวณที่ท้าทายและทำยากที่สุด หากต้องการความเป็นธรรมชาติและไม่ให้คนทราบว่าเสริมจมูกมา ซึ่งศัลยแพทย์ต้องวิเคราะห์ดูรูปทรงของปลายจมูกซึ่งนิยมให้มีลักษณะคล้ายหยดน้ำ ปละมีส่วนปลายที่เชิดพอดีไม่สั้นและไม่งุ้มจนเกินไป ความสูงของปลายจมูกต้องรับกับบริเวณดั้งจมูกและริมฝีปากและทำมุมพอดีกับริมฝีปาก ความกว้างของปลายจมูกต้องสมดุลกับใบหน้าพอดีเพื่อให้ดูเด่นและสวยงาม 3. ส่วนของปีกจมูก เป็นส่วนที่ทำให้จมูกดูกว้างหรือพอดี โดยมากถ้าเราลากเส้นตั้งฉากจากขอบในของตาดำลงมาทั้งสองข้างความกว้างของจมูกไม่ควรกว้างเกินเส้นสมมติเส้นนี้ แต่แน่นอนต้องขึ้นกับความกว้างและลักษณะของใบหน้าด้วย หากปีกจมูกกว้างเกินไปอาจทำให้ดูเหมือนคนจมูกบาน ซึ่งอาจต้องทำการตัดปีกจมูกซึ่งมีวิธีมากมายหลายวิธีด้วยกัน แต่เนื่องจากคนเอเชียเรามีผิวที่เกิดแผลเป็นง่ายจึงนิยมซ่อนแผลเป็นไว้ภายในจมูกมากกว่าการผ่าตัดที่ขอบจมูกด้านนอก ทั้งนี้ศัลยแพทย์จำเป็นต้องตรวจดูการหายใจและโพรงจมูกก่อนเสมอว่ามีการอุดตันหรือไม่เพื่อแก้ไขก่อนจะพิจารณาตัดปีกจมูกซึ่งมักจะทำให้รูจมูกแคบลง 4. ลักษณะของผิวบริเวณจมูก ว่ามีลักษณะบางหรือหนาแค่ไหนและมีความยืดหยุ่นมากน้อยเพียงใด รวมถึงลักษณะการอักเสบรอบจมูก เช่น การอักเสบจากสิวเป็นต้น เพราะมีผลต่อการผ่าตัดเสริมจมูกทั้งสิ้น หากผิวหนังมีลักษณะบางและแพ้ง่ายการเสริมจมูกโดยใช้ซิลิโคนเพียงอย่างเดียวอาจทำให้เกิดผลแทรกซ้อน เช่น การทะลุในระยะยาวได้ ซึ่งในกรณีนี้อาจแนะนำให้ใช้กระดูกอ่อนร่วมด้วยหรือการผ่าตัดตกแต่งปลายจมูกโดยการใช้วิธีการเปิดเพื่อตกแต่งโดยใช้กระดูกอ่อนทั้งหมด ในกรณีที่ผิวหนังค่อนข้างหนาและมีความยืดหยุ่นดีอาจพิจารณาใช้แต่ซิลิโคนแต่เพียงอย่างเดียวได้ 5. ความคาดหวังของคนไข้ มีความสำคัญมาก บางครั้งเราอาจจะเห็นจมูกของคนอื่นหรือของดาราบางคนมีความสวยงามและต้องการมีจมูกที่ใกล้เคียงกัน ในบางกรณีเราอาจไม่สามารถทำได้โดยการใช้ซิลิโคนแต่เพียงอย่างเดียว แพทย์จะเป็นผู้อธิบายข้อจำกัดของการรักษาแต่ละวิธีแต่แนะนำข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีให้ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้และข้อมูลทางการแพทย์ที่ถูกต้องเพื่อให้สามารถตัดสินใจเลือกวิธีที่ถูกต้องได้

Read More »

การผ่าตัดไทรอยด์ผ่านกล้อง

Read More »

RSV ไวรัสวายร้าย มากับสายฝน

……. อดทนเวลาที่ฝนพรำ..อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง พอเข้าสู่ฤดูฝนโดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาวหรือระหว่างเดือนสิงหาคม – ตุลาคม เด็ก ๆ มักจะป่วยและมาหาป้าหมอที่โรงพยาบาลบ่อย เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงและมักจะรับเชื้อโรคได้ง่าย โดยเฉพาะไวรัส RSV ที่มีอาการคล้ายไข้หวัดแต่ส่งผลรุนแรง ถึงขั้นปอดอักเสบติดเชื้อได้ค่ะ คุณแม่ ๆ หลายคนอาจจะเคยมีประสบการณ์ที่ลูกติดเชื้อ RSVหรืออาจจะเคยได้ยินชื่อนี้มาจากคุณครู หรือ คุณหมอที่ดูแล แล้วเชื้อ RSV นี้เป็นอย่างไร ทำไมป้าหมอถึงเรียกว่า เป็นไวรัสวายร้าย ถ้าพร้อมแล้ว มาทำความรู้จักกับเชื้อ RSV ไปพร้อม ๆ กันค่ะ RSV ไวรัส  คืออะไร RSV (Respiratory Syncytial Virus) จริง ๆ แล้วเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้ทางเดินหายใจอักเสบในผู้ป่วยทุกช่วงอายุ แต่อาการจะเป็นมากในช่วงวัยเด็ก โดยเฉพาะเด็กอายุน้อยตั้งแต่ วัยแรกเกิด จนถึงช่วงวัยเข้า nursery ค่ะ ในประเทศไทยมักมีการระบาดในช่วงฤดูฝน โดยเด็ก ๆ จะติดเชื้อ RSV จากการรับเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ จากการสัมผัส หรือละอองน้ำมูกของผู้ป่วยคนอื่น และมีระยะฟักตัวประมาณ 2-7 วัน RSV เจ้าวายร้ายทำลายระบบทางเดินหายใจ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจจากไวรัส RSV เกิดได้ตั้งแต่ส่วนบนจนถึงส่วนล่าง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลอดลมฝอยอักเสบ (Acute bronchiolitis) และอาจทำให้ปอดอักเสบติดเชื้อ (pneumonia) โดยเฉพาะเด็กเล็กจะมีอาการปอดบวม ไอ หอบได้ง่าย เด็กจะมีอาการหายใจเร็ว หอบเหนื่อย บางครั้งเป็นมากจะหายใจดัง “วี้ด”ถ้าเป็นมากขึ้นจะมีอาการหายใจล้มเหลวได้ นอกจากนั้นยังส่งผลให้เด็กบางคนมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหอบหืดในอนาคตได้อีกด้วย พอเห็นอย่างนี้แล้ว ป้าหมอถึงได้เรียก RSV ว่าเป็นเจ้าวายร้ายทำลายระบบทางเดินหายใจไงคะ ลูกเป็นหวัดธรรมดา หรือเป็น RSV กันนะ? เด็กที่ติดเชื้อไวรัส RSV มักจะมีอาการเริ่มแรกเหมือนไข้หวัดเลยค่ะ คือ มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล คัดจมูก แต่สิ่งที่พ่อแม่สามารถสังเกตเห็นว่าลูกอาจจะติดเชื้อ RSV ได้แก่ ไอมาก เสมหะเยอะและเหนียวข้น อาการหายใจหอบเหนื่อย หายใจแรง หน้าอกบุ๋ม อาจมีเสียงหายใจดังวี้ด ๆ ไม่กินอาหารและน้ำ ไข้สูง มักจะซึม หรือหงุดหงิด กระสับกระส่าย หากลูกมีอาการเหล่านี้ในช่วงที่ไวรัส RSV ระบาด ควรพาไปให้คุณหมอเช็คอย่างละเอียด คุณหมอก็จะตรวจร่างกาย ฟังเสียงปอด ถ้ามีเสียงวี้ด คุณหมอจะพ่นยาขยายหลอดลม รวมถึงการเอ็กซเรย์ปอดในรายที่สงสัยปอดอักเสบค่ะ การตรวจหาเชื้อนี้ทำได้ไม่ยากค่ะ เราจะใช้อุปกรณ์พิเศษลักษณะคล้ายก้านสำลียาว ๆ เข้าไปป้ายในโพรงจมูก เพื่อส่งไปตรวจหาไวรัส RSV คล้ายกับที่ทำในไข้หวัดใหญ่ค่ะ หลาย ๆ คนน่าจะพอนึกภาพออกนะคะ การรักษา RSV ต้องรักษาตามอาการค่ะ          ในปัจจุบันยังไม่มียารักษา RSV โดยเฉพาะ การรักษาอาการติดเชื้อไวรัส RSV จึงต้องรักษาไปตามอาการที่ป่วย คือ ให้ยาลดไข้ ให้ยาแก้ไอละลายเสมหะ ให้ยาลดน้ำมูก ในเด็กเล็กหรือเด็กที่มีอาการหนักอาจต้องนอนโรงพยาบาล ให้น้ำเกลือ ให้ยาขยายหลอดลม ยาละลายเสมหะ เคาะปอด และอาจจะต้องช่วยดูดเสมหะ หรือถ้ามีอาการรุนแรงมากก็จะต้องได้รับออกซิเจนหรือใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ หากเด็กมีอาการไม่รุนแรง ก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ด้วยการกินยาลดไข้ ยาละลายเสมหะ และดื่มน้ำเยอะ ๆ พักผ่อนให้เพียงพอค่ะ และในที่สุดร่างกายก็จะสามารถกำจัดเชื้อไปได้เองค่ะ ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เป็น RSV แล้ว สามารถเป็นซ้ำได้หลายครั้งนะคะ แต่อาการจะน้อยลงค่ะ “ทำอย่างไร ห่างไกล RSV” เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส RSV ทำให้เด็ก ๆ มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสในช่วงที่แพร่ระบาดได้มากโดยเฉพาะสถานที่ที่เด็กอยู่กันมาก ๆ เช่น โรงเรียนอนุบาลหรือnursery ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้ลูกน้อยไม่ป่วยจากโรคนี้ คือ การมีร่างกายที่แข็งแรงและรู้จักวิธีหลีกเลี่ยงภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ ล้างมือบ่อย ๆ หลังจากทำกิจกรรม หรือก่อนทานอาหาร เพราะไวรัส RSV สามารถติดต่อได้จาก น้ำลาย น้ำมูก ไอ จาม ไม่ควรให้ลูกอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นหวัด โดยเฉพาะหากโรงเรียนหรือnursery มีการระบาดอยู่ ทำความสะอาดของเล่น ผู้ป่วยต้องปิดปากหรือใส่หน้ากากอนามัยเวลาไอจามเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือเมื่อต้องไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนแออัด เมื่อลูกต้องอยู่ในอากาศที่หนาวเย็น ควรทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าไวรัส RSV จะมีอาการรุนแรงมากกว่าไวรัสหวัดทั่วไป แต่ถ้าเรารู้วิธีการรักษาและช่วยกันดูแลสุขภาพลูกน้อยให้แข็งแรง ก็ปลอดภัยจาก RSV เจ้าไวรัส วายร้ายตัวนี้ได้ค่ะ เชื่อว่าไม่เกินความสามารถของฮีโร่อย่างคุณพ่อคุณแม่ค่ะ ด้วยความปรารถนาดีจาก ป้าหมอนงนภัส เก้าเอี้ยน

Read More »

คำถามจากงานสัมมนา “ภูมิแพ้…โรคฮิตคนเมือง”

1.ภูมิแพ้เหงื่อตนเอง จะเป็นเมื่อถูกแดด และอากาศร้อน มีวิธีรักษาหายหรือไม่ ? ตอบ มีวิธีรักษาค่ะ แต่ต้องมาตรวจเพิ่มเติมก่อนว่าเป็นผื่นภูมิแพ้แบบไหน 2. เคยถูกน้ำร้อนลวกที่มือ ได้ประมาณ 1 เดือน ต่อจากนั้นบริเวณรอบข้างจะเป็นผื่นทั้งมือ และลามไปทั้งตัวยกเว้นหน้า และลำตัว จากนั้นผิวที่ถูกน้ำร้อนลวกจะแพ้ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น สบู่ น้ำยาล้างจาน แสบและลักษณะจะเป็นตุ่มแดงใส ทั้งหมดนี้เรียกว่าภูมิแพ้หรือไม่ ? ตอบ น่าจะเป็นลักษณะของผื่นแพ้สัมผัสค่ะ เนื่องจากผิวหนังที่เคยถูกน้ำร้อนลวกอ่อนแอลง ทำให้สารระคายเคืองต่างๆกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของผิวได้มากขึ้นค่ะ

Read More »

โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ

Carpal Tunnel Syndrome หรือเรียกย่อๆว่า CTS เป็นโรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนอายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป มักพบในคนวัยทำงานที่ใช้มือในการทำงานมากๆ เช่น การขับรถนานๆ กวาดบ้าน ซักผ้า ใช้คอมพิวเตอร์ เล่นเกมส์ ใช้โทรศัพท์ ผู้ป่วยบางรายจะกังวลและมีความเข้าใจผิดว่าเป็นภาวะจากเส้นเลือดในสมองตีบ ทำให้มีคำถามตามมาอีกว่าเอาการเหล่านี้เกิดจากอะไร มีผลกระทบร้ายแรงหรือไม่ หายขาดได้หรือไม่ อาการ โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักมีอาการชาบริเวณปลายนิ้วมือ ส่วนใหญ่อาการมักจะเป็นๆหายๆ ที่ปลายนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง โดยอาการมักจะเป็นหลังตื่นนอนหรือผู้ป่วยในบางรายอาจมีอาการปวดร่วมด้วย ในกรณีที่เป็นมากอาจจะมีอาการชามือทั้งวัน ชาทั้งมือ อาการอ่อนแรงของมือ หยิบจับของลำบาก กล้ามเนื้อในฝ่ามือลีบ อาการชาอาจจะเป็นทั้ง 2 ข้างหรือข้างเดียวก็ได้ และมักเด่นชัดในมือข้างที่ถนัด การใช้ข้อมือที่จะกระตุ้นอาการให้เป้นมากขึ้น เช่น งานที่ต้องใช้ข้อมือมากๆ งานที่ต้องค้างในท่าเหยียดข้อมือหรืองอข้อมือนานๆ ซึ่งมักจะพบบ่อยในหมู่แม่บ้านที่ต้องทำอาหาร กวาดบ้าน ซักผ้า บิดผ้า กงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์งาน พนักงานโรงแรม พนักงานขุดเจาะถนน กลุ่มคนไข้ที่ใช้มือในการโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์สื่อสารนานๆ เช่น เล่นเกมส์ เป็นต้นสภาวะหรือโรคประจำตัวที่ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเป็น Carpal Tunnel Syndrome ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ โรคข้อเสื่อม คนไข้ที่เคยมีอาการบาดเจ็บบริเวณข้อมือ คนอ้วน การตั้งครรภ์ และมักจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย พยาธิสภาพ เกิดจากการกดทับของเส้นระสาทมีเดียน ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อ แขนและมือ รวมทั้งการรับความรู้สึกของฝ่ามือ บริเวณนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง เส้นประสาทนี้จะออกมาจากไขสันหลังมาถึงบริเวณต้นคอจนถึงปลายนิ้วมือ โดยในช่วงบริเวณข้อมือจะต้องลอดผ่านอุโมงค์ที่เรียกว่า Carpal Tunnel เมื่ออุโมงค์นี้แคบลงจากสาเหตุต่างๆ เช่น การอักเสบ การบวมน้ำ หรืออยู่พับข้อมือค้างในท่าเดิมนานๆ การวินิจฉัยโรค ผู้ป่วยมักจะมาพบแพทย์ด้วยอาการดังกล่าวข้างต้น ตรวจร่างกายมักจะพบอาการชา บริเวณนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนางหรือนิ้วใดนิ้วหนึ่ง ถ้ามีอาการมาก มักจะพบอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทมีเดียนร่วมด้วย เช่น กล้ามเนื้อที่ช่วยการขยับนิ้วโป้ง และอาจจะพบว่ามีกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งมือทางด้านนิ้วโป้งฟีบลง ในบางรายถ้าใช้นิ้วมือหรืออุปกรณ์เคาะลงบนเส้นประสาท จะมีอาการชาหรือเหมือนไฟช็อตไปตามนิ้วมือ และการงอมือเข้ามาชนกัน จะมีอาการชามากขึ้นที่ปลายนิ้วมือ การตรวจร่างกายจะต้องตรวจเพิ่มเติมในการตรวจกล้ามเนื้อแขนและกล้ามเนื้อมือ ทั้งข้างซ้ายและข้างขวา เพื่อวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆที่เป็นไปได้ การตรวจโดยไฟฟ้าวินิจฉัย (Electrodiagnosis) ส่วนใหญ่การตรวจวินิจฉัยด้วยไฟฟ้ามักทำในผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาและทำกายภาพแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายในเวลาประมาณ 304 สัปดาห์ หรือในผู้ป่วยที่มีการวางแผนการรักษาด้วยการผ่าตัด การตรวจด้วยไฟฟ้าวินิจฉัยเป็นการตรวจที่สำคัญที่สุด สามารถยืนยันการวินิจฉัย และสามารถแยกโรคที่มีอาการคล้ายๆกันออกมาได้ เช่น โรคการกดเส้นประสาท การอักเสบของแผงประสาทแขน นอกจากนั้นยังสามารถบอกความรุนแรงของอาการเพื่อนำไปสู่การรักษาและยังสามารถใช้ในการติดตามการรักษาได้ด้วย ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็น CTS เพศหญิงมักจะเป็นมากกว่าเพศชาย ผู้ที่มีข้อมือกลม สตรีมีครรภ์ ผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้ข้อมือมาก กระดกขึ้นลงบ่อยๆ หรือทำงานที่มีการสั่นสะเทือนมือและแขนนานๆ ซึ่งมักจะพบบ่อยในกลุ่มแม่บ้านที่ต้องทำอาหาร กวาดบ้าน ซักผ้า บิดผ้า พนักงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์งาน พนักงานโรงงาน พนักงานขุดเจาะถนน กลุ่มคนไข้ที่ใช้มือในการโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์สื่อสารนานๆ เช่น เล่นเกมส์ เป็นต้น

Read More »

เตรียมตัวไปเที่ยวแบบ(เบา)หวานๆ

Read More »

โรคข้อเข่าเสื่อม

Read More »
Page1 Page2 Page3 … Page5

Metabolic Syndrome โรคที่มากับความอ้วน

Metabolic Syndrome เป็นศัพท์ทางการแพทย์ที่หมายถึง กลุ่มอาการของโรคที่เกี่ยวข้องและมีสาเหตุมาจากความอ้วนซึ่งมีมูลเหตุมาจากการเผาผลาญอาหารที่ผิดปกติ (Metabolism) ซึ่งนำไปสู่โรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และภาวะดื้ออินซูลินในที่สุดจะก่อให้เกิดโรคไขมันอุเตันหลอดเลือด (Atherosclorosis)ซึ่งนำพาไปสู่การเสียชีวิต สมัยก่อนทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า Syndrome X และ Insulin Resistane Syndrome แต่ในปัจจุบัน Metabolic Syndrome เป็นคำที่นิยมและสะท้อนถึงสาเหตุและอาการของโรคได้ดีที่สุด อาการของโรค Metabolic Syndrome จะก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ไตจะขับเกลือออกได้น้อยลงทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่สูงเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดหลอดเลือดแดงตีบ ทำให้ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ หรืออัมพาต และยังเพิ่มโอกาสให้เป็นโรคเบาหวานได้ง่าย ความน่ากลัวของโรค Metabolic Syndrome คือ เป็นโรคที่เป็นภัยเงียบ ไม่มีอาการบ่งชี้ล่วงหน้า คนไข้จะรู้ตัวก็ต่อเมื่อมีอาการของหลอดเลือดอุดตันแล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่มีอาการของโรคร้ายแรงอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เช่น หลอดเลือดสมองอุดตัน อัมพฤกษ์ หัวใจวาย หรืออาการผิดปกติอื่นๆ ตามแต่ตำแหน่งที่หลอดเลือดอุดตันสาเหตุของ metabolic syndrome มี 3 ประการได้แก่1.การรับประทานอาหารผิดสุขลักษณะ  เช่น อาหารหวาน อาหารมัน และอาหารรสเค็มจัด กินอาหารที่มีกากใยน้อย2.พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ส่งผลต่อการเร่งให้เกิดโรค เช่น ขาดการออกกำลังกาย ความเครียด นอนน้อยนอนดึก สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น3.พันธุกรรม เชื้อชาติ และสภาพแวดล้อม  ข้อบ่งชี้การเกิดโรคการบ่งชี้โอกาสในการเกิดโรค Metabolic Syndrome สามารถบ่งชี้ความเสี่ยงได้ก่อนเกิดโรค คือ อาการอ้วนลงพุงเกินระดับมาตราฐาน คือ มีเส้นรอบเอวมากกว่า 90 เซนติเมตรในผู้ชาย และ เกินกว่า 80 เซนติเมตรในเพศหญิง และมีข้อบ่งชี้ประกอบอย่างน้อย 2 ใน 4 อาการ ได้แก่- ความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มม.ปรอท หรือผู้ที่ได้รับยาลดความดันโลหิต- ระดับไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 150 mg% หรือผู้ที่เป็นไขมันสูงและได้รับยาลดไขมัน- ระดับน้ำตาลสูงกว่า 100 mg% หรือผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2หากมีเส้นรอบเอวที่เกินระดับมาตราฐานและมีข้อบ่งชี้มากกว่า 3 ประการจะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 2 เท่า และพบว่าผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงครบ 4 ประการจะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น 3 เท่า และ การเกิดโรคเบาหวานเพิ่ม 24 เท่า การดูแลป้องกันโรค Metabolic Syndrome สามารถป้องกันตัวเอง และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ โดยการปรับพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคได้ โดยการปรับพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรค ซึ่งแบ่งได้ 4 ประการหลัก ได้แก่- การออกกำลังกายชนิดแอโรบิกวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน- การรับประทานอาหารสุขภาพ  เช่น ลดอาหารประเภทไขมันลง ลดการรับประทานแป้งเหลือไม่เกิน 50% ของอาหารที่รับประทาน เน้นอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ธัญพืช ข้าวกล้อง ผัก ถั่ว ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และลดซอสปรุงรสต่างๆลง เป็นต้น- การลดน้ำหนัก จากการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ และสหรัฐอเมริกา พบว่า การลดน้ำหนักลง 5-10% ของน้ำหนักตัว จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้- การงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์- งดบุหรี่ การรักษาทางการแพทย์การรักษาทางการแพทย์ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ การรักษาอาการเบื้องต้น ไม่ให้เกิดโรคร้ายแรง และส่วนที่สอง การรักษาเมื่อมีอาการป่วยเฉียบพลัน ในการรักษาอาการเบื้องต้น สามารถแบ่งออกได้เป็น การรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 120/80 มม.ปรอท การรักษาไขมันในเลือด โดยการลดระดับไขมัน LDL ลดระดับ ไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มไขมัน HDL การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 100 mg% การรักษาเมื่อมีอาการป่วยเฉียบพลัน เช่น มีอาการเจ็บหน้าอก อาการแขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว เป็นต้น ควรรีบพาผู้ป่วยมาพบแพทย์โดยด่วน เกร็ดความรู้ผู้ป่วย Metabolic Syndrome ควรให้ความใส่ใจกับสภาวะการเกิดโรคร้ายต่อเนื่องเป็นพิเศษ และต้องพบแพทย์เป็นประจำเพื่อรับคำปรึกษาอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งทำประวัติคนไข้ให้เรียบร้อย โดยมีการเลือกโรงพยาบาลที่ทำการรักษาและควรพิจารณาองค์ประกอบในหลายด้าน เช่น มาตราฐานการรักษาพยาบาลที่ได้รับมาตราฐานสากล ความพร้อมของเครื่องมือในการรักษา รวมถึงทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่พร้อมให้การดูแลรักษาตลอด 24 ชั่วโมง ข้อมูลโดย : อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Metabolic Syndrome โรงพยาบาลพระรามเก้า

Read More »

โรคหัวใจ ไม่น่ากลัว.. อยู่ที่ตัว.. ที่คุณทำ

โรคหัวใจไม่น่ากลัว…อยู่ที่ตัว…ที่คุณทำ You are what you eat, what you do  สิ่งที่เกิดกับตัวเรานั้นเกิดเนื่องจากพฤติกรรมหรือการกระทำของตัวเราเอง โรคต่างๆก็เช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มของโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อเช่น โรคหัวใจ เบาหวาน อ้วน ไขมันสูง ความดันโลหิตสูง โรคเหล่านี้มักจะเกิดร่วมกันพร้อมๆกันในกลุ่มคนที่ไม่ดูแลตัวเองมีพฤติกรรมการดำรงชีวิตที่ไม่ถูกต้อง มีชีวิตที่เร่งรีบทำงานแข่งกับเวลาตลอด ทานอาหารเร่งรีบโดยไม่คำนึงถึงชนิดหรือจะทานให้ครบทุกหมวดหมู่ ทานอาหารเนื่องจากอิ่มอร่อยความอยาก เพื่อชดเชยกับความเหนื่อยความเครียด ทำงานมากพักผ่อนน้อย เหล่านี้เป็นการสร้างพฤติกรรมการดำรงชีวิตที่ไม่ถูกสุขลักษณะ นำไปสู่ภาวะการเกิดโรคหัวใจรวมและโรคในกลุ่มนี้ ดังนั้นถ้าทุกคนดูแลรักษาตนดี ทานพอควร ออกกำลังกายประจำ พักผ่อนให้พอดี  โอกาสที่จะเกิดโรคหัวใจและโรคกลุ่มนี้ก็น้อยลง เป็นการป้องกันตนเองก่อนที่จะเกิดโรค แต่ถ้าเกิดโรคขึ้นแล้ว การทานยาประจำ และการผ่าตัดทำบอลลูนขยายเส้นเลือดที่ตีบเป็นการรักษาตามอาการไม่ได้ทำให้หายขาดจากโรค การแก้ไขดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพียงส่วนเล็กน้อย ไม่ได้แก้ไขส่วนอื่นของเส้นเลือดที่ยาวมากมายที่มีอยู่ทั่วตัวเรา ดังนั้นถ้าคงดำเนินหรือมีพฤติกรรมการการดำรงชีวิตเหมือนเดิมอีกในไม่ช้าโรคเก็จะกลับมาเยือน ต้องทำการแก้ไขอีก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตให้ถูกต้อง ทานยาประจำ ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องกระทำต่อเนื่องตลอดไปหลังการเกิดโรคและได้รับการรักษาแก้ไข เพื่อป้องกันการเกิดโรคซ้ำขึ้นอีก ขบวนการนี้โดยรวมคือการฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจ โดยเริ่มจากการชะลอความเสื่อมคือการดูแลก่อนการเกิดโรคหรือการป้องกันการเกิดโรค การดูแลขณะเป็นโรคพร้อมช่วยแก้ไขสมรรถภาพร่างกายที่ผิดปกติขณะเป็นโรคให้กลับสู่สภาพเดิม ดังนั้นทุกคนต้องเริ่มดูแลสุขภาพฟื้นฟูร่างกายชะลอความเสื่อมของหัวใจป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (คงสภาพความหนุ่มสาว) เริ่มกันตั้งแต่วันนี้เถิดครับ

Read More »

การผ่าตัดเอามดลูกที่มีพยาธิสภาพผิดปกติออก ด้วยกล้องส่องช่องท้อง

การผ่าตัดเอามดลูกที่มี พยาธิสภาพผิดปกติออกด้วยกล้องส่องช่องท้องTotal Laparoscopic Hysterectomy (TLH) ศาสตราจารย์นายแพทย์ แสงชัย พฤทธิพันธุ์-แพทยศาสตรบัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล- Diploma Thai Board of Obstetrics & Gynecology- Diplomate Thai sub-board of Reproductive Medicine- Certificate in Assisted Reproduction and Endoscopic surgery,- Faculty of  Medicine, Royal Free Hospital, London, U.K.- Certificate in Reproductive Endocrinology,The JohnsHopkins Hospital, Baltimore, U.S.A.   ในอดีตที่ผ่านมาสตรีที่มีบุตรเพียงพอแล้วและป่วยด้วยโรคเนื้องอกของมดลูก (myoma uteri ภาพที่ 1) การรักษาที่ทำอยู่เป็นประจำและทำมาช้านานคือ การผ่าตัดเปิดหน้าท้อง กว้างประมาณ 10-15 เซนติเมตร เพื่อเข้าไปทำการผ่าตัดเอามดลูกพร้อมเนื้องอกออก โดยที่เก็บรังไข่ไว้ให้ผลิตฮอร์โมนต่อเพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหาทางสุขภาพอันเนื่องมาจากการขาดฮอร์โมนหรือเป็นวัยทองหลังผ่าตัด หรือที่เรียกว่า menopauseในระยะ 10 ปี ที่ผ่านมามีการใช้กล้องส่องมาช่วยในการวินิจฉัยโรคและทำการผ่าตัดรักษามากขึ้น ในหลายๆอวัยวะของร่างกาย เนื่องจากตัวกล้องและ อุปกรณ์เสริมที่ช่วยในการผ่าตัดได้รับการพัฒนาให้มี ประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ด้านนรีเวชกรรมหรือ โรคทางสตรี ได้มีการผ่าตัดด้วยกล้องในกรณีที่ผู้ป่วย มีพยาธิสภาพของระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรีมากขึ้น เนื่องจาก- กล้องส่องได้รับการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง ในขณะที่การมองเห็นภาพชัดคมมากขึ้น- อุปกรณ์เสริมที่ช่วยในการผ่าตัด เช่น เครื่องลำเลียงแสงเข้าสู่ช่องท้องเพื่อช่วยใน การมองเห็นในขณะทำการผ่าตัด- เครื่องลำเลียงแก๊สเข้าสู่ช่องท้องเพื่อขยาย พื้นที่ในช่องท้องให้กว้างขวางมากขึ้น เพียงพอสำหรับการ ผ่าตัด โดยที่ไม่ไปกระทบหรือทำอันตรายต่ออวัยวะข้างเคียง- เครื่องลำเลียงน้ำเข้าสู่ช่องท้องเพื่อเข้าไป ชะล้างเลือดที่ออกในขณะทำการผ่าตัด- อุปกรณ์ที่ทำการผ่าตัดโดยตรงได้แก่ กรรไกรขนาดเล็ก ตัวจับช่วยพยุงเนื้อเยื่อระหว่างทำการผ่าตัด- เครื่องจี้ตัดและห้ามเลือดไฟฟ้า – อุปกรณ์ชุดเย็บผูกไหมในช่องท้อง- อุปกรณ์ที่ทำการหั่นหรือทำการตัด ชิ้นเนื้อหรือเนื้องอกขนาดใหญ่ที่ผ่าตัดออกเรียบร้อยแล้ว (ภาพที่ 2) ให้มีขนาดเล็กลง เล็กพอที่จะนำออกจากช่องท้องหรือออกทางช่องคลอดได้  อุปกรณ์เหล่านี้ปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อยๆ และมี ขนาดเล็กลงเรื่อยๆ การผ่าตัดด้วยกล้องส่องในอวัยวะต่างๆของ ร่างกายที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันได้แก่ การผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี การผ่าตัดลำไส้ในช่องท้อง การผ่าตัดลดขนาดของกระเพาะอาหารเพื่อทำให้รับประทานอาหารน้อยลง จุดประสงค์เพื่อต้องการลดน้ำหนักของผู้ป่วย การผ่าตัด ต่อมไทรอยด์ การผ่าตัดในช่องหู คอ จมูก การผ่าตัดในข้อเข่า รวมถึงการผ่าตัดเนื้องอกของมดลูกและถุงน้ำรังไข่  ชอคโคแลตซีสของรังไข่ของสตรีเป็นต้นกล้องที่ใช้ในทางนรีเวชเพื่อผ่าตัดรักษาพยาธิสภาพของ อวัยวะสืบพันธุ์สตรีที่ใช้บ่อยมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิดได้แก่ 1.กล้องส่องช่องท้องหรือที่เรียกว่ากล้อง laparoscope  กล้องชนิด นี้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-10 มิลลิเมตร นำมาใช้ในการวินิจฉัยและผ่าตัดรักษาพยาธิสภาพ ที่เกิดขึ้นภายในช่องท้อง ในที่นี้คือพยาธิสภาพของมดลูก และ รังไข่หรือพังผืดที่เกิดขึ้นในช่องท้อง เช่น ใช้ในการผ่าตัดเนื้องอกของมดลูก (myoma uteri ภาพที่ 1) ซึ่งเป็นเนื้องอกที่พบบ่อย พบได้ประมาณร้อยละ 40-50 ของสตรี เป็นเนื้องอกที่ทำให้ ผู้ป่วยมีประจำเดือนออกมาก ออกเป็นก้อนลิ่มและ ปวดประจำเดือนมาก การผ่าตัดด้วยกล้องสามารถ ทำการผ่าตัดโดยที่ตัดเอาเฉพาะก้อนเนื้องอกออก หรือตัดเอามดลูกออกทั้งใบการผ่าตัดพยาธิสภาพของรังไข่ที่พบบ่อยได้แก่ถุงน้ำรังไข่ (ovarian cyst) ถุงน้ำชอคโคแลตซีส (endometriotic cyst ภาพที่ 3) ถุงน้ำรังไข่ ที่เรียกว่าdermoid cyst (ภาพที่ 4 ) โดยที่ทำการผ่าตัดเอาเฉพาะถุงน้ำรังไข่ ถุงน้ำรังไข่ dermoid cyst ถุงน้ำชอคโคแลตซีสออก โดยที่เก็บเอาเนื้อรังไข่ส่วนที่ดีไว้สำหรับการผลิตฮอร์โมน เพื่อการตั้งครรภ์ต่อไปการผ่าตัดพังผืดที่เกิดขึ้นในช่องท้อง เช่น พังผืดที่เกิดจากโรคเยื่อบุผนังมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) ซึ่งมักพบร่วมกับถุงน้ำชอคโคแลตซีส (endometriotic cyst) เป็นภาวะผิดปกติที่พบได้บ่อย ในสตรี เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดประจำ เดือนมาก และเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยเช่นกันที่ทำ ให้ผู้ป่วยมีบุตรยาก พังผืดที่เกิดขึ้นภายในช่องท้อง ภายหลังจากการผ่าตัดเปิดช่องท้องหรือผ่าตัด พยาธิสภาพในช่องท้องในอดีต หรือเกิดตามหลังการ ติดเชื้อภายในอุ้งเชิงกรานซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วย ปวดท้องทรมานเรื้อรัง พังผืดดังกล่าวข้างต้นก็สามารถ รักษาผ่าตัดผ่านกล้องได้ 2. กล้องส่องโพรงมดลูกหรือที่เรียกว่ากล้อง hysteroscope เป็นกล้องขนาดเล็กมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-4 มิลลิเมตร นำมาใช้ในการวินิจฉัยและผ่าตัดรักษาพยาธิสภาพ ที่เกิดขึ้นภายในโพรงมดลูก เช่น ผ่าตัดเนื้องอกที่เกิด ขึ้นภายในโพรงมดลูกที่เรียกว่า submucous myoma (ภาพที่ 5) เป็นเนื้องอกที่ทำให้ผู้ป่วยมีประจำเดือน ออกมาก ออกเป็นลิ่มเลือด และออกเป็นระยะเวลานาน ร่วมกับมีอาการปวดประจำเดือน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ผู้ป่วยมีปัญหามีบุตรยากได้ การผ่าตัดติ่งเนื้อ endometrial polyps (ภาพที่ 6 ) ซึ่งเป็นเนื้องอกที่ทำให้ผู้ป่วยมีประจำ เดือนออกกระปริดกระปรอย ผ่าตัดพังผืดภายในโพรง มดลูก (ภาพที่ 7) พังผืดภายในโพรงมดลูกดังกล่าว มักจะเกิดจากการขูดมดลูกที่ติดเชื้อหรือไม่สะอาด ภายหลังการแท้งบุตร ผ่าตัดความผิดปกติแต่กำเนิดของ มดลูกที่มีผนังกั้นกลางทำให้ โพรงมดลูกถูกแบ่งออกเป็น 2 ช่องแทนช่องเดียวตามปกติ (septate uterus ภาพที่ 8) ความผิดปกติของมดลูกแต่กำเนิดดังกล่าวมักจะทำ ให้ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องแท้งบุตรซ้ำๆ เป็นต้น ข้อบ่งชี้ของการผ่าตัดเอามดลูกออกด้วยกล้องส่องช่องท้อง ผู้ป่วยที่มีบุตรเพียงพอแล้วและเป็นเนื้องอก ของมดลูกที่มีขนาดใหญ่ โดยทั่วไปจะแนะนำให้ตัดมด ลูกออก ถ้ามดลูกโตมีขนาดเท่ากับการตั้งครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป หรือเนื้องอกของมดลูกที่มีขนาดเล็ก กว่าขนาดตั้งครรภ์12 สัปดาห์

Read More »

เรื่องควรรู้ก่อนการเสริมจมูก

การเสริมจมูกเป็นผ่าตัดเสริมสวยที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในชาวไทยเนื่องจากธรรมชาติของเรามักจะมีดั้งจมูกที่ค่อนข้างต่ำและมักมีปัญหาปลายจมูกไม่ได้รูปทรงที่เด่นชัด ซึ่งอาจมีทั้งปลายจมูกแบนหรือค่อนข้างกว้างขวาง รวมถึงปัญหาปีกจมูกที่ค่อนข้างกว้าง ดังนั้นการผ่าตัดเสริมจมูกจำเป็นต้องวิเคราะห์รูปทรงของจมูกโดยดูความสัมพันธ์กับส่วนอื่นของใบหน้า เช่น ดวงตา ปาก คางด้วยเสมอเพื่อให้การทำศัลยกรรมได้ผลบออกมาเป็นที่น่าพอใจและรับกับใบหน้าของแต่ละคน ซึ่งการพิจารณาของศัลยแพทย์ปกติจะเริ่มวิเคราะห์ตั้งแต่ส่วนบนสุดถึงล่างดังต่อไปนี้ 1.ส่วนของสันจมูกหรือที่เรียกว่าดั้งจมูกซึ่งเรื่มตั้งแต่บริเวณระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง ปกติแล้วสันจมูกจะต้องเรื่มทำมุมจากหน้าผากออกมาตั้งแต่แนวของกึ่งกลางของตาดำทั้งสองข้างออกมาอย่างกลมกลืนการเสริมจมูกบริเวณนี้ต้องหลีกเลี่ยงการเสริมให้ดูลอยโด่งออกมาเป็นลักษณะของสันเขื่อนเพราะจะทำให้ดูผิดธรรมชาติในคนเอเชียการเสริมบริเวณดั้งนิยมใช้ซิลิโคนเนื่องจากควบคุมทรงได้ง่าย แต่หากต้องการความปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ ศัลยแพทย์อาจแนะนำให้ใช้กระดูกอ่อนหรือส่วนของไขมันของเราเอง เนื่องจากไม่ต้องกลัวว่าจะมีปัญหาในอนาคต ส่วนการเสริมดั้งจมูกด้วยการใช้ฟิลเลอร์นั้นก็ทำได้เช่นกัน แต่มีข้อเสียคือการควบคุมรูปทรงยาก ไม่อยู่ถาวรและมีโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนที่รุนแรงเข้าเส้นเลือดบริเวณรอบดวงตา 2.บริเวณปลายจมูก เป็นบริเวณที่ท้าทายและทำยากที่สุด หากต้องการความเป็นธรรมชาติและไม่ให้คนทราบว่าเสริมจมูกมา ซึ่งศัลยแพทย์ต้องวิเคราะห์ดูรูปทรงของปลายจมูกซึ่งนิยมให้มีลักษณะคล้ายหยดน้ำ ปละมีส่วนปลายที่เชิดพอดีไม่สั้นและไม่งุ้มจนเกินไป ความสูงของปลายจมูกต้องรับกับบริเวณดั้งจมูกและริมฝีปากและทำมุมพอดีกับริมฝีปาก ความกว้างของปลายจมูกต้องสมดุลกับใบหน้าพอดีเพื่อให้ดูเด่นและสวยงาม 3. ส่วนของปีกจมูก เป็นส่วนที่ทำให้จมูกดูกว้างหรือพอดี โดยมากถ้าเราลากเส้นตั้งฉากจากขอบในของตาดำลงมาทั้งสองข้างความกว้างของจมูกไม่ควรกว้างเกินเส้นสมมติเส้นนี้ แต่แน่นอนต้องขึ้นกับความกว้างและลักษณะของใบหน้าด้วย หากปีกจมูกกว้างเกินไปอาจทำให้ดูเหมือนคนจมูกบาน ซึ่งอาจต้องทำการตัดปีกจมูกซึ่งมีวิธีมากมายหลายวิธีด้วยกัน แต่เนื่องจากคนเอเชียเรามีผิวที่เกิดแผลเป็นง่ายจึงนิยมซ่อนแผลเป็นไว้ภายในจมูกมากกว่าการผ่าตัดที่ขอบจมูกด้านนอก ทั้งนี้ศัลยแพทย์จำเป็นต้องตรวจดูการหายใจและโพรงจมูกก่อนเสมอว่ามีการอุดตันหรือไม่เพื่อแก้ไขก่อนจะพิจารณาตัดปีกจมูกซึ่งมักจะทำให้รูจมูกแคบลง 4. ลักษณะของผิวบริเวณจมูก ว่ามีลักษณะบางหรือหนาแค่ไหนและมีความยืดหยุ่นมากน้อยเพียงใด รวมถึงลักษณะการอักเสบรอบจมูก เช่น การอักเสบจากสิวเป็นต้น เพราะมีผลต่อการผ่าตัดเสริมจมูกทั้งสิ้น หากผิวหนังมีลักษณะบางและแพ้ง่ายการเสริมจมูกโดยใช้ซิลิโคนเพียงอย่างเดียวอาจทำให้เกิดผลแทรกซ้อน เช่น การทะลุในระยะยาวได้ ซึ่งในกรณีนี้อาจแนะนำให้ใช้กระดูกอ่อนร่วมด้วยหรือการผ่าตัดตกแต่งปลายจมูกโดยการใช้วิธีการเปิดเพื่อตกแต่งโดยใช้กระดูกอ่อนทั้งหมด ในกรณีที่ผิวหนังค่อนข้างหนาและมีความยืดหยุ่นดีอาจพิจารณาใช้แต่ซิลิโคนแต่เพียงอย่างเดียวได้ 5. ความคาดหวังของคนไข้ มีความสำคัญมาก บางครั้งเราอาจจะเห็นจมูกของคนอื่นหรือของดาราบางคนมีความสวยงามและต้องการมีจมูกที่ใกล้เคียงกัน ในบางกรณีเราอาจไม่สามารถทำได้โดยการใช้ซิลิโคนแต่เพียงอย่างเดียว แพทย์จะเป็นผู้อธิบายข้อจำกัดของการรักษาแต่ละวิธีแต่แนะนำข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีให้ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้และข้อมูลทางการแพทย์ที่ถูกต้องเพื่อให้สามารถตัดสินใจเลือกวิธีที่ถูกต้องได้

Read More »

การผ่าตัดไทรอยด์ผ่านกล้อง

Read More »

RSV ไวรัสวายร้าย มากับสายฝน

……. อดทนเวลาที่ฝนพรำ..อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง พอเข้าสู่ฤดูฝนโดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาวหรือระหว่างเดือนสิงหาคม – ตุลาคม เด็ก ๆ มักจะป่วยและมาหาป้าหมอที่โรงพยาบาลบ่อย เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงและมักจะรับเชื้อโรคได้ง่าย โดยเฉพาะไวรัส RSV ที่มีอาการคล้ายไข้หวัดแต่ส่งผลรุนแรง ถึงขั้นปอดอักเสบติดเชื้อได้ค่ะ คุณแม่ ๆ หลายคนอาจจะเคยมีประสบการณ์ที่ลูกติดเชื้อ RSVหรืออาจจะเคยได้ยินชื่อนี้มาจากคุณครู หรือ คุณหมอที่ดูแล แล้วเชื้อ RSV นี้เป็นอย่างไร ทำไมป้าหมอถึงเรียกว่า เป็นไวรัสวายร้าย ถ้าพร้อมแล้ว มาทำความรู้จักกับเชื้อ RSV ไปพร้อม ๆ กันค่ะ RSV ไวรัส  คืออะไร RSV (Respiratory Syncytial Virus) จริง ๆ แล้วเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้ทางเดินหายใจอักเสบในผู้ป่วยทุกช่วงอายุ แต่อาการจะเป็นมากในช่วงวัยเด็ก โดยเฉพาะเด็กอายุน้อยตั้งแต่ วัยแรกเกิด จนถึงช่วงวัยเข้า nursery ค่ะ ในประเทศไทยมักมีการระบาดในช่วงฤดูฝน โดยเด็ก ๆ จะติดเชื้อ RSV จากการรับเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ จากการสัมผัส หรือละอองน้ำมูกของผู้ป่วยคนอื่น และมีระยะฟักตัวประมาณ 2-7 วัน RSV เจ้าวายร้ายทำลายระบบทางเดินหายใจ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจจากไวรัส RSV เกิดได้ตั้งแต่ส่วนบนจนถึงส่วนล่าง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหลอดลมฝอยอักเสบ (Acute bronchiolitis) และอาจทำให้ปอดอักเสบติดเชื้อ (pneumonia) โดยเฉพาะเด็กเล็กจะมีอาการปอดบวม ไอ หอบได้ง่าย เด็กจะมีอาการหายใจเร็ว หอบเหนื่อย บางครั้งเป็นมากจะหายใจดัง “วี้ด”ถ้าเป็นมากขึ้นจะมีอาการหายใจล้มเหลวได้ นอกจากนั้นยังส่งผลให้เด็กบางคนมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหอบหืดในอนาคตได้อีกด้วย พอเห็นอย่างนี้แล้ว ป้าหมอถึงได้เรียก RSV ว่าเป็นเจ้าวายร้ายทำลายระบบทางเดินหายใจไงคะ ลูกเป็นหวัดธรรมดา หรือเป็น RSV กันนะ? เด็กที่ติดเชื้อไวรัส RSV มักจะมีอาการเริ่มแรกเหมือนไข้หวัดเลยค่ะ คือ มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล คัดจมูก แต่สิ่งที่พ่อแม่สามารถสังเกตเห็นว่าลูกอาจจะติดเชื้อ RSV ได้แก่ ไอมาก เสมหะเยอะและเหนียวข้น อาการหายใจหอบเหนื่อย หายใจแรง หน้าอกบุ๋ม อาจมีเสียงหายใจดังวี้ด ๆ ไม่กินอาหารและน้ำ ไข้สูง มักจะซึม หรือหงุดหงิด กระสับกระส่าย หากลูกมีอาการเหล่านี้ในช่วงที่ไวรัส RSV ระบาด ควรพาไปให้คุณหมอเช็คอย่างละเอียด คุณหมอก็จะตรวจร่างกาย ฟังเสียงปอด ถ้ามีเสียงวี้ด คุณหมอจะพ่นยาขยายหลอดลม รวมถึงการเอ็กซเรย์ปอดในรายที่สงสัยปอดอักเสบค่ะ การตรวจหาเชื้อนี้ทำได้ไม่ยากค่ะ เราจะใช้อุปกรณ์พิเศษลักษณะคล้ายก้านสำลียาว ๆ เข้าไปป้ายในโพรงจมูก เพื่อส่งไปตรวจหาไวรัส RSV คล้ายกับที่ทำในไข้หวัดใหญ่ค่ะ หลาย ๆ คนน่าจะพอนึกภาพออกนะคะ การรักษา RSV ต้องรักษาตามอาการค่ะ          ในปัจจุบันยังไม่มียารักษา RSV โดยเฉพาะ การรักษาอาการติดเชื้อไวรัส RSV จึงต้องรักษาไปตามอาการที่ป่วย คือ ให้ยาลดไข้ ให้ยาแก้ไอละลายเสมหะ ให้ยาลดน้ำมูก ในเด็กเล็กหรือเด็กที่มีอาการหนักอาจต้องนอนโรงพยาบาล ให้น้ำเกลือ ให้ยาขยายหลอดลม ยาละลายเสมหะ เคาะปอด และอาจจะต้องช่วยดูดเสมหะ หรือถ้ามีอาการรุนแรงมากก็จะต้องได้รับออกซิเจนหรือใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ หากเด็กมีอาการไม่รุนแรง ก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ด้วยการกินยาลดไข้ ยาละลายเสมหะ และดื่มน้ำเยอะ ๆ พักผ่อนให้เพียงพอค่ะ และในที่สุดร่างกายก็จะสามารถกำจัดเชื้อไปได้เองค่ะ ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เป็น RSV แล้ว สามารถเป็นซ้ำได้หลายครั้งนะคะ แต่อาการจะน้อยลงค่ะ “ทำอย่างไร ห่างไกล RSV” เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส RSV ทำให้เด็ก ๆ มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสในช่วงที่แพร่ระบาดได้มากโดยเฉพาะสถานที่ที่เด็กอยู่กันมาก ๆ เช่น โรงเรียนอนุบาลหรือnursery ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้ลูกน้อยไม่ป่วยจากโรคนี้ คือ การมีร่างกายที่แข็งแรงและรู้จักวิธีหลีกเลี่ยงภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ ล้างมือบ่อย ๆ หลังจากทำกิจกรรม หรือก่อนทานอาหาร เพราะไวรัส RSV สามารถติดต่อได้จาก น้ำลาย น้ำมูก ไอ จาม ไม่ควรให้ลูกอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นหวัด โดยเฉพาะหากโรงเรียนหรือnursery มีการระบาดอยู่ ทำความสะอาดของเล่น ผู้ป่วยต้องปิดปากหรือใส่หน้ากากอนามัยเวลาไอจามเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือเมื่อต้องไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนแออัด เมื่อลูกต้องอยู่ในอากาศที่หนาวเย็น ควรทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าไวรัส RSV จะมีอาการรุนแรงมากกว่าไวรัสหวัดทั่วไป แต่ถ้าเรารู้วิธีการรักษาและช่วยกันดูแลสุขภาพลูกน้อยให้แข็งแรง ก็ปลอดภัยจาก RSV เจ้าไวรัส วายร้ายตัวนี้ได้ค่ะ เชื่อว่าไม่เกินความสามารถของฮีโร่อย่างคุณพ่อคุณแม่ค่ะ ด้วยความปรารถนาดีจาก ป้าหมอนงนภัส เก้าเอี้ยน

Read More »

คำถามจากงานสัมมนา “ภูมิแพ้…โรคฮิตคนเมือง”

1.ภูมิแพ้เหงื่อตนเอง จะเป็นเมื่อถูกแดด และอากาศร้อน มีวิธีรักษาหายหรือไม่ ? ตอบ มีวิธีรักษาค่ะ แต่ต้องมาตรวจเพิ่มเติมก่อนว่าเป็นผื่นภูมิแพ้แบบไหน 2. เคยถูกน้ำร้อนลวกที่มือ ได้ประมาณ 1 เดือน ต่อจากนั้นบริเวณรอบข้างจะเป็นผื่นทั้งมือ และลามไปทั้งตัวยกเว้นหน้า และลำตัว จากนั้นผิวที่ถูกน้ำร้อนลวกจะแพ้ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น สบู่ น้ำยาล้างจาน แสบและลักษณะจะเป็นตุ่มแดงใส ทั้งหมดนี้เรียกว่าภูมิแพ้หรือไม่ ? ตอบ น่าจะเป็นลักษณะของผื่นแพ้สัมผัสค่ะ เนื่องจากผิวหนังที่เคยถูกน้ำร้อนลวกอ่อนแอลง ทำให้สารระคายเคืองต่างๆกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของผิวได้มากขึ้นค่ะ

Read More »

โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ

Carpal Tunnel Syndrome หรือเรียกย่อๆว่า CTS เป็นโรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนอายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป มักพบในคนวัยทำงานที่ใช้มือในการทำงานมากๆ เช่น การขับรถนานๆ กวาดบ้าน ซักผ้า ใช้คอมพิวเตอร์ เล่นเกมส์ ใช้โทรศัพท์ ผู้ป่วยบางรายจะกังวลและมีความเข้าใจผิดว่าเป็นภาวะจากเส้นเลือดในสมองตีบ ทำให้มีคำถามตามมาอีกว่าเอาการเหล่านี้เกิดจากอะไร มีผลกระทบร้ายแรงหรือไม่ หายขาดได้หรือไม่ อาการ โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักมีอาการชาบริเวณปลายนิ้วมือ ส่วนใหญ่อาการมักจะเป็นๆหายๆ ที่ปลายนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง โดยอาการมักจะเป็นหลังตื่นนอนหรือผู้ป่วยในบางรายอาจมีอาการปวดร่วมด้วย ในกรณีที่เป็นมากอาจจะมีอาการชามือทั้งวัน ชาทั้งมือ อาการอ่อนแรงของมือ หยิบจับของลำบาก กล้ามเนื้อในฝ่ามือลีบ อาการชาอาจจะเป็นทั้ง 2 ข้างหรือข้างเดียวก็ได้ และมักเด่นชัดในมือข้างที่ถนัด การใช้ข้อมือที่จะกระตุ้นอาการให้เป้นมากขึ้น เช่น งานที่ต้องใช้ข้อมือมากๆ งานที่ต้องค้างในท่าเหยียดข้อมือหรืองอข้อมือนานๆ ซึ่งมักจะพบบ่อยในหมู่แม่บ้านที่ต้องทำอาหาร กวาดบ้าน ซักผ้า บิดผ้า กงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์งาน พนักงานโรงแรม พนักงานขุดเจาะถนน กลุ่มคนไข้ที่ใช้มือในการโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์สื่อสารนานๆ เช่น เล่นเกมส์ เป็นต้นสภาวะหรือโรคประจำตัวที่ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการเป็น Carpal Tunnel Syndrome ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ โรคข้อเสื่อม คนไข้ที่เคยมีอาการบาดเจ็บบริเวณข้อมือ คนอ้วน การตั้งครรภ์ และมักจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย พยาธิสภาพ เกิดจากการกดทับของเส้นระสาทมีเดียน ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อ แขนและมือ รวมทั้งการรับความรู้สึกของฝ่ามือ บริเวณนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง เส้นประสาทนี้จะออกมาจากไขสันหลังมาถึงบริเวณต้นคอจนถึงปลายนิ้วมือ โดยในช่วงบริเวณข้อมือจะต้องลอดผ่านอุโมงค์ที่เรียกว่า Carpal Tunnel เมื่ออุโมงค์นี้แคบลงจากสาเหตุต่างๆ เช่น การอักเสบ การบวมน้ำ หรืออยู่พับข้อมือค้างในท่าเดิมนานๆ การวินิจฉัยโรค ผู้ป่วยมักจะมาพบแพทย์ด้วยอาการดังกล่าวข้างต้น ตรวจร่างกายมักจะพบอาการชา บริเวณนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนางหรือนิ้วใดนิ้วหนึ่ง ถ้ามีอาการมาก มักจะพบอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทมีเดียนร่วมด้วย เช่น กล้ามเนื้อที่ช่วยการขยับนิ้วโป้ง และอาจจะพบว่ามีกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งมือทางด้านนิ้วโป้งฟีบลง ในบางรายถ้าใช้นิ้วมือหรืออุปกรณ์เคาะลงบนเส้นประสาท จะมีอาการชาหรือเหมือนไฟช็อตไปตามนิ้วมือ และการงอมือเข้ามาชนกัน จะมีอาการชามากขึ้นที่ปลายนิ้วมือ การตรวจร่างกายจะต้องตรวจเพิ่มเติมในการตรวจกล้ามเนื้อแขนและกล้ามเนื้อมือ ทั้งข้างซ้ายและข้างขวา เพื่อวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆที่เป็นไปได้ การตรวจโดยไฟฟ้าวินิจฉัย (Electrodiagnosis) ส่วนใหญ่การตรวจวินิจฉัยด้วยไฟฟ้ามักทำในผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาและทำกายภาพแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายในเวลาประมาณ 304 สัปดาห์ หรือในผู้ป่วยที่มีการวางแผนการรักษาด้วยการผ่าตัด การตรวจด้วยไฟฟ้าวินิจฉัยเป็นการตรวจที่สำคัญที่สุด สามารถยืนยันการวินิจฉัย และสามารถแยกโรคที่มีอาการคล้ายๆกันออกมาได้ เช่น โรคการกดเส้นประสาท การอักเสบของแผงประสาทแขน นอกจากนั้นยังสามารถบอกความรุนแรงของอาการเพื่อนำไปสู่การรักษาและยังสามารถใช้ในการติดตามการรักษาได้ด้วย ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็น CTS เพศหญิงมักจะเป็นมากกว่าเพศชาย ผู้ที่มีข้อมือกลม สตรีมีครรภ์ ผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้ข้อมือมาก กระดกขึ้นลงบ่อยๆ หรือทำงานที่มีการสั่นสะเทือนมือและแขนนานๆ ซึ่งมักจะพบบ่อยในกลุ่มแม่บ้านที่ต้องทำอาหาร กวาดบ้าน ซักผ้า บิดผ้า พนักงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์งาน พนักงานโรงงาน พนักงานขุดเจาะถนน กลุ่มคนไข้ที่ใช้มือในการโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์สื่อสารนานๆ เช่น เล่นเกมส์ เป็นต้น

Read More »

เตรียมตัวไปเที่ยวแบบ(เบา)หวานๆ

Read More »

โรคข้อเข่าเสื่อม

Read More »
Page1 Page2 Page3 Page4 Page5
Facebook-f Youtube Instagram
  • 1270
  • About Us
  • Medical center
  • Doctors
  • Make an Appointment
  • Knowledge
  • Package
  • News & Events
  • Privacy Policy
  • Investor
  • Sustainability
  • Work with Us
  • Contact Us
  • Terms and Conditions

Copyright © 2025. All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • Medical Center
  • แพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us