Skip to content
  • EN
    • TH
    • CN
    • AR
  • EN
    • TH
    • CN
    • AR
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us
Menu
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us

Category: Articles EN

รู้จักโรคภูมิแพ้ ก่อนโรคร้ายจะรู้จักคุณ ตอนที่1

โรคภูมิแพ้ไม่ใช่โรคร้ายแรง เพราะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้บรรเทาลงจนคุณรู้สึกดีขึ้นเหมือนเป็นปกติได้ หากได้รับการรักษาและมีการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง โรคภูมิแพ้ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ โรคภูมิแพ้ตามฤดูกาล และโรคภูมิแพ้ชนิดตลอดปี อาการที่มักพบอยู่เสมอในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ได้แก่ จาม คัดจมูก ตา หู และลำคอ มีน้ำมูกใสๆ ไหลออกมาบ่อยๆ รู้สึกคัดจมูก ตาแดง และมีน้ำตาไหล นอกจากนี้ยังอาจมีอาการเจ็บคอ ไอ อ่อนเพลีย ปวดท้อง ปวดศีรษะ หรือปวดบริเวณคาง และหน้าผากร่วมด้วย หากคุณมีอาการต่างๆ เหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัย และกำหนดวิธีการรักษาโรคภูมิแพ้ที่เหมาะที่สุด เพราะหากปล่อยไว้เรื้อรังอาจกลายเป็น โรคไซนัส และโพรงหลังจมูกอักเสบได้ โรคภูมิแพ้เกิดจากอะไร โรคภูมิแพ้เกิดจากการที่เราหายใจเอาสารบางอย่างที่เรียกว่า “สารแพ้” เข้าไปในร่างกาย ซึ่งสารแพ้ที่สำคัญ ได้แก่ เกสรดอกไม้ เกล็ดเล็กๆ ของเกสรดอกไม้ที่ปลิวมาตามลม คือสาเหตุสำคัญตัวหนึ่งที่ทำให้เราป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ชนิดเป็นไปตามฤดูกาล ฝุ่นในบ้าน ฝุ่นที่เกาะอยู่ตามที่ต่างๆ ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นบนชั้นหนังสือ ผ้าม่าน ที่นอน หมอน หรือล่องลอยอยู่ทั่วไปในอากาศ จะมีแมลงตัวเล็กมาก เรียกว่า ไรฝุ่น (Dust Mite) เกาะอยู่ และไรฝุ่นนี่เอง คือเจ้าตัวร้ายในบ้าน ที่ทำให้เราป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ เชื้อรา เชื้อรามักอยู่ในที่มืดและชื้น เช่น ในห้องน้ำ ใต้ถุนบ้าน ในตู้เย็น ในดินที่ปลูกต้นไม้ เชื้อราขยายพันธุ์โดยการกระจายเกล็ดเล็กๆ ไปในอากาศ เรียกว่า “สปอร์” ถ้าเราสูดหายใจเอาสปอร์เข้าไปก็อาจทำให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้ได้ สัตว์ สัตว์เลี้ยง เช่น แมว สุนัข นก ม้า และกระต่าย ก็เป็นสาเหตุสำคัญของโรคภูมิแพ้เช่นกัน โดยรังแค น้ำลาย และปัสสาวะของสัตว์ รวมทั้งขนนก ล้วนทำให้ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ได้ทั้งสิ้น มลพิษและสารระคายเคือง เช่น ควันธูป ควันบุหรี่ น้ำหอม สเปรย์ปรับอากาศ ควันไฟจากเตาถ่ายและเตาผิง ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ และสารที่มีกลิ่นแรงๆ สามารถทำให้เกิดการระคายต่อจมูก และทำให้อาการโรคภูมิแพ้เลวลง แมลงสาบ ถ้าบ้านคุณมีแมลงสาบในห้องครัว ท่อระบายน้ำ ตู้กับข้าว ถังขยะ ฝุ่นที่เกิดจากซากหรือชิ้นส่วนของแมลงสาบเป็นตัวกระตุ่นให้เกิดอาการแพ้ทางจมูกและโรคหอบหืด โดยเฉพาะในเด็ก สารแพ้สร้างปัญหาให้คุณได้อย่างไร ปกติแล้วสารแพ้เป็นสารที่ไม่มีพิษภัยต่อร่างกายของเรา แต่เมื่อคุณเป็นโรคภูมิแพ้ ร่างกายของคุณจะเข้าใจว่า สารแพ้เป็นสิ่งแปลกปลอมที่จำเป็นต้องทำลาย ดังนั้น เมื่อคุณหายใจเอาสารแพ้เข้าไป ร่างกายของคุณก็จะโจมตีสารแพ้เหล่านี้ และจะทำให้ช่องทางเดินอากาศภายในจมูกของคุณเกิดอาการบวมและอักเสบ ซึ่งทำให้คุณเกิดอาการทางจมูก เช่น คัดจมูก คัน มีน้ำมูกไหล สารแพ้ยังสามารถทำให้เกิดอาการผิดปกติในส่วนอื่นของร่างกายคุณได้ เช่น ตา หู และปอด ปฏิกิริยาภูมิแพ้ เมื่อคุณหายใจเอาสารแพ้เข้าไป มันจะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติของร่างกายที่เรียกว่า ภูมิแพ้ ซึ่งจะหลั่งสารเคมีชื่อ “ฮีสตามีน” (Histamine) ออกมา ซึ่งเจ้าฮีสตามีนนี้เองที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อของจมูก ช่องจมูกเมื่อคุณเป็นโรคภูมิแพ้ เยื่อบุโพรงจมูกบวม ทำให้มีน้ำขังจนเกิดอาการปวด รวมทั้งปวดศีรษะได้ จมูกสร้างน้ำมูกมากขึ้น ทำให้ช่องจมูกอุดตัน และมีน้ำมูกไหลออกจากจมูก น้ำมูกไหลลงไปในช่องคอ (Postnasal Drip) ทำให้แสบระคายคอ และไอ โรคแทรกซ้อนจากการเป็นภูมิแพ้เรื้อรัง อาจมีปัญหาอื่นที่เกิดเป็นผลตามมาจากการระคายเคืองและการอักเสบ ซึ่งเกิดจากภูมิแพ้ หากคุณมีอาการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษา 1. การติดเชื้อของโพรงไซนัส (Sinusitis) น้ำมูกที่ขังเป็นเวลานานในโพรงไซนัส จะมีการติดเชื้อแบคทีเรียขึ้นได้ โดยมีอาการน้ำมูกหรือเสมหะลงคอที่ข้นเหนียวสีเหลือง – เขียว ถ้าเป็นบ่อยๆ จะกลายเป็นโรคไซนัสเรื้อรังได้ 2. ตาอักเสบ สารแพ้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตา ทำให้เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) มีอาการตาแดง คัน บวม และมีน้ำตาไหล 3. ติ่งเนื้อในโพรงจมูก (Nasal Polyp) เยื่อบุโพรงจมูกอาจบวมมากจนกลายเป็นติ่งเนื้อเล็กๆ เรียกว่า Polyp ซึ่งอาจบวมโตมากจนอุดตันช่องจมูกได้ 4. ปัญหาของหู หูชั้นกลางกับช่องจมูกมีท่ออากาศเชื่อมต่อกัน ถ้าปฏิกิริยาภูมิแพ้ทำให้ท่อนี้เกิดการอุดตัน อากาศที่ถูกกักไว้ภายในจะทำให้รู้สึกหูอื้อได้ และอาจมีมูกขังภายใน จนเกิดการติดเชื้อและเกิดหูชั้นกลางอักเสบได้ 5. โรคหืด หากคุณเป็นโรคหืด การระคายเคืองและการบวมของทางเดินอากาศที่เข้าสู่ปอดจะทำให้คุณหายใจลำบาก ซึ่งสาเหตุของการระคายเคืองและบวมนี้ บ่อยครั้งพบว่าปฏิกิริยาภูมิแพ้ของจมูกนี้จะกระตุ้นให้โรคหืดกำเริบได้ การประเมินอาการภูมิแพ้ของคุณ เพื่อประสิทธิภาพของการรักษาที่ดีที่สุด แพทย์จำเป็นต้องประเมินอาการของคุณ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโรคภูมิแพ้ของคุณ ซึ่งอาจประกอบด้วยการซักประวัติ การตรวจร่างกาย และการทดสอบภูมิแพ้ การตรวจจะช่วยให้ทราบว่าโรคภูมิแพ้ของคุณเป็นชนิดตามฤดูกาลหรือเป็นตลอดปี มีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด และคุณมีภาวะอื่นเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ A : การซักประวัติ แพทย์จะซักประวัติการเจ็บป่วยของคุณและขอให้คุณเล่าอาการโดยละเอียด โดยคำถามที่แพทย์มักถามคนไข้ ประกอบด้วย คุณมีอาการอย่างไรบ้าง? คุณคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุของอาการของคุณ? คุณเริ่มมีอาการดังกล่าวเมื่ออายุเท่าใด? คุมมีอาการในช่วงไหนของปี? มีใครในครอบครัวคุณเป็นโรคภูมิแพ้บ้าง? นอกจากนี้ แพทย์จะถามถึงที่ที่คุณอาศัยอยู่ การทำงาน โรงเรียน งานอดิเรก สัตว์เลี้ยง รวมทั้งวิธีที่คุณทำเพื่อรักษาอาการโรคภูมิแพ้ของตัวเอง B: การตรวจร่างกาย แพทย์จะทำการตรวจจมูก ตา หู และคอของคุณ เพื่อดูว่ามีลักษณะของโรคภูมิแพ้ และการติดเชื้อหรือไม่ รวมทั้งต้องตรวจปอดและหัวใจด้วย C: การตรวจอื่นๆ ในระหว่างการประเมิน คุณอาจต้องรับการตรวจเอกซเรย์ไซนัสหรือคอมพิวเตอร์ (CT Scan) เพื่อตรวจหาความผิดปกติของโพรงจมูก หรือกระดูกบริเวณจมูกของคุณ หลังเสร็จสิ้นขั้นตอนการตรวจข้างต้น

Read More »

โรคหัวใจ สาเหตุการตายอันดับ 1

โรคหัวใจ เป็นโรคที่มีความหมายกว้างมาก และอาการเจ็บป่วยของโรคหัวใจนั้น ก็อาจจะเกิดจากการเจ็บป่วยของโรคอื่นก็ได้ ซึ่งโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้น หมายถึงกลุ่มโรคที่มีผลกระทบต่อระบบหัวใจ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคกล้ามเนื้อหัวใจ หัวใจล้มเหลว โรคหัวใจอักเสบ โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคหัวใจรูมาติก ฯลฯ สาเหตุการเกิดโรค พล.อ.นพ.ประวิชช์ ตันประเสริฐ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า โรคหัวใจเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่พบมากและเป็นอันตรายที่สุดคือ อาการหลอดเลือดหัวใจตีบ ที่นำพาไปสู่อาการหัวใจวาย (Heart Attack) ซึ่งแต่เดิม การแพทย์เชื่อว่า เกิดจากการสะสมของไขมันบนผนังหลอดเลือดจนเกิดการอุดตัน แต่ปัจจุบันอาการหัวใจวาย ที่พบบ่อยมักเกิด จากการที่ผนังหลอดเลือดด้านในแตกจนเกินการสะสมของลิ่มเลือด และนำไปสู่การอุดตันของลิ่มเลือดแบบเฉียบพลัน ซึ่งการแตกของผนังหลอดเลือดด้านในนี้ เกิดจากภาวะการอักเสบ (Inflammation) ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งจากอารมณ์แปรปรวน อาหาร อนุมูลอิสระ ตลอดจนถึง ภาวะความร้อนในร่างกาย การทำงานของฮอร์โมน การทำงานของประสาทอัตโนมัติ ข้อบ่งชี้การเกิดโรค อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า การวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจหรือไม่ ควรเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญืแต่เราเองก็สามารถสังเกตอาการบางอย่างเพื่อสันนิษฐานเบื้องต้น เช่น เป็นโรคอ้วย เครียดมาก ใจร้อน รวมถึงภาวะอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน ไขมันสูง ความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่ เป็นต้น ส่วนระยะการแสดงอาการ จะแสดงออกในระหว่างการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น วิ่ง เดิน ขึ้นบันได หรือเมื่อโกรธ จะเจ็บหน้าอก อาการเจ็บหน้าอกของโรคหัวใจขาดเลือด จะแตกต่างจากการเจ็บแบบอื่น โดยจะเจ็บแน่นๆ บริเวณหน้าอกด้านซ้าย หรือสองด้าน บางรายจะเจ็บร้าวไปที่แขนซ้าย หรือปวดไปถึงกรามคล้ายเจ็บฟัน บางรายที่เป็นมาก แม้จะหยุดออกกำลังกายก็ยังเจ็บอยู่ นอกจากนี้ ยังมีอาการหอบ เหนื่อยง่ายผิดปกติ ใจสั่น ขาบวม และอาจจะเป็นลมหรือวูบร่วมด้วย การดูแลป้องกัน โรคหัวใจและโรคหลอดเลือด ป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใชชีวิต- อาหาร ความอ้วนและอาหารมัน จะทำให้เกิดไขมันเกาะตามหลอดเลือด การรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมกับช่วงวัย จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้มาก- อารมณ์ ต้องหมั่นควบคุมอารมณ์ไม่ให้เครียด ใจร้อน- การออกกำลังกาย เป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตและเป็นยาวิเศษที่ต้านทานโรคได้ดี การรักษาทางการแพทย์ เมื่อเกิดภาวะบ่งชี้ของโรค เช่น เจ็บหน้าอก หอบ  เหนื่อยง่าย เหงื่อออกมาก ใจสั่น และขาบวม ให้สันนิษฐานว่า อาจเป็นโรคหัวใจและพาคนป่วยมาพบแพทย์ทันที ยิ่งถึงมือแพทย์เร็วเท่าไหร่ โอกาสที่แพทย์จะแก้ไขเส้นเลือดอุดตันให้เลือดไหลเวียน ก็จะทำได้อย่างเร็วและมีประสิทธิภาพ การดูแลหลังการรักษา แต่ก่อนเราเชื่อว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจทำอะไรไม่ได้อีก แต่ปัจจุบันความเชื่อนั้นเปลี่ยนแปลงไป คนผ่าตัดหัวใจแล้ว ยังสามารถไปทำงานได้ตามปกติ สามารถออกกำลังกายได้ไม่แพ้คนปกติ บางคนแข็งแรง สามารถเล่นกีฬาได้เหมือนนักกีฬาอาชีพ แต่การฟื้นฟูร่างกายนั้น คนไข้ควรจะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด ด้วยโปรแกรมฟื้นฟูหัวใจ ซึ่งจะทำให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้

Read More »

ทดสอบความฟิตของหัวใจ ด้วยเทคโนโลยี

การเอกซเรย์ปอดและหัวใจ รวมถึงได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นการตรวจหัวใจขั้นต้นเท่านั้น แม้การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะสามารถบ่งบอกถึงสิ่งผิดปกติของหัวใจได้มาก เช่นลักษณะการเต้น ขนาดของหัวใจห้องต่าง ๆ การนำไฟฟ้าภายในหัวใจ รวมถึงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด แต่เนื่องจากเป็นการตรวจในขณะพัก ดังนั้นโอกาสที่จะพบความผิดปกติ อาทิ การเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่บ่งบอกว่าหัวใจมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอนั้นค่อนข้างยาก นอกเสียจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจนั้นตีบมาก จนทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พออยู่ตลอดเวลา การทดสอบความฟิตของหัวใจ เพื่อจะได้ทราบว่า เส้นเลือดหัวใจตีบจนทำให้มีเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอหรือไม่ จึงทำได้โดยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย หรือที่เรียกกันว่า การทดสอบสมรรถภาพหัวใจ (Exercise Stress Test) การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย โดยการเดินสายพาน นับได้ว่าเป็นการตรวจทางหัวใจที่ให้ผลคุ้มค่า มีความปลอดภัยสูง สามารถทำได้โดยง่าย ช่วยบ่งชี้ถึงภาวะของโรคหัวใจโดยเฉพาะผู้ที่มีเส้นเลือดหัวใจตีบตัน เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีประโยชน์มากชนิดหนึ่ง ขั้นตอนการเดิน วิ่ง บนสายพาน ผู้เข้ารับการทดสอบจะต้องแน่ใจว่าสามารถเดินหรือวิ่งได้ และก่อนเข้ารับการทดสอบควรได้นอนหลับพักผ่อนมาแล้วอย่างเพียงพอ งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 3 ชั่วโมง รับประทานอาหารมาแล้ว 2-3 ชั่วโมง ขณะเข้ารับการทดสอบควรสอบใส่ชุดที่เหมาะกับการวิ่งออกกำลังกาย การเดินบนสายพานจะต้องมีสายตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจติดกับตัวตลอดเวลา สายพานนี้จะปรับระดับความเร็วและความชันทุก ๆ 3นาที เพื่อให้ทราบจุดสูงสุดของสมรรถภาพหัวใจ ภายใต้การดูแลของแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่เทคนิคตลอดเวลา ประโยชน์ของการตรวจด้วยเครื่องเดินบนสายพาน • เพื่อทดสอบความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย• เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง• เพื่อตรวจแยกแยะหาสาเหตุของอาการเจ็บหน้าอกว่าเกิดจากโรคหัวใจหรือโรคอื่น• เพื่อบ่งชี้ความรุนแรงของโรคหัวใจและหลอดเลือด• เพื่อติดตามผลในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ• เพื่อประเมินสภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ “การป้องกันและรักษาตัวเองให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดยังคงนับได้ว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด”

Read More »

รู้หรือไม่…ไข้เลือดออกอันตรายกว่าที่คิด

โดย พญ.นงนภัส เก้าเอี้ยน เมื่อพูดถึง ฝน ทุกคนก็จะนึกถึงผลกระทบที่ตามมาอีกหลายอย่าง น้ำท่วมขัง เป็นแหล่งกำเนิดชั้นดีที่ก่อให้เกิด ยุง เพราะยุงเป็นพาหะที่สร้างโรคไข้เลือดออก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมานาน สามารถเกิดโรคได้ทุกเพศทุกวัย และพบบ่อยในเด็ก โดยโรคไข้เลือดออกมักมีการระบาดมากในช่วงฤดูฝน และอาจจะนำไปสู่การสูญเสียชีวิตได้ แต่เมื่อกล่าวถึงอันตรายของไข้เลือดออกนั้น ส่วนใหญ่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต หากพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ไข้ลดลง และฟื้นตัวได้เร็ว จะมีเพียงส่วนน้อยกว่าร้อยละ 5 ที่จะมีภาวะช็อกจากการรั่วของน้ำออกนอกเส้นเลือด และสิ่งที่น่ากังวล คือ หากเลือดออกในทางเดินอาหารหรือเลือดออกในสมองจะมีภาวะเสี่ยงถึงแก่ชีวิตได้ พญ.นงนภัส เก้าเอี้ยน กล่าวว่า สาเหตุหลักของโรคไข้เลือดออก คือ เชื้อไวรัสเดงกี ที่มีพาหะนำโรคมาจากการโดนยุงลายกัดในตอนกลางวัน ทั้งนี้โรคไข้เลือดออกยังไม่มียารักษาเฉพาะ ไม่มีวัคซีนป้องกัน และที่สำคัญ ยุงลายที่เป็นพาหะของโรคยังไม่สูญพันธุ์ โรคนี้จึงยังไม่ล้าสมัย หากพบว่ามีอาการ ไข้สูงลอย คลื่นไส้ ปวดศีรษะ อาเจียน มีจุดเลือดออกตามท้องแขน ใน 1-2 วัน อาจจะต้องมาพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดวินิจฉัยโรค เนื่องจากอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นได้ในหลายโรค ทั้งนี้เมื่อพบว่าเป็นโรคไข้เลือดออก ควรจะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจเช็คปริมาณเกล็ดเลือดทุกวัน และติดตามผลไม่ให้เกิดภาวะช็อกจากการมีเกล็ดเลือดต่ำ ประคองอาการจนกว่าไข้ลดลง ปริมาณเกล็ดเลือดเข้าสู่ภาวะปกติ ก็จะสามารถกลับบ้านได้ แต่หากพบว่าเป็นไข้เลือกออกครั้งที่สอง อาการอาจจะหนักขึ้นเนื่องจากเชื้อไวรัสเดงกีมี 4สายพันธุ์ เมื่อเคยได้รับการติดเชื้อในครั้งแรกแล้ว ร่างกายจะมีการจดจำเชื้อไวรัสเดงกีสายพันธุ์ที่เคยเป็นเอาไว้ หากได้รับเชื้อในครั้งที่สอง ร่างกายจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันหรือ Antibody จำนวนมากขึ้นมาเพื่อต่อต้านเชื้อเดงกีสายพันธุ์เดิม เพราะโครงสร้างของเชื้อคล้ายคลึงกัน แต่เนื่องจากผู้ป่วยได้รับเชื้อคนละสายพันธุ์กับการเป็นไข้เลือดออกในครั้งแรก จึงทำให้ไม่สามารถทำลายเชื้อได้ และการสร้างภูมิคุ้มกันหรือ Antibody ที่มากเกินนี้ก็สามารถทำลายเซลล์ของร่างกายได้มากขึ้น จึงทำให้เกิดอาการที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าการเป็นไข้เลือดออกในครั้งแรก ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด  และการป้องกันก็ต้องเริ่มที่พาหะนำโรคก็คือ ยุงลาย ที่ชอบวางไข่ในน้ำสะอาด น้ำนิ่งตามภาชนะต่างๆ รอบบ้าน การคว่ำภาชนะหรือใช้ภาชนะที่มีฝาปิด จะช่วยป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่ได้  สำหรับการป้องกันตนเองไม่ให้โดนยุงกัด ควรใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด นอนกางมุ้ง หรือใช้ยาทากันยุง

Read More »

การตรวจค้นหามะเร็งเต้านมด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรมอย่างเดียวเพียงพอแล้วหรือ?

Read More »

ต้อกระจก……ผ่าหรือไม่ผ่า…..ผ่าเมื่อไหร่ดี

ต้อกระจกคืออะไร เลนส์แก้วตา (Lens) เป็นเลนส์นูนใสอยู่หลังม่านตา ทำหน้าที่หักเหแสงให้ตกโฟกัสพอดีที่จอประสาทตา เมื่อเลนส์แก้วตาเสื่อม ทำให้สูญเสียความใสไป(เลนส์ขุ่น) ทำให้แสงเข้าสู่จอประสาทตาลดลง มองภาพไม่ชัด เกิดภาวะ “ต้อกระจก” ต้อกระจกพบได้ทั่วไปในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยมักเป็นต้อกระจกระยะเริ่มต้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เมื่อเวลาผ่านไป เลนส์จึงขุ่นมากขึ้นเรื่อยๆช้าๆ จนเริ่มบดบังการมองเห็นในที่สุด อาการของต้อกระจก เนื่องจากการขุ่นของเลนส์ตาจะเป็นไปอย่างช้าๆ นานเป็นปี ทำให้ตาค่อยๆมัวลงช้าๆ โดยไม่มีอาการตาแดงหรือเจ็บปวด การมองเห็นจะลดลงเมื่ออยู่ในที่ที่แสงไม่เพียงพอ เหมือนมองผ่านหมอกหรือกระจกที่ขุ่น ต้อกระจกบางชนิดจะทำให้ตามัวลงเมื่ออยู่กลางแจ้งหรือเมื่อขับรถกลางคืนแล้วเห็นไฟหน้ารถที่ขับสวนมาแตกกระจาย ผู้ป่วยบางรายเห็นภาพซ้อนเมื่อดูด้วยตาข้างเดียว หากทิ้งไว้นานจนต้อสุก จะเห็นตาเป็นฝ้าขาวตรงกลาง ซึ่งในปัจจุบันพบได้น้อยลงเนื่องจากผู้ป่วยเข้าถึงการตรวจตาได้ง่ายขึ้น หากท่านมีอาการดังกล่าว ควรตรวจตากับจักษุแพทย์ เพื่อตรวจดูว่าท่านมีภาวะต้อกระจกหรือไม่ หรือมีภาวะอื่นร่วมด้วย สาเหตุของต้อกระจก- ต้อกระจกส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมตามวัย ส่วนมากพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี โดยอายุที่เพิ่มมากขึ้น จะทำให้โปรตีนในเลนส์เกิดการเปลี่ยนแปลง และทำให้ความใสของเลนส์ตาลดลง- ผลจากยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ชนิดทาน หรือหยอด- มีโรคประจำตัวที่ส่งเสริมให้เกิดต้อกระจก เช่น เบาหวาน โรคอ้วน- เคยได้รับการบาดเจ็บและอุบัติเหตุทางตา มีการอักเสบหรือติดเชื้อบริเวณตา- มีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อกระจก การป้องกันต้อกระจก เนื่องจากสาเหตุหลักของต้อกระจก คือ ความเสื่อมของเลนส์แก้วตาตามวัย ในปัจจุบันจึงยังไม่มียากินหรือยาหยอดตาที่สามารถป้องกันต้อกระจกได้ อย่างไรก็ตาม พบว่า ผู้ที่ทำงานโดนแดดจัดๆเป็นเวลานานๆ เลนส์แก้วตาจะเสื่อมเร็วกว่าคนที่ไม่โดนแดด จึงแนะนำให้สวมใส่แว่นกันแดดเวลาออกแดดจัดๆ การรักษาต้อกระจก ต้อกระจกสามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เนื่องจากไม่มียาใดๆรักษาได้ โดยการผ่าตัดต้อกระจกเป็นการผ่าตัดที่มีความปลอดภัยสูง มีโอกาสในการติดเชื้อน้อยกว่า 1 เปอร์เซนต์ สามารถมองเห็นได้ดีขึ้นมากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ หลังการนำเลนส์ที่ขุ่นออก จะมีการวางเลนส์แก้วตาเทียมใหม่เข้าไป ซึ่งจะอยู่ในตาอย่างถาวร ต้อกระจกจะไม่กลับมาเป็นอีก ปัจจุบันการรักษาแบ่งเป็น 2 วิธีคือ 1. การผ่าตัดเปิดแผลเพื่อนำเลนส์แก้วตาออกมา (ECCE) เปิดแผลบริเวณขอบตาดำด้านบนยาวประมาณ 10 มม. เพื่อนำเลนส์ออกมา จากนั้นจึงใส่เลนส์แก้วตาเทียม และเย็บปิดแผล 2. การผ่าตัดแผลเล็ก และใช้การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Phacoemulsification) แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียง 2.2-3.0 มม. และใส่เลนส์แก้วตาเทียมชนิดพับได้ ทำให้ใช้เวลาผ่าตัดน้อยกว่า ผู้ป่วยกลับมามองเห็นชัดได้เร็วกว่า ไม่ต้องเย็บแผล จักษุแพทย์ที่ชำนาญสามารถทำการผ่าตัดได้โดยใช้การหยอดยาชาเฉพาะที่ ไม่ต้องฉีดยาหรือดมยาสลบ การผ่าตัดจึงมีความปลอดภัยขึ้น ในปัจจุบันถือเป็นวิธีมาตรฐานในการรักษาต้อกระจก ผู้ที่จะเข้ารับการรักษาต้อกระจก ควรได้รับการตรวจและประเมินสภาพตาโดยละเอียดก่อน เพื่อให้แพทย์พิจารณาว่าสภาพตาของท่านเหมาะสมกับการรักษาหรือไม่ และเลนส์แก้วตาเทียมชนิดใดเหมาะสมกับสภาพตาของท่านมากที่สุด ชนิดของเลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular lens – IOL) 1.เลนส์แก้วตาเทียมชนิดโฟกัสระยะเดียว (Standard IOL) เป็นเลนส์มาตรฐาน มีกำลังการรวมแสงเดียว ช่วยโฟกัสภาพในระยะไกล ส่วนการมองใกล้ต้องอาศัยแว่นอ่านหนังสือช่วย2.เลนส์แก้วตาเทียมชนิดโฟกัสหลายระยะ (Multifocal IOL) เป็นเลนส์แก้วตาที่มีหลายวง แต่ละวงมีกำลังการรวมแสงที่แตกต่างกันเพื่อโฟกัสทั้งระยะไกลและใกล้ แต่ผู้รับการรักษาต้องอาศัยระยะเวลาในการปรับตัวพอสมควร เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องการมองไกลและใกล้โดยไม่สวมแว่นอ่านหนังสือ3.เลนส์แก้วตาเทียมชนิดแก้ไขสายตาเอียง (Toric IOL) สามารถแก้ไขสายตาเอียงในตัว เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีสายตาเอียงอยู่เดิม ผ่า…. ไม่ผ่า….เมื่อไหร่ดี? ผู้ที่เป็นต้อกระจกไม่จำเป็นต้องผ่าตัดทันทีหลังตรวจพบ โดยต้อกระจกสามารถปล่อยทิ้งไว้ได้หลายปีหากยังไม่มีปัญหาการมองเห็นในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามหากต้อกระจกแข็งหรือสุกเกินไป จะทำให้ต้อแข็งมากขึ้น การผ่าตัดยากมากขึ้น หรือเกิดอาการต้อหินแทรกซ้อนได้ ดังนั้นจึงควรตรวจติดตามเป็นระยะๆกับจักษุแพทย์

Read More »

กรดไหลย้อน…ผิดที่พฤติกรรม

“กรดไหลย้อน เป็นภาวะของโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนเมือง เช่น นอนน้อย ทานอาหารไม่เป็นเวลา” ทานกาแฟและน้ำอัดลม โดยอาการกรดไหลย้อนนั้น เป็นภาวะที่กรดหรือน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารที่มีความเข้มข้นสูง ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ซึ่งหลอดอาหารเป็นอวัยวะที่ไม่ทนต่อกรด จึงทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร สาเหตุการเกิดโรค เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง เช่น ชอบกินจุบกินจิบ กินอาหารไม่เป็นเวลา กินอาหารแบบเร่งรีบ กินอาหารรสจัด ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ทานกาแฟ น้ำอัดลม รวมถึงการทานอาหารก่อนนอน ข้อบ่งชี้การเกิดโรค โรคกรดไหลย้อนนั้น มีอาการเบื้องต้นคล้ายกับอาการของโรคกระเพาะ คือ มีอาการปวดท้อง ปวดแสบร้อนในช่องท้องส่วนบน เรอเปรี้ยว หรือมีรสขมในปาก แต่จริงๆ แล้วจะมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย โดยอาการแบ่งเป็น 2 ระบบ 1.อาการในหลอดอาหาร เช่น เจ็บคอ กลืนอาหารลำบาก จุกแน่นแถวหน้าอกคล้ายอาหารไม่ย่อย อาการนี้มักจะเป็นมากขึ้นหลังอาหารมื้อหลัก รู้สึกเหมือนมีน้ำรสเปรี้ยว หรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่มะเร็งได้ 2.อาการนอกหลอดอาหาร เสียงเปลี่ยน เสียงแหบเรื้อรัง ไอเรื้อรัง บางรายอาจมีอาการทาง0ระบบหายใจ เช่น หอบหืด หรืออาการเจ็บหน้าอกได้ การดูแลป้องกัน โรคกรดไหลย้อนสามารถดูแล บรรเทาอาการ และรักษาเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆให้เหมาะสม เช่น การทานอาหารให้ตรงเวลา การลดน้ำหนักเพื่อลดความดันในช่องท้อง การงดสูบบุหรี่ งดรับประทานอาหารก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง งดอาหารมัน อาหารทอด อาหารรสจัด หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ สุรา การรักษาทางการแพทย์ การรักษาทางการแพทย์นั้นจะดูแลตามความรุนแรงของอาการ หากเป็นอาการเบื้องต้นแพทย์จะพิจารณาให้ยาลดการอักเสบควบคู่กับยาลดกรด แต่หากมีอาการรุนแรงมากแพทย์อาจใช้การผ่าตัด เพื่อปรับหูรูดกระเพาะอาหารร่วมด้วย การดูแลสุขภาพในช่องท้องให้สมบูรณ์แข็งแรง  จึงต้องดูแลตัวเองให้เหมาะสม ทานอาหารให้ตรงเวลา หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ แต่หากมีอาการเจ็บป่วย ควรรีบมาพบแพทย์เพราะอาจจะมีอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหารได้ นพ.มงคล ตัญจพัฒน์กุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมทางเดินอาหาร โรงพยาบาลพระรามเก้า

Read More »

ความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสซิกา

ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้ซิกา Zika virus disease ที่มา: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ความรู้ทั่วไป – เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซิกา (Zika Virus-ZIKV) เมื่อปี พ.ศ. 2490 ในป่าซิกา ประเทศยูกันดา – มียุงลายเป็นพาหะนำโรค – ช่วงปี พ.ศ. 2556 – 2558 พบรายงานการระบาดของโรคไข้ซิกาในประเทศบราซิล เฟรนช์โปลินีเซีย เอลซัลวาดอร์ เวเนซุเอลา และซูรินาม  ซึ่งอาจมีความเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของภาวะศีรษะเล็กแต่กำเนิดในทารกแรกเกิด  และอาการอักเสบของเส้นประสาท GBS (Guillain – Barre Syndrome) ในดินแดนที่มีการระบาด สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสซิกา (ณ วันที่ 31 ส.ค.2559) ที่มา: องค์การอนามัยโลก ระยะฟักตัว – มีระยะฟักตัว 4 – 7 วัน อาการและอาการแสดง – มีไข้ ปวดศีรษะ มีผื่นแดงแบบ maculopapular ที่บริเวณลำตัว  แขนขา  เยื่อบุตาอักเสบตาแดง (แต่ไม่มีขี้ตา) ปวดข้อ  อ่อนเพลีย  อาจจะมีอาการต่อมน้ำเหลืองโต  และอุจจาระร่วงการดูแลรักษา – ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือยารักษาเฉพาะ ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง สามารถรักษาได้โดยปฏิบัติ ดังนี้การป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยจากโรคติดเชื้อไว้รัสซิกา

Read More »

กระดูกและข้อ โรคที่ต้องดูแลตั้งแต่วัยรุ่น

กระดูกและข้อ โรคที่ต้องดูแลตั้งแต่วัยรุ่น ความเสื่อมของกลุ่มเนื้อเยื่อกระดูกและข้อ อาจเกิดขึ้นตั้งแต่วัย 30 ปีต้นๆ แต่กว่าจะปรากฏอาการก็ต้องใช้เวลาอีกระยะ เราจะนิยามเป็นโรคก็ต่อเมื่ออาการเกิดขึ้น เมื่อกระบวนการเสริมสร้างซ่อมแซมน้อยกว่ากระบวนการทำลาย อาการเริ่มแรกของข้อเสื่อมคืออาการข้อฝืดหรือติดขัด ในระยะหลังๆ จึงมีอาการปวดและบวมผิดรูป ส่วนในการเสื่อมของกระดูกบางเนื่องจากมวลกระดูกลดลงเรื่อยๆ ซึ่งไม่มีอาการ แต่จะแสดงอาการเมื่อกระดูกหักเอง หรือหักง่ายในวัยชรา อาการปวดกระดูกและข้อ อาจจะเกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่สะสมเรื้อรัง ซึ่งมักเกิดจากการสะสมความเครียด และการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง พบบ่อยในผู้ที่ทำงานออฟฟิศและไม่ดูแลตัวเอง ถือเป็นส่วนสำคัญของโรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)  สาเหตุการเกิดโรค ในส่วนของเนื้อกระดูก เกิดจาภาวะขาดสมดุลของแคลเซียมทีละน้อยเป็นเวลานาน ปัจจัยที่ทำให้เกิดมากขึ้นได้แก่ ภาวะเป็นกรด เช่น การดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ สูบบุหรี่ และรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีโซเดียมมากเกินไป ส่วนที่ข้อนั้นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเสื่อมมากขึ้นได้แก่ การใช้งานหนักเกินไป การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาที่ใช้ข้อมากๆ ปัจจัยสำคัญที่แก้ไขไม่ได้คือพันธุกรรม สาเหตุการเกิดโรค สาเหตุการเกิดโรคในส่วนของกระดูกจะเกิดจากภาวะการสูญเสียแคลเซียม ซึ่งเป็นผลจากการที่ร่างกายมีภาวะเป็นกรดมากไป เช่น การดื่มน้ำอัลม ชา กาแฟ ชอบทานเนื้อสัตว์ ทานโซเดียมมากไป และสูบบุหรี่ ส่วนอาการที่ข้อนั้นอาการเสื่อมจะเกิดขึ้นจากที่ใช้งานหนัก เช่น การเล่นกีฬาที่ใช้ข้อมากๆ ใช้ข้อส่วนหนึ่งส่วนใดมากเกินไป และขาดการดูแล ข้อบ่งชี้การเกิดโรค อาการเสื่อมของข้อ สังเกตง่ายๆ จากอาการฝืดของส่วนๆ นั้น เมื่ออยู่ในอิริยาบถเดียวนานๆ พอเปลี่ยนอิริยาบถแล้ว จะต้องอยู่นิ่งๆ สักพักก่อนจะเคลื่อนไหวได้ เช่น นั่งนานๆ แล้วเมื่อจะยืนตรงจะทำในทันทีไม่ได้ ต้องค่อยๆ ยืดตัวขึ้น ในบางรายที่เป็นมากจะเริ่มมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย ทางการแพทย์เรียกว่า Stiffness หรืออาการข้อฝืด ซึ่งเกิดจากการที่น้ำหล่อลื่นในข้อเสื่อมคุณภาพ ส่วนอาการกระดูกบางนั้น ไม่มีอาการบ่งชี้ ต้องใช้การตรวจของแพทย์เท่านั้น การดูแลป้องกัน พลเอก นพ.สหชาติ พิพิธกุล ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า อาการเสื่อมของกระดูกและข้อนั้น สามารถดูแลได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การออกกำลังกายที่มีการทิ้งน้ำหนัก เช่น วิ่งเหยาะๆ หรือแอโรบิค จะช่วยให้กระดูกและข้อแข็งแรง โดยพฤติกรรมส่วนใหญ่ที่พบในคนไข้คือ ขาดการดูแลร่างกายและมีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค การรักษาทางการแพทย์ โดยปกติผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการ ข้อฝืด ข้อติด ควรจะมาพบแพทย์แต่เนิ่นๆ ซึ่งแพทย์จะได้พิจารณาอาการเจ็บป่วย และพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง เพื่อปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม อาจต้องออกกำลังกายด้วยท่าเฉพาะ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อพยุงข้อต่อ แต่ในบางรายที่เป็นมาก แพทย์อาจพิจารณา การทำกายภาพบำบัด และให้ยาร่วมด้วย ทั้งยารับประทาน และยาฉีดที่ข้อโดยตรง ในรายที่มีปัญหาค่อนข้างมาก จนไม่สามารถฟื้นฟูได้ อาจจะต้องทำการรอผ่าตัดเปลี่ยนข้อ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พลเอก นพ.สหชาติ พิพิธกุล ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลพระรามเก้า

Read More »

สมองเสื่อม ออกกำลังกายสมองช่วยได้

สมองเสื่อมเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความเสื่อมของร่างกาย โดยปกติคนวัยนี้จะมีโรคประจำตัวบ้าง เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมัน บางทีก็มีเส้นเลือดในสมองที่เปลี่ยนไป เส้นเลือดอุดตันเลือดเลี้ยงไม่พอ สมองก็จะทำงานไม่ได้ดีเท่าเดิม สมองเสื่อม ไม่ใช่จำไม่ได้ แต่เป็น ความคิดและอารมณ์ ด้วย จึงแสดงออกมาด้วยอาการซึมเศร้าก็มี เพราะสมองที่เสื่อมเป็นส่วนของการแสดงอารมณ์ ขณะที่คนปกติ สมองก็จะเสื่อมไปตามวัยอยู่แล้ว แต่ผู้สูงอายุจะมีความเสื่อมมากกว่าคนทั่วไป ทั้งความเสื่อมตามธรรมชาติ และอาการเจ็บป่วยตามช่วงวัย ข้อบ่งชี้การเกิดโรค สมองเสื่อมเป็นโรคที่แสดงการบ่งชี้ได้หลายแบบ เช่น อาการอารมณ์แปรปรวน ความคิดไม่เฉียบแหลมเท่าเดิม สมองที่ไม่ดีเท่าเดิม ก็จะเสียความมั่นใจไป ส่งผลให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ หรือความจำไม่ดี หลงหลงลืมลืม อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่ญาติจะพามา สามีภรรยาพามา เพราะเขาผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นมากๆ จะทำให้หลงผิดคิดไปว่า จะมีคนมาทำร้าย เป็นต้น การดูแลป้องกัน กลุ่มนี้บางทีเกษียณแล้วใช้ความคิดความจำน้อยลง ก็ทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้นกว่าปกติ ผิดกับในช่วงวัยทำงานที่สมองได้ทำงานอยู่เสมอ ฉะนั้นการป้องกันจึงอยู่ที่การหมั่นใช้สมองอยู่เสมอ รวมถึงการเข้าสังคม จะช่วยส่งเสริมให้สมองได้มีการใช้งานอยู่เสมอ และการมีสังคมจะช่วยเรื่องโรคเครียด โรคซึมเศร้าด้วย การรักษาทางการแพทย์ “การออกกำลังกายสมอง” โรคสมองเสื่อมเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่สามารถใช้ยาช่วยรักษา เพื่อชะลอการเสื่อมของสมองให้ช้าลง ทำให้อาการดีขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่สามารถทำให้หายขาดได้ นอกจากนี้ในการรักษา อาจจะใช้การฝึกกระตุ้นความคิด ด้วยการเล่นเกมส์ต่างๆ “การเล่นทายอักษร การใบ้คำ การลบเลข” การรักษาทางการแพทย์ เนื่องจากสมองที่เสื่อม เราไม่สามารถทำให้กับมาปกติได้อีก ฉะนั้นในการดูแลทางการแพทย์จึงมุ่งเน้นไปที่การประคองไม่ให้แย่ลงกว่าเดิม รวมถึงการรักษาตามอาการของโรค เช่น มีอาการหลงผิด หรือซึมเศร้า ก็ให้ยาแก้ไขไปตามอาการ  เกร็ดความรู้ “อาการทางจิตนั้น บ่อยครั้งเรามักพบว่า ไม่ได้เป็นอาการป่วยที่เกิดขึ้นแบบแปลกแยก แต่มักมาควบกับอาการทางร่างกายหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ฉะนั้นในการดูแลให้ได้ผล จึงต้องใช้การรักษาแบบผสมผสานในรูปแบบของทีมแพทย์ เช่น อายุรแพทย์ จิตแพทย์ แพทย์กายภาพ เป็นต้น ซึ่งการรักษาด้วยทีมแพทย์แบบบูรณาการนั้น จำเป็นจะต้องใช้ทีมแพทย์จำนวนมาก นั่นจึงเป็นสาเหตุที่คนไข้ส่วนใหญ่เลือกใช้บริการ” สุขภาพใจที่ดี การทำใจให้สงบเป็นสิ่งที่ผู้สูงวัยส่วนใหญ่ทำได้ เนื่องจากสภาพร่างกาย และการใช้ชีวิตที่ช้าลงตามอายุที่มากขึ้น ดังนั้นเพื่อสุขภาพกาย สุขภาพใจดี ก็ย่อมทำให้มีความสุขตามไปด้วย การมีสุขภาพใจดี เริ่มด้วยการได้รับความอบอุ่นจากครอบครัว ลูกหลาน ที่ช่วยดูแลเอาใจใส่ การพบปะเพื่อนเก่า หรือการหาเพื่อนใหม่ที่วัยใกล้กันเป็นสิ่งที่สำคัญ นอกจากนี้การเข้าวัด หรือหาที่สงบเพื่อฟังเทศน์ นั่งสมาธิก็ทำให้จิตใจเบิกบานได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สำคัญข้อหนึ่งของผู้สูงวัยคือ ความโดดเดี่ยว ความเหงา เพราะไม่ได้ทำงานจึงไม่ค่อยได้พบปะกับผู้อื่น ในขณะที่ลูกหลานก็ต้องทำงานหรือทำธุรกิจของตนเอง ดังนั้นการเข้าหากลุ่มสังคม เพื่อมีโอกาสได้พบปะเพื่อนในวัยใกล้เคียงกัน จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ โดยมีเครือข่ายผู้สูงอายุของหน่วยงานต่างๆ กระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้

Read More »
Page1 … Page18 Page19 Page20

รู้จักโรคภูมิแพ้ ก่อนโรคร้ายจะรู้จักคุณ ตอนที่1

โรคภูมิแพ้ไม่ใช่โรคร้ายแรง เพราะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้บรรเทาลงจนคุณรู้สึกดีขึ้นเหมือนเป็นปกติได้ หากได้รับการรักษาและมีการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง โรคภูมิแพ้ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ โรคภูมิแพ้ตามฤดูกาล และโรคภูมิแพ้ชนิดตลอดปี อาการที่มักพบอยู่เสมอในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ได้แก่ จาม คัดจมูก ตา หู และลำคอ มีน้ำมูกใสๆ ไหลออกมาบ่อยๆ รู้สึกคัดจมูก ตาแดง และมีน้ำตาไหล นอกจากนี้ยังอาจมีอาการเจ็บคอ ไอ อ่อนเพลีย ปวดท้อง ปวดศีรษะ หรือปวดบริเวณคาง และหน้าผากร่วมด้วย หากคุณมีอาการต่างๆ เหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัย และกำหนดวิธีการรักษาโรคภูมิแพ้ที่เหมาะที่สุด เพราะหากปล่อยไว้เรื้อรังอาจกลายเป็น โรคไซนัส และโพรงหลังจมูกอักเสบได้ โรคภูมิแพ้เกิดจากอะไร โรคภูมิแพ้เกิดจากการที่เราหายใจเอาสารบางอย่างที่เรียกว่า “สารแพ้” เข้าไปในร่างกาย ซึ่งสารแพ้ที่สำคัญ ได้แก่ เกสรดอกไม้ เกล็ดเล็กๆ ของเกสรดอกไม้ที่ปลิวมาตามลม คือสาเหตุสำคัญตัวหนึ่งที่ทำให้เราป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ชนิดเป็นไปตามฤดูกาล ฝุ่นในบ้าน ฝุ่นที่เกาะอยู่ตามที่ต่างๆ ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นบนชั้นหนังสือ ผ้าม่าน ที่นอน หมอน หรือล่องลอยอยู่ทั่วไปในอากาศ จะมีแมลงตัวเล็กมาก เรียกว่า ไรฝุ่น (Dust Mite) เกาะอยู่ และไรฝุ่นนี่เอง คือเจ้าตัวร้ายในบ้าน ที่ทำให้เราป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ เชื้อรา เชื้อรามักอยู่ในที่มืดและชื้น เช่น ในห้องน้ำ ใต้ถุนบ้าน ในตู้เย็น ในดินที่ปลูกต้นไม้ เชื้อราขยายพันธุ์โดยการกระจายเกล็ดเล็กๆ ไปในอากาศ เรียกว่า “สปอร์” ถ้าเราสูดหายใจเอาสปอร์เข้าไปก็อาจทำให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้ได้ สัตว์ สัตว์เลี้ยง เช่น แมว สุนัข นก ม้า และกระต่าย ก็เป็นสาเหตุสำคัญของโรคภูมิแพ้เช่นกัน โดยรังแค น้ำลาย และปัสสาวะของสัตว์ รวมทั้งขนนก ล้วนทำให้ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ได้ทั้งสิ้น มลพิษและสารระคายเคือง เช่น ควันธูป ควันบุหรี่ น้ำหอม สเปรย์ปรับอากาศ ควันไฟจากเตาถ่ายและเตาผิง ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ และสารที่มีกลิ่นแรงๆ สามารถทำให้เกิดการระคายต่อจมูก และทำให้อาการโรคภูมิแพ้เลวลง แมลงสาบ ถ้าบ้านคุณมีแมลงสาบในห้องครัว ท่อระบายน้ำ ตู้กับข้าว ถังขยะ ฝุ่นที่เกิดจากซากหรือชิ้นส่วนของแมลงสาบเป็นตัวกระตุ่นให้เกิดอาการแพ้ทางจมูกและโรคหอบหืด โดยเฉพาะในเด็ก สารแพ้สร้างปัญหาให้คุณได้อย่างไร ปกติแล้วสารแพ้เป็นสารที่ไม่มีพิษภัยต่อร่างกายของเรา แต่เมื่อคุณเป็นโรคภูมิแพ้ ร่างกายของคุณจะเข้าใจว่า สารแพ้เป็นสิ่งแปลกปลอมที่จำเป็นต้องทำลาย ดังนั้น เมื่อคุณหายใจเอาสารแพ้เข้าไป ร่างกายของคุณก็จะโจมตีสารแพ้เหล่านี้ และจะทำให้ช่องทางเดินอากาศภายในจมูกของคุณเกิดอาการบวมและอักเสบ ซึ่งทำให้คุณเกิดอาการทางจมูก เช่น คัดจมูก คัน มีน้ำมูกไหล สารแพ้ยังสามารถทำให้เกิดอาการผิดปกติในส่วนอื่นของร่างกายคุณได้ เช่น ตา หู และปอด ปฏิกิริยาภูมิแพ้ เมื่อคุณหายใจเอาสารแพ้เข้าไป มันจะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติของร่างกายที่เรียกว่า ภูมิแพ้ ซึ่งจะหลั่งสารเคมีชื่อ “ฮีสตามีน” (Histamine) ออกมา ซึ่งเจ้าฮีสตามีนนี้เองที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อของจมูก ช่องจมูกเมื่อคุณเป็นโรคภูมิแพ้ เยื่อบุโพรงจมูกบวม ทำให้มีน้ำขังจนเกิดอาการปวด รวมทั้งปวดศีรษะได้ จมูกสร้างน้ำมูกมากขึ้น ทำให้ช่องจมูกอุดตัน และมีน้ำมูกไหลออกจากจมูก น้ำมูกไหลลงไปในช่องคอ (Postnasal Drip) ทำให้แสบระคายคอ และไอ โรคแทรกซ้อนจากการเป็นภูมิแพ้เรื้อรัง อาจมีปัญหาอื่นที่เกิดเป็นผลตามมาจากการระคายเคืองและการอักเสบ ซึ่งเกิดจากภูมิแพ้ หากคุณมีอาการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษา 1. การติดเชื้อของโพรงไซนัส (Sinusitis) น้ำมูกที่ขังเป็นเวลานานในโพรงไซนัส จะมีการติดเชื้อแบคทีเรียขึ้นได้ โดยมีอาการน้ำมูกหรือเสมหะลงคอที่ข้นเหนียวสีเหลือง – เขียว ถ้าเป็นบ่อยๆ จะกลายเป็นโรคไซนัสเรื้อรังได้ 2. ตาอักเสบ สารแพ้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตา ทำให้เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) มีอาการตาแดง คัน บวม และมีน้ำตาไหล 3. ติ่งเนื้อในโพรงจมูก (Nasal Polyp) เยื่อบุโพรงจมูกอาจบวมมากจนกลายเป็นติ่งเนื้อเล็กๆ เรียกว่า Polyp ซึ่งอาจบวมโตมากจนอุดตันช่องจมูกได้ 4. ปัญหาของหู หูชั้นกลางกับช่องจมูกมีท่ออากาศเชื่อมต่อกัน ถ้าปฏิกิริยาภูมิแพ้ทำให้ท่อนี้เกิดการอุดตัน อากาศที่ถูกกักไว้ภายในจะทำให้รู้สึกหูอื้อได้ และอาจมีมูกขังภายใน จนเกิดการติดเชื้อและเกิดหูชั้นกลางอักเสบได้ 5. โรคหืด หากคุณเป็นโรคหืด การระคายเคืองและการบวมของทางเดินอากาศที่เข้าสู่ปอดจะทำให้คุณหายใจลำบาก ซึ่งสาเหตุของการระคายเคืองและบวมนี้ บ่อยครั้งพบว่าปฏิกิริยาภูมิแพ้ของจมูกนี้จะกระตุ้นให้โรคหืดกำเริบได้ การประเมินอาการภูมิแพ้ของคุณ เพื่อประสิทธิภาพของการรักษาที่ดีที่สุด แพทย์จำเป็นต้องประเมินอาการของคุณ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโรคภูมิแพ้ของคุณ ซึ่งอาจประกอบด้วยการซักประวัติ การตรวจร่างกาย และการทดสอบภูมิแพ้ การตรวจจะช่วยให้ทราบว่าโรคภูมิแพ้ของคุณเป็นชนิดตามฤดูกาลหรือเป็นตลอดปี มีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด และคุณมีภาวะอื่นเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ A : การซักประวัติ แพทย์จะซักประวัติการเจ็บป่วยของคุณและขอให้คุณเล่าอาการโดยละเอียด โดยคำถามที่แพทย์มักถามคนไข้ ประกอบด้วย คุณมีอาการอย่างไรบ้าง? คุณคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุของอาการของคุณ? คุณเริ่มมีอาการดังกล่าวเมื่ออายุเท่าใด? คุมมีอาการในช่วงไหนของปี? มีใครในครอบครัวคุณเป็นโรคภูมิแพ้บ้าง? นอกจากนี้ แพทย์จะถามถึงที่ที่คุณอาศัยอยู่ การทำงาน โรงเรียน งานอดิเรก สัตว์เลี้ยง รวมทั้งวิธีที่คุณทำเพื่อรักษาอาการโรคภูมิแพ้ของตัวเอง B: การตรวจร่างกาย แพทย์จะทำการตรวจจมูก ตา หู และคอของคุณ เพื่อดูว่ามีลักษณะของโรคภูมิแพ้ และการติดเชื้อหรือไม่ รวมทั้งต้องตรวจปอดและหัวใจด้วย C: การตรวจอื่นๆ ในระหว่างการประเมิน คุณอาจต้องรับการตรวจเอกซเรย์ไซนัสหรือคอมพิวเตอร์ (CT Scan) เพื่อตรวจหาความผิดปกติของโพรงจมูก หรือกระดูกบริเวณจมูกของคุณ หลังเสร็จสิ้นขั้นตอนการตรวจข้างต้น

Read More »

โรคหัวใจ สาเหตุการตายอันดับ 1

โรคหัวใจ เป็นโรคที่มีความหมายกว้างมาก และอาการเจ็บป่วยของโรคหัวใจนั้น ก็อาจจะเกิดจากการเจ็บป่วยของโรคอื่นก็ได้ ซึ่งโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้น หมายถึงกลุ่มโรคที่มีผลกระทบต่อระบบหัวใจ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคกล้ามเนื้อหัวใจ หัวใจล้มเหลว โรคหัวใจอักเสบ โรคลิ้นหัวใจรั่ว โรคหัวใจรูมาติก ฯลฯ สาเหตุการเกิดโรค พล.อ.นพ.ประวิชช์ ตันประเสริฐ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า โรคหัวใจเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่พบมากและเป็นอันตรายที่สุดคือ อาการหลอดเลือดหัวใจตีบ ที่นำพาไปสู่อาการหัวใจวาย (Heart Attack) ซึ่งแต่เดิม การแพทย์เชื่อว่า เกิดจากการสะสมของไขมันบนผนังหลอดเลือดจนเกิดการอุดตัน แต่ปัจจุบันอาการหัวใจวาย ที่พบบ่อยมักเกิด จากการที่ผนังหลอดเลือดด้านในแตกจนเกินการสะสมของลิ่มเลือด และนำไปสู่การอุดตันของลิ่มเลือดแบบเฉียบพลัน ซึ่งการแตกของผนังหลอดเลือดด้านในนี้ เกิดจากภาวะการอักเสบ (Inflammation) ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งจากอารมณ์แปรปรวน อาหาร อนุมูลอิสระ ตลอดจนถึง ภาวะความร้อนในร่างกาย การทำงานของฮอร์โมน การทำงานของประสาทอัตโนมัติ ข้อบ่งชี้การเกิดโรค อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า การวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจหรือไม่ ควรเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญืแต่เราเองก็สามารถสังเกตอาการบางอย่างเพื่อสันนิษฐานเบื้องต้น เช่น เป็นโรคอ้วย เครียดมาก ใจร้อน รวมถึงภาวะอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน ไขมันสูง ความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่ เป็นต้น ส่วนระยะการแสดงอาการ จะแสดงออกในระหว่างการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น วิ่ง เดิน ขึ้นบันได หรือเมื่อโกรธ จะเจ็บหน้าอก อาการเจ็บหน้าอกของโรคหัวใจขาดเลือด จะแตกต่างจากการเจ็บแบบอื่น โดยจะเจ็บแน่นๆ บริเวณหน้าอกด้านซ้าย หรือสองด้าน บางรายจะเจ็บร้าวไปที่แขนซ้าย หรือปวดไปถึงกรามคล้ายเจ็บฟัน บางรายที่เป็นมาก แม้จะหยุดออกกำลังกายก็ยังเจ็บอยู่ นอกจากนี้ ยังมีอาการหอบ เหนื่อยง่ายผิดปกติ ใจสั่น ขาบวม และอาจจะเป็นลมหรือวูบร่วมด้วย การดูแลป้องกัน โรคหัวใจและโรคหลอดเลือด ป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใชชีวิต- อาหาร ความอ้วนและอาหารมัน จะทำให้เกิดไขมันเกาะตามหลอดเลือด การรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมกับช่วงวัย จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้มาก- อารมณ์ ต้องหมั่นควบคุมอารมณ์ไม่ให้เครียด ใจร้อน- การออกกำลังกาย เป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตและเป็นยาวิเศษที่ต้านทานโรคได้ดี การรักษาทางการแพทย์ เมื่อเกิดภาวะบ่งชี้ของโรค เช่น เจ็บหน้าอก หอบ  เหนื่อยง่าย เหงื่อออกมาก ใจสั่น และขาบวม ให้สันนิษฐานว่า อาจเป็นโรคหัวใจและพาคนป่วยมาพบแพทย์ทันที ยิ่งถึงมือแพทย์เร็วเท่าไหร่ โอกาสที่แพทย์จะแก้ไขเส้นเลือดอุดตันให้เลือดไหลเวียน ก็จะทำได้อย่างเร็วและมีประสิทธิภาพ การดูแลหลังการรักษา แต่ก่อนเราเชื่อว่า ผู้ป่วยโรคหัวใจทำอะไรไม่ได้อีก แต่ปัจจุบันความเชื่อนั้นเปลี่ยนแปลงไป คนผ่าตัดหัวใจแล้ว ยังสามารถไปทำงานได้ตามปกติ สามารถออกกำลังกายได้ไม่แพ้คนปกติ บางคนแข็งแรง สามารถเล่นกีฬาได้เหมือนนักกีฬาอาชีพ แต่การฟื้นฟูร่างกายนั้น คนไข้ควรจะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด ด้วยโปรแกรมฟื้นฟูหัวใจ ซึ่งจะทำให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้

Read More »

ทดสอบความฟิตของหัวใจ ด้วยเทคโนโลยี

การเอกซเรย์ปอดและหัวใจ รวมถึงได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นการตรวจหัวใจขั้นต้นเท่านั้น แม้การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะสามารถบ่งบอกถึงสิ่งผิดปกติของหัวใจได้มาก เช่นลักษณะการเต้น ขนาดของหัวใจห้องต่าง ๆ การนำไฟฟ้าภายในหัวใจ รวมถึงภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด แต่เนื่องจากเป็นการตรวจในขณะพัก ดังนั้นโอกาสที่จะพบความผิดปกติ อาทิ การเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่บ่งบอกว่าหัวใจมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอนั้นค่อนข้างยาก นอกเสียจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจนั้นตีบมาก จนทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พออยู่ตลอดเวลา การทดสอบความฟิตของหัวใจ เพื่อจะได้ทราบว่า เส้นเลือดหัวใจตีบจนทำให้มีเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอหรือไม่ จึงทำได้โดยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย หรือที่เรียกกันว่า การทดสอบสมรรถภาพหัวใจ (Exercise Stress Test) การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย โดยการเดินสายพาน นับได้ว่าเป็นการตรวจทางหัวใจที่ให้ผลคุ้มค่า มีความปลอดภัยสูง สามารถทำได้โดยง่าย ช่วยบ่งชี้ถึงภาวะของโรคหัวใจโดยเฉพาะผู้ที่มีเส้นเลือดหัวใจตีบตัน เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีประโยชน์มากชนิดหนึ่ง ขั้นตอนการเดิน วิ่ง บนสายพาน ผู้เข้ารับการทดสอบจะต้องแน่ใจว่าสามารถเดินหรือวิ่งได้ และก่อนเข้ารับการทดสอบควรได้นอนหลับพักผ่อนมาแล้วอย่างเพียงพอ งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 3 ชั่วโมง รับประทานอาหารมาแล้ว 2-3 ชั่วโมง ขณะเข้ารับการทดสอบควรสอบใส่ชุดที่เหมาะกับการวิ่งออกกำลังกาย การเดินบนสายพานจะต้องมีสายตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจติดกับตัวตลอดเวลา สายพานนี้จะปรับระดับความเร็วและความชันทุก ๆ 3นาที เพื่อให้ทราบจุดสูงสุดของสมรรถภาพหัวใจ ภายใต้การดูแลของแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่เทคนิคตลอดเวลา ประโยชน์ของการตรวจด้วยเครื่องเดินบนสายพาน • เพื่อทดสอบความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย• เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยง• เพื่อตรวจแยกแยะหาสาเหตุของอาการเจ็บหน้าอกว่าเกิดจากโรคหัวใจหรือโรคอื่น• เพื่อบ่งชี้ความรุนแรงของโรคหัวใจและหลอดเลือด• เพื่อติดตามผลในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ• เพื่อประเมินสภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ “การป้องกันและรักษาตัวเองให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดยังคงนับได้ว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด”

Read More »

รู้หรือไม่…ไข้เลือดออกอันตรายกว่าที่คิด

โดย พญ.นงนภัส เก้าเอี้ยน เมื่อพูดถึง ฝน ทุกคนก็จะนึกถึงผลกระทบที่ตามมาอีกหลายอย่าง น้ำท่วมขัง เป็นแหล่งกำเนิดชั้นดีที่ก่อให้เกิด ยุง เพราะยุงเป็นพาหะที่สร้างโรคไข้เลือดออก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมานาน สามารถเกิดโรคได้ทุกเพศทุกวัย และพบบ่อยในเด็ก โดยโรคไข้เลือดออกมักมีการระบาดมากในช่วงฤดูฝน และอาจจะนำไปสู่การสูญเสียชีวิตได้ แต่เมื่อกล่าวถึงอันตรายของไข้เลือดออกนั้น ส่วนใหญ่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต หากพักผ่อนอย่างเพียงพอ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ไข้ลดลง และฟื้นตัวได้เร็ว จะมีเพียงส่วนน้อยกว่าร้อยละ 5 ที่จะมีภาวะช็อกจากการรั่วของน้ำออกนอกเส้นเลือด และสิ่งที่น่ากังวล คือ หากเลือดออกในทางเดินอาหารหรือเลือดออกในสมองจะมีภาวะเสี่ยงถึงแก่ชีวิตได้ พญ.นงนภัส เก้าเอี้ยน กล่าวว่า สาเหตุหลักของโรคไข้เลือดออก คือ เชื้อไวรัสเดงกี ที่มีพาหะนำโรคมาจากการโดนยุงลายกัดในตอนกลางวัน ทั้งนี้โรคไข้เลือดออกยังไม่มียารักษาเฉพาะ ไม่มีวัคซีนป้องกัน และที่สำคัญ ยุงลายที่เป็นพาหะของโรคยังไม่สูญพันธุ์ โรคนี้จึงยังไม่ล้าสมัย หากพบว่ามีอาการ ไข้สูงลอย คลื่นไส้ ปวดศีรษะ อาเจียน มีจุดเลือดออกตามท้องแขน ใน 1-2 วัน อาจจะต้องมาพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดวินิจฉัยโรค เนื่องจากอาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นได้ในหลายโรค ทั้งนี้เมื่อพบว่าเป็นโรคไข้เลือดออก ควรจะต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจเช็คปริมาณเกล็ดเลือดทุกวัน และติดตามผลไม่ให้เกิดภาวะช็อกจากการมีเกล็ดเลือดต่ำ ประคองอาการจนกว่าไข้ลดลง ปริมาณเกล็ดเลือดเข้าสู่ภาวะปกติ ก็จะสามารถกลับบ้านได้ แต่หากพบว่าเป็นไข้เลือกออกครั้งที่สอง อาการอาจจะหนักขึ้นเนื่องจากเชื้อไวรัสเดงกีมี 4สายพันธุ์ เมื่อเคยได้รับการติดเชื้อในครั้งแรกแล้ว ร่างกายจะมีการจดจำเชื้อไวรัสเดงกีสายพันธุ์ที่เคยเป็นเอาไว้ หากได้รับเชื้อในครั้งที่สอง ร่างกายจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันหรือ Antibody จำนวนมากขึ้นมาเพื่อต่อต้านเชื้อเดงกีสายพันธุ์เดิม เพราะโครงสร้างของเชื้อคล้ายคลึงกัน แต่เนื่องจากผู้ป่วยได้รับเชื้อคนละสายพันธุ์กับการเป็นไข้เลือดออกในครั้งแรก จึงทำให้ไม่สามารถทำลายเชื้อได้ และการสร้างภูมิคุ้มกันหรือ Antibody ที่มากเกินนี้ก็สามารถทำลายเซลล์ของร่างกายได้มากขึ้น จึงทำให้เกิดอาการที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าการเป็นไข้เลือดออกในครั้งแรก ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด  และการป้องกันก็ต้องเริ่มที่พาหะนำโรคก็คือ ยุงลาย ที่ชอบวางไข่ในน้ำสะอาด น้ำนิ่งตามภาชนะต่างๆ รอบบ้าน การคว่ำภาชนะหรือใช้ภาชนะที่มีฝาปิด จะช่วยป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่ได้  สำหรับการป้องกันตนเองไม่ให้โดนยุงกัด ควรใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด นอนกางมุ้ง หรือใช้ยาทากันยุง

Read More »

การตรวจค้นหามะเร็งเต้านมด้วยเครื่องดิจิตอลแมมโมแกรมอย่างเดียวเพียงพอแล้วหรือ?

Read More »

ต้อกระจก……ผ่าหรือไม่ผ่า…..ผ่าเมื่อไหร่ดี

ต้อกระจกคืออะไร เลนส์แก้วตา (Lens) เป็นเลนส์นูนใสอยู่หลังม่านตา ทำหน้าที่หักเหแสงให้ตกโฟกัสพอดีที่จอประสาทตา เมื่อเลนส์แก้วตาเสื่อม ทำให้สูญเสียความใสไป(เลนส์ขุ่น) ทำให้แสงเข้าสู่จอประสาทตาลดลง มองภาพไม่ชัด เกิดภาวะ “ต้อกระจก” ต้อกระจกพบได้ทั่วไปในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยมักเป็นต้อกระจกระยะเริ่มต้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เมื่อเวลาผ่านไป เลนส์จึงขุ่นมากขึ้นเรื่อยๆช้าๆ จนเริ่มบดบังการมองเห็นในที่สุด อาการของต้อกระจก เนื่องจากการขุ่นของเลนส์ตาจะเป็นไปอย่างช้าๆ นานเป็นปี ทำให้ตาค่อยๆมัวลงช้าๆ โดยไม่มีอาการตาแดงหรือเจ็บปวด การมองเห็นจะลดลงเมื่ออยู่ในที่ที่แสงไม่เพียงพอ เหมือนมองผ่านหมอกหรือกระจกที่ขุ่น ต้อกระจกบางชนิดจะทำให้ตามัวลงเมื่ออยู่กลางแจ้งหรือเมื่อขับรถกลางคืนแล้วเห็นไฟหน้ารถที่ขับสวนมาแตกกระจาย ผู้ป่วยบางรายเห็นภาพซ้อนเมื่อดูด้วยตาข้างเดียว หากทิ้งไว้นานจนต้อสุก จะเห็นตาเป็นฝ้าขาวตรงกลาง ซึ่งในปัจจุบันพบได้น้อยลงเนื่องจากผู้ป่วยเข้าถึงการตรวจตาได้ง่ายขึ้น หากท่านมีอาการดังกล่าว ควรตรวจตากับจักษุแพทย์ เพื่อตรวจดูว่าท่านมีภาวะต้อกระจกหรือไม่ หรือมีภาวะอื่นร่วมด้วย สาเหตุของต้อกระจก- ต้อกระจกส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมตามวัย ส่วนมากพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี โดยอายุที่เพิ่มมากขึ้น จะทำให้โปรตีนในเลนส์เกิดการเปลี่ยนแปลง และทำให้ความใสของเลนส์ตาลดลง- ผลจากยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ชนิดทาน หรือหยอด- มีโรคประจำตัวที่ส่งเสริมให้เกิดต้อกระจก เช่น เบาหวาน โรคอ้วน- เคยได้รับการบาดเจ็บและอุบัติเหตุทางตา มีการอักเสบหรือติดเชื้อบริเวณตา- มีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อกระจก การป้องกันต้อกระจก เนื่องจากสาเหตุหลักของต้อกระจก คือ ความเสื่อมของเลนส์แก้วตาตามวัย ในปัจจุบันจึงยังไม่มียากินหรือยาหยอดตาที่สามารถป้องกันต้อกระจกได้ อย่างไรก็ตาม พบว่า ผู้ที่ทำงานโดนแดดจัดๆเป็นเวลานานๆ เลนส์แก้วตาจะเสื่อมเร็วกว่าคนที่ไม่โดนแดด จึงแนะนำให้สวมใส่แว่นกันแดดเวลาออกแดดจัดๆ การรักษาต้อกระจก ต้อกระจกสามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เนื่องจากไม่มียาใดๆรักษาได้ โดยการผ่าตัดต้อกระจกเป็นการผ่าตัดที่มีความปลอดภัยสูง มีโอกาสในการติดเชื้อน้อยกว่า 1 เปอร์เซนต์ สามารถมองเห็นได้ดีขึ้นมากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ หลังการนำเลนส์ที่ขุ่นออก จะมีการวางเลนส์แก้วตาเทียมใหม่เข้าไป ซึ่งจะอยู่ในตาอย่างถาวร ต้อกระจกจะไม่กลับมาเป็นอีก ปัจจุบันการรักษาแบ่งเป็น 2 วิธีคือ 1. การผ่าตัดเปิดแผลเพื่อนำเลนส์แก้วตาออกมา (ECCE) เปิดแผลบริเวณขอบตาดำด้านบนยาวประมาณ 10 มม. เพื่อนำเลนส์ออกมา จากนั้นจึงใส่เลนส์แก้วตาเทียม และเย็บปิดแผล 2. การผ่าตัดแผลเล็ก และใช้การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Phacoemulsification) แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียง 2.2-3.0 มม. และใส่เลนส์แก้วตาเทียมชนิดพับได้ ทำให้ใช้เวลาผ่าตัดน้อยกว่า ผู้ป่วยกลับมามองเห็นชัดได้เร็วกว่า ไม่ต้องเย็บแผล จักษุแพทย์ที่ชำนาญสามารถทำการผ่าตัดได้โดยใช้การหยอดยาชาเฉพาะที่ ไม่ต้องฉีดยาหรือดมยาสลบ การผ่าตัดจึงมีความปลอดภัยขึ้น ในปัจจุบันถือเป็นวิธีมาตรฐานในการรักษาต้อกระจก ผู้ที่จะเข้ารับการรักษาต้อกระจก ควรได้รับการตรวจและประเมินสภาพตาโดยละเอียดก่อน เพื่อให้แพทย์พิจารณาว่าสภาพตาของท่านเหมาะสมกับการรักษาหรือไม่ และเลนส์แก้วตาเทียมชนิดใดเหมาะสมกับสภาพตาของท่านมากที่สุด ชนิดของเลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular lens – IOL) 1.เลนส์แก้วตาเทียมชนิดโฟกัสระยะเดียว (Standard IOL) เป็นเลนส์มาตรฐาน มีกำลังการรวมแสงเดียว ช่วยโฟกัสภาพในระยะไกล ส่วนการมองใกล้ต้องอาศัยแว่นอ่านหนังสือช่วย2.เลนส์แก้วตาเทียมชนิดโฟกัสหลายระยะ (Multifocal IOL) เป็นเลนส์แก้วตาที่มีหลายวง แต่ละวงมีกำลังการรวมแสงที่แตกต่างกันเพื่อโฟกัสทั้งระยะไกลและใกล้ แต่ผู้รับการรักษาต้องอาศัยระยะเวลาในการปรับตัวพอสมควร เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องการมองไกลและใกล้โดยไม่สวมแว่นอ่านหนังสือ3.เลนส์แก้วตาเทียมชนิดแก้ไขสายตาเอียง (Toric IOL) สามารถแก้ไขสายตาเอียงในตัว เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีสายตาเอียงอยู่เดิม ผ่า…. ไม่ผ่า….เมื่อไหร่ดี? ผู้ที่เป็นต้อกระจกไม่จำเป็นต้องผ่าตัดทันทีหลังตรวจพบ โดยต้อกระจกสามารถปล่อยทิ้งไว้ได้หลายปีหากยังไม่มีปัญหาการมองเห็นในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามหากต้อกระจกแข็งหรือสุกเกินไป จะทำให้ต้อแข็งมากขึ้น การผ่าตัดยากมากขึ้น หรือเกิดอาการต้อหินแทรกซ้อนได้ ดังนั้นจึงควรตรวจติดตามเป็นระยะๆกับจักษุแพทย์

Read More »

กรดไหลย้อน…ผิดที่พฤติกรรม

“กรดไหลย้อน เป็นภาวะของโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนเมือง เช่น นอนน้อย ทานอาหารไม่เป็นเวลา” ทานกาแฟและน้ำอัดลม โดยอาการกรดไหลย้อนนั้น เป็นภาวะที่กรดหรือน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารที่มีความเข้มข้นสูง ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ซึ่งหลอดอาหารเป็นอวัยวะที่ไม่ทนต่อกรด จึงทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร สาเหตุการเกิดโรค เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง เช่น ชอบกินจุบกินจิบ กินอาหารไม่เป็นเวลา กินอาหารแบบเร่งรีบ กินอาหารรสจัด ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ทานกาแฟ น้ำอัดลม รวมถึงการทานอาหารก่อนนอน ข้อบ่งชี้การเกิดโรค โรคกรดไหลย้อนนั้น มีอาการเบื้องต้นคล้ายกับอาการของโรคกระเพาะ คือ มีอาการปวดท้อง ปวดแสบร้อนในช่องท้องส่วนบน เรอเปรี้ยว หรือมีรสขมในปาก แต่จริงๆ แล้วจะมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย โดยอาการแบ่งเป็น 2 ระบบ 1.อาการในหลอดอาหาร เช่น เจ็บคอ กลืนอาหารลำบาก จุกแน่นแถวหน้าอกคล้ายอาหารไม่ย่อย อาการนี้มักจะเป็นมากขึ้นหลังอาหารมื้อหลัก รู้สึกเหมือนมีน้ำรสเปรี้ยว หรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่มะเร็งได้ 2.อาการนอกหลอดอาหาร เสียงเปลี่ยน เสียงแหบเรื้อรัง ไอเรื้อรัง บางรายอาจมีอาการทาง0ระบบหายใจ เช่น หอบหืด หรืออาการเจ็บหน้าอกได้ การดูแลป้องกัน โรคกรดไหลย้อนสามารถดูแล บรรเทาอาการ และรักษาเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆให้เหมาะสม เช่น การทานอาหารให้ตรงเวลา การลดน้ำหนักเพื่อลดความดันในช่องท้อง การงดสูบบุหรี่ งดรับประทานอาหารก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง งดอาหารมัน อาหารทอด อาหารรสจัด หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ สุรา การรักษาทางการแพทย์ การรักษาทางการแพทย์นั้นจะดูแลตามความรุนแรงของอาการ หากเป็นอาการเบื้องต้นแพทย์จะพิจารณาให้ยาลดการอักเสบควบคู่กับยาลดกรด แต่หากมีอาการรุนแรงมากแพทย์อาจใช้การผ่าตัด เพื่อปรับหูรูดกระเพาะอาหารร่วมด้วย การดูแลสุขภาพในช่องท้องให้สมบูรณ์แข็งแรง  จึงต้องดูแลตัวเองให้เหมาะสม ทานอาหารให้ตรงเวลา หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ แต่หากมีอาการเจ็บป่วย ควรรีบมาพบแพทย์เพราะอาจจะมีอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหารได้ นพ.มงคล ตัญจพัฒน์กุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมทางเดินอาหาร โรงพยาบาลพระรามเก้า

Read More »

ความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสซิกา

ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้ซิกา Zika virus disease ที่มา: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ความรู้ทั่วไป – เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซิกา (Zika Virus-ZIKV) เมื่อปี พ.ศ. 2490 ในป่าซิกา ประเทศยูกันดา – มียุงลายเป็นพาหะนำโรค – ช่วงปี พ.ศ. 2556 – 2558 พบรายงานการระบาดของโรคไข้ซิกาในประเทศบราซิล เฟรนช์โปลินีเซีย เอลซัลวาดอร์ เวเนซุเอลา และซูรินาม  ซึ่งอาจมีความเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของภาวะศีรษะเล็กแต่กำเนิดในทารกแรกเกิด  และอาการอักเสบของเส้นประสาท GBS (Guillain – Barre Syndrome) ในดินแดนที่มีการระบาด สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสซิกา (ณ วันที่ 31 ส.ค.2559) ที่มา: องค์การอนามัยโลก ระยะฟักตัว – มีระยะฟักตัว 4 – 7 วัน อาการและอาการแสดง – มีไข้ ปวดศีรษะ มีผื่นแดงแบบ maculopapular ที่บริเวณลำตัว  แขนขา  เยื่อบุตาอักเสบตาแดง (แต่ไม่มีขี้ตา) ปวดข้อ  อ่อนเพลีย  อาจจะมีอาการต่อมน้ำเหลืองโต  และอุจจาระร่วงการดูแลรักษา – ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือยารักษาเฉพาะ ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง สามารถรักษาได้โดยปฏิบัติ ดังนี้การป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยจากโรคติดเชื้อไว้รัสซิกา

Read More »

กระดูกและข้อ โรคที่ต้องดูแลตั้งแต่วัยรุ่น

กระดูกและข้อ โรคที่ต้องดูแลตั้งแต่วัยรุ่น ความเสื่อมของกลุ่มเนื้อเยื่อกระดูกและข้อ อาจเกิดขึ้นตั้งแต่วัย 30 ปีต้นๆ แต่กว่าจะปรากฏอาการก็ต้องใช้เวลาอีกระยะ เราจะนิยามเป็นโรคก็ต่อเมื่ออาการเกิดขึ้น เมื่อกระบวนการเสริมสร้างซ่อมแซมน้อยกว่ากระบวนการทำลาย อาการเริ่มแรกของข้อเสื่อมคืออาการข้อฝืดหรือติดขัด ในระยะหลังๆ จึงมีอาการปวดและบวมผิดรูป ส่วนในการเสื่อมของกระดูกบางเนื่องจากมวลกระดูกลดลงเรื่อยๆ ซึ่งไม่มีอาการ แต่จะแสดงอาการเมื่อกระดูกหักเอง หรือหักง่ายในวัยชรา อาการปวดกระดูกและข้อ อาจจะเกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่สะสมเรื้อรัง ซึ่งมักเกิดจากการสะสมความเครียด และการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง พบบ่อยในผู้ที่ทำงานออฟฟิศและไม่ดูแลตัวเอง ถือเป็นส่วนสำคัญของโรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)  สาเหตุการเกิดโรค ในส่วนของเนื้อกระดูก เกิดจาภาวะขาดสมดุลของแคลเซียมทีละน้อยเป็นเวลานาน ปัจจัยที่ทำให้เกิดมากขึ้นได้แก่ ภาวะเป็นกรด เช่น การดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ สูบบุหรี่ และรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีโซเดียมมากเกินไป ส่วนที่ข้อนั้นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเสื่อมมากขึ้นได้แก่ การใช้งานหนักเกินไป การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาที่ใช้ข้อมากๆ ปัจจัยสำคัญที่แก้ไขไม่ได้คือพันธุกรรม สาเหตุการเกิดโรค สาเหตุการเกิดโรคในส่วนของกระดูกจะเกิดจากภาวะการสูญเสียแคลเซียม ซึ่งเป็นผลจากการที่ร่างกายมีภาวะเป็นกรดมากไป เช่น การดื่มน้ำอัลม ชา กาแฟ ชอบทานเนื้อสัตว์ ทานโซเดียมมากไป และสูบบุหรี่ ส่วนอาการที่ข้อนั้นอาการเสื่อมจะเกิดขึ้นจากที่ใช้งานหนัก เช่น การเล่นกีฬาที่ใช้ข้อมากๆ ใช้ข้อส่วนหนึ่งส่วนใดมากเกินไป และขาดการดูแล ข้อบ่งชี้การเกิดโรค อาการเสื่อมของข้อ สังเกตง่ายๆ จากอาการฝืดของส่วนๆ นั้น เมื่ออยู่ในอิริยาบถเดียวนานๆ พอเปลี่ยนอิริยาบถแล้ว จะต้องอยู่นิ่งๆ สักพักก่อนจะเคลื่อนไหวได้ เช่น นั่งนานๆ แล้วเมื่อจะยืนตรงจะทำในทันทีไม่ได้ ต้องค่อยๆ ยืดตัวขึ้น ในบางรายที่เป็นมากจะเริ่มมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย ทางการแพทย์เรียกว่า Stiffness หรืออาการข้อฝืด ซึ่งเกิดจากการที่น้ำหล่อลื่นในข้อเสื่อมคุณภาพ ส่วนอาการกระดูกบางนั้น ไม่มีอาการบ่งชี้ ต้องใช้การตรวจของแพทย์เท่านั้น การดูแลป้องกัน พลเอก นพ.สหชาติ พิพิธกุล ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า อาการเสื่อมของกระดูกและข้อนั้น สามารถดูแลได้ด้วยการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การออกกำลังกายที่มีการทิ้งน้ำหนัก เช่น วิ่งเหยาะๆ หรือแอโรบิค จะช่วยให้กระดูกและข้อแข็งแรง โดยพฤติกรรมส่วนใหญ่ที่พบในคนไข้คือ ขาดการดูแลร่างกายและมีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรค การรักษาทางการแพทย์ โดยปกติผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการ ข้อฝืด ข้อติด ควรจะมาพบแพทย์แต่เนิ่นๆ ซึ่งแพทย์จะได้พิจารณาอาการเจ็บป่วย และพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง เพื่อปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม อาจต้องออกกำลังกายด้วยท่าเฉพาะ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อพยุงข้อต่อ แต่ในบางรายที่เป็นมาก แพทย์อาจพิจารณา การทำกายภาพบำบัด และให้ยาร่วมด้วย ทั้งยารับประทาน และยาฉีดที่ข้อโดยตรง ในรายที่มีปัญหาค่อนข้างมาก จนไม่สามารถฟื้นฟูได้ อาจจะต้องทำการรอผ่าตัดเปลี่ยนข้อ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พลเอก นพ.สหชาติ พิพิธกุล ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลพระรามเก้า

Read More »

สมองเสื่อม ออกกำลังกายสมองช่วยได้

สมองเสื่อมเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความเสื่อมของร่างกาย โดยปกติคนวัยนี้จะมีโรคประจำตัวบ้าง เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมัน บางทีก็มีเส้นเลือดในสมองที่เปลี่ยนไป เส้นเลือดอุดตันเลือดเลี้ยงไม่พอ สมองก็จะทำงานไม่ได้ดีเท่าเดิม สมองเสื่อม ไม่ใช่จำไม่ได้ แต่เป็น ความคิดและอารมณ์ ด้วย จึงแสดงออกมาด้วยอาการซึมเศร้าก็มี เพราะสมองที่เสื่อมเป็นส่วนของการแสดงอารมณ์ ขณะที่คนปกติ สมองก็จะเสื่อมไปตามวัยอยู่แล้ว แต่ผู้สูงอายุจะมีความเสื่อมมากกว่าคนทั่วไป ทั้งความเสื่อมตามธรรมชาติ และอาการเจ็บป่วยตามช่วงวัย ข้อบ่งชี้การเกิดโรค สมองเสื่อมเป็นโรคที่แสดงการบ่งชี้ได้หลายแบบ เช่น อาการอารมณ์แปรปรวน ความคิดไม่เฉียบแหลมเท่าเดิม สมองที่ไม่ดีเท่าเดิม ก็จะเสียความมั่นใจไป ส่งผลให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ หรือความจำไม่ดี หลงหลงลืมลืม อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่ญาติจะพามา สามีภรรยาพามา เพราะเขาผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นมากๆ จะทำให้หลงผิดคิดไปว่า จะมีคนมาทำร้าย เป็นต้น การดูแลป้องกัน กลุ่มนี้บางทีเกษียณแล้วใช้ความคิดความจำน้อยลง ก็ทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้นกว่าปกติ ผิดกับในช่วงวัยทำงานที่สมองได้ทำงานอยู่เสมอ ฉะนั้นการป้องกันจึงอยู่ที่การหมั่นใช้สมองอยู่เสมอ รวมถึงการเข้าสังคม จะช่วยส่งเสริมให้สมองได้มีการใช้งานอยู่เสมอ และการมีสังคมจะช่วยเรื่องโรคเครียด โรคซึมเศร้าด้วย การรักษาทางการแพทย์ “การออกกำลังกายสมอง” โรคสมองเสื่อมเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่สามารถใช้ยาช่วยรักษา เพื่อชะลอการเสื่อมของสมองให้ช้าลง ทำให้อาการดีขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่สามารถทำให้หายขาดได้ นอกจากนี้ในการรักษา อาจจะใช้การฝึกกระตุ้นความคิด ด้วยการเล่นเกมส์ต่างๆ “การเล่นทายอักษร การใบ้คำ การลบเลข” การรักษาทางการแพทย์ เนื่องจากสมองที่เสื่อม เราไม่สามารถทำให้กับมาปกติได้อีก ฉะนั้นในการดูแลทางการแพทย์จึงมุ่งเน้นไปที่การประคองไม่ให้แย่ลงกว่าเดิม รวมถึงการรักษาตามอาการของโรค เช่น มีอาการหลงผิด หรือซึมเศร้า ก็ให้ยาแก้ไขไปตามอาการ  เกร็ดความรู้ “อาการทางจิตนั้น บ่อยครั้งเรามักพบว่า ไม่ได้เป็นอาการป่วยที่เกิดขึ้นแบบแปลกแยก แต่มักมาควบกับอาการทางร่างกายหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ฉะนั้นในการดูแลให้ได้ผล จึงต้องใช้การรักษาแบบผสมผสานในรูปแบบของทีมแพทย์ เช่น อายุรแพทย์ จิตแพทย์ แพทย์กายภาพ เป็นต้น ซึ่งการรักษาด้วยทีมแพทย์แบบบูรณาการนั้น จำเป็นจะต้องใช้ทีมแพทย์จำนวนมาก นั่นจึงเป็นสาเหตุที่คนไข้ส่วนใหญ่เลือกใช้บริการ” สุขภาพใจที่ดี การทำใจให้สงบเป็นสิ่งที่ผู้สูงวัยส่วนใหญ่ทำได้ เนื่องจากสภาพร่างกาย และการใช้ชีวิตที่ช้าลงตามอายุที่มากขึ้น ดังนั้นเพื่อสุขภาพกาย สุขภาพใจดี ก็ย่อมทำให้มีความสุขตามไปด้วย การมีสุขภาพใจดี เริ่มด้วยการได้รับความอบอุ่นจากครอบครัว ลูกหลาน ที่ช่วยดูแลเอาใจใส่ การพบปะเพื่อนเก่า หรือการหาเพื่อนใหม่ที่วัยใกล้กันเป็นสิ่งที่สำคัญ นอกจากนี้การเข้าวัด หรือหาที่สงบเพื่อฟังเทศน์ นั่งสมาธิก็ทำให้จิตใจเบิกบานได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่สำคัญข้อหนึ่งของผู้สูงวัยคือ ความโดดเดี่ยว ความเหงา เพราะไม่ได้ทำงานจึงไม่ค่อยได้พบปะกับผู้อื่น ในขณะที่ลูกหลานก็ต้องทำงานหรือทำธุรกิจของตนเอง ดังนั้นการเข้าหากลุ่มสังคม เพื่อมีโอกาสได้พบปะเพื่อนในวัยใกล้เคียงกัน จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ โดยมีเครือข่ายผู้สูงอายุของหน่วยงานต่างๆ กระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้

Read More »
Page1 Page2 Page3 Page4 Page5
Facebook-f Youtube Instagram
  • 1270
  • About Us
  • Medical center
  • Doctors
  • Make an Appointment
  • Knowledge
  • Package
  • News & Events
  • Privacy Policy
  • Investor
  • Sustainability
  • Work with Us
  • Contact Us
  • Terms and Conditions

Copyright © 2025. All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • Medical Center
  • แพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us