
Category: Articles EN


คำถามจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนา “ไวรัสตับอักเสบ B และ C โรคร้ายที่คุณไม่ควรมองข้าม”
คำถามจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนา “ไวรัสตับอักเสบ B และ C โรคร้ายที่คุณไม่ควรมองข้าม” วันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2556 ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ 1. ปริมาณยาที่ทานจำนวนเท่าใดถึงจะส่งผลต่อตับ ตอบ ขึ้นอยู่กับชนิดของยา แต่แนะนำให้ทานตามฉลากยาหรือคำแนะนำของแพทย์ 2. การรับประทานอาหารที่ทำจากตับสัตว์ จะมีโทษต่อร่างกายหรือไม่ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่รับประทานตับสด ตอบ การทานตับไม่มีโทษต่อร่างกายแต่ควรปรุงให้สุกก่อนทานค่ะ เพื่อลดการปนเปื้อนเชื้อโรคต่างๆ 3. มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบ B จะเป็นไวรัสตับอักเสบ C ได้ด้วยหรือไม่ ตอบ การมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบ B ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ C ค่ะ การป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ C คือ หลีกเลี่ยงการรับเชื้อ ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การสักตามตัว ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น 4. ไวรัสตับอักเสบ B ทำให้เป็นตับแข็งได้ด้วยหรือไม่ และถ้าเป็นต้องตรวจด้วยวิธีใดจึงจะทราบได้ว่าเป็นจริงๆและการตรวจเลือดจะพบหรือไม่ ตอบ สามารถทำให้เป็นตับแข็งได้ ควรตรวจติดตามอย่างต่อเนื่องด้วยกรเจาะเลือดและอัลตร้าซาวน์ 5. ขอทราบวิธีการดูแลเบื้องต้นเมื่อทราบว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ B และไวรัสตับอักเสบ C ตอบ การดูแลเบื้องต้น คือควรมาพบแพทย์เพราะโรคทั้งสองโรคมีรายละเอียดในการรักษาแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน ควรมาพบแพทย์เพื่อได้รับคำอธิบายดีกว่า 6. วิธีการรักษาไวรัสตับอักเสบ B หายขาดหรือไม่ ตอบ โอกาสหายขาดน้อยแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลตรวจเบื้องต้นของผู้ป่วยแต่ละราย 7. การสร้างน้ำดีของตับสัมพันธ์กับถุงน้ำดีอย่างไร คล้ายกับถุงน้ำดีไม่ได้สร้างน้ำดีใช้หรือไม่ครับ ตอบ น้ำดีสร้างที่ดับและจะถูกส่งไปเก็บกักที่ถุงน้ำดี 8. เรามีโอกาสได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ A B C พร้อมกันหรือไม่ ตอบ ไม่ เพราะไวรัส A ติดทางการกิน ไวรัส B ติดจากแม่สู่ลูก , ทางเลือด และทางเพศสัมพันธ์ ไวรัส C ติดจากแม่สู่ลูก ทางเลือด และทางเพศสัมพันธ์ 9. ยาฉีด Peg Interforon ที่ใช้ในการรักษาไวรัสตับอักเสบ B และ C มีผลข้างเคียงเหมือนกันใช่ไหม ตอบ ใช่ค่ะ เป็นยาชนิดเดียวกัน ในการรักษาวรัสตับอักเสบ B และ C 10. ยาชนิดใดบ้างที่ผู้ป่วยกินตลอดแล้วมีผลต่อตับ ตอบ ยาทุกชนิดที่ทานล้วนแล้วแต่ต้องผ่านกระบวนการดูดซึมและสลายที่ตับเพราะฉะนั้น เราควรทานตามข้อบ่งชี้และทานในขนาดที่กำหนด 11. เคยฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ B แล้ว แต่ภูมิคุ้มกันไม่ขึ้น ควรทำอย่างไร เพื่อให้มีภูมิคุ้มกัน ตอบ ควรมาตรวจดูก่อนว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B แบบแฝง หรือไม่ 12. ภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบ B จะอยู่ในร่างกายกี่ปี ตอบ ตลอดชีวิต 13. ญาติเป็นไวรัสตับอักเสบ B ชนิดเป็นพาหะ สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ถ้าหายขาดแล้วจะเป็นอีกได้หรือไม่ และคนรอบข้างสามารถติดได้หรือไม่ จะมีวิธีป้องกันอย่างไร ตอบ โอกาสหายขาดจากไวรัสตับอักเสบบีน้อย แต่ควบคุมได้ วิธีการติดต่อ 1.ทางเลือด 2. ทางเพศสัมพันธ์ 3.จากแม่สู่ลูก การป้องกัน 1. ไม่ควรใช้ของมีคมร่วมกัน 2. แนะนำสำหรับคู่สมรสให้ไปตรวจเช็คภูมิไวรัสตับอักเสบบีก่อน ถ้ายังไม่มีภูมิก็ให้ฉีดวัคซีน 3. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งควรสวมถุงยางอนามัย 4. ห้ามบริจากเลือดให้ผู้อื่น

ความสำคัญของไต โรคไตวายเรื้อรังและการรักษา
ความสำคัญของไต โรคไตวายเรื้อรังและการรักษา นพ.วิรุฬห์ มาวิจักขณ์ Diplomate, American Board of Internal Medicine and Nephrology คนเราเกิดมามีไตอยู่ 2 ข้าง หน้าที่สำคัญของไต คือ การขับของเสียต่างๆ ที่อยู่ในร่างกายออกทางปัสสาวะ ทำให้เลือดและร่างกายคนเราสะอาด, ของเสียที่ไตต้องขับออกส่วนหนึ่งมาจากการเผาผลาญอาหารในร่างกาย และอีกส่วนหนึ่งมาจากการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ถ้าคนเราไม่มีไต หรือไตวายหยุดทำงาน ของเสียเหล่านี้จะคั่งค้างอยู่ในกระแสเลือดและในร่างกาย ทำให้เลือดและร่างกายสกปรก ในที่สุดอวัยวะต่างๆ ในร่างกายก็จะเป็นพิษ หยุดทำงานและเสียชีวิต หน้าที่ของไต นอกจากหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายแล้ว ไตยังทำหน้าที่สำคัญๆ อื่นๆ ได้แก่ ควบคุมความดันโลหิต (คนไข้ไตไม่ดีจะมีความดันโลหิตสูง) ผลิตฮอร์โมน Erythropoietin ที่กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง (คนไข้โรคไตวายจะมีเลือดจาง เลือดน้อย ) ควมคุมปริมาณน้ำและระดับเกลือแร่ในร่างกาย (คนไข้โรคไตจะมีอาการบวม, เกลือแร่ผิดปกติ, ถ้าเกลือ โปแตสเซียมผิดปรกติจะทำให้หัวใจเต้นผิดปรกติ , เป็นอันตรายต่อชีวิตได้) ควบคุมความเป็นกรดด่างในร่างกาย (คนไข้โรคไตวายจะมีสภาพความเป็นกรดสูงมาก ทำให้อวัยะวะต่างๆ ในร่างกายทำงานผิดปรกติและเสียชีวิตได้) ควบคุมการสร้างวิตามินดี แคลเซียมและฟอสฟอรัส (คนไข้โรคไตวาย ขาดวิตามินดีทำให้แคลเซียมต่ำ , กระดูกเปราะบางพรุน) ภาวะไตวา่ย ถ้าเกิดภาวะไตวาย, ไตหยุดทำงาน ของเสียจะคั่งค้างในเลือดและในร่างกายมากๆ ผู้ป่วยจะมีอาการเบื่ออาหาร, คลื่นไส้, อาเจียน, อ่อนเพลีย, ซีดโลหิตจาง, คันตามตัว, มีจ้ำตามตัว, อาเจียนเป็นเลือด, ท้องเดิน, ความดันโลหิตสูง, หัวใจล้มเหลว, หัวใจเต้นผิดปรกติ, หายใจลำบาก, ไอเป็นเลือด, น้ำท่วมปอด, กระดูกเปราะบางหักง่าย, ปวดกระดูก, ถ้าของเสียค้างในสมองมากๆ จะมีอาการชักและสมองหยุดทำงาน นอกจากนี้ผู้ป่วยจะเป็นหมัน และหมดสมรรถภาพทางเพศ ถ้าเกิดโรคไตวายในเด็ก เด็กจะแคระแกร็นหยุดเจริญเติบโต สาเหตุของโรคไต สาเหตุของโรคไตที่พบบ่อยๆ คือ ไตวายจากโรคเบาหวาน ไตวายจากโรคความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง ไตวายจากโรคเก๊าท์และนิ่วในไต ไตวายจากโรคเนื้อเยื่อไตอักเสบ (Glomerulonephritis), โรค SLE, โรคไตวายเรื้อรังจากโรคบางโรค สามารถป้องกันได้แต่เนิ่นๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเก๊าท์ โรคนิ่วในไต ถ้าผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาควบคุมให้ดีก็จะลดโอกาสการเป็นโรคไตวายเรื้อรังได้ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ไตวายถาวรแล้วไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ปัจจุบันนี้วงการแพทย์เราก็มีวิธีรักษาผู้ป่วยไตวายให้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ วิธีรักษาโรคไต วิธีรักษาโรคไตวายเรื้อรังมี 3 วิธี วิธีแรก คือการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีของเสียคั่งค้าง ผ่านเข้าไปในเครื่องกรองเลือด ซึ่งจะกรองของเสียจากเลือดและนำเลือดที่ถูกกรองจนสะอาดแล้วกลับเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ต้องทำเป็นเวลา 3-5 ชม. และต้องทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หลังฟอกเลือดแล้วผู้ป่วยจะมีเลือดที่สะอาด ร่างกายจะสดชื่นแข็งแรงขึ้น สามารถดำรงชีวิตได้เกือบเหมือนปรกติ แต่ต้องมาฟอกเลือดเป็นประจำตลอดไป วิธีที่สอง คือวิธีล้างช่องท้องด้วยน้ำยา (CAPD) วิธีนี้ผู้ป่วยจะต้องใส่น้ำยาเข้าไปในช่องท้องตนเอง ครั้งละ 2 ลิตร วันละ 4 ครั้งๆ ละ 4-8 ชม. ทุกๆ วัน ขณะที่น้ำยาอยู่ในช่องท้อง ของเสียต่างๆ ที่เป็นพิษคั่งค้างอยู่ในร่างกายจะซึมจากกระแสเลือดเข้าสู่น้ำยาในช่องท้อง เลือดก็จะสอาด ผู้ป่วยก็จะมีสภาพร่างกายที่สดชื่นแข็งแรงขึ้น แต่ต้องล้างช่องท้องเป็นประจำตลอดไป วิธีที่สาม คือการเปลี่ยนไตหรือปลูกถ่ายไต (Kidney Transplantation) เป็นวิธีการรักษาโรคไตวายเรื้อรังที่ดีที่สุด ไตที่นำมาปลูกใส่ให้กับผู้ป่วยอาจจะมาจากญาติ คือ พ่อแม่ พี่น้อง ลูก หลาน, ลุง, ป้า, น้า, อา หรือในบางกรณีมาจากสามี ภรรยา ที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยผู้บริจาคจะบริจาคไต 1 ข้าง ให้กับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง คนเราปรกติมีไต 2 ข้าง สามารถบริจาคไตให้ญาติพี่น้องได้ 1 ข้าง เหลือเพียง 1 ข้าง ก็สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนคนปรกติ, อายุยืนเหมือนคนปรกติ ในกรณีที่ไม่มีญาติพี่น้องบริจาคไตให้ ผู้ป่วยจะต้องรอรับไตบริจาคจากผู้ป่วยอื่นที่เสียชีวิตอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ ซึ่งในประเทศไทย สภากาชาดจะเป็นผู้รับบริจาคและเป็นผู้จัดสรรไตอุบัติเหตุนี้ให้แก่คนไข้ไตวาย ปัจจุบันแพทย์ไทยเรามีความรู้ความสามารถในการผ่าตัดเปลี่ยนไตประสบผลสำเร็จได้ดีทัดเทียมกับต่างประเทศ ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนไตสำเร็จแล้ว จะสามารถมีชีวิตยืนยาวและดำรงชีวิตด้วยคุณภาพที่ดี ประกอบอาชีพได้ ปัจจุบันมีผู้ป่วยคนไทยที่ได้รับการเปลี่ยนไตไปแล้วหลายพันคน หลายๆ สาขาอาชีพ เช่น ทหาร, ตำรวจ, แพทย์, ทันตแพทย์, วิศวกร, ทนายความ, ดารา, นักการเมือง , นักธุรกิจ ฯลฯ หลังเปลี่ยนไตผู้ป่วยสามารถตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรได้ สามารถทำประโยชน์ต่างๆ ให้สังคมได้เหมือนคนปกติ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ สถาบันปลูกถ่ายไต โรงพยาบาลพระรามเก้า 02-202-9999 ต่อ 2460

คำถามจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนา “เสริมสร้างอัจฉริยะภาพลูกรัก…ให้ห่างไกลโรคสมอง”
คำถามจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนา “เสริมสร้างอัจฉริยะภาพลูกรัก…ให้ห่างไกลโรคสมอง” 1. EQ ช่วงอายุที่เด็กจะเรียนรู้และซึมซับได้ดี รวมทั้งแก้ไขเรื่องอารมณ์ร้อนเป็นช่วงอายุกี่ปี ถึงกี่ปี ตอบ EQ สามารถพัฒนาได้ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ (ดีที่สุด 2-6 ขวบ) จะเป็นช่วงที่เด็กกำลังพัฒนาสมองทุกส่วน ดังนั้นช่วงนี้เหมาะจะเป็นช่วงพัฒนาอีคิวครับ แต่เด็กที่โตกว่านี้ก็สามารถพัฒนาได้ครับ แต่อาจไม่เท่าช่วงวัยนี้ครับ และเช่นเดียวกันครับ อีคิวเป็นตัวที่ช่วยให้การแสดงออกทางอารมณ์เหมาะสม บางคนอารมณ์ร้อน แต่ก็ไม่หนักถึงขนาดทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นครับ 2. เรื่องการใช้มือซ้าย ปัจจุบันลูกใช้มือซ้ายทานอาหารบางครั้ง ที่บ้านมักจะบอกให้ใช้มือขวาทานถึงจะดี ที่ดีที่สุดควรปล่อยให้ใช้มือซ้ายไปเลยหรือไม่ ตอบ ความถนัดเรื่องซ้าย-ขวา จะเริ่มเมื่อเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป ปัจจุบันการใช้มือซ้าย-ขวา ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสมอง แต่การปิดกั้นไม่ยอมให้ใช้ตามความถนัด อาจทำให้เกิดความเครียด เด็กต่อต้าน รบกวนต่อการเรียนรู้ได้ 3. พัฒนาการด้านความสัมพันธ์ ถ้าเด็กขี้อาย ไม่กล้ากับคนที่เพิ่งพบ แต่เมื่อคุ้นเคยแล้วจะเป็นคนนำในการเล่น ถือว่าต้องพัฒนาด้านความสัมพันธ์หรือไม่ อย่างไร ตอบ ถือว่าเป็นเรื่องปกติในเด็กเล็กในการเริ่มแรกของการสร้างความสัมพันธ์ เด็กอาจจะรอดูท่าที ประเมินคนที่เข้ามาคุย ถ้ารู้สึกว่าเป็นมิตรด้วยจะเริ่มมีความคุ้นเคย พ่อแม่สามารถพาไปสู่สังคมภายนอกพบคนหลากหลาย ทำให้เด็กกล้าเผชิญหน้าความขี้อายลดลง

โรคหลอดเลือดสมอง Stroke ตอนที่ 3
เส้นเลือดในสมองเปรียบเสมือนท่อประปา ที่นำเลือดไปเลี้ยงสมอง โดยเส้นเลือดเป็นของคนคนเดียวกันทั้งร่างกาย ดังนั้นหากหลอดเลือดเสื่อมก็จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมองได้ ดังนั้นปัจจัยเสี่ยงจึงมีทั้งที่แก้ไขได้และ แก้ไขไม่ได้ ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ได้แก่ อายุ เมื่ออายุมากขึ้นความเสื่อมของเส้นเลือดก็จะตามมาในแต่ละบุคคล ยิ่งอายุมากขึ้น หลอดเลือดในสมองก็จะเสื่อมมากขึ้น เหมือนท่อประปาในบ้านที่ใช้นานขึ้น ก็จะมีโอกาสที่จะมีตะกอนมาเกาะมากกว่าคนอายุน้อย เพศชาย มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เคยมีประวัติโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือโรคหลอดเลือดในสมองแตกมาก่อน ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถแก้ไขได้ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง เมื่อมีโรคความดันโลหิตสูงควรพบแพทย์เพื่อตรวจวัดความดันและรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆก็ตาม เนื่องจากความดันโลหิตที่สูงจะไปทำให้เส้นเลือดในสมองแตกได้ง่าย และทำให้เส้นเลือดในสมองมีความเปราะมากขึ้น โรคเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หากผู้ป่วยมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Atrial fibrillation or atrial flutter) มักจะทำให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจและลิ่มเลือดในหัวใจอาจจะลอยไปอุดเส้นเลือดในสมองได้ การแก้ไขภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมักจะทำได้โดยการจี้ไฟฟ้าที่หัวใจ หรือหากไม่สามารถแก้ไขได้ ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องได้รับยาละลายลิ่มเลือด อย่างต่อเนื่อง ไขมันในเลือดสูง ไขมันจะเป็นตัวเร่งให้หลอดเลือดมีการแข็งตัวและมักจะเกาะตัวกันเป็นตะกอนในหลอดเลือด และทำให้หลอดเลือดในสมองตีบได้ การสูบบุหรี่ บุหรี่จะเป็นปัจจัยเร่งที่สำคัญที่จะทำให้หลอดเลือดในสมองเปราะและเกิดมีตะกอนได้ง่าย ทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดในสมองตีบได้ง่่ายกว่าคนที่ไม่สูบ ทั้งนี้รวมถึงบุคคลที่ใกล้ชิดคคนที่สูบบุหรี่จัดและได้รับควันบุหรี่ตลอดเวลาด้วย ดื่มเหล้า เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและเส้นเลือดในสมองแตก ได้ง่ายกว่าคนทั่่วไป การใช้สารเสพติดบางชนิดได้แก่ แอมเฟตามีน โคเคน ผู้ที่ใช้สารเสพติดเหล่านี้มักจะเกิดเลือดออกในสมองง่ายกว่าคนทั่วไป เนื่องจากสารเสพติดเหล่านี้จะไปทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง หรือในผู้ป่วยบางรายอาจจะทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดอักเสบ โรคหลอดเลือดสมองตีบสามารถรักษาให้ผู้ป่วยหายเป็นปกติ โดยที่ผู้ป่วยไม่มีความพิการหลงเหลืออยู่ โดยผู้ป่วยจะต้องมาพบแพทย์หลังมีอาการภายในเวลา 4ชั่วโมงครึ่ง แพทย์จะสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดเข้าทางหลอดเลือดดำ (IV – rtPA alteplase ) โดยยาจะสามารถไปละลายลิ่มเลือดที่ไปอุดตันสมองได้ 30-50% ของผู้ป่วย และทำให้ผู้ป่วยไม่มีความพิการหลงเหลืออยู่ หรือมีความพิการน้อยมาก หลังจากการให้ยา ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก( ICU) หรือหอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke unit ) เพื่อการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดโดยบุคลากรทางการแพทย์เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่งโมง แต่ผู้ป่วยที่มีอาการมานานกว่า สี่ชั่วโมงครึ่งจะมีความเสี่ยงที่จะมีเลือดออกในสมองได้ถ้าให้ยา มากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการให้ยา โดยความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะมีเลือดออกในสมองในกรณีที่มาภายในเวลาสี่ชั่วโมงครึ่งและได้รับยาละลายลิ่มเลือดมี 6% จากกการทดลอง ปัจจุบันนี้ยังมีการรักษาโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันที่ยังอยู่ในการทดลองหลายแบบ เช่นการให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดดำคู่กับการให้ยาทางหลอดเลือดแดง การใช้เครื่องมีอไปดึงหรือลากลิ่มเลือดที่อุดตันโดยตรง หรือการให้ยาชนิดอื่นได้แก่ยา Desmoteplase โรคหลอดเลือดในสมองแตก หรือเลือดออกในสมอง การรักษาภาวะเส้นเลือดในสมองแตกในระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจจะจำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัดในทันทีหากผู้ป่วยมีเลือดออกในสมองมากจนกระทั่งมีภาวะความดันในกระโหลกสูง หรือถ้าผู้ป่วยมีเลือดออกในปริมาณน้อยอาจไม่จำเป็นที่จะต้องผ่าตัดเพียงแค่รักษาแบบประคับประคองได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะต้องได้รับการดูแลเป็นผู้ป่วยในหอผู้ป่วยหนักเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ในกรณีที่มีเลือดออกในชั้นเยื่อหุ้มสมองจากหลอดเลือดสมองโป่งพอง ( Subarachnoid hemorrhage from rupture aneurysm ) ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาในทันทีเพื่อลดการแตกซ้ำของหลอดเลือดสมองที่โป่งพอง การป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ 1 การป้องกันก่อนการเป็นโรค 2 การป้องกันการเป็นซ้ำในกรณที่เกิดภาวะโรคหลอดเลือดสมองแล้ว การป้องกันก่อนการเป็นโรค 1.) ตรวจวัดความดันโลหิต อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากพบว่ามีความดันโลหิตที่มากกว่า 140/80 mmHg ควรพบแพทย์ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยการลดอาหารเค็ม และรับประทานยาลดความดันอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรหยุดรับประทานยาลดความดันเอง โดยแพทย์ไม่ได้สั่งงด เนื่องจากโรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่เป็นแล้วมักจะเป็นตลอดชีวิต และไม่ค่อยแสดงอาการ 2.) ตรวจร่างกายทางด้านหัวใจว่ามีความผิดปกติของการเต้นของหัวใจหรือไม่ 3.) หยุดสูบบุหรี่ 4.) ลดน้ำหนัก ในกรณีที่มีน้ำหนักเกิน 5.) ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยการออกกำลังกายควรเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติ อย่างน้อย 10-20 ครั้ง ต่อนาที และ อย่างน้อยครั้งละครึ่งชั่่วโมง 6.) ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี เพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด 7.) งดการดื่มสุรา การป้องกันการเป็นซ้ำในกรณีที่เกิดภาวะโรคหลอดเลือดสมองแล้ว 1.) การรักษาจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนปัจจัยเสี่ยงมี่สามารถปรับได้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว 2.) การป้องกันการเป็นซ้ำของโรคหลอดเลือดสมองตีบโดยการให้ยาต้านเกร็ดเลือดหรือยาละลายลิ่มเลือด เกร็ดเลือดเป็นเซลล์ชนิดหนึ่งที่อยู่ในกระแสเลือด จะถูกกระตุ้นโดยการที่เกิดการฉีกขาด หรือการอักเสบของเส้นเลือด และสามารถ อุดหลอดเลือดได้ ทำให้เกิดเป็นตะกอนในเส้นเลือด ยาต้านเกร็ดเลือดจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้มีเกิดการจับกันของเกร็ดเลือด เพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด ที่จะไปเลี้ยงสมอง ยาต้านเกร็ดเลือดในปัจจุบันมีหลายชนิดเช่น Aspirin, cilostazol,clopidogrel,triflusal, arpirin plus dipyridamole,Ticagilor ซึ่งยาต้านเกร็ดเลือดแต่ละตัวจะออกฤทธิ์ต้านเกร็ดเลือดด้วยกลไกที่ต่างกัน บางครั้งหากผู้ป่วยมีอาการเป็นซ้ำๆ จากการอุดตันของเส้นเลือดสมอง ผู้ป่วยอาจจะมีความจำป็นที่จะต้องรับประทานยาต้านเกร็ดเลือดหลายชนิดร่วมกัน แต่ก็จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดเลือดออกผิดปกติในบริเวณต่างๆมากขึ้น เช่นเลือดออกในทางเดินอาหาร หรือเลือดออกในสมอง

โรคหลอดเลือดสมอง Stroke ตอนที่ 2
อาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง -ปากเบี้ยวหรือชาบริเวณใบหน้า -ปวดศีรษะอย่างรุนแรง -แขนขาอ่อนแรงหรือชาครึ่งซีก -วิงเวียนศีรษะประกอบกับเดินเซ -พูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออก ฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองต้องปฏิบัติอย่างไร โรคหลอดเลือดสมองถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ (Brain attack) ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถให้ประวัติเองได้ เแพทย์จำเป็นที่จะต้องทราบเวลาที่ญาติพบเห็นผู้ป่วยเป็นปกติครั้งสุดท้าย ถ้าผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลภายในเวลาสี่ชั่วโมงครึ่งหลังจากอาการเริ่มต้น แพทย์จะสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือด(rt-PA) เพื่อละลายลิ่มเลือดในสมอง และทำให้สมองส่วนที่ขาดเลือดกลับมาเป็นปกติได้ หากไม่สามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ แพทย์ก็ยังจำเป็นที่จะต้องรับผู้ป่วยไว้เป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการ ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดอาการภายใน 7 วัน หากสงสัยว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคหลอดเลือดสมองให้ดำเนินการดังนี้ 1. โทรศัพท์แจ้งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด โรงพยาบาลพระรามเก้า 02-202-9999 และแจ้งอาการที่ผู้ป่วยเป็น เวลาที่ผู้ป่วยมีอาการ โดยทางโรงพยาบาลจะจัดส่งรถโรงพยาบาลไปรับตัวผู้ป่วยในทันที 2. นำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันทีที่มีอาการ ไม่ควรรอหรือให้ผู้ป่วยนอนพักสังเกตอาการเอง 3. หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวที่ต้องมียาที่รับประทานเป็นประจำ เช่นเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ควรนำยามาโรงพยาบาลด้วย และไม่ควรให้ยาผู้ป่วยรับประทานก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล โดยยาลดความดัน จะทำให้ผู้ป่วยมีความดันเลือดที่ต่ำลง และอาจจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ หรือไม่ควรให้ผู้ป่วยรับประทานยาเบาหวาน 4. หากผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นเองก่อนถึงโรงพยาบาล ก็ยังจำเป็นที่จะต้องนำผู้ป่วยมาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะอาจจะเป็นภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (TIA) ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง โดยผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในโรงพยาบาล และต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมในทันที และหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นอีกแพทย์จะสามารถรักษาได้ทันท่วงที การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมองทำได้อย่างไรและต้องตรวจอะไรเพิ่มเติมบ้าง ประวัติ -แพทย์จำเป็นจะต้องซักประวัติอาการของผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาล เวลาที่ผู้ป่วยมีอาการ หรือเวลาที่เห็นผู้ป่วยเป็นปกติครั้งล่าสุดเช่นมีอาการหลังตื่นนอน โดยมีญาติเห็นผู้ป่วยเป็นปกติครั้งสุดท้ายตอนก่อนนอน โรคประจำตัว ยาที่ผู้ป่วยรับประทานเป็นประจำ ประวัติครอบครัว โดยหากผู้ป่วยไม่สามารถให้ประวัติเองได้ แพทย์จำเป็นที่จะต้องซักประวัติจากญาติหรือผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ตรวจร่างกาย -แพทย์จะตรวจสัญญาณชีพ ( vital signs) วัดความดัน ชีพจร การหายใจ และอุณหภูมิของร่างกาย ตรวจหัวใจ ตรวจระบบประสาทโดยละเอียดได้แก่ การตรวจกำลังของกล้ามเนื้อ ความรู้สึกสัมผัสของร่างกาย การพูดและความเข้าใจ การฟังตามคำสั่ง การเดิน เป็นต้น การตรวจทางห้องปฏิบัติการ-การตรวจเพิ่มเติมในผู้ป่วยที่สงสัยภาวะหลอดเลือดสมองทำเพื่อที่จะแยกภาวะอื่น ที่ไม่ใช่โรคหลอดเลือดสมอง แยกภาวะเลือดออกในสมอง หรือเส้นเลือดในสมองแตก รวมถึงเป็นส่่วนหนึ่งในการหาสาเหตุของโรคหลอดเลือดในสมอง เพื่อการพิจารณาการให้ยาในการป้องกันการเป็นซ้ำในครั้งต่อไป 1. หากสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง จะต้องแยกสาเหตุอื่่นๆที่ทำให้มีอาการคล้ายโรคหลอดเลือดสมองได้เช่น ภาวะน้ำตาลต่ำ ภาวะเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ ภาวะการทำงานของตับหรือไตที่ผิดปกติ โดยจะต้องเจาะเลือดตรวจในข้ันต้น 2. เอกซเรย์ปอด เพื่อดูภาวะความผิดปกติของหัวใจและปอด 3. คลื่นไฟฟ้าหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองอาจจะพบร่วมกับภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบได้ และหัวใจเต้นผิดจังหวะอาจจะทำให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจ และลิ่มเลือดจากหัวใจสามารถทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดได้ 4. เอกซเรย์สมอง ( CT Scan ) ข้อดีคือใช้เวลาน้อย สามารถดูโรคในกลุ่มเลือดออก และดูการแตกของกระโหลกศีรษะได้ดี แต่ความละเอียดของภาพในเนื้อสมอง เช่นสมองขาดเลือดในระยะเบื้องต้น จะน้อยกว่าการทำ MRI หรือการดูรายละเอียดของเส้นเลือดจะต้องฉีดสารทึบแสง ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยที่มีสภาวะไตเสื่อมเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้ 5. การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (MRI scan) สามารถดูภาวะหลอดเลือดในสมองตีบในระยะเฉียบพลันได้ ภายใน 15 นาทีถึง 7 วัน และสามารถเห็นหลอดเลือดใหญ่ๆที่ตีบได้โดยไม่ต้องฉีดสี ข้อเสียคือระยะเวลาในการตรวจนาน และต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วย เช่นในผู้ป่วยบางคนที่กลัวที่แคบ หรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถนอนนิ่งได้นานๆ หรือในผู้ป่วยที่ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pace maker ) ก็ไม่สามารถรับการตรวจด้วยวิธีนี้ได้ เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะไปกวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นหัวใจและทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้ 6. การฉีดสีดูหลอดเลือดสมอง (Cerebral angiography) เป็นการสวนเส้นเลือดจากขาหนีบเพื่อฉีดสีดูหลอดเลือด ซึ่งแพทย์มักจะส่งตรวจในกรณีที่สงสัยภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพอง (cerebral aneurysm ) ที่ทำให้เกิดเลือดออกในชั้นเยื่อหุ้มสมอง ( Subarachnoid hemorrhage) 7. อัลตร้าซาวด์หลอดเลือด ( TCD transcranial doppler ,Carotid duplex) เป็นการตรวจโดยใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์เพื่อดูความผิดปกติของหลอดเลือดในสมองและหลอดเลือดที่คอ เพื่อเป็นแนวทางในการรักษาในผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดที่คอตีบ ว่าจำเป็นที่จะต้องผ่าตัดหลอดเลือดหรือไม่

โรคหลอดเลือดสมอง Stroke ตอนที่ 1
ปัจจุบันโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตและสาเหตุของความพิการในลำดับต้นๆของประชากรในประเทศไทย ทั้งๆที่เป็นโรคที่ป้องกันและรักษาได้หากผู้ป่วยมารับการรักษาภายในเวลาที่ทันท่วงที โรคหลอดเลือดสมองคืออะไร (STROKE) คนไทยมักรู้จักโรคหลอดเลือดสมองกันว่าโรคอัมพาต หรืออัมพฤกษ์ ซึ่งเกิดได้จากสองสาเหตุคือ เส้นเลือดในสมองแตก และเส้นเลือดในสมองตีบ ทั้งสองกรณีนี้จะทำให้เนื้อเยื่อสมองที่โดนผลกระทบไม่ทำงาน เช่นถ้ามีอาการในบริเวณที่ควบคุมการขยับของแขนขาด้านใดด้านหนึ่ง ก็จะทำให้แขนขาด้านนั้นขยับไม่ได้ ถ้าเป็นถาวรก็จะเรียกว่าเป็นอัมพาต ถ้าเป็นชั่วคราวก็จะเรียกว่าอัมพฤกษ์นั้นเอง คล้ายๆอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (heart attack) แต่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง ( brain attack) แทน อาการของโรคหลอดเลือดสมองเป็นอย่างไรได้บ้าง ในปัจจุบันหากผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแบบขาดเลือดมารับการรักษาภายในเวลา สี่ชั่วโมงครึ่ง สามารถที่จะให้ยาละลายลิ่มเลือดเพื่อที่จะช่วยให้สมองในบริเวณที่ขาดเลือดกลับมาทำงานได้ตามปกติ ดังนั้นอาการที่เป็นทันทีทันใดและควรสังเกตง่ายๆในเบื้องต้นจึงได้แก่ F.A.S.T. F-Face : ผู้ป่วยจะมีอาการหน้าเบี้ยวด้านใดด้านหนึ่ง หรือผู้ป่วยบางท่านอาจจะมีอาการระหว่างการรับประทานอาหารแล้วมีอาหารไหลออกจากปากหรือน้ำลายไหลออกจากมุมปากด้านใดด้านหนึ่ง ทดสอบง่ายๆได้โดยให้ผู้ป่วยลองยิ้มหรือยิงฟัน A-Arms : ผู้ป่วยจะขยับแขนขาด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ โดยอาจจะเป็นเฉพาะแขนหรือเฉพาะขา หรือเป็นทั้งแขนขาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นด้านเดียวกัน ทดสอบง่ายๆโดยการให้ผู้ป่วยลองยกแขนขาทั้งสองข้างถ้าตกด้านใดด้านหนึ่งแสดงว่ามีความผิดปกติ S-Speech : ผู้ป่วยจะมีอาการพูดไม่ชัด พูดอ้อแอ้ เหมือนลิ้นคับปาก หรือบางคนมีอาการพูดไม่ออก หรือฟังคำสั่งไม่รู้เรื่อง ญาติบางคนจะคิดว่าผู้ป่วยสับสน ทดสอบได้ง่ายๆด้วยการให้ผู้ป่วยพูดตามในคำง่ายๆ เช่นกรุงเทพมหานคร หรือชี้ให้ดูปากกา นาฬิกา แล้วถามว่าของสิ่งนั้นเรียกว่าอะไร หรือให้ทำตามคำสั่งง่ายๆ เช่น ชูสองนิ้วเป็นต้น T-Time: เวลาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ให้นำผู้ป่วยที่สงสัยภาวะโรคหลอดเลือดสมองไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับสมองที่มากขึ้นตามระยะเวลาที่มากขึ้น ในกรณีที่เป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบและมาถึงโรงพยาบาลภายในสี่ชั่วโมงครึ่ง จะสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดในส่วนของเส้นเลือดที่อุดตันได้ และอาการของคนไข้จะสามารถกลับมาเป็นปกติได้ ถ้าให้ยาละลายลิ่มเลือดแล้ว สามารถละลายลิ่มเลือดที่อุดตันออกไปได้ อาการของผู้ป่วยหลอดเลือดสมองจะขึ้นกับบริเวณสมองที่ได้รับการกระทบกระเทือน และอาการมักเกิดขึ้นแบบฉับพลัน มักจะระบุเวลาที่เกิดอาการได้ หรือเป็นหลังจากตื่นนอน เช่นตอนก่อนนอนญาติยังพบว่าอาการปกติดี แต่ตอนเช้าไปปลุกพบว่าแขนขาอ่อนแรง เช่น มีอาการอ่อนแรงของแขนขาด้านใดด้านหนึ่ง หรือชาซีกใดซีกหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นด้านตรงข้ามกับบริเวณสมองที่ได้รับความกระทบกระเทือน พูดจาสับสนเหมือนฟังคำสั่งไม่รู้เรื่องหรือพูดไม่ออก พูดแล้วลิ้นคับปากอ้อแอ้ มีอาการเวียนศีรษะ อาจจะมีบ้านหมุนหรือไม่มีบ้านหมุนร่วมด้วย ไม่สัมพันธ์กับท่าทาง ปวดศีรษะรุนแรงทันที ด้านใดด้านหนึ่ง หรือปวดทั่วๆทั้งศีรษะ รวมทั้งมีอาการคลื่นไส้อาเจียน โรคหลอดเลือดสมองมีกี่ชนิด ? โรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็นสองแบบคือ 1. สมองขาดเลือด (ischemic stroke) สาเหตุหลักคือเส้นเลือดในสมองอุดตัน ไม่ว่าจะเกิดจากลิ่มเลือดที่มาจากหัวใจลอยไปอุดหลอดเลือดในสมอง(embolus) หรือ เส้นเลือดตีบจากตะกอนในเส้นเลือด(Thrombosis) 2. เส้นเลือดในสมองแตก เกิดจากความเสื่อมของผนังเส้นเลือดตามอายุ ทำให้เกิด เลือดออกในเนื้อสมอง (intracranial hemorrhage) หรือเลือดออกในชั้นเยื่อหุ้มสมอง (subarachnoid hemorrhage) ซึ่งมักเกิดจากการที่มีเส้นเลือดโป่งพองผิดปกติในสมองอยู่เดิมแล้วเกิดการ แตกขึ้นมา สมองขาดเลือดชั่วคราวคืออะไร (TIA transient ischemic attack) สมองขาดเลือดชั่วคราวคือการที่ปริมาณเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนใดส่วนหนึ่งน้อยลงทันที และสามารถกลัับคืนสู่สภาพเดิมได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ไม่เกิดภาวะเนื้อสมองตายที่เกิดจากการขาดเลือด อาการจะเป็นเหมือนโรคหลอดเลือดในสมองตีบ แต่หายได้ภายในเวลา 24 ชั่วโมง โดยส่วนใหญ่จะเกิดเพียงระยะเวลาสั้นๆ เช่น 5-10 นาทีได้ โดยที่เมื่อผู้ป่วยมาทำ MRI (การ X-ray สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) จะไม่พบความผิดปกติ โดยทั่วไปผู้ป่วยประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยสมองขาดเลือดชั่วคราวมักจะกลายไปเป็นโรคหลอดเลือดสมอง(ischemic stroke)ภายใน 7วัน ดังนั้นการที่ผู้ป่วยมีอาการสมองขาดเลือดชั่วคราว มักจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยทุกรายที่มีอาการจึงควรมาพบแพทย์ทันทีที่มีความผิดปกติเกิดขึ้น

คำถามจากกิจกรรมสัมมนา “100 เรื่องราวที่คุณแม่ตั้งครรภ์…ต้องรู้”
คำถามจากกิจกรรมสัมมนา “100 เรื่องราวที่คุณแม่ตั้งครรภ์…ต้องรู้” 1. ลูกดิ้นเยอะ เวลากลางวันหลายช่วง และกลางคืนช่วงตี2-ตี5 อยากทราบว่าเขาจะพักผ่อนพอไหม ตอบ. ลูกดิ้นเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรน่ากังวลเลยค่ะ และลูกมักจะดิ้นใกล้เวลารับประทานอาหาร และเวลาอิ่มแล้ว หรือเวลามีเสียงดังรอบตัว คุณแม่จึงควรรับประทานอาหารให้ตรงเวลา และหลีกเลี่ยงการได้ยินเสียงดังค่ะ 2. อาการเท้าบวม เดินแล้วเหมือนมีน้ำอยู่ในเท้า นอนพักเอาหมอนหนุนตอนกลางคืน ตื่นมายังบวมอยู่ อยากทราบว่าเกิดจากอะไร ผิดปกติหรือไม่ ตอบ. ถ้าเท้าบวมตอนเย็นเนื่องจากยืน เดิน ตลอดวัน และยุบตอนตื่นเช้า ถือว่าเป็นอาการปกติได้ค่ะ แต่ถ้าบวมเลยข้อเท้าขึ้นมาถึงหน้าแข้ง กดแล้วบุ๋ม และยังบวมตอนตื่นนอนตอนเช้า อาจมีภาวะครรภ์เป็นพิษ ควรไปพบแพทย์ก่อนนัดค่ะ 3. อายุครรภ์ 7- 9 เดือน เดินขึ้นสะพานลอยได้ไหม ตอบ. ควรเลี่ยงค่ะ เพราะน้ำหนักของครรภ์อาจทำให้เสียศูนย์ และเสียการทรงตัว หรือก้าวบันไดพลาดเกิดอันตรายได้ และยังอาจเกิดอาการหน้ามืดเพราะเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่ทันค่ะ 4. ถ้าคุณแม่เป็นงูสวัดเดือนเมษายน เป็นประจำเดือนครั้งสุดท้ายเดือนมีนาคม ลูกในครรภ์มีอันตรายหรือไม่ ทั้งในเรื่องของเชื้อไวรัส และยาที่ทาน ตอบ. การติดเชื้อและการรับประทานยา จะไม่มีผลต่อลูกในครรภ์ในช่วง 2 สัปดาห์หลังปฏิสนธิ (ก่อนถึงวันที่ควรมีประจำเดือนค่ะ) สำหรับงูสวัด ถ้าเป็นคุณหมอสูติจัดยาให้และทราบว่าตั้งครรภ์ ก็ไม่เป็นอันตรายค่ะ 5. การบล็อคหลัง ได้ทราบข่าวมาว่าบางโรงพยาบาลไม่ทำการบล็อกหลังให้แล้ว เนื่องจากการฟ้องร้อง ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรบ้าง จริงหรือไม่ อย่างไร ตอบ. คงเป็นเฉพาะกรณี และเฉพาะบางโรงพยาบาลที่มีข้อจำกัดในการบล็อกหลังค่ะ แต่ในโรงพยาบาลใหญ่ที่มีวิสัญญีแพทย์ที่มีความชำนาญ ก็ยังมีการให้บริการอย่างปลอดภัยตามปกติค่ะ 6. อยากสอบถามว่าถ้าคุณแม่ไม่ค่อยทานเนื้อสัตว์ จะหันมาทานอาหารเสริม สารสกัดจากถั่วเหลืองของแอมเวย์ที่เสริมโปรตีน ได้หรือไม่ค่ะ และจะเป็นอันตรายหรือไม่ค่ะ ตอบ. อาหารเสริมหรือสารสกัด ไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ จึงต้องรับประทานตามความเชื่อค่ะ ถ้าไม่ทานเนื้อสัตว์ก็แนะนำให้ทานไข่ขาววันละ 3-4 ฟองค่ะ และถ้าทานปลาได้ ก็ควรให้ได้ทุกวันและเสริมวิตามิน B1-6-12 วันละ 1-2 เม็ด เพื่อชดเชยที่จะไม่ทานเนื้อหมูค่ะ 7. ถ้ามีปัญหาเคยปวดหลังจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ควรจะคลอดเองหรือผ่าคลอดดีกว่า ตอบ. แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอกระดูก เพื่อประเมินว่ายังมีการกดทับหรือมีความเสี่ยงของการกดทับขณะครรภ์ใกล้กำหนดหรือเวลาเบ่งคลอดหรือไม่ ถ้ามีก็ควรจะผ่าตัดคลอดค่ะ 8. อัลตร้าซาวด์ สามารถตรวจความผิดปกติ ของอวัยวะภายในของทารกในครรภ์ได้หรือไม่ ตอบ.สามารถตรวจได้ แต่มีข้อจำกัดว่าอาจไม่สามารถตรวจพบความพิการได้ทั้งหมด ขึ้นกับว่าตรวจในขณะอายุครรภ์เท่าใด และทารกอยู่ในอิริยาบถที่เผยส่วนที่ต้องการตรวจได้ในจังหวะที่กำลังตรวจหรือไม่ 9. บริเวณผิวหนังใกล้ช่องคลอดอับชื้นกว่าปกติคิดว่าเนื่องจากต้องปัสสาวะบ่อยทำให้มีตุ่ม (ลักษณะเหมือนยุงกัด และรู้สึกคัน) สามารถใช้แป้งเด็กทาเพื่อลดอาการคันและอับชื้นได้หรือไม่ค่ะ ตอบ. การทาแป้งอาจเกิดการหมักหมม และเกิดการอักเสบเพิ่มเติม ควรเปลี่ยนวิธีการใช้กระดาษชำระ เพื่อกดกระดาษให้นิ่งและแน่นในบริเวณอับชื้น จนรู้สึกว่าแห้งแล้วก็เอากระดาษอออก พลิกกลับอีกด้านที่ยังแห้งกดซับนิ่งๆอีกครั้ง ไม่ควรเช็ดแบบเคลื่อนกระดาษ เพราะนอกจากไม่แห้งแล้ว อาจเกิดการแปดเปื้อนของแบคทีเรียและเชื้อรารอบทวารหนัก เข้าไปในช่องคลอด ทำให้เกิดการอักเสบและคันได้


ไส้ติ่งอักเสบ
ไส้ติ่ง หรือ Appendix นี้มีรูปร่างเหมือนตัวหนอน ห้อยออกมาจากส่วนของลำไส้ใหญ่ที่เรียกว่า Cecum ไม่มีประโยชน์อะไรต่อการย่อยอาหาร แต่นานๆ ทีมันก็เกิดอักเสบขึ้นมา โรคไส้ติ่งอักเสบหรือไส้ตันนี้ ทุกคนควรรู้จักอาการเอาไว้ เพราะอาจเกิดขึ้นได้กะทันหัน โรคนี้เริ่มต้นด้วยอาการปวดท้อง ตอนแรกปวดตรงกลางสะดือ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา จุดปวดนี้ค่อยๆย้ายมาอยู่ที่ท้องน้อยด้านขวา ถ้าเราเอามือกดตรงส่วนนี้ของหน้าท้อง จะยิ่งรู้สึกเจ็บมากขึ้นจนแทบทนไม่ได้ ผู้เป็นมักจะมีไข้ขึ้นและอาเจียนติดๆกัน บางคนหยุดถ่าย แต่บางคนก็ท้องเดิน ถ้ามีอาการเช่นนี้ต้องรีบไปโรงพยาบาล ให้แพทย์เขาตรวจดูทันที เพราะถ้าไส้ติ่งอักเสบจริง จะต้องทำการผ่าตัดก่อนที่ไส้ติ่งจะทะลุแตกในท้อง และเป็นอันตรายต่อชีวิต การผ่าไส้ติ่งนี้ ไม่ใช่เรื่องยากหรืออันตราย เมื่อแพทย์เขาตัดตัวไส้ติ่งที่อักเสบนั้นทิ้งไป อาการปวดท้องและอาเจียนก็จะหยุดลง หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์ สุขภาพของท่านก็จะดีตามเดิม ลักษณะทั่วไป ไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องรุนแรงที่ต้องผ่าตัด หากพบมีอาการเจ็บปวดตรงท้องน้อยข้างขวา ควรนึกถึงโรคนี้ไว้ก่อนเสมอ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย สาเหตุ เกิดจากกรอุดตันของไส้ติ่ง เช่น มีเศษอุจจาระตกลงไปในไส้ติ่ง ทำให้มีเชื่อแบคทีเรียเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบ อาการ มักมีอาการปวดท้องมาก เริ่มแรกอาจปวดเป็นพักๆ รอบสะดือคล้ายโรคกระเพาะ หรือท้องเดิน อาจจะเข้าส้วมบ่อย แต่ถ่ายไม่ออก บางคนอาจสวนด้วยยาถ่าย แต่บางคนก็อาจมีอาการท้องเดินร่วมด้วย อาการปวดถึงแม้จะกินยาแก้ปวดอะไรก็ไม่หาย ต่อมาอีก 3-4 ชั่วโมง อาการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้างขวา ลักษณะปวดเสียดตลอดเวลา ต้องนอนนิ่งๆ เคลื่อนไหวตัวจะทำให้ปวดมาก ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนและมีไข้ต่ำๆ บางคนถ้าเป็นมากต้องนอนงอขาตะแคงไปข้างหนึ่ง หรือเวลาเดินต้องเดินตัวงอจึงจะรู้สึกสบายขึ้น อาการจะเป็นอยู่นับชั่วโมงถึงหลายวัน บางคนอาจมีอาการปวดท้องน้อยด้านขวา โดยไม่มีอาการอื่นนำมาก่อนเลยก็ได้ ในเด็กประวัติอาการอาจไม่แน่นอน สิ่งที่ตรวจพบ ไข้ต่ำๆ (37.5 – 38 ํซ. มักไม่เกิน 38.5 ํซ.) บางคนอาจไม่มีไข้ ลิ้นเป็นฝ้าหนา กดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา โดยเฉพาะตรงจุดไส้ติ่ง หรือจุดแม็กเบอร์เนย์ ถ้าใช้มือค่อยๆ กดตรงนั้นบริเวณลึกๆ แล้วปล่อยมือทันทีให้ผนังหน้าท้องกระเด้งกลับ ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บมาก เรียกว่า อาการกดปล่อยแล้วเจ็บ (Rebound Tenderness) ถ้าไส้ติ่งแตก จะมีอาการปวดเจ็บทั่วบริเวณท้องน้อย ท้องแข็ง อาจคลำได้ก้อน และไข้สูง ข้อแนะนำ 1. คนที่มีอาการปวดเหนือสะดือคล้ายโรคกระเพาะ ถ้ากินยาแล้วไม่ดีขึ้น อาจเป็นไส้ติ่งอักเสบระยะแรกได้ 2. คนที่มีไข้สูงนำมาก่อนหลายวันแล้วค่อยปวดท้องคล้ายไส้ติ่งอักเสบ อาจเป็นอาการของไข้ไทฟอยด์ได้ 3. อาการของไส้ติ่งอักเสบ อาจไม่มีไข้ หรืออาการอย่างอื่นนำมาก่อนก็ได้ 4. ในผู้หญิง ถ้ามีอาการปวดท้องน้อยข้างขวา และมีไข้สูงหนาวสั่นตั้งแต่ระยะเริ่มแรก อาจเป็นปีกมดลูกอักเสบ รายละเอียด ถ้ามีอาการปวดและกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา ควรนึกถึงโรคไส้ติ่งอักเสบไว้เสมอ ปวดท้องทั่วไปต่างจากโรคอื่นๆ มักปวดเป็นพักๆ ถ้าเป็นจากโรคแผลในกระเพาะ มักปวดใต้ลิ้นปี่ สัมพันธ์กับอาหาร โดยจะท้องอืด เหมือนอาหารไม่ย่อย หรือปวดจุกเสียดก็ได้ มักเป็นหลังอาหาร (คือทานอาหารแล้วแย่ลง) แต่ถ้าเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น อาจเป็นที่ใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา มักปวดจุกเสียดก่อนอาหาร พอทานอาหารแล้วจะดีขึ้น อาการปวดจากถุงน้ำดี มักเป็นที่ชายโครงขวา อาจมีร้าวไปบริเวณมุมล่างของสะบักขวา หรือบริเวณระหว่างสะบัก จะมีลักษณะที่สำคัญ คือ จะมีอาการแน่นหรืออืดหลังทานอาหารมันๆ (Fat Intolerance) หรือมีปวดท้องหลังอาหารเย็นเป็นพักๆที่ชายโครงขวา (Biliary Colic) ปวดจากนิ่วในท่อไต อาการปวดจะเป็นพักๆ มากบริเวณเอวด้านหลัง อาจร้าวมาขาหนีบ หรือบริเวณอัณฑะ ร่วมกับมีปัสสาวะเป็นเลือด หรือเป็นสีน้ำล้างเนื้อ ปวดจากปีกมดลูกหรือรังไข่ จะปวดบริเวณท้องน้อย ไม่สัมพันธ์กับอาหาร มักมีเลือดหรือตกขาวผิดปกติทางช่องคลอดร่วมด้วย จะสังเกตว่าอาการปวดท้อง ในระยะแรกไม่ว่าจะเป็นไส้ติ่งหรือโรคอื่นๆก็ตาม จะแยกกันยาก ต้องใช้การสังเกตอาการ ดังนั้น ในกรณีที่เริ่มปวดท้องที่ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร อย่าเพิ่งกินยาแก้ปวด คววรไปพบแพย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยก่อน เพราะการกินยาแก้ปวด จะทำให้แพทย์วินิจฉัยแยกโรคลำบาก เนื่องจากยาจะบดบังอาการปวด วินิจฉัย นอกจากอาการของผู้ป่วย และการตรวจร่างกายของแพทย์แล้ว ต้องเจาะเลือดดู CBC เพื่อตรวจนับดูจำนวนเม็ดเลือดขาวมากกว่าปกติหรือไม่ ตรวจปัสสาวะเพื่อแยกโรคนิ่วและการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ควรทำการตรวจอัลตราซาวน์ หรือทำ CT Scan ช่องท้องเพื่อความแม่นยำในการวินิจฉัย การรักษา ไม่ว่าจะแตกหรือไม่ ก็จะต้องทำการผ่าตัดก่อนที่ไส้ติ่งจะทะลุแตกในท้องและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ การผ่าไส้ติ่งนี้ ไม่ใช่เรื่องยากหรืออันตราย เมื่อแพทย์เขาตัดตัวไส้ติ่งที่อักเสบนั้นทิ้งไป อาการปวดท้องและอาเจียนก็จะหยุดลง หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์ สุขภาพของท่านก็จะดีตามเดิ


คำถามจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนา “ไวรัสตับอักเสบ B และ C โรคร้ายที่คุณไม่ควรมองข้าม”
คำถามจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนา “ไวรัสตับอักเสบ B และ C โรคร้ายที่คุณไม่ควรมองข้าม” วันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ 2556 ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ 1. ปริมาณยาที่ทานจำนวนเท่าใดถึงจะส่งผลต่อตับ ตอบ ขึ้นอยู่กับชนิดของยา แต่แนะนำให้ทานตามฉลากยาหรือคำแนะนำของแพทย์ 2. การรับประทานอาหารที่ทำจากตับสัตว์ จะมีโทษต่อร่างกายหรือไม่ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่รับประทานตับสด ตอบ การทานตับไม่มีโทษต่อร่างกายแต่ควรปรุงให้สุกก่อนทานค่ะ เพื่อลดการปนเปื้อนเชื้อโรคต่างๆ 3. มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบ B จะเป็นไวรัสตับอักเสบ C ได้ด้วยหรือไม่ ตอบ การมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบ B ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ C ค่ะ การป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ C คือ หลีกเลี่ยงการรับเชื้อ ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การสักตามตัว ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น 4. ไวรัสตับอักเสบ B ทำให้เป็นตับแข็งได้ด้วยหรือไม่ และถ้าเป็นต้องตรวจด้วยวิธีใดจึงจะทราบได้ว่าเป็นจริงๆและการตรวจเลือดจะพบหรือไม่ ตอบ สามารถทำให้เป็นตับแข็งได้ ควรตรวจติดตามอย่างต่อเนื่องด้วยกรเจาะเลือดและอัลตร้าซาวน์ 5. ขอทราบวิธีการดูแลเบื้องต้นเมื่อทราบว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ B และไวรัสตับอักเสบ C ตอบ การดูแลเบื้องต้น คือควรมาพบแพทย์เพราะโรคทั้งสองโรคมีรายละเอียดในการรักษาแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน ควรมาพบแพทย์เพื่อได้รับคำอธิบายดีกว่า 6. วิธีการรักษาไวรัสตับอักเสบ B หายขาดหรือไม่ ตอบ โอกาสหายขาดน้อยแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลตรวจเบื้องต้นของผู้ป่วยแต่ละราย 7. การสร้างน้ำดีของตับสัมพันธ์กับถุงน้ำดีอย่างไร คล้ายกับถุงน้ำดีไม่ได้สร้างน้ำดีใช้หรือไม่ครับ ตอบ น้ำดีสร้างที่ดับและจะถูกส่งไปเก็บกักที่ถุงน้ำดี 8. เรามีโอกาสได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ A B C พร้อมกันหรือไม่ ตอบ ไม่ เพราะไวรัส A ติดทางการกิน ไวรัส B ติดจากแม่สู่ลูก , ทางเลือด และทางเพศสัมพันธ์ ไวรัส C ติดจากแม่สู่ลูก ทางเลือด และทางเพศสัมพันธ์ 9. ยาฉีด Peg Interforon ที่ใช้ในการรักษาไวรัสตับอักเสบ B และ C มีผลข้างเคียงเหมือนกันใช่ไหม ตอบ ใช่ค่ะ เป็นยาชนิดเดียวกัน ในการรักษาวรัสตับอักเสบ B และ C 10. ยาชนิดใดบ้างที่ผู้ป่วยกินตลอดแล้วมีผลต่อตับ ตอบ ยาทุกชนิดที่ทานล้วนแล้วแต่ต้องผ่านกระบวนการดูดซึมและสลายที่ตับเพราะฉะนั้น เราควรทานตามข้อบ่งชี้และทานในขนาดที่กำหนด 11. เคยฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ B แล้ว แต่ภูมิคุ้มกันไม่ขึ้น ควรทำอย่างไร เพื่อให้มีภูมิคุ้มกัน ตอบ ควรมาตรวจดูก่อนว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B แบบแฝง หรือไม่ 12. ภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบ B จะอยู่ในร่างกายกี่ปี ตอบ ตลอดชีวิต 13. ญาติเป็นไวรัสตับอักเสบ B ชนิดเป็นพาหะ สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ถ้าหายขาดแล้วจะเป็นอีกได้หรือไม่ และคนรอบข้างสามารถติดได้หรือไม่ จะมีวิธีป้องกันอย่างไร ตอบ โอกาสหายขาดจากไวรัสตับอักเสบบีน้อย แต่ควบคุมได้ วิธีการติดต่อ 1.ทางเลือด 2. ทางเพศสัมพันธ์ 3.จากแม่สู่ลูก การป้องกัน 1. ไม่ควรใช้ของมีคมร่วมกัน 2. แนะนำสำหรับคู่สมรสให้ไปตรวจเช็คภูมิไวรัสตับอักเสบบีก่อน ถ้ายังไม่มีภูมิก็ให้ฉีดวัคซีน 3. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งควรสวมถุงยางอนามัย 4. ห้ามบริจากเลือดให้ผู้อื่น

ความสำคัญของไต โรคไตวายเรื้อรังและการรักษา
ความสำคัญของไต โรคไตวายเรื้อรังและการรักษา นพ.วิรุฬห์ มาวิจักขณ์ Diplomate, American Board of Internal Medicine and Nephrology คนเราเกิดมามีไตอยู่ 2 ข้าง หน้าที่สำคัญของไต คือ การขับของเสียต่างๆ ที่อยู่ในร่างกายออกทางปัสสาวะ ทำให้เลือดและร่างกายคนเราสะอาด, ของเสียที่ไตต้องขับออกส่วนหนึ่งมาจากการเผาผลาญอาหารในร่างกาย และอีกส่วนหนึ่งมาจากการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ถ้าคนเราไม่มีไต หรือไตวายหยุดทำงาน ของเสียเหล่านี้จะคั่งค้างอยู่ในกระแสเลือดและในร่างกาย ทำให้เลือดและร่างกายสกปรก ในที่สุดอวัยวะต่างๆ ในร่างกายก็จะเป็นพิษ หยุดทำงานและเสียชีวิต หน้าที่ของไต นอกจากหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายแล้ว ไตยังทำหน้าที่สำคัญๆ อื่นๆ ได้แก่ ควบคุมความดันโลหิต (คนไข้ไตไม่ดีจะมีความดันโลหิตสูง) ผลิตฮอร์โมน Erythropoietin ที่กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง (คนไข้โรคไตวายจะมีเลือดจาง เลือดน้อย ) ควมคุมปริมาณน้ำและระดับเกลือแร่ในร่างกาย (คนไข้โรคไตจะมีอาการบวม, เกลือแร่ผิดปกติ, ถ้าเกลือ โปแตสเซียมผิดปรกติจะทำให้หัวใจเต้นผิดปรกติ , เป็นอันตรายต่อชีวิตได้) ควบคุมความเป็นกรดด่างในร่างกาย (คนไข้โรคไตวายจะมีสภาพความเป็นกรดสูงมาก ทำให้อวัยะวะต่างๆ ในร่างกายทำงานผิดปรกติและเสียชีวิตได้) ควบคุมการสร้างวิตามินดี แคลเซียมและฟอสฟอรัส (คนไข้โรคไตวาย ขาดวิตามินดีทำให้แคลเซียมต่ำ , กระดูกเปราะบางพรุน) ภาวะไตวา่ย ถ้าเกิดภาวะไตวาย, ไตหยุดทำงาน ของเสียจะคั่งค้างในเลือดและในร่างกายมากๆ ผู้ป่วยจะมีอาการเบื่ออาหาร, คลื่นไส้, อาเจียน, อ่อนเพลีย, ซีดโลหิตจาง, คันตามตัว, มีจ้ำตามตัว, อาเจียนเป็นเลือด, ท้องเดิน, ความดันโลหิตสูง, หัวใจล้มเหลว, หัวใจเต้นผิดปรกติ, หายใจลำบาก, ไอเป็นเลือด, น้ำท่วมปอด, กระดูกเปราะบางหักง่าย, ปวดกระดูก, ถ้าของเสียค้างในสมองมากๆ จะมีอาการชักและสมองหยุดทำงาน นอกจากนี้ผู้ป่วยจะเป็นหมัน และหมดสมรรถภาพทางเพศ ถ้าเกิดโรคไตวายในเด็ก เด็กจะแคระแกร็นหยุดเจริญเติบโต สาเหตุของโรคไต สาเหตุของโรคไตที่พบบ่อยๆ คือ ไตวายจากโรคเบาหวาน ไตวายจากโรคความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง ไตวายจากโรคเก๊าท์และนิ่วในไต ไตวายจากโรคเนื้อเยื่อไตอักเสบ (Glomerulonephritis), โรค SLE, โรคไตวายเรื้อรังจากโรคบางโรค สามารถป้องกันได้แต่เนิ่นๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเก๊าท์ โรคนิ่วในไต ถ้าผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาควบคุมให้ดีก็จะลดโอกาสการเป็นโรคไตวายเรื้อรังได้ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ไตวายถาวรแล้วไม่ว่าด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม ปัจจุบันนี้วงการแพทย์เราก็มีวิธีรักษาผู้ป่วยไตวายให้มีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ วิธีรักษาโรคไต วิธีรักษาโรคไตวายเรื้อรังมี 3 วิธี วิธีแรก คือการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) เป็นการนำเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีของเสียคั่งค้าง ผ่านเข้าไปในเครื่องกรองเลือด ซึ่งจะกรองของเสียจากเลือดและนำเลือดที่ถูกกรองจนสะอาดแล้วกลับเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วย การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ต้องทำเป็นเวลา 3-5 ชม. และต้องทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หลังฟอกเลือดแล้วผู้ป่วยจะมีเลือดที่สะอาด ร่างกายจะสดชื่นแข็งแรงขึ้น สามารถดำรงชีวิตได้เกือบเหมือนปรกติ แต่ต้องมาฟอกเลือดเป็นประจำตลอดไป วิธีที่สอง คือวิธีล้างช่องท้องด้วยน้ำยา (CAPD) วิธีนี้ผู้ป่วยจะต้องใส่น้ำยาเข้าไปในช่องท้องตนเอง ครั้งละ 2 ลิตร วันละ 4 ครั้งๆ ละ 4-8 ชม. ทุกๆ วัน ขณะที่น้ำยาอยู่ในช่องท้อง ของเสียต่างๆ ที่เป็นพิษคั่งค้างอยู่ในร่างกายจะซึมจากกระแสเลือดเข้าสู่น้ำยาในช่องท้อง เลือดก็จะสอาด ผู้ป่วยก็จะมีสภาพร่างกายที่สดชื่นแข็งแรงขึ้น แต่ต้องล้างช่องท้องเป็นประจำตลอดไป วิธีที่สาม คือการเปลี่ยนไตหรือปลูกถ่ายไต (Kidney Transplantation) เป็นวิธีการรักษาโรคไตวายเรื้อรังที่ดีที่สุด ไตที่นำมาปลูกใส่ให้กับผู้ป่วยอาจจะมาจากญาติ คือ พ่อแม่ พี่น้อง ลูก หลาน, ลุง, ป้า, น้า, อา หรือในบางกรณีมาจากสามี ภรรยา ที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยผู้บริจาคจะบริจาคไต 1 ข้าง ให้กับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง คนเราปรกติมีไต 2 ข้าง สามารถบริจาคไตให้ญาติพี่น้องได้ 1 ข้าง เหลือเพียง 1 ข้าง ก็สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนคนปรกติ, อายุยืนเหมือนคนปรกติ ในกรณีที่ไม่มีญาติพี่น้องบริจาคไตให้ ผู้ป่วยจะต้องรอรับไตบริจาคจากผู้ป่วยอื่นที่เสียชีวิตอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ ซึ่งในประเทศไทย สภากาชาดจะเป็นผู้รับบริจาคและเป็นผู้จัดสรรไตอุบัติเหตุนี้ให้แก่คนไข้ไตวาย ปัจจุบันแพทย์ไทยเรามีความรู้ความสามารถในการผ่าตัดเปลี่ยนไตประสบผลสำเร็จได้ดีทัดเทียมกับต่างประเทศ ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนไตสำเร็จแล้ว จะสามารถมีชีวิตยืนยาวและดำรงชีวิตด้วยคุณภาพที่ดี ประกอบอาชีพได้ ปัจจุบันมีผู้ป่วยคนไทยที่ได้รับการเปลี่ยนไตไปแล้วหลายพันคน หลายๆ สาขาอาชีพ เช่น ทหาร, ตำรวจ, แพทย์, ทันตแพทย์, วิศวกร, ทนายความ, ดารา, นักการเมือง , นักธุรกิจ ฯลฯ หลังเปลี่ยนไตผู้ป่วยสามารถตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรได้ สามารถทำประโยชน์ต่างๆ ให้สังคมได้เหมือนคนปกติ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ สถาบันปลูกถ่ายไต โรงพยาบาลพระรามเก้า 02-202-9999 ต่อ 2460

คำถามจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนา “เสริมสร้างอัจฉริยะภาพลูกรัก…ให้ห่างไกลโรคสมอง”
คำถามจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมสัมมนา “เสริมสร้างอัจฉริยะภาพลูกรัก…ให้ห่างไกลโรคสมอง” 1. EQ ช่วงอายุที่เด็กจะเรียนรู้และซึมซับได้ดี รวมทั้งแก้ไขเรื่องอารมณ์ร้อนเป็นช่วงอายุกี่ปี ถึงกี่ปี ตอบ EQ สามารถพัฒนาได้ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ (ดีที่สุด 2-6 ขวบ) จะเป็นช่วงที่เด็กกำลังพัฒนาสมองทุกส่วน ดังนั้นช่วงนี้เหมาะจะเป็นช่วงพัฒนาอีคิวครับ แต่เด็กที่โตกว่านี้ก็สามารถพัฒนาได้ครับ แต่อาจไม่เท่าช่วงวัยนี้ครับ และเช่นเดียวกันครับ อีคิวเป็นตัวที่ช่วยให้การแสดงออกทางอารมณ์เหมาะสม บางคนอารมณ์ร้อน แต่ก็ไม่หนักถึงขนาดทำร้ายตนเองหรือผู้อื่นครับ 2. เรื่องการใช้มือซ้าย ปัจจุบันลูกใช้มือซ้ายทานอาหารบางครั้ง ที่บ้านมักจะบอกให้ใช้มือขวาทานถึงจะดี ที่ดีที่สุดควรปล่อยให้ใช้มือซ้ายไปเลยหรือไม่ ตอบ ความถนัดเรื่องซ้าย-ขวา จะเริ่มเมื่อเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป ปัจจุบันการใช้มือซ้าย-ขวา ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสมอง แต่การปิดกั้นไม่ยอมให้ใช้ตามความถนัด อาจทำให้เกิดความเครียด เด็กต่อต้าน รบกวนต่อการเรียนรู้ได้ 3. พัฒนาการด้านความสัมพันธ์ ถ้าเด็กขี้อาย ไม่กล้ากับคนที่เพิ่งพบ แต่เมื่อคุ้นเคยแล้วจะเป็นคนนำในการเล่น ถือว่าต้องพัฒนาด้านความสัมพันธ์หรือไม่ อย่างไร ตอบ ถือว่าเป็นเรื่องปกติในเด็กเล็กในการเริ่มแรกของการสร้างความสัมพันธ์ เด็กอาจจะรอดูท่าที ประเมินคนที่เข้ามาคุย ถ้ารู้สึกว่าเป็นมิตรด้วยจะเริ่มมีความคุ้นเคย พ่อแม่สามารถพาไปสู่สังคมภายนอกพบคนหลากหลาย ทำให้เด็กกล้าเผชิญหน้าความขี้อายลดลง

โรคหลอดเลือดสมอง Stroke ตอนที่ 3
เส้นเลือดในสมองเปรียบเสมือนท่อประปา ที่นำเลือดไปเลี้ยงสมอง โดยเส้นเลือดเป็นของคนคนเดียวกันทั้งร่างกาย ดังนั้นหากหลอดเลือดเสื่อมก็จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมองได้ ดังนั้นปัจจัยเสี่ยงจึงมีทั้งที่แก้ไขได้และ แก้ไขไม่ได้ ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ได้แก่ อายุ เมื่ออายุมากขึ้นความเสื่อมของเส้นเลือดก็จะตามมาในแต่ละบุคคล ยิ่งอายุมากขึ้น หลอดเลือดในสมองก็จะเสื่อมมากขึ้น เหมือนท่อประปาในบ้านที่ใช้นานขึ้น ก็จะมีโอกาสที่จะมีตะกอนมาเกาะมากกว่าคนอายุน้อย เพศชาย มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เคยมีประวัติโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือโรคหลอดเลือดในสมองแตกมาก่อน ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถแก้ไขได้ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง เมื่อมีโรคความดันโลหิตสูงควรพบแพทย์เพื่อตรวจวัดความดันและรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆก็ตาม เนื่องจากความดันโลหิตที่สูงจะไปทำให้เส้นเลือดในสมองแตกได้ง่าย และทำให้เส้นเลือดในสมองมีความเปราะมากขึ้น โรคเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หากผู้ป่วยมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Atrial fibrillation or atrial flutter) มักจะทำให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจและลิ่มเลือดในหัวใจอาจจะลอยไปอุดเส้นเลือดในสมองได้ การแก้ไขภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะมักจะทำได้โดยการจี้ไฟฟ้าที่หัวใจ หรือหากไม่สามารถแก้ไขได้ ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องได้รับยาละลายลิ่มเลือด อย่างต่อเนื่อง ไขมันในเลือดสูง ไขมันจะเป็นตัวเร่งให้หลอดเลือดมีการแข็งตัวและมักจะเกาะตัวกันเป็นตะกอนในหลอดเลือด และทำให้หลอดเลือดในสมองตีบได้ การสูบบุหรี่ บุหรี่จะเป็นปัจจัยเร่งที่สำคัญที่จะทำให้หลอดเลือดในสมองเปราะและเกิดมีตะกอนได้ง่าย ทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดในสมองตีบได้ง่่ายกว่าคนที่ไม่สูบ ทั้งนี้รวมถึงบุคคลที่ใกล้ชิดคคนที่สูบบุหรี่จัดและได้รับควันบุหรี่ตลอดเวลาด้วย ดื่มเหล้า เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและเส้นเลือดในสมองแตก ได้ง่ายกว่าคนทั่่วไป การใช้สารเสพติดบางชนิดได้แก่ แอมเฟตามีน โคเคน ผู้ที่ใช้สารเสพติดเหล่านี้มักจะเกิดเลือดออกในสมองง่ายกว่าคนทั่วไป เนื่องจากสารเสพติดเหล่านี้จะไปทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง หรือในผู้ป่วยบางรายอาจจะทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดอักเสบ โรคหลอดเลือดสมองตีบสามารถรักษาให้ผู้ป่วยหายเป็นปกติ โดยที่ผู้ป่วยไม่มีความพิการหลงเหลืออยู่ โดยผู้ป่วยจะต้องมาพบแพทย์หลังมีอาการภายในเวลา 4ชั่วโมงครึ่ง แพทย์จะสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดเข้าทางหลอดเลือดดำ (IV – rtPA alteplase ) โดยยาจะสามารถไปละลายลิ่มเลือดที่ไปอุดตันสมองได้ 30-50% ของผู้ป่วย และทำให้ผู้ป่วยไม่มีความพิการหลงเหลืออยู่ หรือมีความพิการน้อยมาก หลังจากการให้ยา ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก( ICU) หรือหอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke unit ) เพื่อการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดโดยบุคลากรทางการแพทย์เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่งโมง แต่ผู้ป่วยที่มีอาการมานานกว่า สี่ชั่วโมงครึ่งจะมีความเสี่ยงที่จะมีเลือดออกในสมองได้ถ้าให้ยา มากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการให้ยา โดยความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะมีเลือดออกในสมองในกรณีที่มาภายในเวลาสี่ชั่วโมงครึ่งและได้รับยาละลายลิ่มเลือดมี 6% จากกการทดลอง ปัจจุบันนี้ยังมีการรักษาโรคหลอดเลือดสมองระยะเฉียบพลันที่ยังอยู่ในการทดลองหลายแบบ เช่นการให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดดำคู่กับการให้ยาทางหลอดเลือดแดง การใช้เครื่องมีอไปดึงหรือลากลิ่มเลือดที่อุดตันโดยตรง หรือการให้ยาชนิดอื่นได้แก่ยา Desmoteplase โรคหลอดเลือดในสมองแตก หรือเลือดออกในสมอง การรักษาภาวะเส้นเลือดในสมองแตกในระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจจะจำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัดในทันทีหากผู้ป่วยมีเลือดออกในสมองมากจนกระทั่งมีภาวะความดันในกระโหลกสูง หรือถ้าผู้ป่วยมีเลือดออกในปริมาณน้อยอาจไม่จำเป็นที่จะต้องผ่าตัดเพียงแค่รักษาแบบประคับประคองได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะต้องได้รับการดูแลเป็นผู้ป่วยในหอผู้ป่วยหนักเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ในกรณีที่มีเลือดออกในชั้นเยื่อหุ้มสมองจากหลอดเลือดสมองโป่งพอง ( Subarachnoid hemorrhage from rupture aneurysm ) ผู้ป่วยจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาในทันทีเพื่อลดการแตกซ้ำของหลอดเลือดสมองที่โป่งพอง การป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ 1 การป้องกันก่อนการเป็นโรค 2 การป้องกันการเป็นซ้ำในกรณที่เกิดภาวะโรคหลอดเลือดสมองแล้ว การป้องกันก่อนการเป็นโรค 1.) ตรวจวัดความดันโลหิต อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากพบว่ามีความดันโลหิตที่มากกว่า 140/80 mmHg ควรพบแพทย์ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยการลดอาหารเค็ม และรับประทานยาลดความดันอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรหยุดรับประทานยาลดความดันเอง โดยแพทย์ไม่ได้สั่งงด เนื่องจากโรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่เป็นแล้วมักจะเป็นตลอดชีวิต และไม่ค่อยแสดงอาการ 2.) ตรวจร่างกายทางด้านหัวใจว่ามีความผิดปกติของการเต้นของหัวใจหรือไม่ 3.) หยุดสูบบุหรี่ 4.) ลดน้ำหนัก ในกรณีที่มีน้ำหนักเกิน 5.) ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง โดยการออกกำลังกายควรเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติ อย่างน้อย 10-20 ครั้ง ต่อนาที และ อย่างน้อยครั้งละครึ่งชั่่วโมง 6.) ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี เพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด 7.) งดการดื่มสุรา การป้องกันการเป็นซ้ำในกรณีที่เกิดภาวะโรคหลอดเลือดสมองแล้ว 1.) การรักษาจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนปัจจัยเสี่ยงมี่สามารถปรับได้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว 2.) การป้องกันการเป็นซ้ำของโรคหลอดเลือดสมองตีบโดยการให้ยาต้านเกร็ดเลือดหรือยาละลายลิ่มเลือด เกร็ดเลือดเป็นเซลล์ชนิดหนึ่งที่อยู่ในกระแสเลือด จะถูกกระตุ้นโดยการที่เกิดการฉีกขาด หรือการอักเสบของเส้นเลือด และสามารถ อุดหลอดเลือดได้ ทำให้เกิดเป็นตะกอนในเส้นเลือด ยาต้านเกร็ดเลือดจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้มีเกิดการจับกันของเกร็ดเลือด เพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด ที่จะไปเลี้ยงสมอง ยาต้านเกร็ดเลือดในปัจจุบันมีหลายชนิดเช่น Aspirin, cilostazol,clopidogrel,triflusal, arpirin plus dipyridamole,Ticagilor ซึ่งยาต้านเกร็ดเลือดแต่ละตัวจะออกฤทธิ์ต้านเกร็ดเลือดด้วยกลไกที่ต่างกัน บางครั้งหากผู้ป่วยมีอาการเป็นซ้ำๆ จากการอุดตันของเส้นเลือดสมอง ผู้ป่วยอาจจะมีความจำป็นที่จะต้องรับประทานยาต้านเกร็ดเลือดหลายชนิดร่วมกัน แต่ก็จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดเลือดออกผิดปกติในบริเวณต่างๆมากขึ้น เช่นเลือดออกในทางเดินอาหาร หรือเลือดออกในสมอง

โรคหลอดเลือดสมอง Stroke ตอนที่ 2
อาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง -ปากเบี้ยวหรือชาบริเวณใบหน้า -ปวดศีรษะอย่างรุนแรง -แขนขาอ่อนแรงหรือชาครึ่งซีก -วิงเวียนศีรษะประกอบกับเดินเซ -พูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออก ฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองต้องปฏิบัติอย่างไร โรคหลอดเลือดสมองถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ (Brain attack) ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถให้ประวัติเองได้ เแพทย์จำเป็นที่จะต้องทราบเวลาที่ญาติพบเห็นผู้ป่วยเป็นปกติครั้งสุดท้าย ถ้าผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลภายในเวลาสี่ชั่วโมงครึ่งหลังจากอาการเริ่มต้น แพทย์จะสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือด(rt-PA) เพื่อละลายลิ่มเลือดในสมอง และทำให้สมองส่วนที่ขาดเลือดกลับมาเป็นปกติได้ หากไม่สามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ แพทย์ก็ยังจำเป็นที่จะต้องรับผู้ป่วยไว้เป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการ ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดอาการภายใน 7 วัน หากสงสัยว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคหลอดเลือดสมองให้ดำเนินการดังนี้ 1. โทรศัพท์แจ้งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด โรงพยาบาลพระรามเก้า 02-202-9999 และแจ้งอาการที่ผู้ป่วยเป็น เวลาที่ผู้ป่วยมีอาการ โดยทางโรงพยาบาลจะจัดส่งรถโรงพยาบาลไปรับตัวผู้ป่วยในทันที 2. นำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันทีที่มีอาการ ไม่ควรรอหรือให้ผู้ป่วยนอนพักสังเกตอาการเอง 3. หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวที่ต้องมียาที่รับประทานเป็นประจำ เช่นเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ควรนำยามาโรงพยาบาลด้วย และไม่ควรให้ยาผู้ป่วยรับประทานก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล โดยยาลดความดัน จะทำให้ผู้ป่วยมีความดันเลือดที่ต่ำลง และอาจจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ หรือไม่ควรให้ผู้ป่วยรับประทานยาเบาหวาน 4. หากผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นเองก่อนถึงโรงพยาบาล ก็ยังจำเป็นที่จะต้องนำผู้ป่วยมาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะอาจจะเป็นภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (TIA) ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง โดยผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในโรงพยาบาล และต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมในทันที และหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นอีกแพทย์จะสามารถรักษาได้ทันท่วงที การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมองทำได้อย่างไรและต้องตรวจอะไรเพิ่มเติมบ้าง ประวัติ -แพทย์จำเป็นจะต้องซักประวัติอาการของผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาล เวลาที่ผู้ป่วยมีอาการ หรือเวลาที่เห็นผู้ป่วยเป็นปกติครั้งล่าสุดเช่นมีอาการหลังตื่นนอน โดยมีญาติเห็นผู้ป่วยเป็นปกติครั้งสุดท้ายตอนก่อนนอน โรคประจำตัว ยาที่ผู้ป่วยรับประทานเป็นประจำ ประวัติครอบครัว โดยหากผู้ป่วยไม่สามารถให้ประวัติเองได้ แพทย์จำเป็นที่จะต้องซักประวัติจากญาติหรือผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ตรวจร่างกาย -แพทย์จะตรวจสัญญาณชีพ ( vital signs) วัดความดัน ชีพจร การหายใจ และอุณหภูมิของร่างกาย ตรวจหัวใจ ตรวจระบบประสาทโดยละเอียดได้แก่ การตรวจกำลังของกล้ามเนื้อ ความรู้สึกสัมผัสของร่างกาย การพูดและความเข้าใจ การฟังตามคำสั่ง การเดิน เป็นต้น การตรวจทางห้องปฏิบัติการ-การตรวจเพิ่มเติมในผู้ป่วยที่สงสัยภาวะหลอดเลือดสมองทำเพื่อที่จะแยกภาวะอื่น ที่ไม่ใช่โรคหลอดเลือดสมอง แยกภาวะเลือดออกในสมอง หรือเส้นเลือดในสมองแตก รวมถึงเป็นส่่วนหนึ่งในการหาสาเหตุของโรคหลอดเลือดในสมอง เพื่อการพิจารณาการให้ยาในการป้องกันการเป็นซ้ำในครั้งต่อไป 1. หากสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง จะต้องแยกสาเหตุอื่่นๆที่ทำให้มีอาการคล้ายโรคหลอดเลือดสมองได้เช่น ภาวะน้ำตาลต่ำ ภาวะเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ ภาวะการทำงานของตับหรือไตที่ผิดปกติ โดยจะต้องเจาะเลือดตรวจในข้ันต้น 2. เอกซเรย์ปอด เพื่อดูภาวะความผิดปกติของหัวใจและปอด 3. คลื่นไฟฟ้าหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองอาจจะพบร่วมกับภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบได้ และหัวใจเต้นผิดจังหวะอาจจะทำให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจ และลิ่มเลือดจากหัวใจสามารถทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดได้ 4. เอกซเรย์สมอง ( CT Scan ) ข้อดีคือใช้เวลาน้อย สามารถดูโรคในกลุ่มเลือดออก และดูการแตกของกระโหลกศีรษะได้ดี แต่ความละเอียดของภาพในเนื้อสมอง เช่นสมองขาดเลือดในระยะเบื้องต้น จะน้อยกว่าการทำ MRI หรือการดูรายละเอียดของเส้นเลือดจะต้องฉีดสารทึบแสง ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยที่มีสภาวะไตเสื่อมเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้ 5. การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (MRI scan) สามารถดูภาวะหลอดเลือดในสมองตีบในระยะเฉียบพลันได้ ภายใน 15 นาทีถึง 7 วัน และสามารถเห็นหลอดเลือดใหญ่ๆที่ตีบได้โดยไม่ต้องฉีดสี ข้อเสียคือระยะเวลาในการตรวจนาน และต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วย เช่นในผู้ป่วยบางคนที่กลัวที่แคบ หรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถนอนนิ่งได้นานๆ หรือในผู้ป่วยที่ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pace maker ) ก็ไม่สามารถรับการตรวจด้วยวิธีนี้ได้ เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะไปกวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นหัวใจและทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้ 6. การฉีดสีดูหลอดเลือดสมอง (Cerebral angiography) เป็นการสวนเส้นเลือดจากขาหนีบเพื่อฉีดสีดูหลอดเลือด ซึ่งแพทย์มักจะส่งตรวจในกรณีที่สงสัยภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพอง (cerebral aneurysm ) ที่ทำให้เกิดเลือดออกในชั้นเยื่อหุ้มสมอง ( Subarachnoid hemorrhage) 7. อัลตร้าซาวด์หลอดเลือด ( TCD transcranial doppler ,Carotid duplex) เป็นการตรวจโดยใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์เพื่อดูความผิดปกติของหลอดเลือดในสมองและหลอดเลือดที่คอ เพื่อเป็นแนวทางในการรักษาในผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดที่คอตีบ ว่าจำเป็นที่จะต้องผ่าตัดหลอดเลือดหรือไม่

โรคหลอดเลือดสมอง Stroke ตอนที่ 1
ปัจจุบันโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตและสาเหตุของความพิการในลำดับต้นๆของประชากรในประเทศไทย ทั้งๆที่เป็นโรคที่ป้องกันและรักษาได้หากผู้ป่วยมารับการรักษาภายในเวลาที่ทันท่วงที โรคหลอดเลือดสมองคืออะไร (STROKE) คนไทยมักรู้จักโรคหลอดเลือดสมองกันว่าโรคอัมพาต หรืออัมพฤกษ์ ซึ่งเกิดได้จากสองสาเหตุคือ เส้นเลือดในสมองแตก และเส้นเลือดในสมองตีบ ทั้งสองกรณีนี้จะทำให้เนื้อเยื่อสมองที่โดนผลกระทบไม่ทำงาน เช่นถ้ามีอาการในบริเวณที่ควบคุมการขยับของแขนขาด้านใดด้านหนึ่ง ก็จะทำให้แขนขาด้านนั้นขยับไม่ได้ ถ้าเป็นถาวรก็จะเรียกว่าเป็นอัมพาต ถ้าเป็นชั่วคราวก็จะเรียกว่าอัมพฤกษ์นั้นเอง คล้ายๆอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (heart attack) แต่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง ( brain attack) แทน อาการของโรคหลอดเลือดสมองเป็นอย่างไรได้บ้าง ในปัจจุบันหากผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแบบขาดเลือดมารับการรักษาภายในเวลา สี่ชั่วโมงครึ่ง สามารถที่จะให้ยาละลายลิ่มเลือดเพื่อที่จะช่วยให้สมองในบริเวณที่ขาดเลือดกลับมาทำงานได้ตามปกติ ดังนั้นอาการที่เป็นทันทีทันใดและควรสังเกตง่ายๆในเบื้องต้นจึงได้แก่ F.A.S.T. F-Face : ผู้ป่วยจะมีอาการหน้าเบี้ยวด้านใดด้านหนึ่ง หรือผู้ป่วยบางท่านอาจจะมีอาการระหว่างการรับประทานอาหารแล้วมีอาหารไหลออกจากปากหรือน้ำลายไหลออกจากมุมปากด้านใดด้านหนึ่ง ทดสอบง่ายๆได้โดยให้ผู้ป่วยลองยิ้มหรือยิงฟัน A-Arms : ผู้ป่วยจะขยับแขนขาด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ โดยอาจจะเป็นเฉพาะแขนหรือเฉพาะขา หรือเป็นทั้งแขนขาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นด้านเดียวกัน ทดสอบง่ายๆโดยการให้ผู้ป่วยลองยกแขนขาทั้งสองข้างถ้าตกด้านใดด้านหนึ่งแสดงว่ามีความผิดปกติ S-Speech : ผู้ป่วยจะมีอาการพูดไม่ชัด พูดอ้อแอ้ เหมือนลิ้นคับปาก หรือบางคนมีอาการพูดไม่ออก หรือฟังคำสั่งไม่รู้เรื่อง ญาติบางคนจะคิดว่าผู้ป่วยสับสน ทดสอบได้ง่ายๆด้วยการให้ผู้ป่วยพูดตามในคำง่ายๆ เช่นกรุงเทพมหานคร หรือชี้ให้ดูปากกา นาฬิกา แล้วถามว่าของสิ่งนั้นเรียกว่าอะไร หรือให้ทำตามคำสั่งง่ายๆ เช่น ชูสองนิ้วเป็นต้น T-Time: เวลาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ให้นำผู้ป่วยที่สงสัยภาวะโรคหลอดเลือดสมองไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับสมองที่มากขึ้นตามระยะเวลาที่มากขึ้น ในกรณีที่เป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบและมาถึงโรงพยาบาลภายในสี่ชั่วโมงครึ่ง จะสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดในส่วนของเส้นเลือดที่อุดตันได้ และอาการของคนไข้จะสามารถกลับมาเป็นปกติได้ ถ้าให้ยาละลายลิ่มเลือดแล้ว สามารถละลายลิ่มเลือดที่อุดตันออกไปได้ อาการของผู้ป่วยหลอดเลือดสมองจะขึ้นกับบริเวณสมองที่ได้รับการกระทบกระเทือน และอาการมักเกิดขึ้นแบบฉับพลัน มักจะระบุเวลาที่เกิดอาการได้ หรือเป็นหลังจากตื่นนอน เช่นตอนก่อนนอนญาติยังพบว่าอาการปกติดี แต่ตอนเช้าไปปลุกพบว่าแขนขาอ่อนแรง เช่น มีอาการอ่อนแรงของแขนขาด้านใดด้านหนึ่ง หรือชาซีกใดซีกหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นด้านตรงข้ามกับบริเวณสมองที่ได้รับความกระทบกระเทือน พูดจาสับสนเหมือนฟังคำสั่งไม่รู้เรื่องหรือพูดไม่ออก พูดแล้วลิ้นคับปากอ้อแอ้ มีอาการเวียนศีรษะ อาจจะมีบ้านหมุนหรือไม่มีบ้านหมุนร่วมด้วย ไม่สัมพันธ์กับท่าทาง ปวดศีรษะรุนแรงทันที ด้านใดด้านหนึ่ง หรือปวดทั่วๆทั้งศีรษะ รวมทั้งมีอาการคลื่นไส้อาเจียน โรคหลอดเลือดสมองมีกี่ชนิด ? โรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็นสองแบบคือ 1. สมองขาดเลือด (ischemic stroke) สาเหตุหลักคือเส้นเลือดในสมองอุดตัน ไม่ว่าจะเกิดจากลิ่มเลือดที่มาจากหัวใจลอยไปอุดหลอดเลือดในสมอง(embolus) หรือ เส้นเลือดตีบจากตะกอนในเส้นเลือด(Thrombosis) 2. เส้นเลือดในสมองแตก เกิดจากความเสื่อมของผนังเส้นเลือดตามอายุ ทำให้เกิด เลือดออกในเนื้อสมอง (intracranial hemorrhage) หรือเลือดออกในชั้นเยื่อหุ้มสมอง (subarachnoid hemorrhage) ซึ่งมักเกิดจากการที่มีเส้นเลือดโป่งพองผิดปกติในสมองอยู่เดิมแล้วเกิดการ แตกขึ้นมา สมองขาดเลือดชั่วคราวคืออะไร (TIA transient ischemic attack) สมองขาดเลือดชั่วคราวคือการที่ปริมาณเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนใดส่วนหนึ่งน้อยลงทันที และสามารถกลัับคืนสู่สภาพเดิมได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ไม่เกิดภาวะเนื้อสมองตายที่เกิดจากการขาดเลือด อาการจะเป็นเหมือนโรคหลอดเลือดในสมองตีบ แต่หายได้ภายในเวลา 24 ชั่วโมง โดยส่วนใหญ่จะเกิดเพียงระยะเวลาสั้นๆ เช่น 5-10 นาทีได้ โดยที่เมื่อผู้ป่วยมาทำ MRI (การ X-ray สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) จะไม่พบความผิดปกติ โดยทั่วไปผู้ป่วยประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยสมองขาดเลือดชั่วคราวมักจะกลายไปเป็นโรคหลอดเลือดสมอง(ischemic stroke)ภายใน 7วัน ดังนั้นการที่ผู้ป่วยมีอาการสมองขาดเลือดชั่วคราว มักจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยทุกรายที่มีอาการจึงควรมาพบแพทย์ทันทีที่มีความผิดปกติเกิดขึ้น

คำถามจากกิจกรรมสัมมนา “100 เรื่องราวที่คุณแม่ตั้งครรภ์…ต้องรู้”
คำถามจากกิจกรรมสัมมนา “100 เรื่องราวที่คุณแม่ตั้งครรภ์…ต้องรู้” 1. ลูกดิ้นเยอะ เวลากลางวันหลายช่วง และกลางคืนช่วงตี2-ตี5 อยากทราบว่าเขาจะพักผ่อนพอไหม ตอบ. ลูกดิ้นเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรน่ากังวลเลยค่ะ และลูกมักจะดิ้นใกล้เวลารับประทานอาหาร และเวลาอิ่มแล้ว หรือเวลามีเสียงดังรอบตัว คุณแม่จึงควรรับประทานอาหารให้ตรงเวลา และหลีกเลี่ยงการได้ยินเสียงดังค่ะ 2. อาการเท้าบวม เดินแล้วเหมือนมีน้ำอยู่ในเท้า นอนพักเอาหมอนหนุนตอนกลางคืน ตื่นมายังบวมอยู่ อยากทราบว่าเกิดจากอะไร ผิดปกติหรือไม่ ตอบ. ถ้าเท้าบวมตอนเย็นเนื่องจากยืน เดิน ตลอดวัน และยุบตอนตื่นเช้า ถือว่าเป็นอาการปกติได้ค่ะ แต่ถ้าบวมเลยข้อเท้าขึ้นมาถึงหน้าแข้ง กดแล้วบุ๋ม และยังบวมตอนตื่นนอนตอนเช้า อาจมีภาวะครรภ์เป็นพิษ ควรไปพบแพทย์ก่อนนัดค่ะ 3. อายุครรภ์ 7- 9 เดือน เดินขึ้นสะพานลอยได้ไหม ตอบ. ควรเลี่ยงค่ะ เพราะน้ำหนักของครรภ์อาจทำให้เสียศูนย์ และเสียการทรงตัว หรือก้าวบันไดพลาดเกิดอันตรายได้ และยังอาจเกิดอาการหน้ามืดเพราะเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่ทันค่ะ 4. ถ้าคุณแม่เป็นงูสวัดเดือนเมษายน เป็นประจำเดือนครั้งสุดท้ายเดือนมีนาคม ลูกในครรภ์มีอันตรายหรือไม่ ทั้งในเรื่องของเชื้อไวรัส และยาที่ทาน ตอบ. การติดเชื้อและการรับประทานยา จะไม่มีผลต่อลูกในครรภ์ในช่วง 2 สัปดาห์หลังปฏิสนธิ (ก่อนถึงวันที่ควรมีประจำเดือนค่ะ) สำหรับงูสวัด ถ้าเป็นคุณหมอสูติจัดยาให้และทราบว่าตั้งครรภ์ ก็ไม่เป็นอันตรายค่ะ 5. การบล็อคหลัง ได้ทราบข่าวมาว่าบางโรงพยาบาลไม่ทำการบล็อกหลังให้แล้ว เนื่องจากการฟ้องร้อง ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรบ้าง จริงหรือไม่ อย่างไร ตอบ. คงเป็นเฉพาะกรณี และเฉพาะบางโรงพยาบาลที่มีข้อจำกัดในการบล็อกหลังค่ะ แต่ในโรงพยาบาลใหญ่ที่มีวิสัญญีแพทย์ที่มีความชำนาญ ก็ยังมีการให้บริการอย่างปลอดภัยตามปกติค่ะ 6. อยากสอบถามว่าถ้าคุณแม่ไม่ค่อยทานเนื้อสัตว์ จะหันมาทานอาหารเสริม สารสกัดจากถั่วเหลืองของแอมเวย์ที่เสริมโปรตีน ได้หรือไม่ค่ะ และจะเป็นอันตรายหรือไม่ค่ะ ตอบ. อาหารเสริมหรือสารสกัด ไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ จึงต้องรับประทานตามความเชื่อค่ะ ถ้าไม่ทานเนื้อสัตว์ก็แนะนำให้ทานไข่ขาววันละ 3-4 ฟองค่ะ และถ้าทานปลาได้ ก็ควรให้ได้ทุกวันและเสริมวิตามิน B1-6-12 วันละ 1-2 เม็ด เพื่อชดเชยที่จะไม่ทานเนื้อหมูค่ะ 7. ถ้ามีปัญหาเคยปวดหลังจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ควรจะคลอดเองหรือผ่าคลอดดีกว่า ตอบ. แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอกระดูก เพื่อประเมินว่ายังมีการกดทับหรือมีความเสี่ยงของการกดทับขณะครรภ์ใกล้กำหนดหรือเวลาเบ่งคลอดหรือไม่ ถ้ามีก็ควรจะผ่าตัดคลอดค่ะ 8. อัลตร้าซาวด์ สามารถตรวจความผิดปกติ ของอวัยวะภายในของทารกในครรภ์ได้หรือไม่ ตอบ.สามารถตรวจได้ แต่มีข้อจำกัดว่าอาจไม่สามารถตรวจพบความพิการได้ทั้งหมด ขึ้นกับว่าตรวจในขณะอายุครรภ์เท่าใด และทารกอยู่ในอิริยาบถที่เผยส่วนที่ต้องการตรวจได้ในจังหวะที่กำลังตรวจหรือไม่ 9. บริเวณผิวหนังใกล้ช่องคลอดอับชื้นกว่าปกติคิดว่าเนื่องจากต้องปัสสาวะบ่อยทำให้มีตุ่ม (ลักษณะเหมือนยุงกัด และรู้สึกคัน) สามารถใช้แป้งเด็กทาเพื่อลดอาการคันและอับชื้นได้หรือไม่ค่ะ ตอบ. การทาแป้งอาจเกิดการหมักหมม และเกิดการอักเสบเพิ่มเติม ควรเปลี่ยนวิธีการใช้กระดาษชำระ เพื่อกดกระดาษให้นิ่งและแน่นในบริเวณอับชื้น จนรู้สึกว่าแห้งแล้วก็เอากระดาษอออก พลิกกลับอีกด้านที่ยังแห้งกดซับนิ่งๆอีกครั้ง ไม่ควรเช็ดแบบเคลื่อนกระดาษ เพราะนอกจากไม่แห้งแล้ว อาจเกิดการแปดเปื้อนของแบคทีเรียและเชื้อรารอบทวารหนัก เข้าไปในช่องคลอด ทำให้เกิดการอักเสบและคันได้


ไส้ติ่งอักเสบ
ไส้ติ่ง หรือ Appendix นี้มีรูปร่างเหมือนตัวหนอน ห้อยออกมาจากส่วนของลำไส้ใหญ่ที่เรียกว่า Cecum ไม่มีประโยชน์อะไรต่อการย่อยอาหาร แต่นานๆ ทีมันก็เกิดอักเสบขึ้นมา โรคไส้ติ่งอักเสบหรือไส้ตันนี้ ทุกคนควรรู้จักอาการเอาไว้ เพราะอาจเกิดขึ้นได้กะทันหัน โรคนี้เริ่มต้นด้วยอาการปวดท้อง ตอนแรกปวดตรงกลางสะดือ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา จุดปวดนี้ค่อยๆย้ายมาอยู่ที่ท้องน้อยด้านขวา ถ้าเราเอามือกดตรงส่วนนี้ของหน้าท้อง จะยิ่งรู้สึกเจ็บมากขึ้นจนแทบทนไม่ได้ ผู้เป็นมักจะมีไข้ขึ้นและอาเจียนติดๆกัน บางคนหยุดถ่าย แต่บางคนก็ท้องเดิน ถ้ามีอาการเช่นนี้ต้องรีบไปโรงพยาบาล ให้แพทย์เขาตรวจดูทันที เพราะถ้าไส้ติ่งอักเสบจริง จะต้องทำการผ่าตัดก่อนที่ไส้ติ่งจะทะลุแตกในท้อง และเป็นอันตรายต่อชีวิต การผ่าไส้ติ่งนี้ ไม่ใช่เรื่องยากหรืออันตราย เมื่อแพทย์เขาตัดตัวไส้ติ่งที่อักเสบนั้นทิ้งไป อาการปวดท้องและอาเจียนก็จะหยุดลง หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์ สุขภาพของท่านก็จะดีตามเดิม ลักษณะทั่วไป ไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องรุนแรงที่ต้องผ่าตัด หากพบมีอาการเจ็บปวดตรงท้องน้อยข้างขวา ควรนึกถึงโรคนี้ไว้ก่อนเสมอ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย สาเหตุ เกิดจากกรอุดตันของไส้ติ่ง เช่น มีเศษอุจจาระตกลงไปในไส้ติ่ง ทำให้มีเชื่อแบคทีเรียเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบ อาการ มักมีอาการปวดท้องมาก เริ่มแรกอาจปวดเป็นพักๆ รอบสะดือคล้ายโรคกระเพาะ หรือท้องเดิน อาจจะเข้าส้วมบ่อย แต่ถ่ายไม่ออก บางคนอาจสวนด้วยยาถ่าย แต่บางคนก็อาจมีอาการท้องเดินร่วมด้วย อาการปวดถึงแม้จะกินยาแก้ปวดอะไรก็ไม่หาย ต่อมาอีก 3-4 ชั่วโมง อาการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้างขวา ลักษณะปวดเสียดตลอดเวลา ต้องนอนนิ่งๆ เคลื่อนไหวตัวจะทำให้ปวดมาก ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนและมีไข้ต่ำๆ บางคนถ้าเป็นมากต้องนอนงอขาตะแคงไปข้างหนึ่ง หรือเวลาเดินต้องเดินตัวงอจึงจะรู้สึกสบายขึ้น อาการจะเป็นอยู่นับชั่วโมงถึงหลายวัน บางคนอาจมีอาการปวดท้องน้อยด้านขวา โดยไม่มีอาการอื่นนำมาก่อนเลยก็ได้ ในเด็กประวัติอาการอาจไม่แน่นอน สิ่งที่ตรวจพบ ไข้ต่ำๆ (37.5 – 38 ํซ. มักไม่เกิน 38.5 ํซ.) บางคนอาจไม่มีไข้ ลิ้นเป็นฝ้าหนา กดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา โดยเฉพาะตรงจุดไส้ติ่ง หรือจุดแม็กเบอร์เนย์ ถ้าใช้มือค่อยๆ กดตรงนั้นบริเวณลึกๆ แล้วปล่อยมือทันทีให้ผนังหน้าท้องกระเด้งกลับ ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บมาก เรียกว่า อาการกดปล่อยแล้วเจ็บ (Rebound Tenderness) ถ้าไส้ติ่งแตก จะมีอาการปวดเจ็บทั่วบริเวณท้องน้อย ท้องแข็ง อาจคลำได้ก้อน และไข้สูง ข้อแนะนำ 1. คนที่มีอาการปวดเหนือสะดือคล้ายโรคกระเพาะ ถ้ากินยาแล้วไม่ดีขึ้น อาจเป็นไส้ติ่งอักเสบระยะแรกได้ 2. คนที่มีไข้สูงนำมาก่อนหลายวันแล้วค่อยปวดท้องคล้ายไส้ติ่งอักเสบ อาจเป็นอาการของไข้ไทฟอยด์ได้ 3. อาการของไส้ติ่งอักเสบ อาจไม่มีไข้ หรืออาการอย่างอื่นนำมาก่อนก็ได้ 4. ในผู้หญิง ถ้ามีอาการปวดท้องน้อยข้างขวา และมีไข้สูงหนาวสั่นตั้งแต่ระยะเริ่มแรก อาจเป็นปีกมดลูกอักเสบ รายละเอียด ถ้ามีอาการปวดและกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา ควรนึกถึงโรคไส้ติ่งอักเสบไว้เสมอ ปวดท้องทั่วไปต่างจากโรคอื่นๆ มักปวดเป็นพักๆ ถ้าเป็นจากโรคแผลในกระเพาะ มักปวดใต้ลิ้นปี่ สัมพันธ์กับอาหาร โดยจะท้องอืด เหมือนอาหารไม่ย่อย หรือปวดจุกเสียดก็ได้ มักเป็นหลังอาหาร (คือทานอาหารแล้วแย่ลง) แต่ถ้าเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น อาจเป็นที่ใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา มักปวดจุกเสียดก่อนอาหาร พอทานอาหารแล้วจะดีขึ้น อาการปวดจากถุงน้ำดี มักเป็นที่ชายโครงขวา อาจมีร้าวไปบริเวณมุมล่างของสะบักขวา หรือบริเวณระหว่างสะบัก จะมีลักษณะที่สำคัญ คือ จะมีอาการแน่นหรืออืดหลังทานอาหารมันๆ (Fat Intolerance) หรือมีปวดท้องหลังอาหารเย็นเป็นพักๆที่ชายโครงขวา (Biliary Colic) ปวดจากนิ่วในท่อไต อาการปวดจะเป็นพักๆ มากบริเวณเอวด้านหลัง อาจร้าวมาขาหนีบ หรือบริเวณอัณฑะ ร่วมกับมีปัสสาวะเป็นเลือด หรือเป็นสีน้ำล้างเนื้อ ปวดจากปีกมดลูกหรือรังไข่ จะปวดบริเวณท้องน้อย ไม่สัมพันธ์กับอาหาร มักมีเลือดหรือตกขาวผิดปกติทางช่องคลอดร่วมด้วย จะสังเกตว่าอาการปวดท้อง ในระยะแรกไม่ว่าจะเป็นไส้ติ่งหรือโรคอื่นๆก็ตาม จะแยกกันยาก ต้องใช้การสังเกตอาการ ดังนั้น ในกรณีที่เริ่มปวดท้องที่ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร อย่าเพิ่งกินยาแก้ปวด คววรไปพบแพย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยก่อน เพราะการกินยาแก้ปวด จะทำให้แพทย์วินิจฉัยแยกโรคลำบาก เนื่องจากยาจะบดบังอาการปวด วินิจฉัย นอกจากอาการของผู้ป่วย และการตรวจร่างกายของแพทย์แล้ว ต้องเจาะเลือดดู CBC เพื่อตรวจนับดูจำนวนเม็ดเลือดขาวมากกว่าปกติหรือไม่ ตรวจปัสสาวะเพื่อแยกโรคนิ่วและการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ควรทำการตรวจอัลตราซาวน์ หรือทำ CT Scan ช่องท้องเพื่อความแม่นยำในการวินิจฉัย การรักษา ไม่ว่าจะแตกหรือไม่ ก็จะต้องทำการผ่าตัดก่อนที่ไส้ติ่งจะทะลุแตกในท้องและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ การผ่าไส้ติ่งนี้ ไม่ใช่เรื่องยากหรืออันตราย เมื่อแพทย์เขาตัดตัวไส้ติ่งที่อักเสบนั้นทิ้งไป อาการปวดท้องและอาเจียนก็จะหยุดลง หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์ สุขภาพของท่านก็จะดีตามเดิ