
Category: Articles EN


จิตเวช: ป้องกันลูกวันรุ่นไม่ติดยาบ้าได้อย่างไร ลูกต่อต้านพ่อแม่มาก
จิตเวช: ป้องกันลูกวันรุ่นไม่ติดยาบ้าได้อย่างไร ลูกต่อต้านพ่อแม่มาก คำถาม จะป้องกันไม่ให้เด็กวัยรุ่นติดยาบ้าได้อย่างไรคะ มีลูกชายอายุ 15 ปี กำลังต่อต้านคุณพ่อคุณแม่มาก ไม่เชื่อฟังเลยค่ะ คำตอบ โดย นายแพทย์ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง (จิตแพทย์) ผมรู้สึกเห็นใจคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่นในยุคนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยสารเสพย์ติดโดยเฉพาะยาบ้า จากสถิติพบว่าวัยรุ่นที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ประมาณร้อยละ 2 เท่านั้นที่มีปัญหาทางจิตใจ บุคลิกภาพ การปรับตัว ครอบครัว และสังคม ที่เลือกสารเสพย์ติดเป็นทางออกในการแก้ปัญหา ประกอบกับวัยรุ่นนั้นโตแต่ตัว แต่ใจยังเป็นเด็กอยู่ ขาดความรู้ประสบการณ์และทักษะชีวิต ต่อต้านพ่อแม่ เชื่อฟังกลุ่มเพื่อน ซึ่งเป็นไปโดยธรรมชาติอยู่แล้ว คุณพ่อคุณแม่คงต้องเปลี่ยนท่าทีใหม่มิใช่คอยจับผิด ตั้งกฎเกณฑ์โดยไม่มีเหตุผล ควรใกล้ชิดสนิทสนม ให้ความรู้เกี่ยวกับโทษของยาเสพติด สังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะดูขยันขันแข็งขึ้น ดูหนังสือดึกดื่นไม่หลับไม่นอน ไม่กินข้าวกินปลา ผ่ายผอม หรือในทางตรงข้าม นอนหลับมากตื่นสาย ขาดความรับผิดชอบ ไม่ไปโรงเรียน ฯลฯ พ่อแม่ควรสอบถามข้อมูลจากครูที่โรงเรียน ผู้ปกครองของเพื่อนลูก ดูผลการเรียนความประพฤติ การคบเพื่อน ส่งเสริมให้ลูกทำกิจกรรมที่ชอบ ไม่คาดหวังสูงจนต้องบังคับฝืนใจ มีเวลาสันทนาการเพื่อการผ่อนคลาย ออกกำลัง เล่นกีฬา นั่งสมาธิ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ไม่เที่ยวกลางคืน หรือดื่มสุรา สูบบุหรี่ มีเพศสัมพันธ์ พกเงินเท่าที่พอใช้ พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก คอยให้คำปรึกษา & แนะนำวิธีจัดการกับอารมณ์ทางลบต่างๆ เช่น ความเครียด โกรธ เศร้า เบื่อเหงา ฯลฯ ชมเชยเมื่อลูกทำความดีแม้เป็นสิ่งเล็กน้อย ให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง รู้จักจุดดีจุดด้อยของตัวเอง พ่อแม่หัดไว้วางใจปล่อยให้ลูกรู้จักคิดวิเคราะห์ตัดสินใจ และทำด้วยตัวเอง แม้จะไม่ถูกใจพ่อแม่ 100% แต่ลูกก็เกิดการเรียนรู้พัฒนาด้วยตนเอง และกล้าที่จะเล่าถึงปัญหา แสดงความคิดเห็น ตอบรับ หรือปฏิเสธกับพ่อแม่ เพื่อน และบุคคลอื่นๆ ได้ ทั้งหมดนี้จะเป็นเกราะป้องกันจากภายในของตัววัยรุ่นเองที่จะไม่เสพยาบ้า หรือสารเสพย์ติดอื่นใด



ทำอย่างไรให้ได้บุตรเพศที่ต้องการ
ทำอย่างไรให้ได้บุตรเพศที่ต้องการ แพทย์หญิงพิชชา ปิ่นจันทร์ ความแตกต่างของอสุจิ X-sperm Y-sperm ตัวใหญ่กว่า ตัวเล็กกว่า แข็งแรงกว่า แข็งแรงน้อยกว่า เคลื่อนไหวช้ากว่า เคลื่อนไหวเร็วกว่า (จากการศึกษาของ Dr..Shettle) * (เป็นความเชื่อซึ่งอาจะไม่ถูกต้องนัก โดยความเชื่อนี้มาจากขนาดของโครโมโซม y ที่มีขนาดเล็กกว่า ทำให้คิดว่าน้ำหนักจะเบากว่า และเคลื่อนตัวได้เร็วกว่า) เรามีความเชื่อเกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ซึ่งจะทำให้เราได้ลูกเพศชาย – หญิงตามที่ใจต้องการ ดังข้อมูลที่จะแสดงต่อไปนี้ แต่ไม่มีตัวเลขหรือข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า วิธีการต่างเหล่านั้นประสบความสำเร็จสักเท่าไร ขั้นที่ 1. “เตรียมพร้อม” เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพศหญิง เพศชาย หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มและ อาหารที่มีปริมาณคาเฟอีน มากๆทั้งสามีและภรรยา สามีดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณ คาเฟอีนสูงๆ เช่น กาแฟ เป็ปซี่ 2-3 แก้วก่อนมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 30 นาที อาหารที่ผู้หญิงควรรับประทานช่วงไข่ตก เพศหญิง เพศชาย อาหารที่มีแคลเซียมและ แมกนีเซียมสูงๆ เช่น ไข่ นม หรือผลิตภัณฑ์จาก ไอศกรีม แอปเปิ้ล สัปปะรด แครอท ลูกแพร องุ่น อาหารที่มีเกลือและโปแทสเซียม มากๆ เช่น อาหารที่มีเกลือมาก ปลาเค็ม ไส้กรอก มันฝรั่ง ถั่ว กล้วย เชอรี่ ส้ม แตงโม มะเขือเทศ กางเกงชั้นในชายก็มีความหมายนะ เพศหญิง เพศชาย ใส่กางเกงชั้นในที่พอดีตัว หรือค่อนข้างคับ ใส่กางเกงชั้นในที่ค่อนข้าง หลวม เช่น boxers อุณหภูมิร้อน-เย็น เพศหญิง เพศชาย พยายามทำให้ร้อนๆ เข้าไว้ เช่นอาบน้ำร้อน หรือ แช่น้ำร้อนก่อนมีเพศสัมพันธ์ พยายามให้เย็นเข้าไว้ อุณหภูมิห้องดีสำหรับY- sperm หลีกเลี่ยงการดำน้ำ การขับขี่ยานยนต์ที่มีความร้อน เตรียมช่องคลอด เพศหญิง เพศชาย สวนล้างช่องคลอดด้วย น้ำส้มสายชูกลั่น โดยใช้ น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะผสมกับ น้ำสะอาดครึ่งลิตร ก่อน มีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 ชั่วโมง สวนล้างช่องคลอดด้วย ผงฟู (โซเดียม ไบคาร์บอเนต) โดยใช้ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะในน้ำครึ่ง ลิตร สวนล้างช่องคลอด ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 1 ชั่วโมง ขั้นที่ 2 : “ปฏิบัติ” เพศสัมพันธ์ เพศหญิง เพศชาย ต้องพยายามมีเพศสัมพันธ์ บ่อยๆ หรือทุกวันตั้งแต่ ประจำเดือนของฝ่ายหญิง หมด หยุดการมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 2 วันก่อนวันตกไข่ มีเพศสัมพันธ์เฉพาะวันไข่ตก เพียงวันเดียว หลังจากนั้น ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์อีก ต้องใช้ถุงยางอนามัยหรือ หลั่งข้างนอกเท่านั้น ให้ศีรษะของผู้หญิงไปทิศเหนือ Orgasm เพศหญิง เพศชาย ผู้ชายควรถึงจุดสุดยอด ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะมีอารมณ์ และถึงจุดสุดยอด และควรหลั่ง อสุจิไว้ตื้นๆภายในช่องคลอด ให้ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอด ก่อน หรือพร้อมกับฝ่ายชาย โดยหลั่งน้ำอสุจิให้ลึก ที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะลองพยายามด้วยวิธีเหล่านี้ก่อนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณสนใจ “เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์” วิธีต่างๆดังนี้ การฉีดเชื้อผสมเทียมร่วมกับการคัดอสุจิ การคัดเชื้อตามเพศที่ต้องการ ร่วมกับการฉีดเชื้อผสมเทียม สิ่งสำคัญที่ต้องทราบก็คือ โดยวิธีนี้มีโอกาสตั้งครรภ์ร้อยละ 10-15 และถ้าตั้งครรภ์ คุณมีโอกาสได้ได้บุตรที่มีเพศที่คุณต้องการประมาณร้อยละ 60 และแน่นอนคุณมีโอกาสได้เพศที่คุณไม่ต้องการร้อยละ 40 มีค่าใช้จ่ายต่อรอบประมาณ 10,000 บาท การทำเด็กหลอดแก้วร่วมกับการตรวจวินิจฉัยตัวอ่อนการการฝังตัว การทำเด็กหลอดแก้วร่วมกับการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน (PGD) โดยการดูดเซลล์ของตัวอ่อนออกมาตรวจ วิธีนี้เราจะทราบเพศของตัวอ่อนก่อนใส่กลับเข้าในโพรงมดลูก เพื่อให้เกิดการฝังตัวต่อไป วิธีนี้ถ้าคุณตั้งครรภ์คุณจะได้บุตรเพศที่คุณต้องการแน่นอน 100% แต่วิธีนี้มีราคาแพง ประมาณ 180,000-250,000 บาท โอกาสการตั้งครรภ์ขึ้นกับอายุของสตรี คุณภาพของตัวอ่อนและเยื่อบุโพรงมดลูก สิ่งที่ควรทราบ การคัดเพศบุตรโดยใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว ยังมีข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง โดยทางการแพทย์มีข้อบ่งชี้ เช่น โรคทางพันธุกรรมบางอย่าง กลุ่มโรคที่ถ่ายทอดทางเพศ ที่จะถ่ายทอดไปยังบุตรชาย จำเป็นต้องทราบเพศของตัวอ่อนก่อน เพื่อเลือกเฉพาะตัวอ่อนเพศหญิงใส่กลับเข้าในโพรงมดลูก ในทางปฏิบัติถ้าไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และยังไม่เคยมีบุตรมาก่อน ไม่แนะนำให้ทำเด็กหลอดแก้วร่วมกับ PGD เพื่อคัดเพศ



การดื่มสุรา ภัยโรคตับที่คุณอาจไม่รู้ตัว
น.พ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ การดื่มแอลกอฮอล์ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ หรือสุรานั้น อยู่คู่สังคมเรานับเป็นพันปีแล้ว เช่นกันมีการพบการเสียชีวิตของคนสำคัญของโลกจากการดื่มสุรา จนทำให้คนเหล่านั้นแทนที่จะทำประโยชน์แก่โลกเรากลับทำให้เสียชีวิตก่อนวัยที่ควรจะเป็น และโรคตับจากการดื่มสุราก็มีลักษณะแปลกอย่างหนึ่งคือ เมื่อมีอาการแล้วมักมีอาการมากทรุดหนักอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอาการเตือนมาก่อนเลย ลองมาดูข้อมูลคำถามคำตอบเกี่ยวกับโรคหรือภาวะที่เกิดจากการดื่มเหล้า และโรคตับกันครับ 1. เครื่องดื่มที่ประกอบด้วยแอลกอฮอล์นั้นมีหลายประเภท ปกติทางการแพทย์ดูอย่างไรว่ากินแล้วทำลายร่างกายมากหรือน้อย ดื่มเบียร์ ไวน์ เหล้าขาว วิสกี้ ต่างกันอย่างไร ตอบ เครื่องดื่มเบียร์ มีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 4 กรัมต่อเบียร์ 100 มิลลิลิตร (หรือ ซีซี) ถ้าเป็นศัพท์ในนักดื่มให้เข้าใจเราจะเรียกว่า 4 ดีกรีครับ ตัวอย่างที่รู้จักดีคือเหล้าขาว 30 ดีกรีก็คือ 30 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตรเลยทีเดียว ฉะนั้นการดื่มเบียร์ประมาณ 1 กระป๋อง จะได้รับแอลกอฮอล์ประมาณ 13 กรัม – เครื่องดื่มไวน์ มีปริมาณแอลกอฮอล์ 12 กรัม ต่อไวน์ 100 มิลลิลิตร การรับประทานไวน์ 1 แก้วปกติ (แก้วไวน์) จะได้รับแอลกอฮอล์ประมาณ 12 กรัม – สำหรับเครื่องดื่มที่เป็นวิสกี้นั้น มีปริมาณแอลกอฮอล์ 40 กรัม ต่อวิสกี้ 100 มิลลิลิตร การดื่มวิสกี้ประมาณ 2 ฝา จะให้แอลกอฮอล์ประมาณ 15 กรัม จะเห็นว่าการดื่มด้วยปริมาณมาตรฐานด้านบนดังกล่าวจะได้รับปริมาณแอลกอฮอล์ในระดับใกล้เคียงกัน ในทางการแพทย์ถือว่าการดื่มแอลกอฮอล์ 12 – 15 กรัม เท่ากับปริมาณแอลกอฮอล์ 1 หน่วย ครับ 2. ในทางการแพทย์ ถ้าดื่มอย่างที่กล่าว มากหรือน้อยเท่าไรจึงจะเกิดปัญหาโรคตับแข็ง ตอบ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าวันละ 80 กรัมหรือ 5 หน่วย เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี สามารถที่จะก่อให้เกิดตับแข็งได้ ผู้ที่บริโภคสุราในปริมาณดังที่กล่าวแล้วมีเพียงร้อยละ 15 – 20 เท่านั้นที่จะเกิดตับแข็ง ในเมืองไทยอาจเป็นเร็ว และมากกว่านี้ โดยปัจจุบันยังไม่มีคำตอบที่ดีพอที่จะอธิบายว่าเพราะเหตุใด ผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์จำนวนมากจึงมิได้เป็นตับแข็ง และขอเตือนนะครับ คนที่ตับแข็งไปแล้วอาจไม่รู้ตัวอยู่ว่าป่วยเพราะจะยังไม่มีอาการใด ๆ จนกว่าจะมีภาวะแทรกซ้อนแล้วจึงทราบครับ ทางที่ดีควรตรวจเช็คกับแพทย์บ่อย ๆ ว่าเราเกิดปัญหาตับบ้างแล้วหรือยังครับ 3. ผลกระทบของแอลกอฮอล์ที่มีต่อตับ ที่กล่าวว่าตับแข็ง ต้องทานขนาดนั้น ถ้าทานไม่นานอย่างนั้น เป็นโรคตับ อื่น ๆ ได้ไหม มีอะไรบ้าง ตอบ โรคตับพอจะแบ่งออกได้เป็น 3 แบบด้วยกันได้แก่ 1. ไขมันสะสมในตับ (Alcoholic fatty liver) เป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะเริ่มต้น จากการตรวจทางพยาธิวิทยาพบว่า มีการสะสมของไขมันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง triglyceride เพิ่มขึ้นในเซลล์ตับ ผู้ป่วยในระยะนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่มีอาการใดๆ การตรวจร่างกายอาจพบว่าตับมีขนาดใหญ่ ผิวเรียบ นุ่ม และกด ไม่เจ็บ การตรวจเลือดอาจพบความผิดปกติเล็กน้อย ผู้ป่วยในระยะนี้ถ้าหยุดดื่มสุราตับจะสามารถกลับเป็นปกติโดยไม่มีพยาธิสภาพตกค้างอยู่แต่อย่างใด ในกรณีซึ่งยังดื่มอยู่ก็จะมีการลุกลามของโรคไปในระยะ ที่ 2 2 . ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Hepatitis) ในระยะนี้ เป็นระยะซึ่งผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ได้ด้วยอาการหลายแบบ ตั้งแต่ที่มีอาการน้อย เช่น จุกแน่นที่บริเวณชายโครงด้านขวา ไปจนถึงมีอาการรุนแรง เช่น อาการดีซ่าน ไข้สูง หรือมีการเปลี่ยนแปลงทางสติสัมปชัญญะตลอดจนตับวายได้ บางครั้งผู้ป่วยอาจมีอาการทางสมอง ได้แก่ อาการสับสน วุ่นวาย หรือ อาจหมดสติได้ ผู้ป่วยในระยะนี้ถ้ามีอาการดีซ่านมาก หรือมีการเสื่อมหน้าที่การทำงานของตับจนอาจเกิดตับวาย จะเป็นกลุ่มผู้ที่มีโอกาสเสียชีวิตได้สูง นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีภาวะขาดสารอาหารและไวตามิน การตรวจร่างกายในระยะนี้มักพบว่าตับจะมีขนาดใหญ่และกดเจ็บ เนื้อของตับเริ่มจะแข็งกว่าระยะแรก การตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการจะพบความผิดปกติของการทำงานของตับได้อย่างชัดเจน ผู้ซึ่งหยุดดื่มเหล้าในระยะนี้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะอาการดีขึ้นและอาจกลับเป็นปกติได้ สำหรับผู้ที่ยังดื่มต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ก็จะมีโอกาสลุกลามเข้าไปสู่ระยะที่ 3 ที่เรียกว่าตับแข็ง การรักษาคือการหยุดดื่มโดยเด็ดขาด และได้รับอาหารและไวตามินเสริมอย่างเพียงพอ ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือตับวาย ต้องได้รับการดูแลรักษาโดยแพทย์ในโรงพยาบาล 3. ตับแข็งจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Cirrhosis) เป็นระยะสุดท้ายที่พบว่ามีผังผืดเกิดขึ้นในเนื้อตับ ทำให้ตับมีลักษณะผิวไม่เรียบ ขรุขระ เป็นก้อน และมีขนาดเล็กลงในระยะสุดท้าย ผู้ป่วยในระยะนี้มักจะมาพบแพทย์ได้ด้วยอาการดีซ่าน ท้องมาน หรืออาเจียนเป็นเลือดสดๆ เนื่องจากเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารแตก เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ที่เป็นตับแข็งยังจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งของตับเพิ่มขึ้นอีกด้วย ผู้ที่หยุดดื่มในระยะนี้ตับจะมีการเสียหายอย่างถาวร และจะไม่สามารถกลับเป็นตับปกติได้อีก การหยุดดื่มจะช่วยป้องกันมิให้เกิดการเสียหายต่อเนื้อตับเพิ่มขึ้นกว่าที่เป็นอยู่แล้ว แต่คงจะไม่สามารถทำให้ตับกลับดีตามเดิมได้ และการดูแลผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งจากแอลกอฮอล์ไม่แตกต่างจากตับแข็งจากสาเหตุอื่น ๆ การตรวจร่างกายจะพบว่าผู้ป่วยมักมีภาวะทุกขโภชนาการ มีกล้ามเนื้อลีบ มีเส้นเลือดขยายตามผิวหนังในส่วนบริเวณอกและหลัง และริดสีดวงทวาร อาจตรวจพบว่ามีการฝ่อของลูกอัณฑะ และความสามารถทางเพศลงลด การรักษาที่สำคัญของผู้ป่วยกลุ่มนี้คือ การหยุดดื่มโดยถาวรและรับประทานอาหารที่มีคุณค่า เนื่องจากผู้ป่วยในระยะนี้มักจะอยู่ในภาวะทุกขโภชนา – ให้ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ใน บทความ/บทความสุขภาพ/อายุรแพทย์ “ภาวะตับแข็ง” ครับ – รวมทั้งกรณีมีตับแข็งนาน ๆ มีโอกาสเกิดมะเร็งตับแทรกซ้อนได้ง่ายกว่าคนปกติด้วย 4. ทำไมแต่ละคนบางคนดื่มแล้วไม่ค่อยเป็นอะไร บางคนดื่มแล้วเกิดตับอักเสบ หรือ ตับแข็งได้เร็วกว่า ตอบ ปัจจัยที่ทำให้ตับอักเสบ แต่ละคนไม่เหมือนกัน การเกิดการเมาหรือไม่ไม่เกี่ยวกับการทำลายตับของตัวเองโดยตรงใด ๆ นัก การเกิดตับอักเสบและตับแข็งได้มากหรือน้อยกว่ากัน


โรคคู่หน้าร้อน ท้องเสียทุกหน้าร้อนเลย ทำอย่างไรดี
1. ท้องเสีย ทำให้ตายได้เชียวหรือ ส่วนใหญ่ ก็หายง่าย ๆ นี่นา ตอบ ปกติท้องเสีย มีตั้งแต่ง่าย ๆ ถ่ายไม่กี่ครั้งก็หายเองได้ ก็จริงอยู่ แต่ผมอยากเตือนว่ามันอาจอันตรายจนเสียชีวิตได้ด้วย โดยต้องแยกโรคร้ายแรงดังนี้ 1.1 ภาวะที่คล้ายว่ามีท้องเสีย แต่จริงๆแล้วเป็นโรคอื่น ที่ทางการแพทย์ไม่ได้จัดอยู่ในภาวะท้องเสีย ก. แยกภาวะเลือดออกทางเดินอาหารก่อน ภาวะนี้ถ่ายมาก แต่ลักษณะอุจจาระที่ออกมาจะดำมาก เหลว คล้ายยาง มะตอย อาจปนกับอุจจาระปกติด้วย ต้องสังเกตให้ดี บางครั้งอาจสีคล้ำคล้ายน้ำตาล ถ้าสังเกตไม่ออกอาจมีกลิ่นเฉพาะ คือคล้ายกลิ่นอุจจาระสุนัขที่กินตับ หรือ เลือด เพราะเลือดที่ออกมาปนกับน้ำย่อยลำไส้ส่วนต้นจะเปลี่ยนสี และ กลิ่นไป – กรณีกินยาบำรุงเลือด อาจถ่ายดำเช่นกัน แต่ไม่มีกลิ่นดังกล่าว และ อุจจาระมักแข็งปกติ – การถ่ายเป็นเลือดเอง หรือ ถ่ายมีมูกเลือด ให้นึกถึงลำไส้มีเนื้อตายเน่า หรือ มีมะเร็ง ก็ถ่ายเป็นเลือดเช่นกัน แต่มักปวดท้องร่วมด้วย ข. โรคที่เกิดหลาย ๆ กลุ่มอาการ โดยมีอาการท้องเสียร่วมด้วย เช่นโรคติดเชื้อจากเชื้อ มีลิออยโดซิส (melioidosis) อาจลักษณะอุจจาระคล้ายอหิวาห์ ก็ได้ เป็นต้น (cholera like) โรคติดเชื้อไข้รากสาด อาจมีท้องเสียไม่มาก แต่มีภาวะไข้สูง และ หมดแรงร่วมด้วยได้ 1.2 โรคติดเชื้อท้องเสีย ที่เกิดปัญหาโรคแทรกซ้อนร่วม ที่อาจถึงแก่ชีวิตได้เช่น 1.2.1 ไตวาย แบบ เม็ดเลือดแดงแตกที่เรียกว่า HUS ได้แก่เชื้อแบคทีเรียบิด (Shigella), เชื้ออีโคไล (EHEC) 1.2.2 มีภาวะข้ออักเสบร่วมด้วย ที่เรียกว่า Reiter เช่นเชื้อไข้รากสาด (Salmonella), เชื้อบิด (Shigella), เชื้อแบคทีเรีย Campylobacter, yersinia 1.2.3 ท้องเสียเกิดจากโรคไทรอยด์ (Thyroid), โรคเยื่อหุ่มหัวใจ (pericarditis), ไตอักเสบ (Glomerulonephitis) ร่วมด้วยเช่น Yersinia เป็นต้น 1.2.4 โรคในช่องท้องเอง หรือ โรคติดเชื้อที่มีอาการหลายระบบ (Systemic Disease เช่นภาวะตับอักเสบ (hepatitis), เชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Listeriosis, Legionellosis เป็นต้น 1.2.5 ภาวะแบคทีเรียที่กัดกร่อนร่างกาย และ ลำไส้ (Toxic shock), มีการแตกของอวัยวะในร่างกาย หรือ มีฝีในร่างกาย (rupture organ +/– intraabdominal abscess) 1.2.6 โรคภูมิต้านทานต่อลำไส้ตัวเองที่เรียกว่า ulcerative colitits 1.2.7 โรคท้องเสียจากพยาธิ (Parasite) 1.2.8 โรคติดเชื้อในกระแสเลือด หรือ พิษติดเชื้อ ที่มีท้องเสียร่วมด้วย (Sepsis) 1.2.9 ท้องเสียที่เกินอัมพาตร่วมด้วย จากเชื้อ Botulism ที่เป็นข่าวทานหน้อไม้อัดปี๊ป แล้วเข้า ICU กันไงครับ ไหน ๆ พูดเกี่ยวกับท้องเสียที่ไม่ได้เกิดจากติดเชื้อธรรมดาแล้ว ผมจะ ไล่ท้องเสียอื่น ที่ไม่ได้ทำให้เกิดเสียชีวิต แต่เป็นสาเหตุท้องเสียได้เช่นกัน ดังนี้ครับ 1.2.10 สาเหตุท้องเสียที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้ออื่น (Non infectious) เช่น ท้องเสียจากเนื้องอก (Tumor), ท้องเสียจากการฉายแสง (Radiation), ท้องเสียจากอาหาร หรือ แพ้อาหาร ท้องเสียจากยา ท้องเสียจากเบาหวาน ท้องเสียจากอุจจาระแข็งอุดตัน ร่วมทั้งคนแกล้งท้องเสียหลอกหมอ เป็นต้น 2. สาเหตุที่กล่าวมามากมายขนาดนั้น แล้วส่วนใหญ่คนไทยเกิดจากอะไรครับ ตอบ ส่วนใหญ่คนไทยยังคงเกิดจาก อาหารเป็นพิษติดเชื้อ หรือ จากการติดเชื้อลำไส้ใหญ่อักเสบที่เรียกว่าบิด ฉะนั้นถ้าดูแล้ว ไม่มีอาการร่วมที่บอกว่าเป็นโรคอื่น ก็แทบ 95 – 100 % เกิดจากการติดเชื้อ 3. ก็แสดงว่าถ้าเกิดจากติดเชื้อ ทุกคนที่ท้องเสียก็น่าหายด้วยยาฆ่าเชื้อ ใช่หรือเปล่าครับ ตอบ ที่จริงแล้ว การฆ่าเชื้อในลำไส้ของเราเอง มีมากมายหลายอย่าง เรียกว่าแบคทีเรียที่เข้ามาในตัวคนโชคร้าย ทรมานสุด ๆ มักถูกฆ่าตายหมด บางคนบอกว่าโชคร้ายกว่าคน ๆ ที่เชื้อเข้าไปซะอีก สรุปคือจะหายเองได้ โดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อใด ๆ ครับ การให้ยาฆ่าเชื้อเอง ผู้ป่วยอาจมีผลข้างเคียงจากยาฆ่าเชื้อ หรือ อาจแพ้ยา ทำให้เชื้อดื้อยา กำจัดเชื้อธรรมชาติในลำไส้ ทำให้เชื้อเหล่านี้เองที่เป็นตัวกำจัดเชื้อที่รุนแรงเป็นสาเหตุก่อโรคท้องเสียหายไป ถูกกำจัดช้าลง ทำให้หายลงด้วยครับ ข้อบ่งชี้ในการให้ยาฆ่าเชื้อ คร่าว ๆ มีดังนี้ครับ 3.1. ในการติดเชื้อบางอย่างซึ่งต้องวินิจฉัยโดยแพทย์นะครับ จะหายเร็วกว่าเดิมครับ 3.2. เชื้อที่เรียกว่า C.difficile, E.histolytica, Balantidium coli ซึ่งต้องวินิจฉัยโดยแพทย์ หรือ ต้องใช้การเพาะเชื้อร่วมด้วย 3.3. ในบางคนที่มีต้นเหตุจาก เชื้อ หรือ สาเหตุที่ทำให้ถ่ายหายช้า


จิตเวช: ป้องกันลูกวันรุ่นไม่ติดยาบ้าได้อย่างไร ลูกต่อต้านพ่อแม่มาก
จิตเวช: ป้องกันลูกวันรุ่นไม่ติดยาบ้าได้อย่างไร ลูกต่อต้านพ่อแม่มาก คำถาม จะป้องกันไม่ให้เด็กวัยรุ่นติดยาบ้าได้อย่างไรคะ มีลูกชายอายุ 15 ปี กำลังต่อต้านคุณพ่อคุณแม่มาก ไม่เชื่อฟังเลยค่ะ คำตอบ โดย นายแพทย์ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง (จิตแพทย์) ผมรู้สึกเห็นใจคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่นในยุคนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยสารเสพย์ติดโดยเฉพาะยาบ้า จากสถิติพบว่าวัยรุ่นที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ประมาณร้อยละ 2 เท่านั้นที่มีปัญหาทางจิตใจ บุคลิกภาพ การปรับตัว ครอบครัว และสังคม ที่เลือกสารเสพย์ติดเป็นทางออกในการแก้ปัญหา ประกอบกับวัยรุ่นนั้นโตแต่ตัว แต่ใจยังเป็นเด็กอยู่ ขาดความรู้ประสบการณ์และทักษะชีวิต ต่อต้านพ่อแม่ เชื่อฟังกลุ่มเพื่อน ซึ่งเป็นไปโดยธรรมชาติอยู่แล้ว คุณพ่อคุณแม่คงต้องเปลี่ยนท่าทีใหม่มิใช่คอยจับผิด ตั้งกฎเกณฑ์โดยไม่มีเหตุผล ควรใกล้ชิดสนิทสนม ให้ความรู้เกี่ยวกับโทษของยาเสพติด สังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะดูขยันขันแข็งขึ้น ดูหนังสือดึกดื่นไม่หลับไม่นอน ไม่กินข้าวกินปลา ผ่ายผอม หรือในทางตรงข้าม นอนหลับมากตื่นสาย ขาดความรับผิดชอบ ไม่ไปโรงเรียน ฯลฯ พ่อแม่ควรสอบถามข้อมูลจากครูที่โรงเรียน ผู้ปกครองของเพื่อนลูก ดูผลการเรียนความประพฤติ การคบเพื่อน ส่งเสริมให้ลูกทำกิจกรรมที่ชอบ ไม่คาดหวังสูงจนต้องบังคับฝืนใจ มีเวลาสันทนาการเพื่อการผ่อนคลาย ออกกำลัง เล่นกีฬา นั่งสมาธิ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ไม่เที่ยวกลางคืน หรือดื่มสุรา สูบบุหรี่ มีเพศสัมพันธ์ พกเงินเท่าที่พอใช้ พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก คอยให้คำปรึกษา & แนะนำวิธีจัดการกับอารมณ์ทางลบต่างๆ เช่น ความเครียด โกรธ เศร้า เบื่อเหงา ฯลฯ ชมเชยเมื่อลูกทำความดีแม้เป็นสิ่งเล็กน้อย ให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง รู้จักจุดดีจุดด้อยของตัวเอง พ่อแม่หัดไว้วางใจปล่อยให้ลูกรู้จักคิดวิเคราะห์ตัดสินใจ และทำด้วยตัวเอง แม้จะไม่ถูกใจพ่อแม่ 100% แต่ลูกก็เกิดการเรียนรู้พัฒนาด้วยตนเอง และกล้าที่จะเล่าถึงปัญหา แสดงความคิดเห็น ตอบรับ หรือปฏิเสธกับพ่อแม่ เพื่อน และบุคคลอื่นๆ ได้ ทั้งหมดนี้จะเป็นเกราะป้องกันจากภายในของตัววัยรุ่นเองที่จะไม่เสพยาบ้า หรือสารเสพย์ติดอื่นใด



ทำอย่างไรให้ได้บุตรเพศที่ต้องการ
ทำอย่างไรให้ได้บุตรเพศที่ต้องการ แพทย์หญิงพิชชา ปิ่นจันทร์ ความแตกต่างของอสุจิ X-sperm Y-sperm ตัวใหญ่กว่า ตัวเล็กกว่า แข็งแรงกว่า แข็งแรงน้อยกว่า เคลื่อนไหวช้ากว่า เคลื่อนไหวเร็วกว่า (จากการศึกษาของ Dr..Shettle) * (เป็นความเชื่อซึ่งอาจะไม่ถูกต้องนัก โดยความเชื่อนี้มาจากขนาดของโครโมโซม y ที่มีขนาดเล็กกว่า ทำให้คิดว่าน้ำหนักจะเบากว่า และเคลื่อนตัวได้เร็วกว่า) เรามีความเชื่อเกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ซึ่งจะทำให้เราได้ลูกเพศชาย – หญิงตามที่ใจต้องการ ดังข้อมูลที่จะแสดงต่อไปนี้ แต่ไม่มีตัวเลขหรือข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า วิธีการต่างเหล่านั้นประสบความสำเร็จสักเท่าไร ขั้นที่ 1. “เตรียมพร้อม” เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพศหญิง เพศชาย หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มและ อาหารที่มีปริมาณคาเฟอีน มากๆทั้งสามีและภรรยา สามีดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณ คาเฟอีนสูงๆ เช่น กาแฟ เป็ปซี่ 2-3 แก้วก่อนมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 30 นาที อาหารที่ผู้หญิงควรรับประทานช่วงไข่ตก เพศหญิง เพศชาย อาหารที่มีแคลเซียมและ แมกนีเซียมสูงๆ เช่น ไข่ นม หรือผลิตภัณฑ์จาก ไอศกรีม แอปเปิ้ล สัปปะรด แครอท ลูกแพร องุ่น อาหารที่มีเกลือและโปแทสเซียม มากๆ เช่น อาหารที่มีเกลือมาก ปลาเค็ม ไส้กรอก มันฝรั่ง ถั่ว กล้วย เชอรี่ ส้ม แตงโม มะเขือเทศ กางเกงชั้นในชายก็มีความหมายนะ เพศหญิง เพศชาย ใส่กางเกงชั้นในที่พอดีตัว หรือค่อนข้างคับ ใส่กางเกงชั้นในที่ค่อนข้าง หลวม เช่น boxers อุณหภูมิร้อน-เย็น เพศหญิง เพศชาย พยายามทำให้ร้อนๆ เข้าไว้ เช่นอาบน้ำร้อน หรือ แช่น้ำร้อนก่อนมีเพศสัมพันธ์ พยายามให้เย็นเข้าไว้ อุณหภูมิห้องดีสำหรับY- sperm หลีกเลี่ยงการดำน้ำ การขับขี่ยานยนต์ที่มีความร้อน เตรียมช่องคลอด เพศหญิง เพศชาย สวนล้างช่องคลอดด้วย น้ำส้มสายชูกลั่น โดยใช้ น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะผสมกับ น้ำสะอาดครึ่งลิตร ก่อน มีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 ชั่วโมง สวนล้างช่องคลอดด้วย ผงฟู (โซเดียม ไบคาร์บอเนต) โดยใช้ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะในน้ำครึ่ง ลิตร สวนล้างช่องคลอด ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 1 ชั่วโมง ขั้นที่ 2 : “ปฏิบัติ” เพศสัมพันธ์ เพศหญิง เพศชาย ต้องพยายามมีเพศสัมพันธ์ บ่อยๆ หรือทุกวันตั้งแต่ ประจำเดือนของฝ่ายหญิง หมด หยุดการมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 2 วันก่อนวันตกไข่ มีเพศสัมพันธ์เฉพาะวันไข่ตก เพียงวันเดียว หลังจากนั้น ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์อีก ต้องใช้ถุงยางอนามัยหรือ หลั่งข้างนอกเท่านั้น ให้ศีรษะของผู้หญิงไปทิศเหนือ Orgasm เพศหญิง เพศชาย ผู้ชายควรถึงจุดสุดยอด ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะมีอารมณ์ และถึงจุดสุดยอด และควรหลั่ง อสุจิไว้ตื้นๆภายในช่องคลอด ให้ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอด ก่อน หรือพร้อมกับฝ่ายชาย โดยหลั่งน้ำอสุจิให้ลึก ที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะลองพยายามด้วยวิธีเหล่านี้ก่อนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณสนใจ “เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์” วิธีต่างๆดังนี้ การฉีดเชื้อผสมเทียมร่วมกับการคัดอสุจิ การคัดเชื้อตามเพศที่ต้องการ ร่วมกับการฉีดเชื้อผสมเทียม สิ่งสำคัญที่ต้องทราบก็คือ โดยวิธีนี้มีโอกาสตั้งครรภ์ร้อยละ 10-15 และถ้าตั้งครรภ์ คุณมีโอกาสได้ได้บุตรที่มีเพศที่คุณต้องการประมาณร้อยละ 60 และแน่นอนคุณมีโอกาสได้เพศที่คุณไม่ต้องการร้อยละ 40 มีค่าใช้จ่ายต่อรอบประมาณ 10,000 บาท การทำเด็กหลอดแก้วร่วมกับการตรวจวินิจฉัยตัวอ่อนการการฝังตัว การทำเด็กหลอดแก้วร่วมกับการตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน (PGD) โดยการดูดเซลล์ของตัวอ่อนออกมาตรวจ วิธีนี้เราจะทราบเพศของตัวอ่อนก่อนใส่กลับเข้าในโพรงมดลูก เพื่อให้เกิดการฝังตัวต่อไป วิธีนี้ถ้าคุณตั้งครรภ์คุณจะได้บุตรเพศที่คุณต้องการแน่นอน 100% แต่วิธีนี้มีราคาแพง ประมาณ 180,000-250,000 บาท โอกาสการตั้งครรภ์ขึ้นกับอายุของสตรี คุณภาพของตัวอ่อนและเยื่อบุโพรงมดลูก สิ่งที่ควรทราบ การคัดเพศบุตรโดยใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว ยังมีข้อถกเถียงอย่างกว้างขวาง โดยทางการแพทย์มีข้อบ่งชี้ เช่น โรคทางพันธุกรรมบางอย่าง กลุ่มโรคที่ถ่ายทอดทางเพศ ที่จะถ่ายทอดไปยังบุตรชาย จำเป็นต้องทราบเพศของตัวอ่อนก่อน เพื่อเลือกเฉพาะตัวอ่อนเพศหญิงใส่กลับเข้าในโพรงมดลูก ในทางปฏิบัติถ้าไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และยังไม่เคยมีบุตรมาก่อน ไม่แนะนำให้ทำเด็กหลอดแก้วร่วมกับ PGD เพื่อคัดเพศ



การดื่มสุรา ภัยโรคตับที่คุณอาจไม่รู้ตัว
น.พ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ การดื่มแอลกอฮอล์ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ หรือสุรานั้น อยู่คู่สังคมเรานับเป็นพันปีแล้ว เช่นกันมีการพบการเสียชีวิตของคนสำคัญของโลกจากการดื่มสุรา จนทำให้คนเหล่านั้นแทนที่จะทำประโยชน์แก่โลกเรากลับทำให้เสียชีวิตก่อนวัยที่ควรจะเป็น และโรคตับจากการดื่มสุราก็มีลักษณะแปลกอย่างหนึ่งคือ เมื่อมีอาการแล้วมักมีอาการมากทรุดหนักอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอาการเตือนมาก่อนเลย ลองมาดูข้อมูลคำถามคำตอบเกี่ยวกับโรคหรือภาวะที่เกิดจากการดื่มเหล้า และโรคตับกันครับ 1. เครื่องดื่มที่ประกอบด้วยแอลกอฮอล์นั้นมีหลายประเภท ปกติทางการแพทย์ดูอย่างไรว่ากินแล้วทำลายร่างกายมากหรือน้อย ดื่มเบียร์ ไวน์ เหล้าขาว วิสกี้ ต่างกันอย่างไร ตอบ เครื่องดื่มเบียร์ มีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 4 กรัมต่อเบียร์ 100 มิลลิลิตร (หรือ ซีซี) ถ้าเป็นศัพท์ในนักดื่มให้เข้าใจเราจะเรียกว่า 4 ดีกรีครับ ตัวอย่างที่รู้จักดีคือเหล้าขาว 30 ดีกรีก็คือ 30 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตรเลยทีเดียว ฉะนั้นการดื่มเบียร์ประมาณ 1 กระป๋อง จะได้รับแอลกอฮอล์ประมาณ 13 กรัม – เครื่องดื่มไวน์ มีปริมาณแอลกอฮอล์ 12 กรัม ต่อไวน์ 100 มิลลิลิตร การรับประทานไวน์ 1 แก้วปกติ (แก้วไวน์) จะได้รับแอลกอฮอล์ประมาณ 12 กรัม – สำหรับเครื่องดื่มที่เป็นวิสกี้นั้น มีปริมาณแอลกอฮอล์ 40 กรัม ต่อวิสกี้ 100 มิลลิลิตร การดื่มวิสกี้ประมาณ 2 ฝา จะให้แอลกอฮอล์ประมาณ 15 กรัม จะเห็นว่าการดื่มด้วยปริมาณมาตรฐานด้านบนดังกล่าวจะได้รับปริมาณแอลกอฮอล์ในระดับใกล้เคียงกัน ในทางการแพทย์ถือว่าการดื่มแอลกอฮอล์ 12 – 15 กรัม เท่ากับปริมาณแอลกอฮอล์ 1 หน่วย ครับ 2. ในทางการแพทย์ ถ้าดื่มอย่างที่กล่าว มากหรือน้อยเท่าไรจึงจะเกิดปัญหาโรคตับแข็ง ตอบ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าวันละ 80 กรัมหรือ 5 หน่วย เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี สามารถที่จะก่อให้เกิดตับแข็งได้ ผู้ที่บริโภคสุราในปริมาณดังที่กล่าวแล้วมีเพียงร้อยละ 15 – 20 เท่านั้นที่จะเกิดตับแข็ง ในเมืองไทยอาจเป็นเร็ว และมากกว่านี้ โดยปัจจุบันยังไม่มีคำตอบที่ดีพอที่จะอธิบายว่าเพราะเหตุใด ผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์จำนวนมากจึงมิได้เป็นตับแข็ง และขอเตือนนะครับ คนที่ตับแข็งไปแล้วอาจไม่รู้ตัวอยู่ว่าป่วยเพราะจะยังไม่มีอาการใด ๆ จนกว่าจะมีภาวะแทรกซ้อนแล้วจึงทราบครับ ทางที่ดีควรตรวจเช็คกับแพทย์บ่อย ๆ ว่าเราเกิดปัญหาตับบ้างแล้วหรือยังครับ 3. ผลกระทบของแอลกอฮอล์ที่มีต่อตับ ที่กล่าวว่าตับแข็ง ต้องทานขนาดนั้น ถ้าทานไม่นานอย่างนั้น เป็นโรคตับ อื่น ๆ ได้ไหม มีอะไรบ้าง ตอบ โรคตับพอจะแบ่งออกได้เป็น 3 แบบด้วยกันได้แก่ 1. ไขมันสะสมในตับ (Alcoholic fatty liver) เป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะเริ่มต้น จากการตรวจทางพยาธิวิทยาพบว่า มีการสะสมของไขมันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง triglyceride เพิ่มขึ้นในเซลล์ตับ ผู้ป่วยในระยะนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่มีอาการใดๆ การตรวจร่างกายอาจพบว่าตับมีขนาดใหญ่ ผิวเรียบ นุ่ม และกด ไม่เจ็บ การตรวจเลือดอาจพบความผิดปกติเล็กน้อย ผู้ป่วยในระยะนี้ถ้าหยุดดื่มสุราตับจะสามารถกลับเป็นปกติโดยไม่มีพยาธิสภาพตกค้างอยู่แต่อย่างใด ในกรณีซึ่งยังดื่มอยู่ก็จะมีการลุกลามของโรคไปในระยะ ที่ 2 2 . ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Hepatitis) ในระยะนี้ เป็นระยะซึ่งผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ได้ด้วยอาการหลายแบบ ตั้งแต่ที่มีอาการน้อย เช่น จุกแน่นที่บริเวณชายโครงด้านขวา ไปจนถึงมีอาการรุนแรง เช่น อาการดีซ่าน ไข้สูง หรือมีการเปลี่ยนแปลงทางสติสัมปชัญญะตลอดจนตับวายได้ บางครั้งผู้ป่วยอาจมีอาการทางสมอง ได้แก่ อาการสับสน วุ่นวาย หรือ อาจหมดสติได้ ผู้ป่วยในระยะนี้ถ้ามีอาการดีซ่านมาก หรือมีการเสื่อมหน้าที่การทำงานของตับจนอาจเกิดตับวาย จะเป็นกลุ่มผู้ที่มีโอกาสเสียชีวิตได้สูง นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีภาวะขาดสารอาหารและไวตามิน การตรวจร่างกายในระยะนี้มักพบว่าตับจะมีขนาดใหญ่และกดเจ็บ เนื้อของตับเริ่มจะแข็งกว่าระยะแรก การตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการจะพบความผิดปกติของการทำงานของตับได้อย่างชัดเจน ผู้ซึ่งหยุดดื่มเหล้าในระยะนี้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะอาการดีขึ้นและอาจกลับเป็นปกติได้ สำหรับผู้ที่ยังดื่มต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ก็จะมีโอกาสลุกลามเข้าไปสู่ระยะที่ 3 ที่เรียกว่าตับแข็ง การรักษาคือการหยุดดื่มโดยเด็ดขาด และได้รับอาหารและไวตามินเสริมอย่างเพียงพอ ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือตับวาย ต้องได้รับการดูแลรักษาโดยแพทย์ในโรงพยาบาล 3. ตับแข็งจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Cirrhosis) เป็นระยะสุดท้ายที่พบว่ามีผังผืดเกิดขึ้นในเนื้อตับ ทำให้ตับมีลักษณะผิวไม่เรียบ ขรุขระ เป็นก้อน และมีขนาดเล็กลงในระยะสุดท้าย ผู้ป่วยในระยะนี้มักจะมาพบแพทย์ได้ด้วยอาการดีซ่าน ท้องมาน หรืออาเจียนเป็นเลือดสดๆ เนื่องจากเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารแตก เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ที่เป็นตับแข็งยังจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งของตับเพิ่มขึ้นอีกด้วย ผู้ที่หยุดดื่มในระยะนี้ตับจะมีการเสียหายอย่างถาวร และจะไม่สามารถกลับเป็นตับปกติได้อีก การหยุดดื่มจะช่วยป้องกันมิให้เกิดการเสียหายต่อเนื้อตับเพิ่มขึ้นกว่าที่เป็นอยู่แล้ว แต่คงจะไม่สามารถทำให้ตับกลับดีตามเดิมได้ และการดูแลผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งจากแอลกอฮอล์ไม่แตกต่างจากตับแข็งจากสาเหตุอื่น ๆ การตรวจร่างกายจะพบว่าผู้ป่วยมักมีภาวะทุกขโภชนาการ มีกล้ามเนื้อลีบ มีเส้นเลือดขยายตามผิวหนังในส่วนบริเวณอกและหลัง และริดสีดวงทวาร อาจตรวจพบว่ามีการฝ่อของลูกอัณฑะ และความสามารถทางเพศลงลด การรักษาที่สำคัญของผู้ป่วยกลุ่มนี้คือ การหยุดดื่มโดยถาวรและรับประทานอาหารที่มีคุณค่า เนื่องจากผู้ป่วยในระยะนี้มักจะอยู่ในภาวะทุกขโภชนา – ให้ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ใน บทความ/บทความสุขภาพ/อายุรแพทย์ “ภาวะตับแข็ง” ครับ – รวมทั้งกรณีมีตับแข็งนาน ๆ มีโอกาสเกิดมะเร็งตับแทรกซ้อนได้ง่ายกว่าคนปกติด้วย 4. ทำไมแต่ละคนบางคนดื่มแล้วไม่ค่อยเป็นอะไร บางคนดื่มแล้วเกิดตับอักเสบ หรือ ตับแข็งได้เร็วกว่า ตอบ ปัจจัยที่ทำให้ตับอักเสบ แต่ละคนไม่เหมือนกัน การเกิดการเมาหรือไม่ไม่เกี่ยวกับการทำลายตับของตัวเองโดยตรงใด ๆ นัก การเกิดตับอักเสบและตับแข็งได้มากหรือน้อยกว่ากัน


โรคคู่หน้าร้อน ท้องเสียทุกหน้าร้อนเลย ทำอย่างไรดี
1. ท้องเสีย ทำให้ตายได้เชียวหรือ ส่วนใหญ่ ก็หายง่าย ๆ นี่นา ตอบ ปกติท้องเสีย มีตั้งแต่ง่าย ๆ ถ่ายไม่กี่ครั้งก็หายเองได้ ก็จริงอยู่ แต่ผมอยากเตือนว่ามันอาจอันตรายจนเสียชีวิตได้ด้วย โดยต้องแยกโรคร้ายแรงดังนี้ 1.1 ภาวะที่คล้ายว่ามีท้องเสีย แต่จริงๆแล้วเป็นโรคอื่น ที่ทางการแพทย์ไม่ได้จัดอยู่ในภาวะท้องเสีย ก. แยกภาวะเลือดออกทางเดินอาหารก่อน ภาวะนี้ถ่ายมาก แต่ลักษณะอุจจาระที่ออกมาจะดำมาก เหลว คล้ายยาง มะตอย อาจปนกับอุจจาระปกติด้วย ต้องสังเกตให้ดี บางครั้งอาจสีคล้ำคล้ายน้ำตาล ถ้าสังเกตไม่ออกอาจมีกลิ่นเฉพาะ คือคล้ายกลิ่นอุจจาระสุนัขที่กินตับ หรือ เลือด เพราะเลือดที่ออกมาปนกับน้ำย่อยลำไส้ส่วนต้นจะเปลี่ยนสี และ กลิ่นไป – กรณีกินยาบำรุงเลือด อาจถ่ายดำเช่นกัน แต่ไม่มีกลิ่นดังกล่าว และ อุจจาระมักแข็งปกติ – การถ่ายเป็นเลือดเอง หรือ ถ่ายมีมูกเลือด ให้นึกถึงลำไส้มีเนื้อตายเน่า หรือ มีมะเร็ง ก็ถ่ายเป็นเลือดเช่นกัน แต่มักปวดท้องร่วมด้วย ข. โรคที่เกิดหลาย ๆ กลุ่มอาการ โดยมีอาการท้องเสียร่วมด้วย เช่นโรคติดเชื้อจากเชื้อ มีลิออยโดซิส (melioidosis) อาจลักษณะอุจจาระคล้ายอหิวาห์ ก็ได้ เป็นต้น (cholera like) โรคติดเชื้อไข้รากสาด อาจมีท้องเสียไม่มาก แต่มีภาวะไข้สูง และ หมดแรงร่วมด้วยได้ 1.2 โรคติดเชื้อท้องเสีย ที่เกิดปัญหาโรคแทรกซ้อนร่วม ที่อาจถึงแก่ชีวิตได้เช่น 1.2.1 ไตวาย แบบ เม็ดเลือดแดงแตกที่เรียกว่า HUS ได้แก่เชื้อแบคทีเรียบิด (Shigella), เชื้ออีโคไล (EHEC) 1.2.2 มีภาวะข้ออักเสบร่วมด้วย ที่เรียกว่า Reiter เช่นเชื้อไข้รากสาด (Salmonella), เชื้อบิด (Shigella), เชื้อแบคทีเรีย Campylobacter, yersinia 1.2.3 ท้องเสียเกิดจากโรคไทรอยด์ (Thyroid), โรคเยื่อหุ่มหัวใจ (pericarditis), ไตอักเสบ (Glomerulonephitis) ร่วมด้วยเช่น Yersinia เป็นต้น 1.2.4 โรคในช่องท้องเอง หรือ โรคติดเชื้อที่มีอาการหลายระบบ (Systemic Disease เช่นภาวะตับอักเสบ (hepatitis), เชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Listeriosis, Legionellosis เป็นต้น 1.2.5 ภาวะแบคทีเรียที่กัดกร่อนร่างกาย และ ลำไส้ (Toxic shock), มีการแตกของอวัยวะในร่างกาย หรือ มีฝีในร่างกาย (rupture organ +/– intraabdominal abscess) 1.2.6 โรคภูมิต้านทานต่อลำไส้ตัวเองที่เรียกว่า ulcerative colitits 1.2.7 โรคท้องเสียจากพยาธิ (Parasite) 1.2.8 โรคติดเชื้อในกระแสเลือด หรือ พิษติดเชื้อ ที่มีท้องเสียร่วมด้วย (Sepsis) 1.2.9 ท้องเสียที่เกินอัมพาตร่วมด้วย จากเชื้อ Botulism ที่เป็นข่าวทานหน้อไม้อัดปี๊ป แล้วเข้า ICU กันไงครับ ไหน ๆ พูดเกี่ยวกับท้องเสียที่ไม่ได้เกิดจากติดเชื้อธรรมดาแล้ว ผมจะ ไล่ท้องเสียอื่น ที่ไม่ได้ทำให้เกิดเสียชีวิต แต่เป็นสาเหตุท้องเสียได้เช่นกัน ดังนี้ครับ 1.2.10 สาเหตุท้องเสียที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้ออื่น (Non infectious) เช่น ท้องเสียจากเนื้องอก (Tumor), ท้องเสียจากการฉายแสง (Radiation), ท้องเสียจากอาหาร หรือ แพ้อาหาร ท้องเสียจากยา ท้องเสียจากเบาหวาน ท้องเสียจากอุจจาระแข็งอุดตัน ร่วมทั้งคนแกล้งท้องเสียหลอกหมอ เป็นต้น 2. สาเหตุที่กล่าวมามากมายขนาดนั้น แล้วส่วนใหญ่คนไทยเกิดจากอะไรครับ ตอบ ส่วนใหญ่คนไทยยังคงเกิดจาก อาหารเป็นพิษติดเชื้อ หรือ จากการติดเชื้อลำไส้ใหญ่อักเสบที่เรียกว่าบิด ฉะนั้นถ้าดูแล้ว ไม่มีอาการร่วมที่บอกว่าเป็นโรคอื่น ก็แทบ 95 – 100 % เกิดจากการติดเชื้อ 3. ก็แสดงว่าถ้าเกิดจากติดเชื้อ ทุกคนที่ท้องเสียก็น่าหายด้วยยาฆ่าเชื้อ ใช่หรือเปล่าครับ ตอบ ที่จริงแล้ว การฆ่าเชื้อในลำไส้ของเราเอง มีมากมายหลายอย่าง เรียกว่าแบคทีเรียที่เข้ามาในตัวคนโชคร้าย ทรมานสุด ๆ มักถูกฆ่าตายหมด บางคนบอกว่าโชคร้ายกว่าคน ๆ ที่เชื้อเข้าไปซะอีก สรุปคือจะหายเองได้ โดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อใด ๆ ครับ การให้ยาฆ่าเชื้อเอง ผู้ป่วยอาจมีผลข้างเคียงจากยาฆ่าเชื้อ หรือ อาจแพ้ยา ทำให้เชื้อดื้อยา กำจัดเชื้อธรรมชาติในลำไส้ ทำให้เชื้อเหล่านี้เองที่เป็นตัวกำจัดเชื้อที่รุนแรงเป็นสาเหตุก่อโรคท้องเสียหายไป ถูกกำจัดช้าลง ทำให้หายลงด้วยครับ ข้อบ่งชี้ในการให้ยาฆ่าเชื้อ คร่าว ๆ มีดังนี้ครับ 3.1. ในการติดเชื้อบางอย่างซึ่งต้องวินิจฉัยโดยแพทย์นะครับ จะหายเร็วกว่าเดิมครับ 3.2. เชื้อที่เรียกว่า C.difficile, E.histolytica, Balantidium coli ซึ่งต้องวินิจฉัยโดยแพทย์ หรือ ต้องใช้การเพาะเชื้อร่วมด้วย 3.3. ในบางคนที่มีต้นเหตุจาก เชื้อ หรือ สาเหตุที่ทำให้ถ่ายหายช้า