Skip to content
  • EN
    • TH
    • CN
    • AR
  • EN
    • TH
    • CN
    • AR
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us
Menu
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us

Category: Articles EN

จิตเวช: โรคซึมเศร้าเรื้อรัง

จิตเวช: สามีเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ไม่ทราบว่าต้องรักษาอย่างไรจึงจะหายขาด คำถาม สามีเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง พบแพทย์และรับประทานยามากว่า 2 ปีแล้ว พอหยุดยา อาการก็กลับมาอีก ไม่ทราบว่าต้องรักษาอย่างไรจึงจะหายขาด คำตอบ โดย นายแพทย์ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง (จิตแพทย์) โดยหลักวิชาการการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรังก็จะต้องมีอาการบ่อยๆ เกินกว่า 2 ปีอยู่แลัว ถ้าไม่ได้รับการรักษาในระหว่างที่มีอาการอยู่อาจมีอาการซึมเศร้าถึงขั้นรุนแรงได้ในบางราย กรณีของสามีคุณช่วงที่ได้รับการรักษาอาการคงทุเลา พอหยุดยาซึ่งไม่ทราบว่าหยุดนานแค่ไหน และมีเหตุกระตุ้นทางจิตใจอีกหรือไม่ อาการก็กำเริบอีก โรคซึมเศร้าเรื้อรังนั้นบางคนอาจไม่หายขาดเสียเลยทีเดียว แต่พอรักษาให้ทุเลาได้จนสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เกือบปกติ ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยทางชีวภาพที่เกี่ยวกับสารเคมีในสมองที่พร่องไปเนื่องจากกรรมพันธุ์ และปัจจัยทางจิตวิทยาและสังคมที่เกิดจากปัญหาชีวิตโดยเฉพาะการสูญเสียไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่รัก ทรัพย์สินเงินทอง หรือแม้แต่ความรู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจ ถ้าหากสามีคุณมีทั้งปัจจัยทางชีวภาพ นั่นคือ มีกรรมพันธุ์ในครอบครัว ประกอบกับมีปัญหาชีวิตเรื้อรัง มีการสูญเสียบ่อยๆ ซ้ำๆ อยู่ด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงตลอดเวลา การรักษาคงต้องยาวนานหลายๆปี ส่วนการรักษาจะกินยาต้านเศร้าอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องรักษาด้วยจิตบำบัดและพฤติกรรมบำบัดด้วย โดยเฉพาะจิตบำบัดชนิดปรับเปลี่ยนความคิดอย่าตำหนิตัวเองหรือมองโลกในแง่ร้าย ผู้ดูแลควรแสดงความเข้าใจในอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกของผู้ป่วย พร้อมแนะนำว่าความคิด ความรู้สึกที่มีอยู่ในขณะนั้นเป็นอาการของโรค เมื่อรักษาดีขึ้นแล้ว อารมณ์เศร้าและการมองสิ่งต่างๆ ในด้านลบจะดีขึ้น และคอยส่งเสริมให้ทำกิจกรรมที่ทำให้มีความมั่นใจ ภาคภูมิใจในตนเอง หรือมีความเพลิดเพลิน ถ้ามีปัญหาชีวิตและการสูญเสีย ต้องช่วยผู้ป่วยจัดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว มีข้อสังเกตที่สำคัญ 2 ประการ คือ ในระหว่างมีอาการต้องคอยประเมินความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย และเมื่ออาการทุเลาแล้วก็ยังต้องคอยสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงที่อาจแสดงถึงการกำเริบซ้ำ อย่างไรก็ตามโรคนี้ก็ยังมีโอกาสหายได้ครับ.

Read More »

จิตเวช: นอน… ใครว่าไม่สำคัญ

จิตเวช: นอน… ใครว่าไม่สำคัญ นอน… ใครว่าไม่สำคัญ น.พ.ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง จิตแพทย์ เมื่อก่อนหากมีใครกล่าวว่า “ กินได้นอนหลับ ” ย่อมถือว่าโชคดีมหาศาลแล้ว ผมก็เคยเชื่อตามนั้น แต่เดี๋ยวนี้ เราคำนึงถึงคุณภาพชีวิตกันมากขึ้น มิใช่สักแต่กินจนเป็นโรคอ้วน หรือนอนหลับฝันร้าย ก็คงไม่เอาด้วย ปัญหาการนอน เห็นทีจะปล่อยปละละเลยไม่ได้อีกแล้ว หากพิจารณาปัญหาการนอนใน เชิงปริมาณ ก็จะเป็นเรื่อง นอนไม่หลับ นอนน้อยไม่เพียงพอ และในทางตรงข้ามคือ นอนมากเกินไป ส่วนปัญหาการนอนใน เชิงคุณภาพ ก็คือ นอนฝันร้าย และนอนละเมอเดิน อาการนอนไม่หลับ (Insomnia) เกิดจากการเจ็บป่วยทางกาย เช่น เจ็บปวดของอวัยวะต่าง ๆ ไอหอบเหนื่อยของโรคทางปอดและหัวใจ เป็นต้น และการเจ็บป่วยทางจิตใจ เช่น เครียดวิตกกังวล ซึมเศร้า ก้าวร้าว สับสน เป็นต้น นอกจากนี้ ปัญหาการนอนไม่หลับอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงจังหวะเวลาของการตื่นหลับกะทันหัน (circadian rhythm) เช่น เดินทางโดยเครื่องบินไปต่างประเทศที่เรียกว่า Jet-lag หรือการเปลี่ยนกะทำงานจากกลางวันเป็นกลางคืน เป็นต้น ในคนอ้วน หรือทางเดินหายใจส่วนบนแคบ ก็อาจหยุดหาย ๆ เป็นพัก ๆ ทำให้ขาดออกซิเจนต้องตื่นบ่อย ๆ และบางรายนอนไม่หลับโดยไม่ทราบสาเหตุก็มี อาการนอนหลับมากไป (Hypersomnia) จะนอนหลับตอนกลางคืนระหว่าง 8-12 ชั่วโมง และมักงีบหลับตอนกลางวันด้วย นานกว่า 1 ชั่วโมง เมื่อตื่นก็ยังไม่สดชื่น ขาดสมาธิ ดูเหมือนเฉี่อยช้าและขี้เกียจ บางรายมีอาการ Cataplexy ร่วมด้วย กล่าวคือ เกิดภาวะที่กล้ามเนื้อของแขนขา หรือลำตัวหมดกำลัง ทำให้ทรุดตัวล้มลงทันทีทันใด ซึ่งเรียกว่า โรค Narcolepsy อาการนอนฝันร้าย (Nightmare and sleep terror) มักเกิดในเด็ก และเกิดขณะกำลังฝันเกี่ยวกับเรื่องราวที่เป็นอันตราย หรือภายหลังประสบเหตุการณ์ที่ร้ายแรงในชีวิต ขณะฝันร้ายอาจพูด ร้องส่งเสียงดัง หรือออกท่าทางต่าง ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ตื่นขึ้นจะรู้สึกไม่สบายใจ วิตกกังวล หรือสับสนบ้าง และอาจมีอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติทำงานเพิ่มขึ้น ใจเต้นใจสั่น เหงื่อออกมาก หอบเหนื่อย หน้าตาแดง กล้าเนื้อตึงเครียด เป็นต้น อาการนอนละเมอเดิน (Sleepwalking) มักเกิดอาการในช่วงแรกของการหลับ โดยแสดงพฤติกรรมรูปแบบต่างๆ เช่น ลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองไปมองมา จับผ้าห่มหรือหมอน รายที่เป็นมากจะลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมา เดินออกนอกห้อง ขึ้นลงบันได หรือเดินออกนอกบ้าน รับประทานอาหาร พูดคนเดียว วิ่งหรือพยายามหนีจากอันตรายที่รู้สึกในขณะนั้น โดยทั่วไป พฤติกรรมจะไม่ซับซ้อน กินเวลาหลายนาทีถึงครึ่งชั่วโมง แล้วนอนต่อจนถึงเช้า บางรายพบว่านอนอยู่ที่อื่นที่มิใช่เตียงนอนของตนก็มี การแก้ปัญหาการนอน ทุกรายต้องค้นหาและรักษาที่สาเหตุเสมอ ซึ่งอาจเกิดจากโรคทางกายหรือจิตใจ 1. การรักษาอาการนอนไม่หลับ ใช้หลักสุขอนามัยของการนอน และ/หรือใช้ยาคลายกังวล ยาด้านเศร้า หรือยานอนหลับเท่าที่จำเป็น ส่วนในรายที่เปลี่ยนเวลานอน ให้ค่อย ๆ ปรับเวลานอนของตนให้ใกล้เคียงกับเวลาท้องถิ่นให้มากที่สุดและในรายที่อ้วน ให้ลดน้ำหนักลง ใช้ไม้กดลิ้นให้ทางเดินหายใจโล่ง และให้ดมออกซิเจนก่อนนอน 2. การรักษาอาการนอนหลับมากไป อาจใช้ยากระตุ้นสมองบางชนิด ภายใต้การดูแลของแพทย์ 3. การรักษาอาการนอนฝันร้าย โดยทั่วไปถ้าอาการไม่มาก จะหายได้เอง ปลอบผู้ป่วยให้สบายใจ แต่บางรายอาจให้ยาคลายกังวลได้ 4. การรักษาอาการนอนละเมอเดิน ให้ระวังปิดประตูหน้าต่างห้องนอนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และให้ยาคลายกังวลร่วมด้วย

Read More »

จิตเวช: จาก I.Q. ถึง E.Q. สู่ A.Q.

จิตเวช: จาก I.Q. ถึง E.Q. สู่ A.Q. จาก I.Q. ถึง E.Q. สู่ A.Q. ศ.กิตติคุณ พ.ญ.พยอม อิงคตานุวัฒน์ E.Q. หรือ Emotional Quotient ที่เรียก E.Q. เพราะต้องการให้สัมผัสกับ I.Q. ตามตำราที่ถูกต้อง จะเรียกชื่อเต็มว่า Emotional Intelligence E.Q. หรือ Emotional Intelligence หมายถึงความสามารถทางอารมณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งประกอบด้วย 1. ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง (Self Control) 2. ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นและของตนเอง (Knowing one’s emotions) 3. ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงของอารมณ์ ไม่หวั่น ไหวง่าย รวมทั้งปฎิกริยาระหว่างบุคคลและปฎิกริยากับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้อง และสัมพันธ์กับเหตุการณ์ 4. ความสามารถที่ทำให้มีอารมณ์กระตือรือร้น อันจะก่อให้เกิดแรงจูงใจแล้วนำไปสู่ความสำเร็จส่วนตัว และความเจริญก้าวหน้าของสังคม ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง Self-control หมายถึงความสามารถควบคุมการแสดงออกทาง กาย วาจา และสีหน้าได้ สมเหตุ สมผล ตามแบบฉบับที่สังคมกำหนดไว้ หรือเป็นแบบฉบับซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคมที่ เราดำรงชีวิตอยู่ เช่น การทักทายกันและกันสีหน้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใส และใช้วาจาสุภาพ หรือ สามารถควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม เห็นของ ๆ ผู้อื่นซึ่งไม่ใช่ของตนก็อยากได้ ถ้าไม่มี E.Q. ควบคุมให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ก็จะละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่นโดยหยิบหรือขโมยไป ย่อมเป็นปัญหาของสังคมตามที่ท่านได้เคยพบเห็นมาแล้ว ความสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างบุคลิกภาพ ให้น่าดูน่าชมทุกคนที่พบเห็นอยากติดต่อคบค้าสมาคมด้วย 1997 Mayer และ Salo กล่าวว่าบุคคลใดก็ตามที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ถึงแม้จะมีสติปัญญาเฉียบแหลม แต่ความคิดสร้างสรรค์ก็ไม่อาจ จะเกิดขึ้นได้ เช่น ในปี 1998 ประธานาธิบดี บิล คลินตัน แห่งสหรัฐอเมริกา ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ทางเพศได้ นำไปสู่พฤติกรรมที่ขาดศีลธรรมเกิดเรื่องอื้อฉาวตามที่ทราบกันทั่วโลก ทำให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ตัองใช้เงินในการสอบสวนหลาย 10 ล้านเหรียญ เพราะสติปัญญาที่เฉียบแหลมถูกครอบงำด้วยอารมณ์ทางเพศแล้วไม่สามารถควบคุมอารมณ์นั้น ๆ ได้ จึงประพฤติผิดศีลธรรมอันดีงามทั้ง ๆ ที่เป็นผู้นำชาติระดับโลก หรือในบางคนที่ควบคุมอารมณ์โกรธ อารมณ์อิจฉาของตัวเองไม่ได้ ก็จะทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกขาดความเหมาะสม เพราะฉนั้น ความสามารถทางอารมณ์จะต้องควบคู่ไปกับความสามารถทางสติปัญหา จึงจะช่วยให้บุคคลนั้น ๆ ประสบความสำเร็จหรือมี A.Q. (Adversity Quotient) นั่นเอง ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นและอารมณ์ของตัวเอง เมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจอารมณ์ของตนเอง และของผู้อื่นที่เกี่ยวข้องด้วยก็จะทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน มีความอดทน มีความห่วงใยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความผูกพันทางอารมณ์ ผลที่ได้รับคือทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกต่อกัน สมเหตุ สมผล นำไปสู่ความรับผิดชอบต่อกันแล้วรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน จึงทำให้สังคมไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เจริญก้าวหน้า เป็นความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) ที่สำคัญที่ทำให้ทุกคนในสังคมมีความสุข และทำให้สังคมคงรูปอยู่ได้ไม่ปั่นป่วน การขาด E.Q. ในด้าน Social Responsibility สังคมจะมีแต่ความเดือดร้อน คนส่วนใหญ่หาความสุขไม่ได้ดังที่ปรากฎอยู่ในขณะนี้ ผู้นำครอบครัวผู้นำองค์กรหรือผู้นำประเทศถึงแม้จะมี I.Q. สูงมากสักปานใดแต่ถ้าขาด E.Q. หรือ Emotional Intelligence ก็จะขาดความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตนเอง (Self Control) ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แล้วยังขาด E.Q. ในส่วนของ Social Responsibility อีก ย่อมไม่อาจนำความเจริญมาสู่ครอบครัว สู่องค์กรหรือสู่ประเทศชาติได้ ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงของอารมณ์ (Emotional stability) เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้การดำรงชีวิตประจำวันของตนเอง ของผู้อยู่ร่วมด้วยตลอดจนบุคคลในสังคมรอบตัวมีความสุขและราบรื่น ทำให้มีคนอยากติดต่อด้วยอยากอยู่ใกล้ ๆ เพราะพูดคุยด้วยแล้วมีความสุข ในทางตรงข้ามผู้ที่มีอารมณ์ไม่มั่นคง โกรธง่าย โกรธบ่อย โกรธรุนแรงไม่สมเหตุสมผล อารมณ์ไม่แน่นอน วันนี้ทักทายยิ้มแย้มดี พรุ่งนี้อาจจะไม่มองหน้าไม่พูดด้วย หรือในวันเดียวกันอาจจะมีหลายอารมณ์ เช่น เสียใจง่าย เสียใจบ่อย หรือโกรธบ่อยโดยไม่มีเหตุ ตลอดวัน อาจจะอารมณ์ไม่แจ่มใสไม่ยิ้มแย้ม แล้วจะมีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากคบหาสมาคมด้วย ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงทางอารมณ์ (Emotional Stability) จะทำให้ความสัมพันธ์ดีทุกระดับ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ครูกับนักเรียน นายจ้างกับลูกจ้างหรือผู้บริหารประเทศกับประชาชน ซึ่งจะนำไปสู่การร่วมมือในทางสร้างสรรค์ทุกระดับชั้นของสังคมตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับประเทศ ความสามารถที่ทำให้มีอารมณ์กระตือรือร้น เกิดแรงจูงใจที่จะต่อสู้อุปสรรคทั้งมวล เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จส่วนตัว แล้วความเจริญของสังคมนั้น ๆ ย่อมเป็นผลตามมาอย่างแน่นอน สังคมใดที่มีทรัพยากรมนุษย์ที่มี E.Q. สูงทั้ง 4 องค์ประกอบดังกล่าวมาแล้วข้างต้น อันได้แก่ :- ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นและของตนเอง ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงของอารมณ์ ความสามารถที่ทำให้เกิดอารมณ์กระตือรื้นร้น บุคคลนั้นๆ ก็จะเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมในทางสร้างสรรค์ทุกรูปแบบ ต่อสังคมที่บุคคลนั้น ๆ ดำรงชีวิตอยู่ ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า I.Q. และ E.Q. จะนำท่านไปสู่ A.Q. (Adversity Quotient = ความสามารถสู่ความสำเร็จ) ด้วย E.Q. หรือความสามารถทางอารมณ์พัฒนาพร้อมๆ กับ I.Q. และการพัฒนาของ E.Q. ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้ 1. ปัจจัยทางพันธุกรรม โดยได้พื้นของอารมณ์จากบรรพบุรุษถ่ายทอดสู่ลูกหลาน ถ้าพื้นของอารมณ์ดีไม่หงุดหงิดจะทำให้ E.Q. ดี

Read More »

จิตเวช: ความฉลาดทางอารมณ์

จิตเวช: ความฉลาดทางอารมณ์ ความฉลาดทางอารมณ์ โดย อ.วรนันท์ ศรียากร ในปัจจุบันผู้ปกครองหลายท่านให้ความสนใจสอบถามเกี่ยวกับ “EQ” กันมาก หลายท่านพอจะเข้าใจบ้าง และอีกหลายท่านเพียงแต่เคยได้ยินเท่านั้น ผู้ปกครองท่านหนึ่ง เดินเข้ามาด้วยใบหน้าวิตกกังวลและบอกว่า “ครูประจำชั้นของลูกบอกว่า ลูกของดิฉัน “EQ” ต่ำ หมายความว่ายังไงคะ?” เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ เราควรมาทำความเข้าใจในเรื่องของ “EQ” กันก่อน “EQ” (Emotional Quotient หรือ Emotional Intelligence) หรือในภาษาไทย มีชื่อเรียกว่า ความฉลาดทางอารมณ์ หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ มีจิตใจที่มั่นคง การมองโลกในแง่ดี รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ มีเหตุผล มีสติ สามารถควบคุมตนเอง มีความสามารถในการรับรู้ถึงความต้องการของคนอื่น และรู้จักมารยาททางสังคม พูดง่ายๆ ก็คือ คนที่มี “EQ” ดี จะเป็นคนที่สามารถแสดงออกทางพฤติกรรมต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ตามวัยของตน และสามารถอยู่กับคนอื่นๆ ในสังคมได้อย่างดีนั่นเอง “EQ” และ “IQ” เป็นของคู่กัน “IQ” หมายถึง ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ทำความเข้าใจ ความสามารถในการจดจำสิ่งต่างๆ และสามารถนำมาประเมินค่าได้ เท่าที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักจะเน้นอยากให้บุตรหลานเรียนเก่งๆ ซึ่งนั่นก็คือ การเน้นที่ “IQ” อย่างเดียว ซึ่งในปัจจุบันความคิดนี้ไม่น่าจะถูกต้องนัก มีคนหลายคนที่เรียนเก่ง ได้คะแนนสูง ฉลาด แต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ในหน้าที่การงาน ดังนั้น คนเราถ้าจะเก่ง จะดี จะฉลาด และประสบความสำเร็จในชีวิต ควรจะต้องมีทั้ง “EQ” และ “IQ” ควบคู่กันไป ที่ผ่านมา ผู้ปกครอง พ่อ แม่ โรงเรียน มักจะเน้นการเรียนการสอนให้เด็กเป็นคนเก่งทางการเรียน เน้นการได้คะแนนสูงๆ คือ เน้นเฉพาะการพัฒนาด้าน IQ เพียงอย่างเดียว และมองข้ามการพัฒนาด้าน EQ ไป มองข้ามการพัฒนาเด็กให้มีความพร้อมทางจิตใจและอารมณ์ ในการที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม มีวิธีการง่ายๆ ที่ พ่อ – แม่ ผู้ปกครอง จะสามารถพัฒนา EQ ของลูกได้ โดยการ เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูก ในการแสดงออกต่างๆ เช่น การเอาใจเขามาใส่ใจเรา การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นต้น เล่นกับลูก หรือให้ลูกได้มีโอกาสเล่นกับเพื่อนๆ การเล่นนี้ พ่อ – แม่ ผู้ปกครอง อาจจะเป็นผู้นำในการเล่น เช่น “การเล่นแม่งูเอ๋ย” เพื่อให้เด็กรู้จักเคารพกติกา ซึ่งเป็นการฝึกทักษะทางสังคมให้กับเด็กนั่นเอง ฝึกการรู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อให้เด็กเรียนรู้ถึงการทำงานเป็นทีม มากกว่า ข้าเก่งอยู่คนเดียว เพื่อเป็นการเข้าใจถึงการยอมรับความคิดเป็นของคนอื่น เพื่อให้รู้จักการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับคนอื่นๆ เป็นต้น คุณพ่อ – คุณแม่ ทั้งหลาย ท่านหันมามองบุตรหลานของท่านกันหน่อย ว่าท่านสอนให้ลูกมี “EQ” คู่กับ “IQ” หรือว่าสอนแต่ให้ลูกมี “IQ” อย่างเดียว ถ้าอยากให้อนาคตของชาติเป็นคนดี มีประโยชน์ เป็นคนที่สังคมต้องการ พร้อมทั้งประสบความสำเร็จในชีวิต ถึงเวลาแล้วที่จะหันมาพัฒนา “EQ” ให้ลูกของท่าน ซึ่งการพัฒนา EQ นั้น ท่านสามารถลงมือปฏิบัติเองได้ อย่ามัวหลงเชื่อโฆษณาที่มุ่งเน้นแต่จะทำธุรกิจ หากินกับเด็กอยู่ต่อไปเลยนะคะ ตัวท่านเองนั่นแหละ ที่เป็นคนสำคัญ ที่จะพัฒนา “EQ” ให้กับลูกของท่านได้.

Read More »

จิตเวช: ห้ามบ่อยๆ หรือจะปล่อยตามใจ

จิตเวช: ห้ามบ่อยๆ หรือจะปล่อยตามใจ ห้ามบ่อยๆ หรือจะปล่อยตามใจ โดย พญ.พยอม อิงคตานุวัฒน์ การเลี้ยงลูกถึงแม้จะเป็นเรื่องของชีวภาพ มนุษย์ไม่ว่าอยู่ที่มุมใดของโลกเมื่อมีลูกก็จะเลี้ยงลูกเป็น หากแต่การเลี้ยงลูกย่อมแตกต่างตามภูมิภาคและวัฒนธรรมรวมทั้งดินฟ้าอากาศของพื้นผิวโลกที่บุคคลนั้นอาศัยอยู่ ทารกหลังคลอดจะช่วยตัวเองไม่ได้เลยต้องมีแม่เป็นผู้ให้อาหารให้ความอบอุ่นดูแลความสะอาด และการหลับนอนโดยมีพ่อแม่เป็นผู้ช่วยทั้งทางตรงและทางอ้อม เมื่อเทียบกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทารกจะช่วยตัวเองได้น้อยมากๆ เพราะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ลูกแมว ลูกสุนัข สามารถคลานไปหาเต้านมแม่เพื่อดูดน้ำนมเลี้ยงชีวิตให้เติบโตได้ แต่ทารกหาอาหารให้ตัวเองไม่ได้ แม่จะต้องเป็นผู้เอานมใส่ปากลูก ถ้าแม่ไม่เอาหัวนมไม่ว่าจะเป็นนมแม่หรือนมขวดใส่ปากทารก ทารกก็จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ การเลี้ยงลูกเป็นปรัชญาที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนซึ่งต้องการพลังกายกำลังใจต้องการความอดทนสูง และต้องการปฏิภาณไหวพริบที่เฉียบแหลมด้วย พ่อแม่ไม่เพียงแต่เลี้ยงลูกให้ร่างกายเติบโตเท่านั้น จะต้องเลี้ยงลูกให้รู้จักปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามระเบียบวัฒนธรรมของถิ่นกำเนิดที่อาศัยอยู่ด้วย การให้อาหารเด็กอ่อนรวมทั้งการดูแลสุขอนามัยส่วนตัวเป็นเรื่องง่าย เพราะเด็กอ่อนหรือทารกทำหน้าที่รับอย่างเดียว พ่อแม่จะทำให้อย่างไรก็รับทั้งนั้น จนกระทั่งทารกเติบโตขึ้นมีความสามารถเพิ่มขึ้นตามพัฒนาการของสมองทำให้ไขว่คว้าได้ คลานได้ เริ่มเห็นวัตถุรอบตัวที่ผ่านเข้ามาในสายตาเกิดความสนใจ จึงคลานไปรอบห้องซึ่งเปรียบเหมือนโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลของเด็ก สำหรับตัวเด็กเองจะสนุก ตื่นเต้น มีความสุขกับสิ่งใหม่ๆ ที่ได้เห็นได้จับต้องลูบคลำ จึงไม่ยอมอยู่ใกล้แม่หรือพี่เลี้ยง จะพยายามคลานไปคว้าโน่นฉวยนี่ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ พฤติกรรมและความสามารถของลูกที่เพิ่มขึ้นทำให้มีปฏิกิริยาจากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่รอบตัวเป็น 2 แบบ แบบแรก เราจะได้ยินเสียงพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงคอยเรียก “มานี่เร็ว เอ๊ะบอกว่าอย่า หรือ แน้ะอย่านะ” เสียงเรียกเสียงห้ามต่างๆ นานา ซึ่งเด็กได้ยินเป็นประจำ ตั้งแต่เด็กเองก็ยังไม่รู้ความหมายของภาษาที่แม่สื่อความหมายกับตัวเด็กแล้วเด็กเองก็ยังพูดไม่เป็นอีกด้วย เมื่อได้ยินเสียงเรียกเสียงห้ามในระยะแรกๆ อาจจะหยุดคลานแล้วหันมายิ้มด้วย เพราะเข้าใจว่าพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงทักทายด้วยก็หยุดทักทายตอบด้วยการยิ้ม แล้วรีบคลานหนีไปมุ่งสู่สิ่งที่สนใจข้างหน้า ถ้าแม่หรือพี่เลี้ยงนั่งอยู่กับที่แล้วใช้เสียงตะโกนตามหลังเด็กไป “เอ๊ะอย่านะ! แน้ะอย่านะ บอกว่าอย่ายังไม่หยุดอีก” จะไม่เกิดประโยชน์ในการปลูกฝังนิสัยที่ดีงาม หรือปลูกฝังความประพฤติที่ถูกต้องให้กับลูกพร้อมๆ กันเด็กก็ไม่เกิดการเรียนรู้ว่าสิ่งใดถูกเล่นได้ สิ่งใดไม่ถูกไม่ควรเล่น การที่ผู้ใหญ่ห้ามด้วยเสียงแล้วไม่สามารถหยุดพฤติกรรมที่ขาดความเหมาะสมของเด็กได้ เด็กจะฟังจนเกิดความเคยชิน ตะโกนห้าม ตะโกนเรียกเสียงเอะอะ เด็กก็ไม่สนใจ คงทำตามความสนใจของตนเองตามพัฒนาการของสมอง ฉะนั้นในการเลี้ยงลูก คำพูดและน้ำเสียงของแม่หรือพี่เลี้ยงจะมีความหมายและมีความสำคัญในการปลูกฝังสิ่งที่ควรสิ่งที่ถูกต้องให้ก ับลูกก็ต่อเมื่อพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงได้แสดงพฤติกรรมประกอบด้วย เช่น เห็นลูกคลานตรงไปที่ปลั๊กไฟฟ้า แม่จะเปล่งเสียงลั่นห้าม “อย่านะ อย่านะ” แล้วต้องรีบลุกตามไปอุ้มลูกออกมาจากจุดที่จะเป็นอันตราย ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่ลูกเฉียดเข้าไปใกล้ปลั๊กไฟฟ้า ลูกจะได้เรียนรู้ว่าส่วนนั้นของห้องเข้าไปไม่ได้ และได้เรียนรู้ความหมายของคำที่แม่พูดด้วย เป็นการช่วยการพัฒนาภาษาทางอ้อมให้กับลูกอีกทางหนึ่ง การร้องห้ามทุกครั้งที่เด็กเคลื่อนไหวห่างออกไปหรือแสดงท่าทางไขว่คว้าว่า “อย่าไปนะ มานี่ อย่าจับนะ อย่าเล่นนะ” โดยไม่มีพฤติกรรมเกี่ยวโยงปฏิบัติต่อเด็กจากพ่อแม่ประกอบด้วยตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จะก่อให้เกิดผลเสียต่อการพัฒนาของเด็กทำให้ เด็กขาดประสบการณ์ในการเรียนรู้ เนื่องจากแม่หรือพี่เลี้ยงจะหาทางไม่ให้ลูกไปไกลจากตัว เมื่อเด็กดิ้นจะไปก็พูดแต่ “ไม่ไปนะ อย่าไปนะ เอ๊ะอย่านะ” หมดโอกาสได้เรียนรู้จักของใหม่สำหรับชีวิตเด็ก เป็นการบั่นทอนพัฒนาการด้านสติปัญญา และด้านการปรับตัวของเด็กอย่างมาก ไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนทักษะใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตามวัย เด็กขาดการริเริ่ม เพราะทุกครั้งที่เห็นของใหม่ในชีวิต เด็กจะอยากลูบคลำแตะต้อง แต่พ่อแม่พี่เลี้ยงจะร้อง “อย่านะ ไม่เอานะ” ไม่ว่าของสิ่งนั้นเด็กสมควรหรือไม่สมควรจะแตะต้อง เมื่อถูกขัดขวางบ่อยๆ ความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติ อันพึงมีตามวัยก็หมดไป อีกทั้งยังไม่ได้เรียนรู้ว่าสิ่งของหรือวัตถุใดที่จะก่อให้เกิดอันตรายแก่ตนเองบ้าง จึงพัฒนาไปเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดความคิดริเริ่ม เด็กขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะทุกครั้งที่อยากแสดงออกจะถูกขัดขวางตลอดเวลา พอทำท่าจะคลานออกไปก็มีเสียงห้ามตั้ง 4 – 5 เสียง เด็กจะเข้าใจเอาเองว่าสิ่งที่ตนคิดหรือทำคงจะไม่ถูก เพราะมีแต่เสียง “อย่า! อย่า! อย่า!” ทำให้กลายเป็นเด็กลังเลทุกครั้งที่ต้องตัดสินใจ คิดไม่ตกว่าควรทำหรือไม่ควรทำ เนื่องจากขาดความมั่นใจในตัวเอง แบบที่สอง ตรงข้ามกับแบบแรก ลูกจะขว้างปาขวดนมเมื่อกินหมดแล้วก็ปล่อยให้ทำซ้ำๆจนเป็นนิสัย ลูกจะคลานไปค้นรื้อของรอบห้องทั้งๆ ที่ไม่ใช่ของเล่นของเด็ก พ่อแม่ก็ปล่อย ลูกจะเล่นขวดแก้ว ขวดน้ำ ถ้วยแก้ว ก็ปล่อยให้คว้าตามใจ เคาะจนแตกก็ดุพี่เลี้ยง ของที่เป็นอันตรายก็ไม่เก็บให้พ้นมือเด็ก เช่น กระติกน้ำร้อน ของร้อนทั้งหลายหรือของมีคม เช่น มีด ไม่ควรให้เข้าใกล้จะเกิดอันตรายได้ พ่อแม่ปล่อยให้เล่นของทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาเด็กจนติดเป็นนิสัย เด็กที่พ่อแม่ปล่อยตามใจจึงได้เล่นของที่ไม่ควรเล่นและไม่เป็นอันตราย แต่เกิดความเสียหายได้ เช่น นาฬิกาข้อมือ แว่นตา ปากกา ถ้าลูกคว้าแว่นตาจากหน้าพ่อ พ่อจะหัวเราะชอบใจปล่อยให้เอาไปเล่น จนหักหรือแตก เช่นเดียวกับปากกาที่พ่อเสียบไว้ที่กระเป๋าเสื้อ หรือนาฬิกาข้อมือที่ใส่อยู่บนข้อมือ เวลาพ่ออุ้มลูกอายุ 7 – 8 เดือนอยู่ลูกก็จะดึงนาฬิกาข้อมือพ่อดึงเล่นตามประสาเด็กที่ไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน ลูกบางคนจะดึงเอาดึงเอา พ่อใจดีตามใจคิดว่าลูกอยากได้อีกทั้งได้ปล่อยตามใจมาแล้วโดยตลอดไม่ว่าจะสมควรหรือไม่สมควร พ่อก็จะถอดนาฬิกาข้อมือให้ลูก เด็ก 7 – 8 เดือน เมื่อรับของแล้วก็ขว้างทิ้ง นาฬิกาเสียพ่อหัวเราะชอบใจ เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ในขวบปีแรกของชีวิตลูก ลูกไม่เคยได้เรียนรู้ว่าสิ่งใดควรเล่นสิ่งใดไม่ควรเล่น ไม่เคยเรียนรู้ว่าการทำหรือการเล่นของที่ไม่ใช่ของเล่นทำให้เกิดความเสียหาย หรืออาจทำให้เกิดอันตรายได้ เวลาทำของเสียแล้วก็ได้ของใหม่มาแทนที่ ซึ่งอาจจะดีกว่าของเก่าที่เสียไปอีกด้วย หรือทำของเสียก็ไม่ถูกตำหนิ ไม่เคยถูกปรามให้รู้ว่าผิดอย่าทำอีก การปล่อยตามใจของพ่อแม่นี้ในบางครอบครัวตามใจมากจนกระทั่งลูกร้องอยากได้ของๆคนอื่น เช่น เด็ก 1 ขวบ เห็นเด็กเพื่อนบ้านมีลูกโป่งถือเล่น ก็ร้องจะเอาให้ได้ พ่อแม่ก็ขอร้องให้เขายอมยกลูกโป่งให้ลูกตัวด้วยการติดสินบนอย่างอื่นใช้แทนลูกโป่ง ลูกก็ยิ่งได้ใจ และเป็นการปลูกฝังนิสัยเอาแต่ใจตัว และระเมิดสิทธิของผู้อื่นโดยพ่อแม่ไม่ทันคิด ลูกที่ถูกเลี้ยงโดยปล่อยตามใจนี้ จะทำให้เกิดผลเสียต่อพัฒนาการทางสังคม เมื่อเติบโตไปในวันหน้าจะเป็นคน เอาแต่ใจตัว ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย การดำเนินชีวิตในวัยผู้ใหญ่ก็จะไม่มีความสุขเพราะขาดเพื่อน ไม่มีความรับผิดชอบต่อข้าวของเครื่องใช้ของตัวเอง และของสมาชิกในครอบครัว เพราะทำเสีย ไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนว่าไม่ควรทำอีก หรือถูกปล่อยตามใจให้ทำเสียจนกลายเป็นคนไม่รักของ ไม่เสียดายของเพราะความเคยชินกับการทิ้งของ เสียแล้วซื้อใหม่ สิ้นเปลืองเงินทองโดยไม่จำเป็นเมื่อเป็นผู้ใหญ่จะสร้างหลักฐานทางเศรษฐกิจไม่ได้ ผู้ที่เป็นพ่อแม่เคยเลี้ยงลูกจะรู้ว่าการเลี้ยงลูกเป็นศิลปที่ละเอียดอ่อนดังได้กล่าวแล้วข้างต้น จึงควรเดินสายกลาง การห้ามตลอดเวลาหรือการตามใจปล่อยตามเรื่องตามราว จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูก ทำให้ประเทศชาติมีทรัพยากรมนุษย์ที่คุณภาพต่ำ หรือปราศจากคุณภาพซึ่งเห็นอยู่ทั่วไปในสังคมของเรา “ลูกไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความรู้ตั้งแต่ ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก”

Read More »

จิตเวช: เห็น…(จิต)…ใจคนแก่บ้าง

จิตเวช: เห็น…(จิต)…ใจคนแก่บ้าง เห็น…(จิต)…ใจคนแก่บ้าง โดย นพ.ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง โปรดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรื่องพรรค์นั้นนะครับ ผมหมายถึง “ปัญหาสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ” ต่างหาก เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่หรือญาติผู้ใหญ่ที่ท่านรักต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมาน มีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง และเป็นภาระให้กับคนใกล้ชิด ใส่ใจท่านสักนิด ดูแลท่านสักหน่อย ให้การป้องกันหรือรีบพาไปตรวจรักษาเสียแต่เนิ่นๆ ปัญหาต่างๆ ก็จะหมดไป หรืออย่างน้อยก็สามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ ปัญหาสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ที่พบบ่อย ได้แก่ 1. ปัญหานอนไม่หลับ โดยธรรมชาติคนเราเมื่ออายุมากขึ้น การนอนรวดเดียวในตอนกลางคืนจะน้อยลง ผู้สูงอายุจึงมักแอบงีบตอนกลางวันเพื่อตุนไว้ก่อน โรคทางกายหลายโรคอาจรบกวนการนอนได้ เช่น ปวดเมื่อยตัว ปวดกระดูก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ เป็นต้น ส่วนโรคทางจิตใจ มักเกิดจากภาวะวิตกกังวล หรือซึมเศร้า เป็นต้น 2. ภาวะวิตกกังวล พบได้ถึงร้อยละ 5.5 ของผู้สูงอายุชาวอเมริกัน ผู้สูงอายุจะรู้สึกเครียดง่าย เนื่องจากปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ยาก ความสามารถและประสิทธิภาพลดลง อาจกลัวตาย หรือย้ำคิดย้ำทำ 3. ภาวะซึมเศร้า พบได้ถึงร้อยละ 15 ของผู้สูงอายุชาวอเมริกัน ผู้สูงอายุจะรู้สึกหมดเรี่ยวแรง ไม่มีสมาธิ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ น้ำหนักลด เจ็บโน่นเจ็บนี่ ถ้าซึมเศร้ามากๆ จะร้องไห้บ่อย ไม่เชื่อมั่นตัวเอง โทษตัวเอง รู้สึกตัวเองไร้ค่า บางคนถึงกับทำร้ายตัวเองได้ 4. ภาวะความจำเสื่อม มักเป็นส่วนหนึ่งของภาวะสมองเสื่อม ในอเมริกาพบว่าที่เป็นระดับน้อยมีร้อยละ 15 ระดับมากมีร้อยละ 5 ของผู้สูงอายุ โดยที่เป็นโรคอัลไซเมอร์มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 60 ของโรคสมองเสื่อม รองลงมาเป็นโรคสมองเสื่อมจากหลอดเลือด 5. ภาวะติดเหล้าติดยา ผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งดื่มเหล้าจัด ดื่มเรื้อรัง หรือใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม เช่น ติดยานอนหลับ หรือยาแก้ปวด เป็นต้น 6. ภาวะเจ็บป่วยทางกายที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ มีหลายโรคในผู้สูงอายุที่เกิดจากสาเหตุทางจิตใจโดยตรง หรือ โดยอ้อม เช่น อาการปวดศีรษะ วิงเวียน คลื่นไส้อาเจียน หรือปวดท้อง เป็นต้น บางครั้งภาวะทางจิตใจก็อาจส่งผลต่อการรักษา เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ไม่ยอมร่วมมือในการกินยา ฉีดยาจนอาการน่าเป็นห่วง เป็นต้น 7. ภาวะโรคจิต ผู้สูงอายุบางรายอาจมีอาการของโรคจิต เช่น สับสนในกาลเวลา สถานที่ บุคคล หรือ มีอาการหูแว่ว ประสาทหลอน หลงผิดระแวงคู่ครองมีชู้ มีคนใส่ยาพิษในอาหาร หรือปองร้ายเอาชีวิตเพื่อทรัพย์สมบัติของตน เป็นต้น การให้ยาทางจิตเวชในผู้สูงอายุ เนื่องจากตัวยาที่ผู้สูงอายุกินเข้าไป จะสะสมในร่างกายนานกว่าปกติ ตับและไตต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้น หลักทั่วไปในการให้ยากับผู้สูงอายุ คือ เริ่มให้ยาทีละน้อยก่อน ค่อยๆ ปรับขนาดยาจนได้ฤทธิ์ตามต้องการ โดยใช้ยาในขนาดต่ำสุด ควรใช้ยาที่ออกฤทธิ์เร็ว ขับออกจากร่างกายเร็ว เกี่ยวข้องกับตับไตน้อย มีผลข้างเคียงต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายน้อย และมีผลต่อยาตัวอื่นทั้งเสริมฤทธิ์ หรือล้างฤทธิ์น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มาร่วมกันใส่ใจในสุขภาพกายและสุขภาพจิต แด่ท่านผู้สูงอายุในบ้านของเราเถอะครับ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป.

Read More »

จิตเวช: วัยรุ่น วุ่นยา

จิตเวช: วัยรุ่น วุ่นยา วัยรุ่น วุ่นยา โดย นพ.ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง ผมอดรู้สึกเห็นใจไม่ได้ที่พ่อแม่ในยุคโลกาภิวัฒน์ที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่น ต้องเป็นห่วงลูกมั่วยา หรือมั่วเซ็กส์ ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ที่ผ่านมา เงินทองหาง่ายใช้คล่อง ลูกวัยรุ่นก็พลอยม่เงินซื้อสารเสพติด วงการสารเสพติดก็เฟื่องฟู ดีที่เศรษฐกิจฟองสบู่แตก แต่อย่างไรก็ตามวงการวัยรุ่นไฮโซก็ยังมีปัญหาสารเสพติดกันอยู่แต่ก็แพงหูฉี่ และสารเสพติดก็มีชนิดแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้ทดลองอยู่เสมอ ทำไมวัยรุ่นจึงชอบวุ่นยา วัยรุ่นเรานับตั้งแต่ 12 – 20 ปี สมัยนี้วัยรุ่นอายุน้อยลง แต่ก็เป็นผู้ใหญ่ช้าลงด้วย วัยรุ่นเป็นวัยช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ จะเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายก็ไม่ยอม อยากเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ไม่รับผิดชอบอย่างผู้ใหญ่ ช่วงวัยรุ่นมีการเจริญพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ รูปร่างเปลี่ยนไป ฮอร์โมนเพิ่มขึ้น จิตใจก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ ประเดี๋ยวก็ดื้อไม่ฟังใคร ประเดี๋ยวก็อ่อนไหวไม่มั่งคง วัยรุ่นจึงต้องการเพื่อนวัยเดียวกัน เชื่อเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ต้องการให้เพื่อนยอมรับ จึงมักทำตามอย่างกัน บวกับขี้เบื่อชอบของแปลกใหม่ท้าทาย ไม่คิดหน้าคิดหลัง เมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนไม่ดีใช้สารเสพติด ก็จะใช้ตามไปด้วย ส่วนใหญ่เริ่มจากทดลองเสพก่อนโดยประมาทว่าจะเลิกเมื่อไรก็ได้ตอนหลังเสพติด ครุ่นคิดแต่เลือกเสพยา ถอนตัวไม่ขึ้น หมดอนาคต เป็นทุกข์ทั้งตัวเองและพ่อแม่ มารู้จักสารเสพติดกันเถอะ อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. ประเภทกระตุ้นประสาท เกิดอารมณ์เป็นสุข สนุกสนาน ขยันขันแข็ง มีเรี่ยวแรง ก้าวร้าว ดุร้าย ได้แก่ ยาบ้า , โคเคน , ใบกระท่อม , กาแฟ , บุหรี่ เป็นต้น 2. ประเภทกดประสาท กล่อมประสาทดับความทุกข์ วิตกกังวล แก้ปวด จนถึงกดการหายใจตายไปเลย ได้แก่ ฝิ่น , มอร์ฟีน , เฮโรอีน , ยากล่อมประสาท , ยานอนหลับ , เหล้า เป็นต้น 3. ประเภทหลอนประสาท การรับรู้บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง ความรู้สึก หรือสัมผัสแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ได้แก่ กัญชา , ยาอี , ยาเค , พีซีพี , แอลเอสดี , ยาดีไซเนอร์ เป็นต้น 4. ประเภทผสมทั้งกระตุ้น , กดและหลอนประสาท ได้แก่ สารระเหย เช่น กาว , ทินเนอร์ , สี เป็นต้น ยาอีของวัยรุ่นไฮโซ ระยะที่ผ่านมามักจะปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ถึงการจับกุมดาราตามบาร์ หรือผับ ในงานปาร์ตี้ยาอีอยู่เนืองๆ ยาอีนั้นย่อมาจาก EOSTASY ซึ่งแปลว่า สนุกสนานหรรษา โดยมีชื่อทางเคมีว่า METHYLENE DIOXY MATHAMPHETAMINE (MDMA) จัดเป็นสารเสพติดประเภทหลอนประสาท (PSYEHEDELIC) โดยทำให้การรับรู้บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง เช่น มีความรู้สึกว่ากุหลาบมีรสหวาน น้ำตาลมีเสียงไพเราะ เสียงเพลงมีความหนาว จิตใจวัดได้ด้วยระยะทาง และที่มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากสารเสพติดอื่นก็คือ มันทำให้ผู้เสพเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด ต้องการเปิดเผยความในใจ มีส่วนรับรู้ในความรู้สึก หรือผับ ในงานปาร์ตี้ยาอีอยู่เนืองๆ ยาอีนั้นย่อมาจาก EOSTASY ซึ่งแปลว่า สนุกสนานหรรษา โดยมีชื่อทางเคมีว่า METHYLENE DIOXY MATHAMPHETAMINE (MDMA) จัดเป็นสารเสพติดประเภทหลอนประสาท (PSYEHEDELIC) โดยทำให้การรับรู้บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง เช่น มีความรู้สึกว่ากุหลาบมีรสหวาน น้ำตาลมีเสียงไพเราะ เสียงเพลงมีความหนาว จิตใจวัดได้ด้วยระยะทาง และที่มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากสารเสพติดอื่นก็คือ มันทำให้ผู้เสพเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด ต้องการเปิดเผยความในใจ มีส่วนรับรู้ในความรู้สึก หรือผับ ในงานปาร์ตี้ยาอีอยู่เนืองๆ ยาอีนั้นย่อมาจาก EOSTASY ซึ่งแปลว่า สนุกสนานหรรษา โดยมีชื่อทางเคมีว่า METHYLENE DIOXY MATHAMPHETAMINE (MDMA) จัดเป็นสารเสพติดประเภทหลอนประสาท (PSYEHEDELIC) โดยทำให้การรับรู้บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง เช่น มีความรู้สึกว่ากุหลาบมีรสหวาน น้ำตาลมีเสียงไพเราะ เสียงเพลงมีความหนาว จิตใจวัดได้ด้วยระยะทาง และที่มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากสารเสพติดอื่นก็คือ มันทำให้ผู้เสพเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด ต้องการเปิดเผยความในใจ มีส่วนรับรู้ในความรู้สึก หรือผับ ในงานปาร์ตี้ยาอีอยู่เนืองๆ ยาอีนั้นย่อมาจาก EOSTASY ซึ่งแปลว่า สนุกสนานหรรษา โดยมีชื่อทางเคมีว่า METHYLENE DIOXY MATHAMPHETAMINE (MDMA) จัดเป็นสารเสพติดประเภทหลอนประสาท (PSYEHEDELIC) โดยทำให้การรับรู้บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง เช่น มีความรู้สึกว่ากุหลาบมีรสหวาน น้ำตาลมีเสียงไพเราะ เสียงเพลงมีความหนาว จิตใจวัดได้ด้วยระยะทาง และที่มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากสารเสพติดอื่นก็คือ มันทำให้ผู้เสพเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด ต้องการเปิดเผยความในใจ มีส่วนรับรู้ในความรู้สึก หรือผับ ในงานปาร์ตี้ยาอีอยู่เนืองๆ ยาอีนั้นย่อมาจาก EOSTASY ซึ่งแปลว่า สนุกสนานหรรษา โดยมีชื่อทางเคมีว่า METHYLENE DIOXY MATHAMPHETAMINE (MDMA) จัดเป็นสารเสพติดประเภทหลอนประสาท (PSYEHEDELIC) โดยทำให้การรับรู้บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง เช่น มีความรู้สึกว่ากุหลาบมีรสหวาน น้ำตาลมีเสียงไพเราะ เสียงเพลงมีความหนาว จิตใจวัดได้ด้วยระยะทาง และที่มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากสารเสพติดอื่นก็คือ

Read More »

จิตเวช: ทำอย่างไรดี ? เมื่อลูกพูดติด…ติด…อ่าง

ทำอย่างไรดี? เมื่อลูกพูดติด…ติด…อ่าง โดย พญ.สุภานี อริยะโสภณวงศ์ คุณพ่อคุณแม่คงจะรู้สึกอึดอัดใจมากเมื่อพบว่า ลูกน้อยอายุ 3 – 5 ปี ของคุณพูดติดอ่าง บางคนอาจทนที่จะรับฟังเรื่องที่ลูกพูดต่อไปอีกไม่ได้ ต้องบอกให้ลูกพูดใหม่ แต่พอลูกพูดใหม่ก็พูดติดอีก คุณพ่อคุณแม่บางคนอดทนต่อลักษณะที่ลูกพูดติดอ่างไม่ได้ ต้องดุหรือทำโทษเด็กทุกครั้งที่ได้ยิน บางคนก็ทำท่าเอาใจช่วยคอยบอกให้ลูกพูดช้า ๆ ชัด ๆ สิ่งเหล่านี้แทนที่จะช่วยให้ลูกพูดคล่องกลับเป็นการเน้นย้ำทำให้ลูกพูดติดอ่างมากขึ้นกว่าเดิม การพูดติดอ่างของเด็กเล็กในช่วงอายุ 3 – 5 ปีนั้น ถือเป็นลักษณะการพูดไม่คล่องโดยปกติของเด็ก เนื่องจากในช่วงนี้เด็กจะมีพัฒนาการด้านภาษาในอัตราที่รวดเร็วมาก เด็กจึงอยากที่จะพูดแสดงความรู้ความเข้าใจของตนเองต่อสิ่งต่างๆ แต่อวัยวะในการพูดของเด็กยังทำงานได้ไม่คล่องแคล่ว และเด็กยังรู้คำศัพท์ในจำนวนจำกัด ดังนั้นเด็กจึงต้องเสียเวลาหยุดคิดคำศัพท์ และจัดลำดับเรื่องเพื่อที่จะพูด ทำให้การพูดของเด็กมีการสะดุดชะงักเป็นช่วงๆ เวลาที่เขาจะเล่าเรื่องยาวๆ ให้ผู้ใหญ่ฟัง ถ้าผู้ใหญ่แสดงทีท่ากังวลใจหรือมีท่าทางที่แปลกไปจากเดิมเวลาที่เด็กพูดติด เด็กจะสังเกตเห็นและพลอยกังวลใจไปกับการพูดติดของตนด้วย เด็กบางคนอาจรู้สึกว่าตนทำอะไรผิด พูดติด เกิดความไม่มั่นใจที่จะพูด ขลาดอายและแยกตัวไม่ยอมพูดกับใคร พอจะพูดก็เกิดความกังวลใจ และพูดติดมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นการพูดติดอ่างแบบถาวรไป วิธีการที่พ่อแม่จะช่วยให้ลูกพูดได้คล่องขึ้นนั้น คือ การให้กำลังใจและช่วยให้เด็กเกิดความมั่นใจในการพูดของตนเอง เมื่อเวลาที่ลูกพูดกับเรา ก็ควรจะรอฟังลูกพูดจนจบด้วย ท่าทีปกติธรรมดา ไม่ทักเวลาที่ลูกพูดติด เมื่อลูกพูดจบแล้ว พ่อแม่จึงพูดทวนประโยคที่ลูกได้พูดไปนั้นอีกครั้งด้วยลักษณะการพูดที่ถูกต้องเพื่อให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง โดยพูดคุยกันในลักษณะท่าทีเป็นธรรมชาติ ไม่ให้ลูกรู้สึกว่า พ่อแม่กำลังจ้องจับผิดหรือคอยจะแก้ไขเขา ในที่สุดลูกจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนลักษณะการพูดของตนจนสามารถพูดคล่องขึ้นได้

Read More »

การวินิจฉัยเนื้องอกในตับ หรือ มะเร็งตับ

การวินิจฉัยเนื้องอกในตับ หรือ มะเร็งตับ, ก้อนในตับ มีวิธีคิด หรือ ตรวจสอบอย่างไร นายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ ร.พ. พระรามเก้า เกริ่น มักวินิจฉัยได้ช้า เพราะไม่มีอาการ และ คนที่มีก้อนใหญ่มาก อาจไม่มีอาการใด ๆ เลย เนื่องจากตับได้สร้างเผื่อความเสียหายไว้มากมาย แม้ตับเหลือ 40-50 % แล้วก็ยังไม่มีอาการ หรือมีความผิดปกติการทำงานใดๆก็ได้ เดิมจึงพบเมื่อเป็นมากแล้ว และ มักเสียชีวิตทุกราย แต่ปัจจุบันมีการเช็คร่างกาย ตรวจหาป้องกันกันมากแนวโน้มจึงสามารถรักษาได้ รวมทั้งค้นพบวิธีการรักษาใหม่ ๆ ด้วย ไม่เหมือนเดิมที่บอกกันว่ารักษาไม่ได้แล้ว ใครที่มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับได้ ตอบ ความเสี่ยงได้แก่ คนที่มีญาติเป็นโรคตับ หรือ ญาติเป็นมะเร็งตับในครอบครัว คนที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี และซีเรื้อรัง (chronic hepatitis B, chronic hepatitis C) และ โรคเหล็กคั่งในตับ hemochromatosis และบางรายในเด็กที่เป็นความผิดปกติทางกรรมพันธ์ชนิด tyrosinemia มีรายงานการเกิดมะเร็งง่ายขึ้นในคนที่ได้รับเชื้อราอัลฟาร์ทอกซิน ซึ่งอยู่ใน ถั่วบดทิ้งค้าง หรือพริกป่นเก่า ที่มีเชื้อรานี้ปะปน ส่วนตับแข็งสาเหตุอื่นมีโอกาสเกิดมะเร็งมากกว่าคนปกติเช่นกัน แต่ไม่มากเท่าสาเหตุที่กล่าวข้างต้น อาการมีอะไรบ้าง ตอบ มักไม่มีอาการใด ๆ เลยก็ได้ นอกจากบางคนเท่านั้นที่มีอาการ และเป็นอาการของโรคตับที่มีอยู่เดิมทั่วไป เช่น คนที่เป็นตับแข็ง ซึ่งจะมีอาการใดอาการหนึ่งในนี้ก็ได้ เช่น น้ำในท้องหรือท้องโตขึ้น อาการทางสมองต่างๆ เหลือง หรือ ปัสสาวะเข้มขึ้น บางรายมีเลือดออกทางเดินอาหาร หรือ ถ่ายดำ อีกส่วนหนึ่งอาจมาด้วยอาการของเนื้องอกในตับโดยตรง อาการใดอาการหนึ่งก็ได้ ได้แก่ จุกแน่น ปวด หรือ อืด ท้องโตขึ้น บางรายคลำก้อนได้ในท้อง บางรายมาด้วยอาการทั่วไปของมะเร็งอาการใด อาการหนึ่งก็ได้ เช่น น้ำหนักลด เบื่ออาหาร เพลียง่าย ไม่มีแรง บางรายมาด้วยอาการข้างเคียงของมะเร็ง อาการใด อาการหนึ่งก็ได้ ดังนี้ ชา น้ำตาลต่ำวูบ เหงื่อออก เป็นตะคริวมือ และ เท้า เลือดข้นมาก ท้องเสียเป็นน้ำมาก ๆ ผิวหนังหรือกล้ามเนื้ออักเสบ อาการที่พบได้น้อยคือ เนื้องอกไปกดทางเดินน้ำดีหลัก คือ เหลือง คันตามตัว บางรายมีเลือดออกในทางเดินน้ำดี ถ่ายดำ พบได้น้อยอื่น ๆ คือ ท้องเสีย ปวดตามกระดูก หรือ หอบเหนื่อย หรือ เลือดออกในช่องท้อง เช่นมาด้วยหน้ามืด ซีดลง ขอเน้นย้ำว่า ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ หรือ มีอาการเพียงอย่างเดียวที่กล่าวด้านบนข้อเดียวก็ได้ เมื่อไม่แน่ใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงควรตรวจเช็คร่างกาย กับแพทย์ครับ แม้ไม่มีอาการใด ๆ การตรวจเลือดจะสามารถเช็คมะเร็งตับได้หรือไม่ ตอบ ผลเลือด ที่ไม่เฉพาะต่อมะเร็งมีมากมายครับ ส่วนใหญ่เป็นการตรวจพบในคนที่เป็นโรคตับทั่วไป ( เกร็ดเลือดต่ำ thrombocytopenia, โปรตีนในร่างกายต่ำ hypoalbuminemia, เหลือง ดีซ่าน hyperbilirubinemia,อาจมีซีดเล็กน้อย และอาจมีเกลือแร่ผิดปกติ บางรายอาจมีตับอักเสบ แต่ที่เฉพาะคือบอกว่ามีการสะดุดไหลเวียนไม่ดีของน้ำดี (AP = alkaline phosphatase และ GGT gammaglutamyl transpeptidase ผิดปกติ) แต่ผลเลือดทั้งสองตัวนี้ มักไม่เฉพาะต่อเนื้องอกเท่านั้นมีภาวะมากมายที่มีค่านี้ผิดปกติได้ แต่ควรค้นหาสาเหตุในทุกรายที่มีผลเลือดนี้ผิดปกติ เลือดเฉพาะต่อเนื้องอกมะเร็งตับคือ AFP (alfa feto protein) แต่ก็ขึ้นเพียงครึ่งเดียวของคนที่เป็นมะเร็งอีกครึ่งเช็คเลือดพบว่าปกติ แต่มีมะเร็งอยู่ได้ จึงควรเช็คด้วยการตรวจอัลตร้าซาวน์ คอมพิวเตอร์ หรือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตามที่แพทย์แนะนำด้วยครับ (กรณีค่า AFP ขึ้น ควรค้นหาเสมอทุกราย แต่ถ้าค้นไม่พบ 2-4 ครั้ง อาจเป็นค่า AFP ขึ้นแต่ไม่มีมะเร็งได้เช่นกัน ตรวจผิดหลอกอย่างนี้ ว่าเหมือนมีมะเร็งแต่ตรวจแล้วไม่เจอ พบได้ 5 %) สรุปเป็นค่าความไว และ ความจำเพาะ มีดังนี้ AFP cutoff 16 micro.g/L (S/S 62/89 %) AFP cutoff 20 micro.g/L (S/S 60/91 %) AFP cutoff 100 micro.g/L (S/S 31/99 %) AFP cutoff 200 micro.g/L (S/S 22/99 %) การตรวจมะเร็งในอนาคต (Other serum markers) ตอบ อนาคตอาจมีการตรวจค้นหาได้ดียิ่งขึ้นครับ โดยการตรวจเลือดพิเศษที่ปัจจุบันยังทำไม่ได้ครับ( specific sugar-chain structure of circulating alpha-fetoprotein และ Des-gamma-carboxy PT. (หรือที่เรียกว่า “PT.

Read More »

วิธีในการป้องกันและรักษาเส้นเลือดขอดบริเวณโคนและน่องขา

คำถาม ขอทราบวิธีในการป้องกันและรักษาเส้นเลือดขอดบริเวณโคนและน่องขาค่ะ คำตอบ โดย นายแพทย์ประเสริฐ ไตรรัตน์วรกุล (ศัลยแพทย์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมหลอดเลือด) เส้นเลือดขอดเกิดได้หลายสาเหตุ ความอ่อนแอของโครงสร้างผนังเส้นเลือดดำ และลิ้นภายในเส้นเลือดซึ่งมักจะสืบทอดมาทางกรรมพันธุ์ สาเหตุหลักนอกจากนี้แรงดึงดูดของโลกโดยเฉพาะเวลาผู้ป่วยอยู่ในท่ายืนตลอดจนมีอาชีพที่ต้องยืนนานๆ เช่น ช่างทำผม พนักงานบริการในร้านอาหาร ก็อาจมีส่วนเสริมให้เกิดโรคเส้นเลือดขอด ดังนั้นถ้าคุณไม่มีปัจจัยที่เป็นสาเหตุส่งเสริมให้เกิดโรคนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำการป้องกัน แต่ถ้าคุณมีประวัติที่น่าจะส่งเสริมให้เกิดโรคนี้ หรือเริ่มเห็นเส้นเลือดขอดขึ้นตามขาบ้างแล้ว การป้องกันโดยการใส่ถุงเท้าแบบรัดก็อาจจะช่วยให้โรคนี้อยู่คงที่ไม่เป็นมากขึ้น หรือทำให้โรคดำเนินไปช้าลง สำหรับข้อบ่งชี้ในการรักษาเส้นเลือดขอดนั้นแพทย์ส่วนใหญ่จะรักษาโรคนี้เมื่อมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เกิดการอักเสบบ่อยๆ เริ่มมีการเปลี่ยนสีของผิวหนังในบริเวณที่มีเส้นเลือดขอดเนื่องจากเม็ดเลือดแตก และมีเลือดออกในบางครั้ง ก็ให้การรักษาเนื่องจากผู้ป่วยวิตกเรื่องความสวยงาม การรักษามีตั้งแต่ฉีดยาให้เส้นตีบไปจนกระทั่งผ่าตัดดึงเส้นออก ทั้งนี้แพทย์ก็คงต้องพิจารณาความเหมาะสมเป็นรายๆ ไป

Read More »
Page1 … Page20

จิตเวช: โรคซึมเศร้าเรื้อรัง

จิตเวช: สามีเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ไม่ทราบว่าต้องรักษาอย่างไรจึงจะหายขาด คำถาม สามีเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง พบแพทย์และรับประทานยามากว่า 2 ปีแล้ว พอหยุดยา อาการก็กลับมาอีก ไม่ทราบว่าต้องรักษาอย่างไรจึงจะหายขาด คำตอบ โดย นายแพทย์ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง (จิตแพทย์) โดยหลักวิชาการการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรังก็จะต้องมีอาการบ่อยๆ เกินกว่า 2 ปีอยู่แลัว ถ้าไม่ได้รับการรักษาในระหว่างที่มีอาการอยู่อาจมีอาการซึมเศร้าถึงขั้นรุนแรงได้ในบางราย กรณีของสามีคุณช่วงที่ได้รับการรักษาอาการคงทุเลา พอหยุดยาซึ่งไม่ทราบว่าหยุดนานแค่ไหน และมีเหตุกระตุ้นทางจิตใจอีกหรือไม่ อาการก็กำเริบอีก โรคซึมเศร้าเรื้อรังนั้นบางคนอาจไม่หายขาดเสียเลยทีเดียว แต่พอรักษาให้ทุเลาได้จนสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้เกือบปกติ ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยทางชีวภาพที่เกี่ยวกับสารเคมีในสมองที่พร่องไปเนื่องจากกรรมพันธุ์ และปัจจัยทางจิตวิทยาและสังคมที่เกิดจากปัญหาชีวิตโดยเฉพาะการสูญเสียไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่รัก ทรัพย์สินเงินทอง หรือแม้แต่ความรู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจ ถ้าหากสามีคุณมีทั้งปัจจัยทางชีวภาพ นั่นคือ มีกรรมพันธุ์ในครอบครัว ประกอบกับมีปัญหาชีวิตเรื้อรัง มีการสูญเสียบ่อยๆ ซ้ำๆ อยู่ด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงตลอดเวลา การรักษาคงต้องยาวนานหลายๆปี ส่วนการรักษาจะกินยาต้านเศร้าอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องรักษาด้วยจิตบำบัดและพฤติกรรมบำบัดด้วย โดยเฉพาะจิตบำบัดชนิดปรับเปลี่ยนความคิดอย่าตำหนิตัวเองหรือมองโลกในแง่ร้าย ผู้ดูแลควรแสดงความเข้าใจในอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกของผู้ป่วย พร้อมแนะนำว่าความคิด ความรู้สึกที่มีอยู่ในขณะนั้นเป็นอาการของโรค เมื่อรักษาดีขึ้นแล้ว อารมณ์เศร้าและการมองสิ่งต่างๆ ในด้านลบจะดีขึ้น และคอยส่งเสริมให้ทำกิจกรรมที่ทำให้มีความมั่นใจ ภาคภูมิใจในตนเอง หรือมีความเพลิดเพลิน ถ้ามีปัญหาชีวิตและการสูญเสีย ต้องช่วยผู้ป่วยจัดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว มีข้อสังเกตที่สำคัญ 2 ประการ คือ ในระหว่างมีอาการต้องคอยประเมินความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย และเมื่ออาการทุเลาแล้วก็ยังต้องคอยสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงที่อาจแสดงถึงการกำเริบซ้ำ อย่างไรก็ตามโรคนี้ก็ยังมีโอกาสหายได้ครับ.

Read More »

จิตเวช: นอน… ใครว่าไม่สำคัญ

จิตเวช: นอน… ใครว่าไม่สำคัญ นอน… ใครว่าไม่สำคัญ น.พ.ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง จิตแพทย์ เมื่อก่อนหากมีใครกล่าวว่า “ กินได้นอนหลับ ” ย่อมถือว่าโชคดีมหาศาลแล้ว ผมก็เคยเชื่อตามนั้น แต่เดี๋ยวนี้ เราคำนึงถึงคุณภาพชีวิตกันมากขึ้น มิใช่สักแต่กินจนเป็นโรคอ้วน หรือนอนหลับฝันร้าย ก็คงไม่เอาด้วย ปัญหาการนอน เห็นทีจะปล่อยปละละเลยไม่ได้อีกแล้ว หากพิจารณาปัญหาการนอนใน เชิงปริมาณ ก็จะเป็นเรื่อง นอนไม่หลับ นอนน้อยไม่เพียงพอ และในทางตรงข้ามคือ นอนมากเกินไป ส่วนปัญหาการนอนใน เชิงคุณภาพ ก็คือ นอนฝันร้าย และนอนละเมอเดิน อาการนอนไม่หลับ (Insomnia) เกิดจากการเจ็บป่วยทางกาย เช่น เจ็บปวดของอวัยวะต่าง ๆ ไอหอบเหนื่อยของโรคทางปอดและหัวใจ เป็นต้น และการเจ็บป่วยทางจิตใจ เช่น เครียดวิตกกังวล ซึมเศร้า ก้าวร้าว สับสน เป็นต้น นอกจากนี้ ปัญหาการนอนไม่หลับอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงจังหวะเวลาของการตื่นหลับกะทันหัน (circadian rhythm) เช่น เดินทางโดยเครื่องบินไปต่างประเทศที่เรียกว่า Jet-lag หรือการเปลี่ยนกะทำงานจากกลางวันเป็นกลางคืน เป็นต้น ในคนอ้วน หรือทางเดินหายใจส่วนบนแคบ ก็อาจหยุดหาย ๆ เป็นพัก ๆ ทำให้ขาดออกซิเจนต้องตื่นบ่อย ๆ และบางรายนอนไม่หลับโดยไม่ทราบสาเหตุก็มี อาการนอนหลับมากไป (Hypersomnia) จะนอนหลับตอนกลางคืนระหว่าง 8-12 ชั่วโมง และมักงีบหลับตอนกลางวันด้วย นานกว่า 1 ชั่วโมง เมื่อตื่นก็ยังไม่สดชื่น ขาดสมาธิ ดูเหมือนเฉี่อยช้าและขี้เกียจ บางรายมีอาการ Cataplexy ร่วมด้วย กล่าวคือ เกิดภาวะที่กล้ามเนื้อของแขนขา หรือลำตัวหมดกำลัง ทำให้ทรุดตัวล้มลงทันทีทันใด ซึ่งเรียกว่า โรค Narcolepsy อาการนอนฝันร้าย (Nightmare and sleep terror) มักเกิดในเด็ก และเกิดขณะกำลังฝันเกี่ยวกับเรื่องราวที่เป็นอันตราย หรือภายหลังประสบเหตุการณ์ที่ร้ายแรงในชีวิต ขณะฝันร้ายอาจพูด ร้องส่งเสียงดัง หรือออกท่าทางต่าง ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ตื่นขึ้นจะรู้สึกไม่สบายใจ วิตกกังวล หรือสับสนบ้าง และอาจมีอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติทำงานเพิ่มขึ้น ใจเต้นใจสั่น เหงื่อออกมาก หอบเหนื่อย หน้าตาแดง กล้าเนื้อตึงเครียด เป็นต้น อาการนอนละเมอเดิน (Sleepwalking) มักเกิดอาการในช่วงแรกของการหลับ โดยแสดงพฤติกรรมรูปแบบต่างๆ เช่น ลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองไปมองมา จับผ้าห่มหรือหมอน รายที่เป็นมากจะลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมา เดินออกนอกห้อง ขึ้นลงบันได หรือเดินออกนอกบ้าน รับประทานอาหาร พูดคนเดียว วิ่งหรือพยายามหนีจากอันตรายที่รู้สึกในขณะนั้น โดยทั่วไป พฤติกรรมจะไม่ซับซ้อน กินเวลาหลายนาทีถึงครึ่งชั่วโมง แล้วนอนต่อจนถึงเช้า บางรายพบว่านอนอยู่ที่อื่นที่มิใช่เตียงนอนของตนก็มี การแก้ปัญหาการนอน ทุกรายต้องค้นหาและรักษาที่สาเหตุเสมอ ซึ่งอาจเกิดจากโรคทางกายหรือจิตใจ 1. การรักษาอาการนอนไม่หลับ ใช้หลักสุขอนามัยของการนอน และ/หรือใช้ยาคลายกังวล ยาด้านเศร้า หรือยานอนหลับเท่าที่จำเป็น ส่วนในรายที่เปลี่ยนเวลานอน ให้ค่อย ๆ ปรับเวลานอนของตนให้ใกล้เคียงกับเวลาท้องถิ่นให้มากที่สุดและในรายที่อ้วน ให้ลดน้ำหนักลง ใช้ไม้กดลิ้นให้ทางเดินหายใจโล่ง และให้ดมออกซิเจนก่อนนอน 2. การรักษาอาการนอนหลับมากไป อาจใช้ยากระตุ้นสมองบางชนิด ภายใต้การดูแลของแพทย์ 3. การรักษาอาการนอนฝันร้าย โดยทั่วไปถ้าอาการไม่มาก จะหายได้เอง ปลอบผู้ป่วยให้สบายใจ แต่บางรายอาจให้ยาคลายกังวลได้ 4. การรักษาอาการนอนละเมอเดิน ให้ระวังปิดประตูหน้าต่างห้องนอนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และให้ยาคลายกังวลร่วมด้วย

Read More »

จิตเวช: จาก I.Q. ถึง E.Q. สู่ A.Q.

จิตเวช: จาก I.Q. ถึง E.Q. สู่ A.Q. จาก I.Q. ถึง E.Q. สู่ A.Q. ศ.กิตติคุณ พ.ญ.พยอม อิงคตานุวัฒน์ E.Q. หรือ Emotional Quotient ที่เรียก E.Q. เพราะต้องการให้สัมผัสกับ I.Q. ตามตำราที่ถูกต้อง จะเรียกชื่อเต็มว่า Emotional Intelligence E.Q. หรือ Emotional Intelligence หมายถึงความสามารถทางอารมณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งประกอบด้วย 1. ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง (Self Control) 2. ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นและของตนเอง (Knowing one’s emotions) 3. ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงของอารมณ์ ไม่หวั่น ไหวง่าย รวมทั้งปฎิกริยาระหว่างบุคคลและปฎิกริยากับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้อง และสัมพันธ์กับเหตุการณ์ 4. ความสามารถที่ทำให้มีอารมณ์กระตือรือร้น อันจะก่อให้เกิดแรงจูงใจแล้วนำไปสู่ความสำเร็จส่วนตัว และความเจริญก้าวหน้าของสังคม ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง Self-control หมายถึงความสามารถควบคุมการแสดงออกทาง กาย วาจา และสีหน้าได้ สมเหตุ สมผล ตามแบบฉบับที่สังคมกำหนดไว้ หรือเป็นแบบฉบับซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคมที่ เราดำรงชีวิตอยู่ เช่น การทักทายกันและกันสีหน้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใส และใช้วาจาสุภาพ หรือ สามารถควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม เห็นของ ๆ ผู้อื่นซึ่งไม่ใช่ของตนก็อยากได้ ถ้าไม่มี E.Q. ควบคุมให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ก็จะละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่นโดยหยิบหรือขโมยไป ย่อมเป็นปัญหาของสังคมตามที่ท่านได้เคยพบเห็นมาแล้ว ความสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างบุคลิกภาพ ให้น่าดูน่าชมทุกคนที่พบเห็นอยากติดต่อคบค้าสมาคมด้วย 1997 Mayer และ Salo กล่าวว่าบุคคลใดก็ตามที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ถึงแม้จะมีสติปัญญาเฉียบแหลม แต่ความคิดสร้างสรรค์ก็ไม่อาจ จะเกิดขึ้นได้ เช่น ในปี 1998 ประธานาธิบดี บิล คลินตัน แห่งสหรัฐอเมริกา ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ทางเพศได้ นำไปสู่พฤติกรรมที่ขาดศีลธรรมเกิดเรื่องอื้อฉาวตามที่ทราบกันทั่วโลก ทำให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ตัองใช้เงินในการสอบสวนหลาย 10 ล้านเหรียญ เพราะสติปัญญาที่เฉียบแหลมถูกครอบงำด้วยอารมณ์ทางเพศแล้วไม่สามารถควบคุมอารมณ์นั้น ๆ ได้ จึงประพฤติผิดศีลธรรมอันดีงามทั้ง ๆ ที่เป็นผู้นำชาติระดับโลก หรือในบางคนที่ควบคุมอารมณ์โกรธ อารมณ์อิจฉาของตัวเองไม่ได้ ก็จะทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกขาดความเหมาะสม เพราะฉนั้น ความสามารถทางอารมณ์จะต้องควบคู่ไปกับความสามารถทางสติปัญหา จึงจะช่วยให้บุคคลนั้น ๆ ประสบความสำเร็จหรือมี A.Q. (Adversity Quotient) นั่นเอง ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นและอารมณ์ของตัวเอง เมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจอารมณ์ของตนเอง และของผู้อื่นที่เกี่ยวข้องด้วยก็จะทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน มีความอดทน มีความห่วงใยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความผูกพันทางอารมณ์ ผลที่ได้รับคือทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกต่อกัน สมเหตุ สมผล นำไปสู่ความรับผิดชอบต่อกันแล้วรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน จึงทำให้สังคมไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เจริญก้าวหน้า เป็นความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) ที่สำคัญที่ทำให้ทุกคนในสังคมมีความสุข และทำให้สังคมคงรูปอยู่ได้ไม่ปั่นป่วน การขาด E.Q. ในด้าน Social Responsibility สังคมจะมีแต่ความเดือดร้อน คนส่วนใหญ่หาความสุขไม่ได้ดังที่ปรากฎอยู่ในขณะนี้ ผู้นำครอบครัวผู้นำองค์กรหรือผู้นำประเทศถึงแม้จะมี I.Q. สูงมากสักปานใดแต่ถ้าขาด E.Q. หรือ Emotional Intelligence ก็จะขาดความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตนเอง (Self Control) ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แล้วยังขาด E.Q. ในส่วนของ Social Responsibility อีก ย่อมไม่อาจนำความเจริญมาสู่ครอบครัว สู่องค์กรหรือสู่ประเทศชาติได้ ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงของอารมณ์ (Emotional stability) เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้การดำรงชีวิตประจำวันของตนเอง ของผู้อยู่ร่วมด้วยตลอดจนบุคคลในสังคมรอบตัวมีความสุขและราบรื่น ทำให้มีคนอยากติดต่อด้วยอยากอยู่ใกล้ ๆ เพราะพูดคุยด้วยแล้วมีความสุข ในทางตรงข้ามผู้ที่มีอารมณ์ไม่มั่นคง โกรธง่าย โกรธบ่อย โกรธรุนแรงไม่สมเหตุสมผล อารมณ์ไม่แน่นอน วันนี้ทักทายยิ้มแย้มดี พรุ่งนี้อาจจะไม่มองหน้าไม่พูดด้วย หรือในวันเดียวกันอาจจะมีหลายอารมณ์ เช่น เสียใจง่าย เสียใจบ่อย หรือโกรธบ่อยโดยไม่มีเหตุ ตลอดวัน อาจจะอารมณ์ไม่แจ่มใสไม่ยิ้มแย้ม แล้วจะมีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากคบหาสมาคมด้วย ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงทางอารมณ์ (Emotional Stability) จะทำให้ความสัมพันธ์ดีทุกระดับ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ครูกับนักเรียน นายจ้างกับลูกจ้างหรือผู้บริหารประเทศกับประชาชน ซึ่งจะนำไปสู่การร่วมมือในทางสร้างสรรค์ทุกระดับชั้นของสังคมตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับประเทศ ความสามารถที่ทำให้มีอารมณ์กระตือรือร้น เกิดแรงจูงใจที่จะต่อสู้อุปสรรคทั้งมวล เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จส่วนตัว แล้วความเจริญของสังคมนั้น ๆ ย่อมเป็นผลตามมาอย่างแน่นอน สังคมใดที่มีทรัพยากรมนุษย์ที่มี E.Q. สูงทั้ง 4 องค์ประกอบดังกล่าวมาแล้วข้างต้น อันได้แก่ :- ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นและของตนเอง ความสามารถในการแสดงออกซึ่งความมั่นคงของอารมณ์ ความสามารถที่ทำให้เกิดอารมณ์กระตือรื้นร้น บุคคลนั้นๆ ก็จะเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมในทางสร้างสรรค์ทุกรูปแบบ ต่อสังคมที่บุคคลนั้น ๆ ดำรงชีวิตอยู่ ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า I.Q. และ E.Q. จะนำท่านไปสู่ A.Q. (Adversity Quotient = ความสามารถสู่ความสำเร็จ) ด้วย E.Q. หรือความสามารถทางอารมณ์พัฒนาพร้อมๆ กับ I.Q. และการพัฒนาของ E.Q. ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้ 1. ปัจจัยทางพันธุกรรม โดยได้พื้นของอารมณ์จากบรรพบุรุษถ่ายทอดสู่ลูกหลาน ถ้าพื้นของอารมณ์ดีไม่หงุดหงิดจะทำให้ E.Q. ดี

Read More »

จิตเวช: ความฉลาดทางอารมณ์

จิตเวช: ความฉลาดทางอารมณ์ ความฉลาดทางอารมณ์ โดย อ.วรนันท์ ศรียากร ในปัจจุบันผู้ปกครองหลายท่านให้ความสนใจสอบถามเกี่ยวกับ “EQ” กันมาก หลายท่านพอจะเข้าใจบ้าง และอีกหลายท่านเพียงแต่เคยได้ยินเท่านั้น ผู้ปกครองท่านหนึ่ง เดินเข้ามาด้วยใบหน้าวิตกกังวลและบอกว่า “ครูประจำชั้นของลูกบอกว่า ลูกของดิฉัน “EQ” ต่ำ หมายความว่ายังไงคะ?” เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ เราควรมาทำความเข้าใจในเรื่องของ “EQ” กันก่อน “EQ” (Emotional Quotient หรือ Emotional Intelligence) หรือในภาษาไทย มีชื่อเรียกว่า ความฉลาดทางอารมณ์ หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ มีจิตใจที่มั่นคง การมองโลกในแง่ดี รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ มีเหตุผล มีสติ สามารถควบคุมตนเอง มีความสามารถในการรับรู้ถึงความต้องการของคนอื่น และรู้จักมารยาททางสังคม พูดง่ายๆ ก็คือ คนที่มี “EQ” ดี จะเป็นคนที่สามารถแสดงออกทางพฤติกรรมต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ตามวัยของตน และสามารถอยู่กับคนอื่นๆ ในสังคมได้อย่างดีนั่นเอง “EQ” และ “IQ” เป็นของคู่กัน “IQ” หมายถึง ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ ทำความเข้าใจ ความสามารถในการจดจำสิ่งต่างๆ และสามารถนำมาประเมินค่าได้ เท่าที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักจะเน้นอยากให้บุตรหลานเรียนเก่งๆ ซึ่งนั่นก็คือ การเน้นที่ “IQ” อย่างเดียว ซึ่งในปัจจุบันความคิดนี้ไม่น่าจะถูกต้องนัก มีคนหลายคนที่เรียนเก่ง ได้คะแนนสูง ฉลาด แต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ในหน้าที่การงาน ดังนั้น คนเราถ้าจะเก่ง จะดี จะฉลาด และประสบความสำเร็จในชีวิต ควรจะต้องมีทั้ง “EQ” และ “IQ” ควบคู่กันไป ที่ผ่านมา ผู้ปกครอง พ่อ แม่ โรงเรียน มักจะเน้นการเรียนการสอนให้เด็กเป็นคนเก่งทางการเรียน เน้นการได้คะแนนสูงๆ คือ เน้นเฉพาะการพัฒนาด้าน IQ เพียงอย่างเดียว และมองข้ามการพัฒนาด้าน EQ ไป มองข้ามการพัฒนาเด็กให้มีความพร้อมทางจิตใจและอารมณ์ ในการที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม มีวิธีการง่ายๆ ที่ พ่อ – แม่ ผู้ปกครอง จะสามารถพัฒนา EQ ของลูกได้ โดยการ เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูก ในการแสดงออกต่างๆ เช่น การเอาใจเขามาใส่ใจเรา การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นต้น เล่นกับลูก หรือให้ลูกได้มีโอกาสเล่นกับเพื่อนๆ การเล่นนี้ พ่อ – แม่ ผู้ปกครอง อาจจะเป็นผู้นำในการเล่น เช่น “การเล่นแม่งูเอ๋ย” เพื่อให้เด็กรู้จักเคารพกติกา ซึ่งเป็นการฝึกทักษะทางสังคมให้กับเด็กนั่นเอง ฝึกการรู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อให้เด็กเรียนรู้ถึงการทำงานเป็นทีม มากกว่า ข้าเก่งอยู่คนเดียว เพื่อเป็นการเข้าใจถึงการยอมรับความคิดเป็นของคนอื่น เพื่อให้รู้จักการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับคนอื่นๆ เป็นต้น คุณพ่อ – คุณแม่ ทั้งหลาย ท่านหันมามองบุตรหลานของท่านกันหน่อย ว่าท่านสอนให้ลูกมี “EQ” คู่กับ “IQ” หรือว่าสอนแต่ให้ลูกมี “IQ” อย่างเดียว ถ้าอยากให้อนาคตของชาติเป็นคนดี มีประโยชน์ เป็นคนที่สังคมต้องการ พร้อมทั้งประสบความสำเร็จในชีวิต ถึงเวลาแล้วที่จะหันมาพัฒนา “EQ” ให้ลูกของท่าน ซึ่งการพัฒนา EQ นั้น ท่านสามารถลงมือปฏิบัติเองได้ อย่ามัวหลงเชื่อโฆษณาที่มุ่งเน้นแต่จะทำธุรกิจ หากินกับเด็กอยู่ต่อไปเลยนะคะ ตัวท่านเองนั่นแหละ ที่เป็นคนสำคัญ ที่จะพัฒนา “EQ” ให้กับลูกของท่านได้.

Read More »

จิตเวช: ห้ามบ่อยๆ หรือจะปล่อยตามใจ

จิตเวช: ห้ามบ่อยๆ หรือจะปล่อยตามใจ ห้ามบ่อยๆ หรือจะปล่อยตามใจ โดย พญ.พยอม อิงคตานุวัฒน์ การเลี้ยงลูกถึงแม้จะเป็นเรื่องของชีวภาพ มนุษย์ไม่ว่าอยู่ที่มุมใดของโลกเมื่อมีลูกก็จะเลี้ยงลูกเป็น หากแต่การเลี้ยงลูกย่อมแตกต่างตามภูมิภาคและวัฒนธรรมรวมทั้งดินฟ้าอากาศของพื้นผิวโลกที่บุคคลนั้นอาศัยอยู่ ทารกหลังคลอดจะช่วยตัวเองไม่ได้เลยต้องมีแม่เป็นผู้ให้อาหารให้ความอบอุ่นดูแลความสะอาด และการหลับนอนโดยมีพ่อแม่เป็นผู้ช่วยทั้งทางตรงและทางอ้อม เมื่อเทียบกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทารกจะช่วยตัวเองได้น้อยมากๆ เพราะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ลูกแมว ลูกสุนัข สามารถคลานไปหาเต้านมแม่เพื่อดูดน้ำนมเลี้ยงชีวิตให้เติบโตได้ แต่ทารกหาอาหารให้ตัวเองไม่ได้ แม่จะต้องเป็นผู้เอานมใส่ปากลูก ถ้าแม่ไม่เอาหัวนมไม่ว่าจะเป็นนมแม่หรือนมขวดใส่ปากทารก ทารกก็จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ การเลี้ยงลูกเป็นปรัชญาที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนซึ่งต้องการพลังกายกำลังใจต้องการความอดทนสูง และต้องการปฏิภาณไหวพริบที่เฉียบแหลมด้วย พ่อแม่ไม่เพียงแต่เลี้ยงลูกให้ร่างกายเติบโตเท่านั้น จะต้องเลี้ยงลูกให้รู้จักปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามระเบียบวัฒนธรรมของถิ่นกำเนิดที่อาศัยอยู่ด้วย การให้อาหารเด็กอ่อนรวมทั้งการดูแลสุขอนามัยส่วนตัวเป็นเรื่องง่าย เพราะเด็กอ่อนหรือทารกทำหน้าที่รับอย่างเดียว พ่อแม่จะทำให้อย่างไรก็รับทั้งนั้น จนกระทั่งทารกเติบโตขึ้นมีความสามารถเพิ่มขึ้นตามพัฒนาการของสมองทำให้ไขว่คว้าได้ คลานได้ เริ่มเห็นวัตถุรอบตัวที่ผ่านเข้ามาในสายตาเกิดความสนใจ จึงคลานไปรอบห้องซึ่งเปรียบเหมือนโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลของเด็ก สำหรับตัวเด็กเองจะสนุก ตื่นเต้น มีความสุขกับสิ่งใหม่ๆ ที่ได้เห็นได้จับต้องลูบคลำ จึงไม่ยอมอยู่ใกล้แม่หรือพี่เลี้ยง จะพยายามคลานไปคว้าโน่นฉวยนี่ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ พฤติกรรมและความสามารถของลูกที่เพิ่มขึ้นทำให้มีปฏิกิริยาจากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่รอบตัวเป็น 2 แบบ แบบแรก เราจะได้ยินเสียงพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงคอยเรียก “มานี่เร็ว เอ๊ะบอกว่าอย่า หรือ แน้ะอย่านะ” เสียงเรียกเสียงห้ามต่างๆ นานา ซึ่งเด็กได้ยินเป็นประจำ ตั้งแต่เด็กเองก็ยังไม่รู้ความหมายของภาษาที่แม่สื่อความหมายกับตัวเด็กแล้วเด็กเองก็ยังพูดไม่เป็นอีกด้วย เมื่อได้ยินเสียงเรียกเสียงห้ามในระยะแรกๆ อาจจะหยุดคลานแล้วหันมายิ้มด้วย เพราะเข้าใจว่าพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงทักทายด้วยก็หยุดทักทายตอบด้วยการยิ้ม แล้วรีบคลานหนีไปมุ่งสู่สิ่งที่สนใจข้างหน้า ถ้าแม่หรือพี่เลี้ยงนั่งอยู่กับที่แล้วใช้เสียงตะโกนตามหลังเด็กไป “เอ๊ะอย่านะ! แน้ะอย่านะ บอกว่าอย่ายังไม่หยุดอีก” จะไม่เกิดประโยชน์ในการปลูกฝังนิสัยที่ดีงาม หรือปลูกฝังความประพฤติที่ถูกต้องให้กับลูกพร้อมๆ กันเด็กก็ไม่เกิดการเรียนรู้ว่าสิ่งใดถูกเล่นได้ สิ่งใดไม่ถูกไม่ควรเล่น การที่ผู้ใหญ่ห้ามด้วยเสียงแล้วไม่สามารถหยุดพฤติกรรมที่ขาดความเหมาะสมของเด็กได้ เด็กจะฟังจนเกิดความเคยชิน ตะโกนห้าม ตะโกนเรียกเสียงเอะอะ เด็กก็ไม่สนใจ คงทำตามความสนใจของตนเองตามพัฒนาการของสมอง ฉะนั้นในการเลี้ยงลูก คำพูดและน้ำเสียงของแม่หรือพี่เลี้ยงจะมีความหมายและมีความสำคัญในการปลูกฝังสิ่งที่ควรสิ่งที่ถูกต้องให้ก ับลูกก็ต่อเมื่อพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงได้แสดงพฤติกรรมประกอบด้วย เช่น เห็นลูกคลานตรงไปที่ปลั๊กไฟฟ้า แม่จะเปล่งเสียงลั่นห้าม “อย่านะ อย่านะ” แล้วต้องรีบลุกตามไปอุ้มลูกออกมาจากจุดที่จะเป็นอันตราย ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่ลูกเฉียดเข้าไปใกล้ปลั๊กไฟฟ้า ลูกจะได้เรียนรู้ว่าส่วนนั้นของห้องเข้าไปไม่ได้ และได้เรียนรู้ความหมายของคำที่แม่พูดด้วย เป็นการช่วยการพัฒนาภาษาทางอ้อมให้กับลูกอีกทางหนึ่ง การร้องห้ามทุกครั้งที่เด็กเคลื่อนไหวห่างออกไปหรือแสดงท่าทางไขว่คว้าว่า “อย่าไปนะ มานี่ อย่าจับนะ อย่าเล่นนะ” โดยไม่มีพฤติกรรมเกี่ยวโยงปฏิบัติต่อเด็กจากพ่อแม่ประกอบด้วยตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จะก่อให้เกิดผลเสียต่อการพัฒนาของเด็กทำให้ เด็กขาดประสบการณ์ในการเรียนรู้ เนื่องจากแม่หรือพี่เลี้ยงจะหาทางไม่ให้ลูกไปไกลจากตัว เมื่อเด็กดิ้นจะไปก็พูดแต่ “ไม่ไปนะ อย่าไปนะ เอ๊ะอย่านะ” หมดโอกาสได้เรียนรู้จักของใหม่สำหรับชีวิตเด็ก เป็นการบั่นทอนพัฒนาการด้านสติปัญญา และด้านการปรับตัวของเด็กอย่างมาก ไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนทักษะใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นตามวัย เด็กขาดการริเริ่ม เพราะทุกครั้งที่เห็นของใหม่ในชีวิต เด็กจะอยากลูบคลำแตะต้อง แต่พ่อแม่พี่เลี้ยงจะร้อง “อย่านะ ไม่เอานะ” ไม่ว่าของสิ่งนั้นเด็กสมควรหรือไม่สมควรจะแตะต้อง เมื่อถูกขัดขวางบ่อยๆ ความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติ อันพึงมีตามวัยก็หมดไป อีกทั้งยังไม่ได้เรียนรู้ว่าสิ่งของหรือวัตถุใดที่จะก่อให้เกิดอันตรายแก่ตนเองบ้าง จึงพัฒนาไปเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดความคิดริเริ่ม เด็กขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะทุกครั้งที่อยากแสดงออกจะถูกขัดขวางตลอดเวลา พอทำท่าจะคลานออกไปก็มีเสียงห้ามตั้ง 4 – 5 เสียง เด็กจะเข้าใจเอาเองว่าสิ่งที่ตนคิดหรือทำคงจะไม่ถูก เพราะมีแต่เสียง “อย่า! อย่า! อย่า!” ทำให้กลายเป็นเด็กลังเลทุกครั้งที่ต้องตัดสินใจ คิดไม่ตกว่าควรทำหรือไม่ควรทำ เนื่องจากขาดความมั่นใจในตัวเอง แบบที่สอง ตรงข้ามกับแบบแรก ลูกจะขว้างปาขวดนมเมื่อกินหมดแล้วก็ปล่อยให้ทำซ้ำๆจนเป็นนิสัย ลูกจะคลานไปค้นรื้อของรอบห้องทั้งๆ ที่ไม่ใช่ของเล่นของเด็ก พ่อแม่ก็ปล่อย ลูกจะเล่นขวดแก้ว ขวดน้ำ ถ้วยแก้ว ก็ปล่อยให้คว้าตามใจ เคาะจนแตกก็ดุพี่เลี้ยง ของที่เป็นอันตรายก็ไม่เก็บให้พ้นมือเด็ก เช่น กระติกน้ำร้อน ของร้อนทั้งหลายหรือของมีคม เช่น มีด ไม่ควรให้เข้าใกล้จะเกิดอันตรายได้ พ่อแม่ปล่อยให้เล่นของทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาเด็กจนติดเป็นนิสัย เด็กที่พ่อแม่ปล่อยตามใจจึงได้เล่นของที่ไม่ควรเล่นและไม่เป็นอันตราย แต่เกิดความเสียหายได้ เช่น นาฬิกาข้อมือ แว่นตา ปากกา ถ้าลูกคว้าแว่นตาจากหน้าพ่อ พ่อจะหัวเราะชอบใจปล่อยให้เอาไปเล่น จนหักหรือแตก เช่นเดียวกับปากกาที่พ่อเสียบไว้ที่กระเป๋าเสื้อ หรือนาฬิกาข้อมือที่ใส่อยู่บนข้อมือ เวลาพ่ออุ้มลูกอายุ 7 – 8 เดือนอยู่ลูกก็จะดึงนาฬิกาข้อมือพ่อดึงเล่นตามประสาเด็กที่ไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน ลูกบางคนจะดึงเอาดึงเอา พ่อใจดีตามใจคิดว่าลูกอยากได้อีกทั้งได้ปล่อยตามใจมาแล้วโดยตลอดไม่ว่าจะสมควรหรือไม่สมควร พ่อก็จะถอดนาฬิกาข้อมือให้ลูก เด็ก 7 – 8 เดือน เมื่อรับของแล้วก็ขว้างทิ้ง นาฬิกาเสียพ่อหัวเราะชอบใจ เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ในขวบปีแรกของชีวิตลูก ลูกไม่เคยได้เรียนรู้ว่าสิ่งใดควรเล่นสิ่งใดไม่ควรเล่น ไม่เคยเรียนรู้ว่าการทำหรือการเล่นของที่ไม่ใช่ของเล่นทำให้เกิดความเสียหาย หรืออาจทำให้เกิดอันตรายได้ เวลาทำของเสียแล้วก็ได้ของใหม่มาแทนที่ ซึ่งอาจจะดีกว่าของเก่าที่เสียไปอีกด้วย หรือทำของเสียก็ไม่ถูกตำหนิ ไม่เคยถูกปรามให้รู้ว่าผิดอย่าทำอีก การปล่อยตามใจของพ่อแม่นี้ในบางครอบครัวตามใจมากจนกระทั่งลูกร้องอยากได้ของๆคนอื่น เช่น เด็ก 1 ขวบ เห็นเด็กเพื่อนบ้านมีลูกโป่งถือเล่น ก็ร้องจะเอาให้ได้ พ่อแม่ก็ขอร้องให้เขายอมยกลูกโป่งให้ลูกตัวด้วยการติดสินบนอย่างอื่นใช้แทนลูกโป่ง ลูกก็ยิ่งได้ใจ และเป็นการปลูกฝังนิสัยเอาแต่ใจตัว และระเมิดสิทธิของผู้อื่นโดยพ่อแม่ไม่ทันคิด ลูกที่ถูกเลี้ยงโดยปล่อยตามใจนี้ จะทำให้เกิดผลเสียต่อพัฒนาการทางสังคม เมื่อเติบโตไปในวันหน้าจะเป็นคน เอาแต่ใจตัว ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย การดำเนินชีวิตในวัยผู้ใหญ่ก็จะไม่มีความสุขเพราะขาดเพื่อน ไม่มีความรับผิดชอบต่อข้าวของเครื่องใช้ของตัวเอง และของสมาชิกในครอบครัว เพราะทำเสีย ไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนว่าไม่ควรทำอีก หรือถูกปล่อยตามใจให้ทำเสียจนกลายเป็นคนไม่รักของ ไม่เสียดายของเพราะความเคยชินกับการทิ้งของ เสียแล้วซื้อใหม่ สิ้นเปลืองเงินทองโดยไม่จำเป็นเมื่อเป็นผู้ใหญ่จะสร้างหลักฐานทางเศรษฐกิจไม่ได้ ผู้ที่เป็นพ่อแม่เคยเลี้ยงลูกจะรู้ว่าการเลี้ยงลูกเป็นศิลปที่ละเอียดอ่อนดังได้กล่าวแล้วข้างต้น จึงควรเดินสายกลาง การห้ามตลอดเวลาหรือการตามใจปล่อยตามเรื่องตามราว จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูก ทำให้ประเทศชาติมีทรัพยากรมนุษย์ที่คุณภาพต่ำ หรือปราศจากคุณภาพซึ่งเห็นอยู่ทั่วไปในสังคมของเรา “ลูกไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความรู้ตั้งแต่ ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก”

Read More »

จิตเวช: เห็น…(จิต)…ใจคนแก่บ้าง

จิตเวช: เห็น…(จิต)…ใจคนแก่บ้าง เห็น…(จิต)…ใจคนแก่บ้าง โดย นพ.ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง โปรดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรื่องพรรค์นั้นนะครับ ผมหมายถึง “ปัญหาสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ” ต่างหาก เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่หรือญาติผู้ใหญ่ที่ท่านรักต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมาน มีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง และเป็นภาระให้กับคนใกล้ชิด ใส่ใจท่านสักนิด ดูแลท่านสักหน่อย ให้การป้องกันหรือรีบพาไปตรวจรักษาเสียแต่เนิ่นๆ ปัญหาต่างๆ ก็จะหมดไป หรืออย่างน้อยก็สามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ ปัญหาสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ ที่พบบ่อย ได้แก่ 1. ปัญหานอนไม่หลับ โดยธรรมชาติคนเราเมื่ออายุมากขึ้น การนอนรวดเดียวในตอนกลางคืนจะน้อยลง ผู้สูงอายุจึงมักแอบงีบตอนกลางวันเพื่อตุนไว้ก่อน โรคทางกายหลายโรคอาจรบกวนการนอนได้ เช่น ปวดเมื่อยตัว ปวดกระดูก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ เป็นต้น ส่วนโรคทางจิตใจ มักเกิดจากภาวะวิตกกังวล หรือซึมเศร้า เป็นต้น 2. ภาวะวิตกกังวล พบได้ถึงร้อยละ 5.5 ของผู้สูงอายุชาวอเมริกัน ผู้สูงอายุจะรู้สึกเครียดง่าย เนื่องจากปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ยาก ความสามารถและประสิทธิภาพลดลง อาจกลัวตาย หรือย้ำคิดย้ำทำ 3. ภาวะซึมเศร้า พบได้ถึงร้อยละ 15 ของผู้สูงอายุชาวอเมริกัน ผู้สูงอายุจะรู้สึกหมดเรี่ยวแรง ไม่มีสมาธิ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ น้ำหนักลด เจ็บโน่นเจ็บนี่ ถ้าซึมเศร้ามากๆ จะร้องไห้บ่อย ไม่เชื่อมั่นตัวเอง โทษตัวเอง รู้สึกตัวเองไร้ค่า บางคนถึงกับทำร้ายตัวเองได้ 4. ภาวะความจำเสื่อม มักเป็นส่วนหนึ่งของภาวะสมองเสื่อม ในอเมริกาพบว่าที่เป็นระดับน้อยมีร้อยละ 15 ระดับมากมีร้อยละ 5 ของผู้สูงอายุ โดยที่เป็นโรคอัลไซเมอร์มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 60 ของโรคสมองเสื่อม รองลงมาเป็นโรคสมองเสื่อมจากหลอดเลือด 5. ภาวะติดเหล้าติดยา ผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งดื่มเหล้าจัด ดื่มเรื้อรัง หรือใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม เช่น ติดยานอนหลับ หรือยาแก้ปวด เป็นต้น 6. ภาวะเจ็บป่วยทางกายที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ มีหลายโรคในผู้สูงอายุที่เกิดจากสาเหตุทางจิตใจโดยตรง หรือ โดยอ้อม เช่น อาการปวดศีรษะ วิงเวียน คลื่นไส้อาเจียน หรือปวดท้อง เป็นต้น บางครั้งภาวะทางจิตใจก็อาจส่งผลต่อการรักษา เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ไม่ยอมร่วมมือในการกินยา ฉีดยาจนอาการน่าเป็นห่วง เป็นต้น 7. ภาวะโรคจิต ผู้สูงอายุบางรายอาจมีอาการของโรคจิต เช่น สับสนในกาลเวลา สถานที่ บุคคล หรือ มีอาการหูแว่ว ประสาทหลอน หลงผิดระแวงคู่ครองมีชู้ มีคนใส่ยาพิษในอาหาร หรือปองร้ายเอาชีวิตเพื่อทรัพย์สมบัติของตน เป็นต้น การให้ยาทางจิตเวชในผู้สูงอายุ เนื่องจากตัวยาที่ผู้สูงอายุกินเข้าไป จะสะสมในร่างกายนานกว่าปกติ ตับและไตต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้น หลักทั่วไปในการให้ยากับผู้สูงอายุ คือ เริ่มให้ยาทีละน้อยก่อน ค่อยๆ ปรับขนาดยาจนได้ฤทธิ์ตามต้องการ โดยใช้ยาในขนาดต่ำสุด ควรใช้ยาที่ออกฤทธิ์เร็ว ขับออกจากร่างกายเร็ว เกี่ยวข้องกับตับไตน้อย มีผลข้างเคียงต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายน้อย และมีผลต่อยาตัวอื่นทั้งเสริมฤทธิ์ หรือล้างฤทธิ์น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มาร่วมกันใส่ใจในสุขภาพกายและสุขภาพจิต แด่ท่านผู้สูงอายุในบ้านของเราเถอะครับ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป.

Read More »

จิตเวช: วัยรุ่น วุ่นยา

จิตเวช: วัยรุ่น วุ่นยา วัยรุ่น วุ่นยา โดย นพ.ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง ผมอดรู้สึกเห็นใจไม่ได้ที่พ่อแม่ในยุคโลกาภิวัฒน์ที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่น ต้องเป็นห่วงลูกมั่วยา หรือมั่วเซ็กส์ ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่ที่ผ่านมา เงินทองหาง่ายใช้คล่อง ลูกวัยรุ่นก็พลอยม่เงินซื้อสารเสพติด วงการสารเสพติดก็เฟื่องฟู ดีที่เศรษฐกิจฟองสบู่แตก แต่อย่างไรก็ตามวงการวัยรุ่นไฮโซก็ยังมีปัญหาสารเสพติดกันอยู่แต่ก็แพงหูฉี่ และสารเสพติดก็มีชนิดแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้ทดลองอยู่เสมอ ทำไมวัยรุ่นจึงชอบวุ่นยา วัยรุ่นเรานับตั้งแต่ 12 – 20 ปี สมัยนี้วัยรุ่นอายุน้อยลง แต่ก็เป็นผู้ใหญ่ช้าลงด้วย วัยรุ่นเป็นวัยช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ จะเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายก็ไม่ยอม อยากเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ไม่รับผิดชอบอย่างผู้ใหญ่ ช่วงวัยรุ่นมีการเจริญพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ รูปร่างเปลี่ยนไป ฮอร์โมนเพิ่มขึ้น จิตใจก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ ประเดี๋ยวก็ดื้อไม่ฟังใคร ประเดี๋ยวก็อ่อนไหวไม่มั่งคง วัยรุ่นจึงต้องการเพื่อนวัยเดียวกัน เชื่อเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ต้องการให้เพื่อนยอมรับ จึงมักทำตามอย่างกัน บวกับขี้เบื่อชอบของแปลกใหม่ท้าทาย ไม่คิดหน้าคิดหลัง เมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนไม่ดีใช้สารเสพติด ก็จะใช้ตามไปด้วย ส่วนใหญ่เริ่มจากทดลองเสพก่อนโดยประมาทว่าจะเลิกเมื่อไรก็ได้ตอนหลังเสพติด ครุ่นคิดแต่เลือกเสพยา ถอนตัวไม่ขึ้น หมดอนาคต เป็นทุกข์ทั้งตัวเองและพ่อแม่ มารู้จักสารเสพติดกันเถอะ อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. ประเภทกระตุ้นประสาท เกิดอารมณ์เป็นสุข สนุกสนาน ขยันขันแข็ง มีเรี่ยวแรง ก้าวร้าว ดุร้าย ได้แก่ ยาบ้า , โคเคน , ใบกระท่อม , กาแฟ , บุหรี่ เป็นต้น 2. ประเภทกดประสาท กล่อมประสาทดับความทุกข์ วิตกกังวล แก้ปวด จนถึงกดการหายใจตายไปเลย ได้แก่ ฝิ่น , มอร์ฟีน , เฮโรอีน , ยากล่อมประสาท , ยานอนหลับ , เหล้า เป็นต้น 3. ประเภทหลอนประสาท การรับรู้บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง ความรู้สึก หรือสัมผัสแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ได้แก่ กัญชา , ยาอี , ยาเค , พีซีพี , แอลเอสดี , ยาดีไซเนอร์ เป็นต้น 4. ประเภทผสมทั้งกระตุ้น , กดและหลอนประสาท ได้แก่ สารระเหย เช่น กาว , ทินเนอร์ , สี เป็นต้น ยาอีของวัยรุ่นไฮโซ ระยะที่ผ่านมามักจะปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ถึงการจับกุมดาราตามบาร์ หรือผับ ในงานปาร์ตี้ยาอีอยู่เนืองๆ ยาอีนั้นย่อมาจาก EOSTASY ซึ่งแปลว่า สนุกสนานหรรษา โดยมีชื่อทางเคมีว่า METHYLENE DIOXY MATHAMPHETAMINE (MDMA) จัดเป็นสารเสพติดประเภทหลอนประสาท (PSYEHEDELIC) โดยทำให้การรับรู้บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง เช่น มีความรู้สึกว่ากุหลาบมีรสหวาน น้ำตาลมีเสียงไพเราะ เสียงเพลงมีความหนาว จิตใจวัดได้ด้วยระยะทาง และที่มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากสารเสพติดอื่นก็คือ มันทำให้ผู้เสพเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด ต้องการเปิดเผยความในใจ มีส่วนรับรู้ในความรู้สึก หรือผับ ในงานปาร์ตี้ยาอีอยู่เนืองๆ ยาอีนั้นย่อมาจาก EOSTASY ซึ่งแปลว่า สนุกสนานหรรษา โดยมีชื่อทางเคมีว่า METHYLENE DIOXY MATHAMPHETAMINE (MDMA) จัดเป็นสารเสพติดประเภทหลอนประสาท (PSYEHEDELIC) โดยทำให้การรับรู้บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง เช่น มีความรู้สึกว่ากุหลาบมีรสหวาน น้ำตาลมีเสียงไพเราะ เสียงเพลงมีความหนาว จิตใจวัดได้ด้วยระยะทาง และที่มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากสารเสพติดอื่นก็คือ มันทำให้ผู้เสพเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด ต้องการเปิดเผยความในใจ มีส่วนรับรู้ในความรู้สึก หรือผับ ในงานปาร์ตี้ยาอีอยู่เนืองๆ ยาอีนั้นย่อมาจาก EOSTASY ซึ่งแปลว่า สนุกสนานหรรษา โดยมีชื่อทางเคมีว่า METHYLENE DIOXY MATHAMPHETAMINE (MDMA) จัดเป็นสารเสพติดประเภทหลอนประสาท (PSYEHEDELIC) โดยทำให้การรับรู้บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง เช่น มีความรู้สึกว่ากุหลาบมีรสหวาน น้ำตาลมีเสียงไพเราะ เสียงเพลงมีความหนาว จิตใจวัดได้ด้วยระยะทาง และที่มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากสารเสพติดอื่นก็คือ มันทำให้ผู้เสพเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด ต้องการเปิดเผยความในใจ มีส่วนรับรู้ในความรู้สึก หรือผับ ในงานปาร์ตี้ยาอีอยู่เนืองๆ ยาอีนั้นย่อมาจาก EOSTASY ซึ่งแปลว่า สนุกสนานหรรษา โดยมีชื่อทางเคมีว่า METHYLENE DIOXY MATHAMPHETAMINE (MDMA) จัดเป็นสารเสพติดประเภทหลอนประสาท (PSYEHEDELIC) โดยทำให้การรับรู้บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง เช่น มีความรู้สึกว่ากุหลาบมีรสหวาน น้ำตาลมีเสียงไพเราะ เสียงเพลงมีความหนาว จิตใจวัดได้ด้วยระยะทาง และที่มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากสารเสพติดอื่นก็คือ มันทำให้ผู้เสพเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด ต้องการเปิดเผยความในใจ มีส่วนรับรู้ในความรู้สึก หรือผับ ในงานปาร์ตี้ยาอีอยู่เนืองๆ ยาอีนั้นย่อมาจาก EOSTASY ซึ่งแปลว่า สนุกสนานหรรษา โดยมีชื่อทางเคมีว่า METHYLENE DIOXY MATHAMPHETAMINE (MDMA) จัดเป็นสารเสพติดประเภทหลอนประสาท (PSYEHEDELIC) โดยทำให้การรับรู้บิดเบี้ยวไปจากความเป็นจริง เช่น มีความรู้สึกว่ากุหลาบมีรสหวาน น้ำตาลมีเสียงไพเราะ เสียงเพลงมีความหนาว จิตใจวัดได้ด้วยระยะทาง และที่มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากสารเสพติดอื่นก็คือ

Read More »

จิตเวช: ทำอย่างไรดี ? เมื่อลูกพูดติด…ติด…อ่าง

ทำอย่างไรดี? เมื่อลูกพูดติด…ติด…อ่าง โดย พญ.สุภานี อริยะโสภณวงศ์ คุณพ่อคุณแม่คงจะรู้สึกอึดอัดใจมากเมื่อพบว่า ลูกน้อยอายุ 3 – 5 ปี ของคุณพูดติดอ่าง บางคนอาจทนที่จะรับฟังเรื่องที่ลูกพูดต่อไปอีกไม่ได้ ต้องบอกให้ลูกพูดใหม่ แต่พอลูกพูดใหม่ก็พูดติดอีก คุณพ่อคุณแม่บางคนอดทนต่อลักษณะที่ลูกพูดติดอ่างไม่ได้ ต้องดุหรือทำโทษเด็กทุกครั้งที่ได้ยิน บางคนก็ทำท่าเอาใจช่วยคอยบอกให้ลูกพูดช้า ๆ ชัด ๆ สิ่งเหล่านี้แทนที่จะช่วยให้ลูกพูดคล่องกลับเป็นการเน้นย้ำทำให้ลูกพูดติดอ่างมากขึ้นกว่าเดิม การพูดติดอ่างของเด็กเล็กในช่วงอายุ 3 – 5 ปีนั้น ถือเป็นลักษณะการพูดไม่คล่องโดยปกติของเด็ก เนื่องจากในช่วงนี้เด็กจะมีพัฒนาการด้านภาษาในอัตราที่รวดเร็วมาก เด็กจึงอยากที่จะพูดแสดงความรู้ความเข้าใจของตนเองต่อสิ่งต่างๆ แต่อวัยวะในการพูดของเด็กยังทำงานได้ไม่คล่องแคล่ว และเด็กยังรู้คำศัพท์ในจำนวนจำกัด ดังนั้นเด็กจึงต้องเสียเวลาหยุดคิดคำศัพท์ และจัดลำดับเรื่องเพื่อที่จะพูด ทำให้การพูดของเด็กมีการสะดุดชะงักเป็นช่วงๆ เวลาที่เขาจะเล่าเรื่องยาวๆ ให้ผู้ใหญ่ฟัง ถ้าผู้ใหญ่แสดงทีท่ากังวลใจหรือมีท่าทางที่แปลกไปจากเดิมเวลาที่เด็กพูดติด เด็กจะสังเกตเห็นและพลอยกังวลใจไปกับการพูดติดของตนด้วย เด็กบางคนอาจรู้สึกว่าตนทำอะไรผิด พูดติด เกิดความไม่มั่นใจที่จะพูด ขลาดอายและแยกตัวไม่ยอมพูดกับใคร พอจะพูดก็เกิดความกังวลใจ และพูดติดมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นการพูดติดอ่างแบบถาวรไป วิธีการที่พ่อแม่จะช่วยให้ลูกพูดได้คล่องขึ้นนั้น คือ การให้กำลังใจและช่วยให้เด็กเกิดความมั่นใจในการพูดของตนเอง เมื่อเวลาที่ลูกพูดกับเรา ก็ควรจะรอฟังลูกพูดจนจบด้วย ท่าทีปกติธรรมดา ไม่ทักเวลาที่ลูกพูดติด เมื่อลูกพูดจบแล้ว พ่อแม่จึงพูดทวนประโยคที่ลูกได้พูดไปนั้นอีกครั้งด้วยลักษณะการพูดที่ถูกต้องเพื่อให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง โดยพูดคุยกันในลักษณะท่าทีเป็นธรรมชาติ ไม่ให้ลูกรู้สึกว่า พ่อแม่กำลังจ้องจับผิดหรือคอยจะแก้ไขเขา ในที่สุดลูกจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนลักษณะการพูดของตนจนสามารถพูดคล่องขึ้นได้

Read More »

การวินิจฉัยเนื้องอกในตับ หรือ มะเร็งตับ

การวินิจฉัยเนื้องอกในตับ หรือ มะเร็งตับ, ก้อนในตับ มีวิธีคิด หรือ ตรวจสอบอย่างไร นายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ ร.พ. พระรามเก้า เกริ่น มักวินิจฉัยได้ช้า เพราะไม่มีอาการ และ คนที่มีก้อนใหญ่มาก อาจไม่มีอาการใด ๆ เลย เนื่องจากตับได้สร้างเผื่อความเสียหายไว้มากมาย แม้ตับเหลือ 40-50 % แล้วก็ยังไม่มีอาการ หรือมีความผิดปกติการทำงานใดๆก็ได้ เดิมจึงพบเมื่อเป็นมากแล้ว และ มักเสียชีวิตทุกราย แต่ปัจจุบันมีการเช็คร่างกาย ตรวจหาป้องกันกันมากแนวโน้มจึงสามารถรักษาได้ รวมทั้งค้นพบวิธีการรักษาใหม่ ๆ ด้วย ไม่เหมือนเดิมที่บอกกันว่ารักษาไม่ได้แล้ว ใครที่มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับได้ ตอบ ความเสี่ยงได้แก่ คนที่มีญาติเป็นโรคตับ หรือ ญาติเป็นมะเร็งตับในครอบครัว คนที่เป็นไวรัสตับอักเสบบี และซีเรื้อรัง (chronic hepatitis B, chronic hepatitis C) และ โรคเหล็กคั่งในตับ hemochromatosis และบางรายในเด็กที่เป็นความผิดปกติทางกรรมพันธ์ชนิด tyrosinemia มีรายงานการเกิดมะเร็งง่ายขึ้นในคนที่ได้รับเชื้อราอัลฟาร์ทอกซิน ซึ่งอยู่ใน ถั่วบดทิ้งค้าง หรือพริกป่นเก่า ที่มีเชื้อรานี้ปะปน ส่วนตับแข็งสาเหตุอื่นมีโอกาสเกิดมะเร็งมากกว่าคนปกติเช่นกัน แต่ไม่มากเท่าสาเหตุที่กล่าวข้างต้น อาการมีอะไรบ้าง ตอบ มักไม่มีอาการใด ๆ เลยก็ได้ นอกจากบางคนเท่านั้นที่มีอาการ และเป็นอาการของโรคตับที่มีอยู่เดิมทั่วไป เช่น คนที่เป็นตับแข็ง ซึ่งจะมีอาการใดอาการหนึ่งในนี้ก็ได้ เช่น น้ำในท้องหรือท้องโตขึ้น อาการทางสมองต่างๆ เหลือง หรือ ปัสสาวะเข้มขึ้น บางรายมีเลือดออกทางเดินอาหาร หรือ ถ่ายดำ อีกส่วนหนึ่งอาจมาด้วยอาการของเนื้องอกในตับโดยตรง อาการใดอาการหนึ่งก็ได้ ได้แก่ จุกแน่น ปวด หรือ อืด ท้องโตขึ้น บางรายคลำก้อนได้ในท้อง บางรายมาด้วยอาการทั่วไปของมะเร็งอาการใด อาการหนึ่งก็ได้ เช่น น้ำหนักลด เบื่ออาหาร เพลียง่าย ไม่มีแรง บางรายมาด้วยอาการข้างเคียงของมะเร็ง อาการใด อาการหนึ่งก็ได้ ดังนี้ ชา น้ำตาลต่ำวูบ เหงื่อออก เป็นตะคริวมือ และ เท้า เลือดข้นมาก ท้องเสียเป็นน้ำมาก ๆ ผิวหนังหรือกล้ามเนื้ออักเสบ อาการที่พบได้น้อยคือ เนื้องอกไปกดทางเดินน้ำดีหลัก คือ เหลือง คันตามตัว บางรายมีเลือดออกในทางเดินน้ำดี ถ่ายดำ พบได้น้อยอื่น ๆ คือ ท้องเสีย ปวดตามกระดูก หรือ หอบเหนื่อย หรือ เลือดออกในช่องท้อง เช่นมาด้วยหน้ามืด ซีดลง ขอเน้นย้ำว่า ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ หรือ มีอาการเพียงอย่างเดียวที่กล่าวด้านบนข้อเดียวก็ได้ เมื่อไม่แน่ใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงควรตรวจเช็คร่างกาย กับแพทย์ครับ แม้ไม่มีอาการใด ๆ การตรวจเลือดจะสามารถเช็คมะเร็งตับได้หรือไม่ ตอบ ผลเลือด ที่ไม่เฉพาะต่อมะเร็งมีมากมายครับ ส่วนใหญ่เป็นการตรวจพบในคนที่เป็นโรคตับทั่วไป ( เกร็ดเลือดต่ำ thrombocytopenia, โปรตีนในร่างกายต่ำ hypoalbuminemia, เหลือง ดีซ่าน hyperbilirubinemia,อาจมีซีดเล็กน้อย และอาจมีเกลือแร่ผิดปกติ บางรายอาจมีตับอักเสบ แต่ที่เฉพาะคือบอกว่ามีการสะดุดไหลเวียนไม่ดีของน้ำดี (AP = alkaline phosphatase และ GGT gammaglutamyl transpeptidase ผิดปกติ) แต่ผลเลือดทั้งสองตัวนี้ มักไม่เฉพาะต่อเนื้องอกเท่านั้นมีภาวะมากมายที่มีค่านี้ผิดปกติได้ แต่ควรค้นหาสาเหตุในทุกรายที่มีผลเลือดนี้ผิดปกติ เลือดเฉพาะต่อเนื้องอกมะเร็งตับคือ AFP (alfa feto protein) แต่ก็ขึ้นเพียงครึ่งเดียวของคนที่เป็นมะเร็งอีกครึ่งเช็คเลือดพบว่าปกติ แต่มีมะเร็งอยู่ได้ จึงควรเช็คด้วยการตรวจอัลตร้าซาวน์ คอมพิวเตอร์ หรือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตามที่แพทย์แนะนำด้วยครับ (กรณีค่า AFP ขึ้น ควรค้นหาเสมอทุกราย แต่ถ้าค้นไม่พบ 2-4 ครั้ง อาจเป็นค่า AFP ขึ้นแต่ไม่มีมะเร็งได้เช่นกัน ตรวจผิดหลอกอย่างนี้ ว่าเหมือนมีมะเร็งแต่ตรวจแล้วไม่เจอ พบได้ 5 %) สรุปเป็นค่าความไว และ ความจำเพาะ มีดังนี้ AFP cutoff 16 micro.g/L (S/S 62/89 %) AFP cutoff 20 micro.g/L (S/S 60/91 %) AFP cutoff 100 micro.g/L (S/S 31/99 %) AFP cutoff 200 micro.g/L (S/S 22/99 %) การตรวจมะเร็งในอนาคต (Other serum markers) ตอบ อนาคตอาจมีการตรวจค้นหาได้ดียิ่งขึ้นครับ โดยการตรวจเลือดพิเศษที่ปัจจุบันยังทำไม่ได้ครับ( specific sugar-chain structure of circulating alpha-fetoprotein และ Des-gamma-carboxy PT. (หรือที่เรียกว่า “PT.

Read More »

วิธีในการป้องกันและรักษาเส้นเลือดขอดบริเวณโคนและน่องขา

คำถาม ขอทราบวิธีในการป้องกันและรักษาเส้นเลือดขอดบริเวณโคนและน่องขาค่ะ คำตอบ โดย นายแพทย์ประเสริฐ ไตรรัตน์วรกุล (ศัลยแพทย์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมหลอดเลือด) เส้นเลือดขอดเกิดได้หลายสาเหตุ ความอ่อนแอของโครงสร้างผนังเส้นเลือดดำ และลิ้นภายในเส้นเลือดซึ่งมักจะสืบทอดมาทางกรรมพันธุ์ สาเหตุหลักนอกจากนี้แรงดึงดูดของโลกโดยเฉพาะเวลาผู้ป่วยอยู่ในท่ายืนตลอดจนมีอาชีพที่ต้องยืนนานๆ เช่น ช่างทำผม พนักงานบริการในร้านอาหาร ก็อาจมีส่วนเสริมให้เกิดโรคเส้นเลือดขอด ดังนั้นถ้าคุณไม่มีปัจจัยที่เป็นสาเหตุส่งเสริมให้เกิดโรคนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำการป้องกัน แต่ถ้าคุณมีประวัติที่น่าจะส่งเสริมให้เกิดโรคนี้ หรือเริ่มเห็นเส้นเลือดขอดขึ้นตามขาบ้างแล้ว การป้องกันโดยการใส่ถุงเท้าแบบรัดก็อาจจะช่วยให้โรคนี้อยู่คงที่ไม่เป็นมากขึ้น หรือทำให้โรคดำเนินไปช้าลง สำหรับข้อบ่งชี้ในการรักษาเส้นเลือดขอดนั้นแพทย์ส่วนใหญ่จะรักษาโรคนี้เมื่อมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เกิดการอักเสบบ่อยๆ เริ่มมีการเปลี่ยนสีของผิวหนังในบริเวณที่มีเส้นเลือดขอดเนื่องจากเม็ดเลือดแตก และมีเลือดออกในบางครั้ง ก็ให้การรักษาเนื่องจากผู้ป่วยวิตกเรื่องความสวยงาม การรักษามีตั้งแต่ฉีดยาให้เส้นตีบไปจนกระทั่งผ่าตัดดึงเส้นออก ทั้งนี้แพทย์ก็คงต้องพิจารณาความเหมาะสมเป็นรายๆ ไป

Read More »
Page1 Page2 Page3 Page4 Page5
Facebook-f Youtube Instagram
  • 1270
  • About Us
  • Medical center
  • Doctors
  • Make an Appointment
  • Knowledge
  • Package
  • News & Events
  • Privacy Policy
  • Investor
  • Sustainability
  • Work with Us
  • Contact Us
  • Terms and Conditions

Copyright © 2025. All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • Medical Center
  • แพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us