Skip to content
  • EN
    • TH
    • CN
    • AR
  • EN
    • TH
    • CN
    • AR
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us
Menu
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us

Category: Articles EN

จิตเวช: ยาบ้า ยาอี ยาม้า เหมือนกันหรือต่างกันตรงไหนคะ

ตเวช: ยาบ้า ยาอี ยาม้า เหมือนกันหรือต่างกันตรงไหนคะ คำถาม ยาบ้า ยาอี ยาม้า เหมือนกันหรือต่างกันตรงไหนคะ ยาพวกนี้มามีส่วนทำอะไรในร่างกายหรือจิตใจเราคะจึงทำให้เราติดมัน คำตอบ โดย นายแพทย์ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง ยาบ้า หรือ ยาม้า เป็นชื่อสารเสพติดชนิดเดียวกัน คือ สารแอมเฟตามีน (Amphetamine) จัดเป็นสารกระตุ้นประสาท โดยออกฤทธิ์กระตุ้นสมองชั้นในหรือสมองส่วนอยาก (Limbic system) ซึ่งประกอบด้วยศูนย์พึงพอใจ ศูนย์ควบคุมอารมณ์ & พฤติกรรม ศูนย์ความอิ่ม ทำให้ผู้เสพมีความสุข สนุกสนาน ขยันขันแข็ง มีกำลังวังชา ไม่อยากอาหารแบบอิ่มทิพย์ นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ถ้าเสพมากหรือติดต่อกันจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย มีอาการทางจิต หวาดระแวง หูแว่ว ประสาทหลอน และอาจมีอารมณ์ซึมเศร้าฆ่าตัวตายได้ เดิมยาบ้าตั้งแต่สังเคราะห์ โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน เมื่อ คศ.1887 เป็นต้นมา ได้ถูกผลิตเป็นยาดม ยาเม็ดกิน จนมีการใช้ฉีดเข้าเส้น และล่าสุดทำเป็นก้อนผลึก จุดไฟอบสูบควัน ยาบ้าเคยใช้เป็นยารักษาโรคดอ้วน โรคหลับผิดปกติ และโรคซนในเด็ก แต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว ส่วนยาอี มาจากคำว่า Ecstasy ซึ่งแปลว่าสนุกสนานเบิกบานใจอย่างยิ่ง เป็นน้องของยาบ้าอีกที เพราะสังเคราะห์หลังยาบ้า 1 ปี โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น มีสูตรโครงสร้างใกล้เคียงกัน คือ เมทแอมเฟตามีน (Mathamphetamine) แต่มีฤทธิ์ร้ายแรงกว่า คือ นอกจากมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทแล้วยังมีฤทธิ์หลอนประสาทด้วย (psychedelic) กล่าวคือ ทำให้กล้ามเนื้ออยู่ไม่สุก ต้องเคลื่อนไหว เต้นรำ รู้สึกรักใคร่กลมเกลียวเหมือนพี่เหมือนน้อง รู้สึกอบอุ่นในอย่างประหลาด ต้องการเปิดเผยความในใจ มีส่วนรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น เป็นยาแห่งความรัก และการรับรู้ทางอายตนะสัมผัสพิศดาร จึงมักใช้ในงานปาร์ตี้ต่างๆ ทั้งยาบ้าและยาอีจะไปจับกับตัวรับ (receptors) ของสมองชั้นในหรือสมองส่วนนอก จนในที่สุดจะครอบงำสมองชั้นนอกหรือสมองส่วนเหตุผล (cerebral cortex) ทำให้ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ เข้าสู่กระบวนการเสพติดยา กล่าวคือ ตัวกระตุ้น –> ความคิด –> ความอยากยา –> การเสพยา ส่วนกระบวนการเสพติดยานั้นอธิบายด้วยทฤษฎีการเรียนรู้ กล่าวคือ ยา —–> อาการทางร่างกาย&จิตใจ (อยากยา) ยา + สิ่งที่เกี่ยวข้องกับยา (ตัวกระตุ้น) —> อยากยา ตัวกระตุ้น —> อยากยา และ เมื่อเสพติดยาแล้ว พอหยุดเสพจะเกิดอาการอยากยา ทนทุกข์ทรมานคล้ายลงแดง จึงหายามาเสพอีก วนเวียนไม่รู้จบ

Read More »

มารู้จักกับมะเร็งลำไส้ใหญ่กันเถอะ

(น.พ.วิโรจน์ เหล่าสุนทรสิริ) มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งที่พบมากในซีกโลกตะวันตกในคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป สำหรับในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชียพบไม่บ่อย แต่มีแนวโน้มว่าจะพบเพิ่มมากขี้นเนื่องจากชีวิตความเป็นอยู่และอาหารการกินได้เปลี่ยนแปลงไป (เรากินอาหารตะวันตกซึ่งมีไขมันสูงและใยอาหารต่ำมากขึ้นครับ) และการแพทย์ที่เจริญก้าวหน้าขึ้นทำให้เราตรวจวินิจฉัยได้เพิ่มมากขึ้น การศึกษาเมื่อปี ค.ศ.1986-1987 พบว่าอัตราการตายจากมะเร็งในลำไส้ใหญ่ในคนไทยเท่ากับ 1.6 และ 1.0 ต่อประชากร 100,000 คน ในเพศชายและหญิงตามลำดับ ในประเทศสหรัฐอเมริกามีอัตราการตายจากโรคนี้สูงกว่าคนไทยประมาณ 10 เท่า สาเหตุของโรคนี้คืออะไร ? จริงๆ แล้วเราไม่รู้แน่นอนหรอกครับถึงสาเหตุทุกอย่าง แต่ก็มีหลักฐานบ่งบอกว่าปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมอาจมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ตัวอย่างเช่น ชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นเองมีอุบัติการของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ต่ำ แต่เมื่อพยพไปอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา จะพบว่ามีอุบัติการของมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงขึ้นมาก อันนี้น่าสนใจมากในทางการแพทย์จึงได้ศึกษาทางระบาดวิทยาแล้วพบว่า ในประเทศที่ประชากรบริโภคอาหารไขมันเป็นปริมาณสูงจะมีอุบัติการของมะเร็งลำไส้ใหญ่สูง มีทฤษฎีอธิบายว่า การบริโภคอาหารไขมันสูงจะทำให้มีสารก่อมะเร็งในลำไส้ใหญ่เพิ่มขึ้น (primary carcinogen) หรือเกิดสารที่ส่งเสริมการเกิดเนื้องอก (tumor promoter) นอกจากนี้ยังพบว่าประชากรที่บริโภคอาหารที่มีเส้นใย (fiber) น้อย เช่น อาหารตะวันตกจะมีอุบัติการของมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงกว่าประชากรที่กินอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น อาหารจีน และอาหารไทย เชื่อกันว่าเส้นใยปริมาณมากนี้เองจะไปเจือจางสารก่อมะเร็ง และ/หรือรวมตัวกับสารก่อมะเร็งทำให้มันไม่มีโอกาสสัมผัสกับผิวลำไส้ใหญ่ อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ กรรมพันธุ์ มีผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ถึง 25% ทีเดียวที่มีประวัติมะเร็งในครอบครัว เราพบโรคบางชนิดที่มีโอกาสเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ เช่น โรค familial polyposis coli พวกนี้จะพบติ่งเนื้อ (polyp) เป็นจำนวนมากในลำไส้ใหญ่ บางคนมีมากเป็นพันๆเลย และ ployp เหล่านี้จะกลายเป็นมะเร็งได้ นอกจากนี้เรายังพบโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ที่ไม่มี ployp อยู่ก่อน และถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ด้วย แต่โรคนี้พบน้อยในเมืองไทย การมีติ่งเนื้อหรือ ployp ในลำไส้ใหญ่ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะถ้ามีขนาดใหญ่กว่า 2 เซ็นติเมตร จะมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งสูงถึง 30-50% ทีเดียว โรคนี้จะมีอาการเป็นอย่างไร ? ถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านคงอยากจะรู้ว่าโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่จะมีอาการอะไร ที่พบบ่อยที่สุดคือการถ่ายอุจจาระผิดปกติไป เช่น มีท้องผูกสลับกับท้องเสีย ท้องผูกอย่างเดียวหรือก้อนอุจจาระมีขนาดเล็กลง ภาษาชาวบ้านเรียก “ขี้แพะ” ครับ บางรายอาจมีเลือดออกทางทวารหนักซึ่งอาจมีจำนวนมากจนน่าตกใจ หรืออาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเนื่องจากมีปริมาณน้อย ต้องตรวจอุจจาระด้วยวิธีพิเศษ ผู้ป่วยบางรายมีการเสียเลือดเรื้อรังเป็นเวลานานๆ ก็มีโลหิตจาง อ่อนเพลีย ใจสั่น เหนื่อยง่าย ในบางรายอาจมีอาการปวดท้อง , ตรวจพบก้อนในท้อง และมีลำไส้อุดตันได้ มีบางส่วนที่มาพบแพทย์ค่อนข้างจะช้า คือ มาในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายไปแล้ว เช่น ที่ตับ, ปอด หรือสมอง อันนี้ก็แย่หน่อยเพราะหมดโอกาสที่จะรักษาให้หาย การพยากรณ์โรค เช่นเดียวกับมะเร็งชนิดอื่นๆ มะเร็งในลำไส้ใหญ่ในระยะแรกๆ ก็มีผลการรักษาดี เราแบ่งระยะของมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็น A,B,C และ D อัตราการอยู่รอด 5 ปี หลังการรักษามีดังนี้ A 90% , B 70-80% , C 50% และ D น้อยกว่า 30% การรักษาก็แล้วแต่ระยะอีกละครับว่าจะใช้วิธีไหน ประกอบด้วยการผ่าตัด , การให้ยาเคมีบำบัด , รังสีรักษาซึ่งอาจจะใช้หลายวิธีร่วมกัน ใครบ้างที่ควรตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ อย่าเพิ่งตกใจนะครับ ตลอดชีวิตของแต่ละคนมีโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่เพียง 5% เอง แต่ถ้ามีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคนี้โอกาสก็มีมากขึ้นเป็น 15% ทีเดียว ดังนี้เราควรจะสืบค้นหา (screen) มะเร็งลำไส้ใหญ่ในบุคคลเหล่านี้ 1. อายุเกิน 50 ปี และไม่มีอาการอะไร 2. มีบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือ polyp ในลำไส้ใหญ่ 3. มีโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ชนิดถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ 4. มีประวัติส่วนตัวเป็น polyp ในลำไส้ใหญ่ , มะเร็งเต้านม , มะเร็งมดลูก , มะเร็ง รังไข่ 5. มีอาการต่างๆ ที่ชวนสงสัยดังได้กล่าวมาแล้ว จะตรวจด้วยวิธีไหนดี ? วัตถุประสงค์ในการตรวจนี้ก็เพื่อจะสืบค้นหามะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะแรกๆ (ก็ผลการรักษาดีกว่ากันเยอะนี่นา) วิธีการตรวจก็มีหลายวิธียากง่ายแตกต่างกันไป ได้แก่ 1. การตรวจสารฮีม (Heme) ในอุจจาระ สารฮีมเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือด การตรวจวิธีนี้ง่าย , ราคาถูก เหมาะกับประเทศที่มีอุบัติการโรคนี้สูง (เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย) ข้อเสีย คือ มีผลบวกเท็จ และผลลบลวงได้บ่อยๆ 2. การตรวจลำไส้ใหญ่ส่วน ซิกมอยด์ (Flexible sigmoidoscopy) ตรวจพบมะเร็งได้แค่ 50% 3. x-ray สวนแป้ง (Barium Enema) ถ้าทำได้ดีก็มีผลเกือบเท่าการตรวจลำไส้ใหญ่ทั้งหมดด้วยการส่องกล้อง ข้อด้อยคือ ถ้าพบความผิดปกติก็ต้องมาทำการตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยวิธีส่องกล้องอีกทำให้เสียเวลา 4. การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) สามารถตรวจดูลำไส้ใหญ่ได้ทั้งหมด ถ้าพบความผิดปกติก็สามารถตัดชิ้นเนื้อมาตรวจทางพยาธิวิทยาได้เลยเป็นการประหยัดขั้นตอนและเวลา

Read More »

แมมโมแกรมกับมะเร็งเต้านม

ตามสถิติบอกว่า มะเร็งของเต้านมผู้หญิงนั้นพบได้เป็นอันดับสองรองจากมะเร็งของปากมดลูก แต่นั่นมัน จำกัดอยู่ที่อายุไม่เกิน 40 เมื่ออายุผ่านเลขสี่ และย่างเข้าสู่ประตูวัยทอง แชมเปี้ยนของมะเร็งจะตกมา เป็นของเต้านมในทันที ด้วยเหตุนี้เอง การตรวจเต้านมเพื่อหาทางให้พบมะเร็งเต้านมเสียตั้งแต่เริ่ม แรก ก่อนที่มันจะลุกลามเป็นมากจนหมดหนทางแก้ไข จึงดูเหมือนจะมีความจำเป็นต่อคุณผู้หญิงที่มี อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป จะทำได้อย่างไร ก็มีอยู่สองวิธีใหญ่ ๆ คือ หนึ่งตรวจดูการใช้มือคลำ ซึ่งแบ่งได้เป็นสองทาง ทางที่หนึ่ง คือ ใช้มือของคุณเอง ตามตำราบอกว่าคุณใช้มือของคุณเองตรวจคลำหาก้อน หรือความผิด ปกติอย่างอื่นของเต้านมคุณ เพียงแค่เดือนละหนึ่งครั้งก็เพียงพอแล้ว ความจริงแล้ว การใช้มือคลำแต่ เพียงอย่างเดียวก็ดูจะไม่ดีเท่าใช้ตาดูด้วย ซึ่งฟังดูแล้วมันช่างตรงข้ามกับคำพังเพยที่ว่า “สิบตาเห็น ยังไม่เท่ามือคลำ” แต่ในกรณีของมะเร็งเต้านมนั้น คุณควรจะใช้ทั้งตาดู และมือคลำด้วยก็จะทำให้ ละเอียดมากยิ่งขึ้น ทางภาคปฏิบัติ ก็คงไม่มีอะไรยุ่งยาก เพียงแค่คุณนั่งอยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้ ทั่วทรวงอกของคุณ เมื่อได้สถานที่ที่เหมาะสม โดยมีคุณนั่งถอดเสื้ออย่างหมดจด ไม่ต้องอายใครหรือ แม้แต่อายตนเอง จากนั้นคุณก็ลองยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ กางแขนออกไปข้างๆ ทั้งนี้เพื่อดูว่าเต้านม ทั้งสองข้างมีการเคลื่อนไหวอย่างมีสมดุลย์กันหรือไม่ หรือว่ามีอะไรมาดึงรั้งกันบ้างหรือเปล่า เมื่อดู เรียบร้อยแล้ว ตรงนี้ก็มาถึงการใช้มือคลำหาก้อนเนื้องอก คุณก็ต้องคลำให้ทั่วเต้าทั้งสองข้างรวมไปถึง บริเวณจั๊กแร้ ซึ่งเป็นที่สิ้นสุดของเต้านม คือส่วนที่เรียกว่าหางของเต้านม เมื่อคุณดูและคลำแล้วไม่พบ อะไรผิดปกติไปจากที่เคยเป็นอยู่ คุณก็ปฏิบัติเช่นที่ว่านี้ทุกๆ เดือน เดือนละครั้งก็พอ ถ้าหากพบอะไร ผิดปกติจะด้วยว่าพบก้อน หรือคลำแล้วเจ็บ หรือดูแล้วเต้านมมันผิดเพี้ยนผิดรูปผิดร่างไปจากเดิม คราวนี้แหละคุณควรไปพบแพทย์ได้เลย เพื่อให้คุณหมอได้ตรวจดูซิว่าสิ่งที่คุณพบนั้นมันผิดปกติอย่าง ไรหรือไม่ และต้องทำอย่างไรกันต่อไป นั่นเป็นอีกทางหนึ่งในเรื่องของการดูและคลำ ทีนี้ถ้าหากตรวจ แล้วไม่พบอะไรผิดปกติ ก็ใช่ว่าคุณจะปลอดภัยจากมะเร็งของเต้านมร้อยเปอร์เซ็นต์ มันจึงต้องมีวิธีการตรวจสอบอีกวิธีหนึ่งตามมา คือ วิธีการตรวจโดยการใช้ เครื่องมือทางการแพทย์ ที่มีชื่อว่า “MAMMOGRAM”“แมมโมแกรม” ผมเข้าใจ ว่าคุณๆ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะรู้จักเจ้าเครื่องตรวจมะเร็งเต้านมที่ชื่อว่า แมมโมแกรม นี้ดี และบ้างก็เคย ผ่านการตรวจมะเร็ง ขณะที่บ้างก็ยังไม่เคยที่ไม่เคยก็ใช่ว่าไม่มีโอกาส แต่เป็นเพราะกลัวเสียเป็นส่วน มาก คือ กลัวเจ็บ เพราะคุณๆ ที่เคยตรวจมาก่อนมักจะมาบอกว่า การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยเครื่อง แมมโมแกรมนั้น จะทำให้เจ็บเพราะถูกเครื่องมือมันหนีบเต้าเอา ก็ต้องยอมรับนะครับว่า มันก็คงจะ เจ็บบ้าง เจ็บมากเจ็บน้อยก็แล้วแต่คน หากคุณกลัวมันก็อาจจะเจ็บ แต่ถ้าไม่กลัว มันก็คงจะไม่เจ็บ เหมือนการฉีดยานั่นแหละครั้ง จะบอกว่าฉีดยาแล้วไม่เจ็บ มันก็โกหกกันเกินไป เจ็บนะเจ็บเพราะเข็ม มันแทง แต่จะเจ็บมากหรือเจ็บน้อย นั่นก็แล้วแต่คน แต่สุดท้ายความเจ็บก็จะหายไป และแมมโม แกรมก็จะไม่ทำให้เต้าเสียรูป แม้แต่คุณผู้หญิงที่ไปเสริมเต้ามาแล้วก็ยังสามารถมาตรวจมะเร็งของ เต้านมได้ ด้วยการทำแมมโมแกรม ผมไม่อยากให้คุณผู้หญิงที่อายุเกินกว่า 40 โดยเฉพาะคุณๆ ที่มีประวัติมะเร็งเต้านมในครอบครัวได้ ละเลยการทำแมมโมแกรม ด้วยเพราะความกลัวเจ็บเป็นเหตุ มันไม่เจ็บมากอย่างที่กลัวหรอกครับ มีหลายคุณบอกว่าถูกหยิกยังเจ็บเสียกว่า แต่ก็เอาละจะเจ็บมากเจ็บน้อยความจริงแล้วมันไม่ใช่ข้ออ้าง ที่จะไม่ทำแมมโมแกรมเลย เพราะในทุกวันนี้นั้นการตรวจหามะเร็งของเต้านมโดยอาศัยเครื่อง แมมโมแกรม ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด แม้ว่าจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม อย่างน้อยถ้าคุณ ไปตรวจแมมโมแกรมตามโปรแกรมที่กำหนด กล่าวคือ เมื่ออายุเกิน 40 ขึ้นไป คุณก็ควรจะตรวจ แมมโมแกรมกันปีถึงสองปีต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับความจำเป็นซึ่งแพทย์จะเป็นผู้บอกว่าควรจะตรวจบ่อยแค่ ไหน จงจำไว้ว่า ขึ้นชื่อว่า “มะเร็ง” แล้ว ถ้าตรวจพบตั้งแต่ต้นมือ โอกาสที่จะรักษาให้หายนั้นมีมาก แต่ ถ้าปล่อยไว้จนกระทั่งเป็นมากแล้ว โอกาสรักษาให้หายก็จะมีน้อยเต็มที หรือแทบจะกำหนดวันตาย ได้เลย คุณๆ คงไม่ต้องการเช่นนั้นอย่างแน่นอน แล้วจะทำอย่างไรดีหละ คำตอบก็คือการตรวจหา ให้พบมะเร็งร้ายเสียก่อนที่มันจะเป็นมากนะซีครับ สำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลายก็มีอยู่สองมะเร็งที่สามารถตรวจได้พบตั้งแต่มันแบเบาะ คือ มะเร็งของ ปากมดลูก กับ มะเร็งของเต้านม สองตัวนี่แหละครับ. ขณะอาบน้ำ ระหว่างที่ตัวเปียกและลื่น ใช้ส่วนของนิ้วมือที่ราบ คลำทุกส่วนของเต้านม ใช้มือขวา ตรวจเต้านมซ้าย และใช้มือซ้ายตรวจเต้านมขวา ขณะส่องกระจก ขณะที่นั่งหรือยืนส่องหน้ากระจกให้สังเกตเต้านมทั้งในขณะที่แขนทั้งสอง อยู่ข้างลำตัว และขณะที่ยกแขนทั้งสองขึ้น ให้สังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงของสัณฐานหรือ การบวมหรือมีรอยบุ๋ม หรือการเปลี่ยนแปลงของหัวนมหรือไม่ จากนั้นให้วางมือทั้งสอง ที่เอว กดเอวแน่นๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าอกเกร็งตัว แล้วสังเกตลักษณะของเต้านม ทำนอง เดียวกับข้างต้น ขณะนอนราบ ใช้แผ่นหลังนอนทับหมอนเพื่อให้หน้าอกแอ่นขึ้น ใช้แขวนขวาหนุนศีรษะใน ขณะที่ใช้มือซ้ายตรวจเต้านมของ ให้ใช้มือลูบคลำเป็นวงกลมจากด้านนอกสุด ตั้งแต่จุด 12 นาฬิกา ค่อยๆ เคลื่อนมือตามเข็มนาฬิกาจนครบรอบ แล้วขยับมือเข้ามาประมาณ 1 นิ้ว คลำ เป็นวงกลมจนครบวงในลักษณะเดียวกัน จนกระทั่งเมื่อถึงหัวนม ให้บีบดูว่ามีเลือดออกหรือ ของเหลวซึมออกมาหรือไม่ การตรวจเต้านมซ้ายก็ทำในท่ากลับกัน หากการตรวจข้างต้นพบมีก้อนผิดปกติ หรือมีของเหลวซึมจากหัวนมยังไม่ต้องตกใจ ส่วนใหญ่ที่พบ ไม่ใช่มะเร็ง จะต้องนัดพบแพทย์เพื่อรับการตรวจจากแพทย์ต่อไป มะเร็งเต้านม พบมากเป็นอันดับสองของมะเร็งที่เกิดในผู้หญิงไทย รองจากมะเร็งปากมดลูก การตรวจพบมะเร็ง เต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ก่อนการแพร่กระจายจะนำไปสู่การรักษาที่ทันท่วงที และมีการพยากรณ์ โรคที่ดี การเอ็กซเรย์เต้านม เป็นวิธีการตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มต้นที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก เมื่อไรควรทำการเอ็กซเรย์เต้านม อายุ 30-35 ปี ตรวจเป็นพื้นฐาน (Base line) อายุ 35-49 ปี ตรวจทุก 1-2 ปี อายุ 50 ปีขึ้นไป ตรวจปีละ 1

Read More »

กลัวเป็นมะเร็ง เลี่ยงได้โดยวิธีไหนบ้างครับ

คำถาม ทุกวันนี้คนไทยเราเป็นโรคอะไรมากที่สุดที่เป็นแล้วอาการทรุดเร็วและเสียชีวิตกันมาก ผมชักกลัวว่าตัวเองซึ่งทำงานเครียดอาจจะเป็นมะเร็งได้ เลี่ยงได้โดยวิธีไหนบ้างครับ คำตอบ โดย นายแพทย์วิโรจน์ เหล่าสุนทรศิริ (อายุรแพทย์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง และโลหิตวิทยา) นอกจากโรคติดเชื้อและโรคหัวใจแล้ว โรคมะเร็งพบว่ามีอัตราตายเพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลทั่วไป, โรคติดเชื้อ เช่น โรคเอดส์ มีอัตราการตายที่เกี่ยวข้องกันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลของการเสื่อมของภูมิต้านทานโรคจากโรคเอดส์ได้นำไปสู่โรคติดเชื้ออื่นตลอดจนถึงการเพิ่มความน่าจะเป็นจากโรคมะเร็งต่างๆ โรคมะเร็งและโรคติดเชื้อจึงเป็นโรคที่อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการทรุดลงเร็วและเสียชีวิตได้ ในแง่ของโรคมะเร็งกับความเครียด ปัจจุบันไม่มีการศึกษาที่บ่งชี้ชัดลงไปว่าความเครียดจะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ในแง่ทฤษฎีแล้วโรคมะเร็งในคนพบว่า เกี่ยวข้องกับการที่มีพันธุกรรมของยีนส์ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็ง, ภูมิต้านทานของร่างกาย, สารเคมีหรือมลพิษต่างๆ ที่ได้รับหรือการติดเชื้อไวรัสบางประเภท วิธีการเลี่ยงดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่ข้อแนะนำคือการตรวจสุขภาพตามเกณฑ์อายุ หรืออัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งอย่างถูกต้อง ปัจจุบันการตรวจร่างกาย หรือข้อแนะนำเหล่านี้บางครั้งสามารถทำให้เราค้นพบโรคมะเร็งร้ายเหล่านี้ในระยะต้นหรือแรกเริ่ม ยังผลรักษาให้หายขาดได้อย่างง่ายดาย โรคมะเร็งบางชนิดเราสามารถตรวจพบได้โดยการทำการตรวจตามระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่เพียงการตรวจเพียงครั้งเดียวไม่พบแล้วจะสรุปว่าจะไม่เป็นโรคนี้ การเปลี่ยนการดำเนินชีวิต เช่น งดสูบบุหรี่, ดื่มเหล้า ก็จะมีผลที่ทำให้อัตราเสี่ยงจากโรคมะเร็งลดลงเช่นกัน

Read More »

มารู้จักโรคภูมิแพ้กันเถอะ

โดย (พ.ญ.วิลาวัณย์ เวทไว) อาการต่าง ๆ ของโรคภูมิแพ้ สามารถบรรเทาจนเป็นปกติเพราะยาที่ใช้รักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น บทความใน “9 ทันโรค” ฉบับนี้ จะกล่าวถึงโรคภูมิแพ้ทางระบบหายใจเพราะคนส่วนใหญ่เป็นกันมาก บางคน เรียกโรคน้ว่าโรคแพ้อากาศหรือโรคจมูกอักเสบ จะเรียกยังไงก็แล้วแต่นะคะ แต่อาการต่าง ๆ สามารถบรรเทา ลงจนรู้สึกดีเป็นปกติได้แล้วในยุคนี้ เพราะยาที่ใช้รักษามีประสิทธิภาพดีมากและมีผลข้างเคียงน้อย จึงไม่ต้อง ทนทรมานกับอาการจาม คันจมูก คันตา อยู่ประจำ หลายคนที่มาตรวจบอกว่ามีอาการคัดจมูกจนบ่อยครั้งต้อง อ้าปากหายใจ ทำให้เจ็บคอ ปวดหัว เพลีย สมาธิไม่ดี หงุดหงิดง่าย บางคนปล่อยเรื้อรังจนทำให้มีโรคไซนัส อักเสบแทรกซ้อน มีน้ำมูกและเสมหะเขียวเหลืองยากแก่การรักษาให้หายขาด การกำจัดสารแพ้ช่วยได้จริงหรือ คนส่วนหนึ่งที่มีปัญหาด้านจมูกพบว่า แพ้สารที่เราหายใจเข้าไปนั่นแหละ โดยเฉพาะฝุ่นในบ้านหรือที่ทำงาน ซึ่งประกอบไปด้วยไรฝุ่นจากผ้า ขนสัตว์เลี้ยง ซากแมลง เชื้อรา ควันบุหรี่ เมื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเสียใหม่ อาการก็จะทุเลาลงมาก การทำ Allergy skin test คือ การทดสอบว่าแพ้อะไรโดยสะกิดเบา ๆ ลงบนท้องแขน จะช่วยให้ทราบว่าแพ้อะไรบ้างภายใน 30 นาทีและทำได้แม้ในเด็กทารก ยารักษาภูมิแพ้และวัคซีนรักษาภูมิแพ้ เดี๋ยวนี้ยารักษาภูมิแพ้ ไม่ใช้ยาที่มีผลข้างเคียงแบบในอดีตที่ทำให้อ้วน เพราะมีสเตียรอยด์ในปริมาณมากเพราะ ในสมัยก่อนไม่มีทางเลือกอื่น ยาในปัจจุบันแบบกินและยาพ่นจมูก สามารถใช้ติดต่อกันอย่างปลอดภัยแม้แต่ใน เด็ก ๆ แต่บางคนไม่ชอบวิธีกินยาหรือพ่นจมูกไปตลอดจึงเลือกวิธีฉีดวัคซีน (Allergen Immunotherapy หรือ Allergy shots) ซึ่งคนไข้ในประเทศแถบยุโรปและอเมริกานิยมกันมาก เพราะทำให้อาการทุเลาลงได้ กว่า 80% เป็นการสร้างภูมิต่อต้านสารแพ้ให้มากกว่าเดิม 500 – 1000 เท่า โดยไม่ต้องกินยาประจำ ใช้เวลา ฉีด 2-3 ปี ต่อเนื่องเพื่อให้ภูมิต้านทานคงอยู่ไปกว่า 10 ปี การฉีดยา มักเริ่มในเด็กที่โตหน่อย ประมาณ 8 – 10 ขวบหรือวัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ข้อเสียคือหลาย คนไม่ชอบฉีดยา กลัวเจ็บ บางคนไม่มีเวลามาฉีดสม่ำเสมอ อ่านถึงตรงนี้ คงพอจะได้ไอเดียวิธีเอาชนะโรคภูมิแพ้ไปพอสมควรนะคะ

Read More »

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…? น.พ.เติมศักดิ์ กุศลรักษา คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วันก็หายเองได้ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น โพรงจมูกอักเสบ-หลอดลมอักเสบ หวัดธรรมดาไม่มีสภาพเรื้อรัง ถ้ามีอาการทุกเดือนหรือแต่ละครั้งนานเกินกว่า 10 วัน ให้สงสัยว่าไม่ใช่หวัด โรคภูมิแพ้ เกิดจากร่างกาย เยื่อบุจมูก-ตา , หลอดลม สัมผัสกับสารอินทรีย์ ในสิ่งแวดล้อม เช่น เกสรดอกไม้ , ซากแมลง-ฝุ่น , เชื้อรา , ขนสัตว์ ฯลฯ เกิดปฏิกิริยาจำเพาะ (Specific) ทำให้เยื่อบุบวม มีน้ำมูกไหล จาม หลอดลมอักเสบ เกิดกับผู้ที่แพ้ต่อสิ่งสัมผัสเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนจะแพ้และจะมีอาการเหมือนกันหมด ผู้ที่ไม่แพ้ อาจจะไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้ ผู้ที่สัมผัสกับควันบุหรี่ ควันไอเสียรถยนต์ หรือสารเคมี กลิ่นฉุนๆ แล้วคัดจมูก แสบจมูก แน่นหน้าอก อาการเหล่านี้ไม่ใช่โรคภูมิแพ้ แต่เป็นผลของสารพิษที่มีต่อเยื่อบุทางเดินหายใจโดยตรง ทุกคนที่สัมผัสก็จะมีอาการเหมือนกันหมด ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ การทานยาแก้แพ้ (Antihistamine) หรือพ่นยา (topical steroid) จะลดอาการโรคภูมิแพ้ได้แต่จะไม่สามารถป้องกันอากาศเป็นพิษ หรือกลิ่นไอที่ฉุนๆ ได้ โรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย มักเกิดในช่วงเวลาเฉพาะ เช่น กลางคืน หรือตอนเช้า หรือมีมากในช่วงหนึ่งช่วงใดของปี ที่มีเกสรดอกไม้ ต้นหญ้าในอากาศหนาแน่นมาก โรคหวัดช่วง 1 – 2 วันแรกแยกได้ยากกับอาการโรคภูมิแพ้ฉับพลัน คนส่วนมากเข้าใจว่า ถ้าจามบ่อยๆ มีน้ำมูกใสๆ คัดจมูก ไอ เจ็บคอ เสลดลงคอเรื้อรัง เป็นโรคภูมิแพ้ แต่ที่จริงเป็นอาการของโรคโพรงจมูกอักเสบได้ ถ้ารักษาทางโรคภูมิแพ้ คือ กินยา ฉีดยา เป็นเวลาหลายๆ เดือนแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์หู – คอ – จมูก เพื่อตรวจให้ละเอียดว่ามีโรคไซนัส ริดสีดวงจมูก โครงสร้างจมูกตีบแคบหรือไม่ รวมทั้งต่อม Adenoid หลังจมูกโตมากในเด็กเล็ก อายุ 3 – 6 ปี เหล่านี้ เป็นต้น เพราะวิธีการรักษาจะแตกต่างกัน อย่าปล่อยให้มีอาการเรื้อรังหลายๆปี จะทำให้รักษาให้หายได้ยากยิ่งขึ้น การตรวจมีทั้งการส่องกล้องในจมูก และ X-RAY คนจำนวนไม่น้อย ที่รักษาด้วยยาภูมิแพ้เป็นเวลานาน อาการไม่ดีขึ้น พอเปลี่ยนมารักษาด้วยยาไซนัส ทานยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่อง 2 – 3 สัปดาห์ อาการก็ดีขึ้นมาก และจมูกก็หายบวมได้ หายใจได้คล่องขึ้น ผู้ที่ช่องจมูกแคบ ผนังกั้นจมูกคด หรือช่องเปิดไซนัสตีบแคบ เวลาอากาศเปลี่ยนฉับพลัน อากาศเย็น จะคัดจมูก จาม ปวดศีรษะ อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่โรคภูมิแพ้ มีหลายคนที่พบว่าหลังผ่าตัดแก้ไขช่องจมูกให้กว้างขึ้น เปิดช่องไซนัสให้สะดวก อาการจาม คัดจมูก ปวดศีรษะ ก็จะหายไปได้ เด็กเล็ก อายุ 3 – 6 ขวบ น้ำมูกไหลตลอดปี ใสบ้างข้นบ้าง มีขี้มูกมาก ไอบ่อย นอนอ้าปากหายใจ อาจไม่ใช่โรคภูมิแพ้อย่างเดียว แต่เป็นเพราะต่อม Adenoid โต ขวางช่องหลังจมูก หรือมีโพรงจมูกอักเสบร่วมด้วย บางคนปวดหู หูอื้อ การผ่าตัดเอาต่อม Adenoid ออก จะช่วยให้อาการส่วนใหญ่ดีขึ้นได้ ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ที่ช่องจมูกกว้าง โพรงจมูกมีช่องระบายดี แม้จะมีโรคภูมิแพ้ ก็มักจะมีอาการน้อย และมักไม่ค่อยไปพบแพทย์ ซื้อยาแก้แพ้ทานเองก็เพียงพอ ส่วนผู้ที่มีปัญหาช่องจมูกแคบ โพรงจมูกอักเสบเรื้อรัง ร่วมกับอาการภูมิแพ้ จะมีอาการรุนแรง และทนทุกข์ทรมาน จึงควรที่ต้องรักษาให้ถูกต้อง อย่ามัวแต่รักษาโรคภูมิแพ้แพียงอย่างเดียว ลักษณะอาการ โพรงจมูกอักเสบ โรคหวัด โรคภูมิแพ้ ปวดใบหน้า-จมูก หรือกระบอกตา พบบ่อย บางครั้ง บางครั้ง ระยะเวลาของโรค มากกว่า 10-14 วัน น้อยกว่า 10 วัน เป็นๆหายๆ ไม่แน่นอน น้ำมูก ข้น หรือ เขียว-เหลือง ใส – ไหลมาก เป็นน้ำ เหนียว-ใส หรือสีขาว ไข้ตัวร้อน บางครั้ง บางครั้ง ไม่มี หายใจมีกลิ่นเหม็น พบบางครั้ง ไม่มี ไม่มี อาการไอ พบบางครั้ง พบบ่อย พบบางครั้ง คัดจมูก พบได้มาก พบบ่อย พบบางครั้ง จาม พบน้อย พบบ่อย พบบ่อย

Read More »

ตับอักเสบฉับพลัน และข้อแนะนำสำหรับผู้มีตับอักเสบ

คำแนะนำ การตรวจดูว่ามีอาการตับอักเสบ แทรกซ้อนหรือยัง หรือ มีความเสี่ยงตับอักเสบ กรณีมีอาการผิดปกติ เช่น – มีไข้ – ปัสสาวะเข้มขี้น – ตัว หรือ ตาเหลือง – อ่อนเพลีย – ท้องโตขึ้น – ปวดท้อง แน่นท้อง – ซึมลง – จ้ำเลือดตามตัว : ควรปรึกษาแพทย์ ข้อแนะนำสำหรับผู้มีตับอักเสบ – ข้อแนะนำทั่วไป : แรกสุดต้องแน่ใจว่าตับอักเสบเกิดจากสาเหตุที่หมอแนะนำจริงนะครับ ให้ปรึกษากับหมอที่ดูแลครับ เพราะตับอักเสบอาจจากเรื่องอื่นไม่ได้จากที่หมอบอกมาก็ได้ครับ คือที่หมอบอกมาผลไม่แน่นอนหรือไม่ แพทย์ที่ดูแลจะตอบได้ครับว่าแน่นอนขนาดไหน ไม่ได้สงสัยโรคอื่นร่วมด้วยหรือไม่ 1 ควรตรวจเช็คกับแพทย์ตามที่แนะนำครับ 2 การปฏิบัติตัว ควรหลีกเลี่ยงยา อาหาร หรือสมุนไพร ที่มีผลต่อตับ 3 เลี่ยงการทำงานหนักหักโหม อดนอน ให้นอนพักเยอะ ๆ 4 หลีกเลี่ยงยากดภูมิต้านทาน ยาภูมิแพ้ เช่นยากลุ่ม steroid ถ้าหมอไม่แนะนำ 5 งดดื่มเหล้า ยาดองเหล้า 6 อย่ากินถั่วบด ข้าวโพดแห้ง หรือ พริกป่นที่ทิ้งค้าง ทำค้าง เพราะอาจมีเชื้อราอัลฟาร์ทอกซิน กระตุ้นให้เกิดมะเร็งตับได้ 7 มีอาการผิดปกติ เช่น – มีไข้ – ปัสสาวะเข้มขี้น – ตัว หรือ ตาเหลือง – อ่อนเพลีย – ท้องโตขึ้น – ปวดท้อง แน่นท้อง – ซึมลง – จ้ำเลือดตามตัว : ควรปรึกษาแพทย์ 8 ระวังมีดโกนหนวด ตุ้มหู ระวังแปรงสีฟัน และ แม้การติดต่อทางน้ำลายไม่ใช่การติดต่อหลัก แต่ ก็ควรแยกช้อนกลางทานอาหารไว้ก่อนจะดีกว่าครับ 9 ควรเช็ค และพิจารณาฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ หลังหายอักเสบฉับพลัน 10 อาหารไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ปัจจุบันเลิกความเชื่อการกินน้ำหวานแล้ว ให้ทานตามปกติ และ ตรงข้ามครับ อย่ากินหวานจัดเพราะจะเปลี่ยนเป็นไขมันทำให้ตับอักเสบมากขึ้นได้ครับ – ระวังเพียงอาหารควรสุกสะอาดระวังท้องเสียแทรกซ้อนนะครับ – ข้อแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับคนที่มีตับอักเสบ เพิ่มเติม แยกตามสาเหตุ A. กรณีตับอักเสบจากการกินยาที่มีผลต่อตับ 1. กรณีตับอักเสบจาก แพ้แบบภูมิแพ้ยา ให้งดยานั้นเด็ดขาด : แต่ถ้าเป็นตับอักเสบเพราะอักเสบเพราะรับยาเกินขนาดปกติ สามารถรับยานั้นอีกได้ : ให้ปรึกษาแพทย์ว่าเป็นแบบไหนกันแน่ รับยานี้ได้อีกหรือไม่ หรือห้ามทานยานี้เด็ดขาด : ความแน่นอนในการวินิจฉัยจะดูที่การอักเสบหายภายใน 1 เดือนหรือไม่ มักแน่นอนว่าการอักเสบนั้นเกิดจากยา กรณีค่าการอักเสบลดลงแค่ครึ่งหนึ่งภายใน 1 เดือน ความแน่นอนจะลดลงว่าเกิดจากยาแน่นอนหรือไม่ อาจต้องตรวจสาเหตุตับอื่น ๆ เพิ่มเติมครับ B. กรณีตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ – ควรนำญาติหรือผู้ที่มีตับอักเสบในครอบครัวร่วมด้วยที่อาจเป็นสาเหตุ หรือ อาจติดจากเราไปเช็ค และระวังแพร่ติดไปยังผู้อื่น เช่น นำคู่สมรสหรือแฟน ที่เรายุ่งเกี่ยวด้วยมาเช็ค และ ฉีดวัคซีนป้องกัน – การหายหรือไม่อยู่ที่ภูมิต้านทานเรา และ ไวรัสที่มีมากน้อยเพียงใดครับ และ ทำตามข้อ 1-10 ให้เคร่งครัดนะครับ

Read More »

โรคไขมันในตับ

โรค…ไขมันในตับ ก่อให้เกิดการอักเสบ การอักเสบของตับแบบเช็คร่างกายเจอ แบบไม่มีอาการ และ ไม่รู้ต้องทำอย่างไรดี โดย น.พ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย ผู้เชี่ยวชาญแผนกทางเดินอาหาร และ โรคตับ ร.พ. พระรามเก้า กระแสการรักสุขภาพ และ กลัวว่าจะเจอโรคอะไรที่ไม่รู้ตัว หรือ รู้แล้ว ก็รักษาไม่ทัน นำมาซึ่งการเช็คร่างกาย หรือ แม้แต่บางบริษัทรักพนักงานมาก ก็จะให้เช็คเลือดดูตับกันทุกปีเลยทีเดียว ข้อสงสัยอันดับแรก ๆ ก็คือเมื่อเช็คแล้วตับอักเสบเป็นอะไร อันตรายมั้ย บางคนเรียกว่าตับอักเสบเป็นเพื่อน มีมาอยู่นาน และ ไม่รู้ว่ามีอันตรายไหม หรือ จัดการอย่างไร วันนี้เรามาดูกลุ่มที่เช็คเลือดแล้วบังเอิญเจอว่า ตับอักเสบกันดีกว่าครับ ผมจะตั้งเป็นลักษณะถามตอบ ตามคำถามที่พบบ่อย หรือ โดนถามบ่อยดังนี้นะครับ 1. พบตับอักเสบโดยบังเอิญ เกิดจากอะไร, ผมไปเช็คร่างกายมาพบเอ็นไซม์ขึ้น แพทย์บอกว่ามีตับอักเสบ เกิดจากสาเหตุอะไร ทำอย่างไรดี ? ตอบ การที่มีเอ็นไซม์ตับสูงขึ้น (SGPT, SGOT) กรณีไม่มีสาเหตุอื่น เกือบทุกคนเกิดจากตับอักเสบครับ และอย่างที่ทราบมาก่อนว่าตับอักเสบมักยังไม่มีอาการใด ๆ ให้เรารู้ตัวมาก่อนในระยะแรก เมื่อมีอาการก็มักเป็นมากแล้วครับ ประมาณว่าเมื่อตับอักเสบเสียหายไปแล้ว เกินครึ่งจึงจะเริ่มมีอาการครับ เกิดตับเราเสียไปแล้ว 49 % ก็เลยยังไม่รู้ตัว ต้องให้เช็คเลือดเจอ แล้ว หมอมาบอก ก็ไม่เชื่ออีกว่าไม่เป็นไร รอไปนิด เกิดเสียไปครึ่งแล้ว จึงมีภาวะ การทรุดตัว หรือ พบโรคตับโดยไม่รู้ตัวกันมากครับ – พบว่าตับอักเสบส่วนใหญ่มักเป็นแค่ชั่วคราวไม่ต้องตกใจไปครับ สาเหตุที่ตับอักเสบชั่วคราวได้แก่ เหล้า การกินยาที่มีผลต่อตับ ติดเชื้อเช่นกลุ่มไวรัส ไข้เลือดออก ไข้รากสาด ก็ตับอักเสบได้ครับ กรณีพบตับอักเสบครั้งแรกอย่าเพิ่งตกใจครับ ให้ตรวจติดตามไปอีกครั้งหนึ่ง ถ้ายังอักเสบต่อเนื่องควรหาสาเหตุเพิ่มเติมครับ – ส่วนคนที่หายอักเสบในครั้งที่ 2 ก็อย่าเพิ่งสบายใจ 100 % เพราะมีสาเหตุตับอักเสบบางอย่างที่มีลักษณะหลอกว่าเราหายอักเสบไปพักหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วการอักเสบเป็น ๆ หาย ๆ ได้แก่ 1.1 การอักเสบจากไวรัสซี และไวรัสบีบางอย่าง (กลุ่ม precore mutant และ core promotor) ถ้าเรามีความเสี่ยงต่อการติดต่อไวรัสซี หรือไวรัสบี เช่น เคยใช้ยาเสพติดฉีดเข้าเส้นเลือด เคยรับเลือด เกร็ดเลือด หรือน้ำเหลืองมาก่อน เคยสักยันต์ เคยโดนเข็มไม่สะอาดเตรียมใส่ตุ้มหู หรือ แลกการใช้ตุ้มหูกับคนอื่น ปัญหาเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยง ประวัติครอบครัวเป็นโรคตับไม่ว่าจะมะเร็ง ตับแข็ง หรือ ตับอักเสบ ก็ควรเช็คไวรัสตับอักเสบเพิ่มเติมไปเลยจะดีกว่าครับ (ตรวจเลือดที่เรียกว่า HBsAg, Anti HBc, Anti HCV) 1.2 โดนวางยาพิษ ดื่มเหล้า กินยา สมุนไพร อาหารบางอย่างเช่น แกงขี้เหล็กที่ทำไม่สุก ให้ทบทวนดูนะครับ กรณีกินยา แม้กินมานาน ก็อาจมีตับอักเสบได้ครับ ให้นำยาดังกล่าวปรึกษาแพทย์นะครับ 2. ไปเช็คร่างกายมาพบว่ามีค่าเอ็นไซม์ตับ SGOT และ SGPT สูงกว่าปกติ แพทย์บอกว่ามีการอักเสบ ของตับ แต่ไม่มีไวรัสตับอักเสบทั้งไวรัส บี และ ไวรัสซี เป็นโรคอะไร ต้นเหตุคืออะไร ควรตรวจอะไรเพิ่มเติมครับ ? ตอบ ในปัจจุบันพบว่ามีการตรวจเช็คสุขภาพประจำปี เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย รวมทั้งบางบริษัทเองก็ เป็นห่วงสุขภาพของพนักงานจัดตรวจให้ฟรีเลยก็มี ในการตรวจมักมีการตรวจในส่วนการทำงานของตับ ร่วมด้วย เมื่อพบว่ามีค่า SGOT และ SGPT สูงกว่าปกติ เป็นการบ่งบอกว่าคุณมีตับอักเสบครับ ถ้าแยกโรคหลัก ๆ ในเมืองไทยออกไป ดังนี้ 2.1 แยกภาวะตับอักเสบจากไวรัสบี และ ซีออกก่อนนะครับ กลุ่มนี้จะเป็นมะเร็งตับแทรกซ้อนง่ายกว่าด้วย 2.2 ดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ สารกลุ่มที่มีแอลกอฮอล์ 2.3 กินยาที่ทำให้ตับอักเสบ ยาบำรุงบางอย่างทานแล้วเกิดการแพ้แบบตับอักเสบก็มีครับ 2.4 กินอาหารที่มีพิษต่อตับ เช่น เห็ดบางอย่าง แกงขี้เหล็ก ถูกวางยาพิษ ยาเสน่ห์ ก็พบผู้ป่วยตับอักเสบจากสาเหตุนี้ โดยไม่รู้ตัวก็พบได้เรื่อย ๆ ครับ 2.5 ไวรัสตับอักเสบฉับพลัน หรือ เรื้อรัง เช่นไวรัส เอ บี ซี ดี อี เอช 2.6 นิ่ว หรือ ฝีในตับ 2.7 มีการติดเชื้อที่มีตับอักเสบชั่วคราว หรือ เรื้อรัง ร่วมด้วย เช่น วัณโรค โรคเอดส์ 2.8 พบว่าหลังแยกสาเหตุด้านบนออกไปหมดจากการซักประวัติ และ ตรวจเลือดเพิ่มง่าย ๆ แล้ว ที่เหลือในคนไทยแทบไม่มีโรคอื่นอีกเลย เพราะโรคแปลก ๆ ไม่ค่อยพบในคนไทย ได้แก่ 2.8.1 โรคที่มีเหล็ก ทองแดงในตับ, น้ำย่อยในตับผิดปกติ

Read More »

การเจาะตับไม่เจ็บ มีผลดี

การเจาะตับไม่เจ็บ มีผลดี ผมรักษาโรคตับอับเสบอยู่ที่อื่นอยู่ปีกว่าก็ยังไม่รู้สาเหตุ ซึ่งมีคนแนะนำว่าให้ลองมารักษาที่ ร.พ.พระราม 9 ดู เพราะมีหมอเก่งหลายท่าน ผมก็เลยลองมาหาดู ซึ่งครั้งแรกที่ได้พบกับคุณหมอระพีพันธ์นั้นก็เกิดการประทับใจแล้ว เพราะคุณหมอจะอธิบายการทำงานของตับ และการเกิดภาวะตับอับเสบเกิดจากสาเหตุใดบ้าง จนผมเองมีความรู้สึกว่าเป็นนักเรียนไปเลยและเข้าใจการทำงานของระบบตับเลย จึงเริ่มทำการรักษาโดยวิธีรับประทานยา ตรวจเลือดดูผล และประเมินสาเหตุ ซึ่งผลนั้นไม่แน่นอน โดยรักษาอยู่เกือบปี ผลการตรวจก็ไม่ดีขึ้น มีแต่คงที่ ขึ้น ลงตามน้ำหนัก และคุณหมอก็แนะนำว่าจะเจาะตับตรวจหรือไม่ เพราะการรักษาจะได้รักษาถูกทาง ซึ่งขั้นตอนการเจาะตับนั้นทีแรกนึกว่าจะต้องผ่าตัด และนอน ร.พ.หลายวัน และกลัวว่าจะมีผลต่อร่างกาย แต่ได้รับการอธิบายจากคุณหมอว่าไม่น่ากล้ว นอนอยู่ รพ.แค่ 1 วันเท่านั้นและการเจาะก็ใช้เวลาแค่ 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งผมก็ตอบตกลง และก็เข้าทำการรักษาตามที่คุณหมอแนะนำ ซึ่งเป็นไปตามคุณหมออธิบายโดยไม่มีอาการของการเจ็บเลย เพราะการเจาะนั้น ใช้แค่เข็มลักษณะคล้ายกับเข็มฉีดยาซึ่งมีความยาวเท่านั้นและวางยาชาเฉพาะที่ จึงทำให้ไม่รู้สึกเลย (ซึ่งรายละเอียดนั้น อยากให้สอบถามคุณหมอดู เพราะคุณหมอจะอธิบายได้ละเอียดกว่า) และแผลนั้นไม่เห็นรอยเลย เหมือนเราฉีดยานี่เอง – และผลที่ได้จากการเจาะตับหาสาเหตุนั้น สรุปว่าเกิดจาก ไขมัน จึงทำการรักษาไปทางสาเหตุนี้ ซึ่งปัญจุบันนี้ผมมีอาการตับดีขึ้นกว่าแต่ก่อนจนอยู่ในขั้นที่ควบคุมได้ นี่คือผลดีของการเจาะตับ เพราะรักษาได้ถูกทาง และตัวผมก็ระมัดระวังในการทานอาหารมากขึ้น ขอขอบคุณคุณหมอครับ จากคุณ พงค์ – ขอขอบคุณ คุณพงค์สำหรับบทความนี้ครับ

Read More »

แนะนำการรักษามะเร็งตับ

แนะนำการรักษามะเร็งตับ นายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ ร.พ. พระรามเก้า ในบทความนี้จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาครับ ไม่ได้เล่าเกี่ยวกับการป้องกัน การค้นหา และ การวินิจฉัย ไว้มีเวลาจะเล่าให้ฟังทีหลังครับ เผอิญเขียนในรูปสอนนิสิตแพทย์ ยังไม่ได้แปลงให้ ประชาชนเข้าใจเลยครับต้องรอให้มีเวลาก่อน พบว่าเมื่อเป็นมะเร็งตับ มักหวังให้หายขาดยากเพราะ มักมาสายเกินไป แต่เนื่องจากการค้นหาหรือเช็คร่างกายโรคตับ และมะเร็งตับมีมากขึ้นทำให้เราพบ มะเร็งตับระยะเร็วขึ้น รักษาหายและง่ายมากขึ้นครับ อาจหายได้ ปัจจุบันจะใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกันและ พิจารณาเปลี่ยนตับ (เมืองไทยยังทำไม่นัก แต่ดีขึ้นเรื่อย ๆ) เมื่อมีข้อบ่งชี้ครับ ก่อนรักษาอย่าลืมนะครับว่า ถ้าเป็นมะเร็งส่วนอื่น ที่ไม่ใช่ตับโดยตรง การรักษามะเร็งตับอาจไม่ได้ผล หรือ ผิดวิธีครับ รวมทั้งการทำนายโรคจะไม่เหมือนกับมะเร็งตับครับ ยิ่งคนบางคน เป็นแค่ฝี หรือ เป็น เนื้องอกไม่ร้ายแรง เช่น เป็นแค่ไขมัน เนื้องอกเส้นเลือด (Hemangioma) หรือ เนื้องอก adenoma ยิ่ง แล้วใหญ่ไม่ต้องรักษาเลยครับ รออ่านเพิ่มในด้านการวินิจฉัย เมื่อผมมีเวลาเขียนนะครับ วิธีการรักษามีดังนี้ครับ 1. การผ่าตัดส่วนที่เป็นเนื้องอกออก (PARTIAL HEPATECTOMY) เราจะพิจารณาทำในผู้ป่วยที่ยังมีการทำงานของตับดีพอ สามารถตัดตับออกบางส่วนได้สบาย หรือ ยังไม่มีตับแข็งมากนัก มีทำงานของตับดีพอ วิธีการประเมินโดยดูว่ามีการทำงานตับโดยดู 1. ขนาดเนื้องอก 2. โปรตีนไข่ขาวที่เรียกว่า Albumin 3. ค่าสีเหลืองที่นิยมเรียกกันว่าดีซ่าน 4. น้ำในท้อง 5. ความสับสน หรือสั่น ทุกข้อที่กล่าวมาถ้าดีหมด จะมีความมั่นใจในการตัดออกทั้งหมด อย่างมั่นใจมาก ครับ พบว่าถ้าไม่มีตับแข็งเลย จะมีการเสียชีวิตขณะผ่าตัดน้อยมาก คือ น้อยกว่า 5 %, ขณะที่มีตับแข็งแล้ว จะมีโอกาสเสียชีวิตหลังผ่าตัด 10 % ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยอื่น ด้วย รวมทั้งดังที่กล่าวในข้อ 1 การดูการทำ งานโดยการฉีด indocyanine green (ICG) clearance ซึ่งเมืองไทยไม่นิยมทำกัน และควรไม่มีร่อง รอยของความดันเลือดดำในท้องสูง (portal hypertension) ขนาดเนื้องอก <,= 5 cm แต่ระวังอาจดูพลาดจากการทำคอมพิวเตอร์ (computed tomography) หรือ ตรวจคลื่นแม่เหล็ก (magnetic resonance imaging) อาจประมาณว่าเล็กเกินไป หรือ ใหญ่เกินไปได้ บางโรงพยาบาลอาจตรวจเสริมโดยใช้ การส่องกล้องตรวจโดยใช้กล้อง หรือ การใช้อัลตร้าซาวน์ตรวจ ในห้องผ่าตัด เพื่อช่วยในการเลือกการผ่าตัดดีขึ้น กรณีทำแล้วอาจพบก้อนอื่น เล็ก ๆ จนผ่าไม่ได้หมด ต้องวางแผนรักษาใหม่ หรือ ก้อนที่พบในห้องผ่าตัดอาจมากไปจนตัดไม่ได้ (เช่นอาจต้องใช้คลื่นวิทยุ หรือ ฉีดแอลกอฮอร์ในห้องผ่าตัดแทน) มีการศึกษาหนึ่งพบว่าอาจไม่ทำการผ่าตัดเมื่อตรวจวิธีนี้ เพราะ พบก้อนมากกว่าที่พบเมื่อตรวจก่อนผ่าตัดถึง 16 % ก้อนที่พบ น่าทำการผ่าตัด มักเป็นก้อน ก้อนเดียว และไม่มีภาพเอ๊กซเรย์วิธีต่าง ๆ พบว่าไม่มี การกิน เข้าไป (invasion) ต่อเส้นเลือดในตับ (hepatic vasculature) แต่มักมาช้ากว่าจะตัดได้เป็นส่วนใหญ่ ในการศึกษาหนึ่ง 370 คน พบผ่าได้เพียง 30 % พบว่ามีการเกิดมะเร็งซ้ำที่ 5 ปี เฉลี่ยประมาณ 30 % มีรายงานว่าอาจถึง 50 – 90 % ถ้าเลือกผู้ป่วยได้ดี การรอดอยู่นานโดยดูที่ 5 ปีว่ารอดได้กี่เปอร์เซ๊นต์ พบว่ามีการอยู่รอดตามขนาดของมะเร็ง คือ ถ้าก้อน น้อยกว่า 5 cm รอดถึง 62.7 %ต่อ 5 ปี, 46.3 %ต่อ 9 ปี, ถ้ามากกว่า 5 cm รอดได้ 37%ต่อ 5 ปี กรณีที่มีตับแข็งแล้ว หรือ ตับยังมีการอักเสบจากไวรัส (chronic viral hepatitis) ยังมีความเสี่ยงในการ เกิดมะเร็งซ้ำได้ ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดตลอดไป หรือ พิจารณารักษาต่อ การมีตับอักเสบก่อนการผ่าตัด โดยมีค่าการอักเสบ (preoperative aminotransferase) มากกว่า 100 IU/L (คือมีการอักเสบของตับอยู่ (underlying active hepatitis)) เป็นข้อบ่งชี้การอยู่รอดว่าไม่ดี (independent adverse prognostic factor), บาง การศึกษาพบว่ามีค่าเหลืองดีซ่าน bilirubin มากกว่า เท่ากับ 1 mg/dL (17.1 micro.mol/liter) ก็เป็นข้อบ่งชี้ว่าอยู่รอดไม่ได้ดี ( independent predictor)

Read More »
Page1 … Page20

จิตเวช: ยาบ้า ยาอี ยาม้า เหมือนกันหรือต่างกันตรงไหนคะ

ตเวช: ยาบ้า ยาอี ยาม้า เหมือนกันหรือต่างกันตรงไหนคะ คำถาม ยาบ้า ยาอี ยาม้า เหมือนกันหรือต่างกันตรงไหนคะ ยาพวกนี้มามีส่วนทำอะไรในร่างกายหรือจิตใจเราคะจึงทำให้เราติดมัน คำตอบ โดย นายแพทย์ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง ยาบ้า หรือ ยาม้า เป็นชื่อสารเสพติดชนิดเดียวกัน คือ สารแอมเฟตามีน (Amphetamine) จัดเป็นสารกระตุ้นประสาท โดยออกฤทธิ์กระตุ้นสมองชั้นในหรือสมองส่วนอยาก (Limbic system) ซึ่งประกอบด้วยศูนย์พึงพอใจ ศูนย์ควบคุมอารมณ์ & พฤติกรรม ศูนย์ความอิ่ม ทำให้ผู้เสพมีความสุข สนุกสนาน ขยันขันแข็ง มีกำลังวังชา ไม่อยากอาหารแบบอิ่มทิพย์ นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ถ้าเสพมากหรือติดต่อกันจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย มีอาการทางจิต หวาดระแวง หูแว่ว ประสาทหลอน และอาจมีอารมณ์ซึมเศร้าฆ่าตัวตายได้ เดิมยาบ้าตั้งแต่สังเคราะห์ โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน เมื่อ คศ.1887 เป็นต้นมา ได้ถูกผลิตเป็นยาดม ยาเม็ดกิน จนมีการใช้ฉีดเข้าเส้น และล่าสุดทำเป็นก้อนผลึก จุดไฟอบสูบควัน ยาบ้าเคยใช้เป็นยารักษาโรคดอ้วน โรคหลับผิดปกติ และโรคซนในเด็ก แต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว ส่วนยาอี มาจากคำว่า Ecstasy ซึ่งแปลว่าสนุกสนานเบิกบานใจอย่างยิ่ง เป็นน้องของยาบ้าอีกที เพราะสังเคราะห์หลังยาบ้า 1 ปี โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น มีสูตรโครงสร้างใกล้เคียงกัน คือ เมทแอมเฟตามีน (Mathamphetamine) แต่มีฤทธิ์ร้ายแรงกว่า คือ นอกจากมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทแล้วยังมีฤทธิ์หลอนประสาทด้วย (psychedelic) กล่าวคือ ทำให้กล้ามเนื้ออยู่ไม่สุก ต้องเคลื่อนไหว เต้นรำ รู้สึกรักใคร่กลมเกลียวเหมือนพี่เหมือนน้อง รู้สึกอบอุ่นในอย่างประหลาด ต้องการเปิดเผยความในใจ มีส่วนรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น เป็นยาแห่งความรัก และการรับรู้ทางอายตนะสัมผัสพิศดาร จึงมักใช้ในงานปาร์ตี้ต่างๆ ทั้งยาบ้าและยาอีจะไปจับกับตัวรับ (receptors) ของสมองชั้นในหรือสมองส่วนนอก จนในที่สุดจะครอบงำสมองชั้นนอกหรือสมองส่วนเหตุผล (cerebral cortex) ทำให้ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ เข้าสู่กระบวนการเสพติดยา กล่าวคือ ตัวกระตุ้น –> ความคิด –> ความอยากยา –> การเสพยา ส่วนกระบวนการเสพติดยานั้นอธิบายด้วยทฤษฎีการเรียนรู้ กล่าวคือ ยา —–> อาการทางร่างกาย&จิตใจ (อยากยา) ยา + สิ่งที่เกี่ยวข้องกับยา (ตัวกระตุ้น) —> อยากยา ตัวกระตุ้น —> อยากยา และ เมื่อเสพติดยาแล้ว พอหยุดเสพจะเกิดอาการอยากยา ทนทุกข์ทรมานคล้ายลงแดง จึงหายามาเสพอีก วนเวียนไม่รู้จบ

Read More »

มารู้จักกับมะเร็งลำไส้ใหญ่กันเถอะ

(น.พ.วิโรจน์ เหล่าสุนทรสิริ) มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งที่พบมากในซีกโลกตะวันตกในคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป สำหรับในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชียพบไม่บ่อย แต่มีแนวโน้มว่าจะพบเพิ่มมากขี้นเนื่องจากชีวิตความเป็นอยู่และอาหารการกินได้เปลี่ยนแปลงไป (เรากินอาหารตะวันตกซึ่งมีไขมันสูงและใยอาหารต่ำมากขึ้นครับ) และการแพทย์ที่เจริญก้าวหน้าขึ้นทำให้เราตรวจวินิจฉัยได้เพิ่มมากขึ้น การศึกษาเมื่อปี ค.ศ.1986-1987 พบว่าอัตราการตายจากมะเร็งในลำไส้ใหญ่ในคนไทยเท่ากับ 1.6 และ 1.0 ต่อประชากร 100,000 คน ในเพศชายและหญิงตามลำดับ ในประเทศสหรัฐอเมริกามีอัตราการตายจากโรคนี้สูงกว่าคนไทยประมาณ 10 เท่า สาเหตุของโรคนี้คืออะไร ? จริงๆ แล้วเราไม่รู้แน่นอนหรอกครับถึงสาเหตุทุกอย่าง แต่ก็มีหลักฐานบ่งบอกว่าปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมอาจมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ตัวอย่างเช่น ชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นเองมีอุบัติการของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ต่ำ แต่เมื่อพยพไปอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา จะพบว่ามีอุบัติการของมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงขึ้นมาก อันนี้น่าสนใจมากในทางการแพทย์จึงได้ศึกษาทางระบาดวิทยาแล้วพบว่า ในประเทศที่ประชากรบริโภคอาหารไขมันเป็นปริมาณสูงจะมีอุบัติการของมะเร็งลำไส้ใหญ่สูง มีทฤษฎีอธิบายว่า การบริโภคอาหารไขมันสูงจะทำให้มีสารก่อมะเร็งในลำไส้ใหญ่เพิ่มขึ้น (primary carcinogen) หรือเกิดสารที่ส่งเสริมการเกิดเนื้องอก (tumor promoter) นอกจากนี้ยังพบว่าประชากรที่บริโภคอาหารที่มีเส้นใย (fiber) น้อย เช่น อาหารตะวันตกจะมีอุบัติการของมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงกว่าประชากรที่กินอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น อาหารจีน และอาหารไทย เชื่อกันว่าเส้นใยปริมาณมากนี้เองจะไปเจือจางสารก่อมะเร็ง และ/หรือรวมตัวกับสารก่อมะเร็งทำให้มันไม่มีโอกาสสัมผัสกับผิวลำไส้ใหญ่ อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ กรรมพันธุ์ มีผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ถึง 25% ทีเดียวที่มีประวัติมะเร็งในครอบครัว เราพบโรคบางชนิดที่มีโอกาสเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ เช่น โรค familial polyposis coli พวกนี้จะพบติ่งเนื้อ (polyp) เป็นจำนวนมากในลำไส้ใหญ่ บางคนมีมากเป็นพันๆเลย และ ployp เหล่านี้จะกลายเป็นมะเร็งได้ นอกจากนี้เรายังพบโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ที่ไม่มี ployp อยู่ก่อน และถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ด้วย แต่โรคนี้พบน้อยในเมืองไทย การมีติ่งเนื้อหรือ ployp ในลำไส้ใหญ่ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะถ้ามีขนาดใหญ่กว่า 2 เซ็นติเมตร จะมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งสูงถึง 30-50% ทีเดียว โรคนี้จะมีอาการเป็นอย่างไร ? ถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านคงอยากจะรู้ว่าโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่จะมีอาการอะไร ที่พบบ่อยที่สุดคือการถ่ายอุจจาระผิดปกติไป เช่น มีท้องผูกสลับกับท้องเสีย ท้องผูกอย่างเดียวหรือก้อนอุจจาระมีขนาดเล็กลง ภาษาชาวบ้านเรียก “ขี้แพะ” ครับ บางรายอาจมีเลือดออกทางทวารหนักซึ่งอาจมีจำนวนมากจนน่าตกใจ หรืออาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเนื่องจากมีปริมาณน้อย ต้องตรวจอุจจาระด้วยวิธีพิเศษ ผู้ป่วยบางรายมีการเสียเลือดเรื้อรังเป็นเวลานานๆ ก็มีโลหิตจาง อ่อนเพลีย ใจสั่น เหนื่อยง่าย ในบางรายอาจมีอาการปวดท้อง , ตรวจพบก้อนในท้อง และมีลำไส้อุดตันได้ มีบางส่วนที่มาพบแพทย์ค่อนข้างจะช้า คือ มาในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายไปแล้ว เช่น ที่ตับ, ปอด หรือสมอง อันนี้ก็แย่หน่อยเพราะหมดโอกาสที่จะรักษาให้หาย การพยากรณ์โรค เช่นเดียวกับมะเร็งชนิดอื่นๆ มะเร็งในลำไส้ใหญ่ในระยะแรกๆ ก็มีผลการรักษาดี เราแบ่งระยะของมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็น A,B,C และ D อัตราการอยู่รอด 5 ปี หลังการรักษามีดังนี้ A 90% , B 70-80% , C 50% และ D น้อยกว่า 30% การรักษาก็แล้วแต่ระยะอีกละครับว่าจะใช้วิธีไหน ประกอบด้วยการผ่าตัด , การให้ยาเคมีบำบัด , รังสีรักษาซึ่งอาจจะใช้หลายวิธีร่วมกัน ใครบ้างที่ควรตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ อย่าเพิ่งตกใจนะครับ ตลอดชีวิตของแต่ละคนมีโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่เพียง 5% เอง แต่ถ้ามีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคนี้โอกาสก็มีมากขึ้นเป็น 15% ทีเดียว ดังนี้เราควรจะสืบค้นหา (screen) มะเร็งลำไส้ใหญ่ในบุคคลเหล่านี้ 1. อายุเกิน 50 ปี และไม่มีอาการอะไร 2. มีบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือ polyp ในลำไส้ใหญ่ 3. มีโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ชนิดถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ 4. มีประวัติส่วนตัวเป็น polyp ในลำไส้ใหญ่ , มะเร็งเต้านม , มะเร็งมดลูก , มะเร็ง รังไข่ 5. มีอาการต่างๆ ที่ชวนสงสัยดังได้กล่าวมาแล้ว จะตรวจด้วยวิธีไหนดี ? วัตถุประสงค์ในการตรวจนี้ก็เพื่อจะสืบค้นหามะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะแรกๆ (ก็ผลการรักษาดีกว่ากันเยอะนี่นา) วิธีการตรวจก็มีหลายวิธียากง่ายแตกต่างกันไป ได้แก่ 1. การตรวจสารฮีม (Heme) ในอุจจาระ สารฮีมเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือด การตรวจวิธีนี้ง่าย , ราคาถูก เหมาะกับประเทศที่มีอุบัติการโรคนี้สูง (เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย) ข้อเสีย คือ มีผลบวกเท็จ และผลลบลวงได้บ่อยๆ 2. การตรวจลำไส้ใหญ่ส่วน ซิกมอยด์ (Flexible sigmoidoscopy) ตรวจพบมะเร็งได้แค่ 50% 3. x-ray สวนแป้ง (Barium Enema) ถ้าทำได้ดีก็มีผลเกือบเท่าการตรวจลำไส้ใหญ่ทั้งหมดด้วยการส่องกล้อง ข้อด้อยคือ ถ้าพบความผิดปกติก็ต้องมาทำการตรวจลำไส้ใหญ่ด้วยวิธีส่องกล้องอีกทำให้เสียเวลา 4. การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) สามารถตรวจดูลำไส้ใหญ่ได้ทั้งหมด ถ้าพบความผิดปกติก็สามารถตัดชิ้นเนื้อมาตรวจทางพยาธิวิทยาได้เลยเป็นการประหยัดขั้นตอนและเวลา

Read More »

แมมโมแกรมกับมะเร็งเต้านม

ตามสถิติบอกว่า มะเร็งของเต้านมผู้หญิงนั้นพบได้เป็นอันดับสองรองจากมะเร็งของปากมดลูก แต่นั่นมัน จำกัดอยู่ที่อายุไม่เกิน 40 เมื่ออายุผ่านเลขสี่ และย่างเข้าสู่ประตูวัยทอง แชมเปี้ยนของมะเร็งจะตกมา เป็นของเต้านมในทันที ด้วยเหตุนี้เอง การตรวจเต้านมเพื่อหาทางให้พบมะเร็งเต้านมเสียตั้งแต่เริ่ม แรก ก่อนที่มันจะลุกลามเป็นมากจนหมดหนทางแก้ไข จึงดูเหมือนจะมีความจำเป็นต่อคุณผู้หญิงที่มี อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป จะทำได้อย่างไร ก็มีอยู่สองวิธีใหญ่ ๆ คือ หนึ่งตรวจดูการใช้มือคลำ ซึ่งแบ่งได้เป็นสองทาง ทางที่หนึ่ง คือ ใช้มือของคุณเอง ตามตำราบอกว่าคุณใช้มือของคุณเองตรวจคลำหาก้อน หรือความผิด ปกติอย่างอื่นของเต้านมคุณ เพียงแค่เดือนละหนึ่งครั้งก็เพียงพอแล้ว ความจริงแล้ว การใช้มือคลำแต่ เพียงอย่างเดียวก็ดูจะไม่ดีเท่าใช้ตาดูด้วย ซึ่งฟังดูแล้วมันช่างตรงข้ามกับคำพังเพยที่ว่า “สิบตาเห็น ยังไม่เท่ามือคลำ” แต่ในกรณีของมะเร็งเต้านมนั้น คุณควรจะใช้ทั้งตาดู และมือคลำด้วยก็จะทำให้ ละเอียดมากยิ่งขึ้น ทางภาคปฏิบัติ ก็คงไม่มีอะไรยุ่งยาก เพียงแค่คุณนั่งอยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้ ทั่วทรวงอกของคุณ เมื่อได้สถานที่ที่เหมาะสม โดยมีคุณนั่งถอดเสื้ออย่างหมดจด ไม่ต้องอายใครหรือ แม้แต่อายตนเอง จากนั้นคุณก็ลองยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ กางแขนออกไปข้างๆ ทั้งนี้เพื่อดูว่าเต้านม ทั้งสองข้างมีการเคลื่อนไหวอย่างมีสมดุลย์กันหรือไม่ หรือว่ามีอะไรมาดึงรั้งกันบ้างหรือเปล่า เมื่อดู เรียบร้อยแล้ว ตรงนี้ก็มาถึงการใช้มือคลำหาก้อนเนื้องอก คุณก็ต้องคลำให้ทั่วเต้าทั้งสองข้างรวมไปถึง บริเวณจั๊กแร้ ซึ่งเป็นที่สิ้นสุดของเต้านม คือส่วนที่เรียกว่าหางของเต้านม เมื่อคุณดูและคลำแล้วไม่พบ อะไรผิดปกติไปจากที่เคยเป็นอยู่ คุณก็ปฏิบัติเช่นที่ว่านี้ทุกๆ เดือน เดือนละครั้งก็พอ ถ้าหากพบอะไร ผิดปกติจะด้วยว่าพบก้อน หรือคลำแล้วเจ็บ หรือดูแล้วเต้านมมันผิดเพี้ยนผิดรูปผิดร่างไปจากเดิม คราวนี้แหละคุณควรไปพบแพทย์ได้เลย เพื่อให้คุณหมอได้ตรวจดูซิว่าสิ่งที่คุณพบนั้นมันผิดปกติอย่าง ไรหรือไม่ และต้องทำอย่างไรกันต่อไป นั่นเป็นอีกทางหนึ่งในเรื่องของการดูและคลำ ทีนี้ถ้าหากตรวจ แล้วไม่พบอะไรผิดปกติ ก็ใช่ว่าคุณจะปลอดภัยจากมะเร็งของเต้านมร้อยเปอร์เซ็นต์ มันจึงต้องมีวิธีการตรวจสอบอีกวิธีหนึ่งตามมา คือ วิธีการตรวจโดยการใช้ เครื่องมือทางการแพทย์ ที่มีชื่อว่า “MAMMOGRAM”“แมมโมแกรม” ผมเข้าใจ ว่าคุณๆ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะรู้จักเจ้าเครื่องตรวจมะเร็งเต้านมที่ชื่อว่า แมมโมแกรม นี้ดี และบ้างก็เคย ผ่านการตรวจมะเร็ง ขณะที่บ้างก็ยังไม่เคยที่ไม่เคยก็ใช่ว่าไม่มีโอกาส แต่เป็นเพราะกลัวเสียเป็นส่วน มาก คือ กลัวเจ็บ เพราะคุณๆ ที่เคยตรวจมาก่อนมักจะมาบอกว่า การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยเครื่อง แมมโมแกรมนั้น จะทำให้เจ็บเพราะถูกเครื่องมือมันหนีบเต้าเอา ก็ต้องยอมรับนะครับว่า มันก็คงจะ เจ็บบ้าง เจ็บมากเจ็บน้อยก็แล้วแต่คน หากคุณกลัวมันก็อาจจะเจ็บ แต่ถ้าไม่กลัว มันก็คงจะไม่เจ็บ เหมือนการฉีดยานั่นแหละครั้ง จะบอกว่าฉีดยาแล้วไม่เจ็บ มันก็โกหกกันเกินไป เจ็บนะเจ็บเพราะเข็ม มันแทง แต่จะเจ็บมากหรือเจ็บน้อย นั่นก็แล้วแต่คน แต่สุดท้ายความเจ็บก็จะหายไป และแมมโม แกรมก็จะไม่ทำให้เต้าเสียรูป แม้แต่คุณผู้หญิงที่ไปเสริมเต้ามาแล้วก็ยังสามารถมาตรวจมะเร็งของ เต้านมได้ ด้วยการทำแมมโมแกรม ผมไม่อยากให้คุณผู้หญิงที่อายุเกินกว่า 40 โดยเฉพาะคุณๆ ที่มีประวัติมะเร็งเต้านมในครอบครัวได้ ละเลยการทำแมมโมแกรม ด้วยเพราะความกลัวเจ็บเป็นเหตุ มันไม่เจ็บมากอย่างที่กลัวหรอกครับ มีหลายคุณบอกว่าถูกหยิกยังเจ็บเสียกว่า แต่ก็เอาละจะเจ็บมากเจ็บน้อยความจริงแล้วมันไม่ใช่ข้ออ้าง ที่จะไม่ทำแมมโมแกรมเลย เพราะในทุกวันนี้นั้นการตรวจหามะเร็งของเต้านมโดยอาศัยเครื่อง แมมโมแกรม ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด แม้ว่าจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม อย่างน้อยถ้าคุณ ไปตรวจแมมโมแกรมตามโปรแกรมที่กำหนด กล่าวคือ เมื่ออายุเกิน 40 ขึ้นไป คุณก็ควรจะตรวจ แมมโมแกรมกันปีถึงสองปีต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับความจำเป็นซึ่งแพทย์จะเป็นผู้บอกว่าควรจะตรวจบ่อยแค่ ไหน จงจำไว้ว่า ขึ้นชื่อว่า “มะเร็ง” แล้ว ถ้าตรวจพบตั้งแต่ต้นมือ โอกาสที่จะรักษาให้หายนั้นมีมาก แต่ ถ้าปล่อยไว้จนกระทั่งเป็นมากแล้ว โอกาสรักษาให้หายก็จะมีน้อยเต็มที หรือแทบจะกำหนดวันตาย ได้เลย คุณๆ คงไม่ต้องการเช่นนั้นอย่างแน่นอน แล้วจะทำอย่างไรดีหละ คำตอบก็คือการตรวจหา ให้พบมะเร็งร้ายเสียก่อนที่มันจะเป็นมากนะซีครับ สำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลายก็มีอยู่สองมะเร็งที่สามารถตรวจได้พบตั้งแต่มันแบเบาะ คือ มะเร็งของ ปากมดลูก กับ มะเร็งของเต้านม สองตัวนี่แหละครับ. ขณะอาบน้ำ ระหว่างที่ตัวเปียกและลื่น ใช้ส่วนของนิ้วมือที่ราบ คลำทุกส่วนของเต้านม ใช้มือขวา ตรวจเต้านมซ้าย และใช้มือซ้ายตรวจเต้านมขวา ขณะส่องกระจก ขณะที่นั่งหรือยืนส่องหน้ากระจกให้สังเกตเต้านมทั้งในขณะที่แขนทั้งสอง อยู่ข้างลำตัว และขณะที่ยกแขนทั้งสองขึ้น ให้สังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงของสัณฐานหรือ การบวมหรือมีรอยบุ๋ม หรือการเปลี่ยนแปลงของหัวนมหรือไม่ จากนั้นให้วางมือทั้งสอง ที่เอว กดเอวแน่นๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าอกเกร็งตัว แล้วสังเกตลักษณะของเต้านม ทำนอง เดียวกับข้างต้น ขณะนอนราบ ใช้แผ่นหลังนอนทับหมอนเพื่อให้หน้าอกแอ่นขึ้น ใช้แขวนขวาหนุนศีรษะใน ขณะที่ใช้มือซ้ายตรวจเต้านมของ ให้ใช้มือลูบคลำเป็นวงกลมจากด้านนอกสุด ตั้งแต่จุด 12 นาฬิกา ค่อยๆ เคลื่อนมือตามเข็มนาฬิกาจนครบรอบ แล้วขยับมือเข้ามาประมาณ 1 นิ้ว คลำ เป็นวงกลมจนครบวงในลักษณะเดียวกัน จนกระทั่งเมื่อถึงหัวนม ให้บีบดูว่ามีเลือดออกหรือ ของเหลวซึมออกมาหรือไม่ การตรวจเต้านมซ้ายก็ทำในท่ากลับกัน หากการตรวจข้างต้นพบมีก้อนผิดปกติ หรือมีของเหลวซึมจากหัวนมยังไม่ต้องตกใจ ส่วนใหญ่ที่พบ ไม่ใช่มะเร็ง จะต้องนัดพบแพทย์เพื่อรับการตรวจจากแพทย์ต่อไป มะเร็งเต้านม พบมากเป็นอันดับสองของมะเร็งที่เกิดในผู้หญิงไทย รองจากมะเร็งปากมดลูก การตรวจพบมะเร็ง เต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ก่อนการแพร่กระจายจะนำไปสู่การรักษาที่ทันท่วงที และมีการพยากรณ์ โรคที่ดี การเอ็กซเรย์เต้านม เป็นวิธีการตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มต้นที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก เมื่อไรควรทำการเอ็กซเรย์เต้านม อายุ 30-35 ปี ตรวจเป็นพื้นฐาน (Base line) อายุ 35-49 ปี ตรวจทุก 1-2 ปี อายุ 50 ปีขึ้นไป ตรวจปีละ 1

Read More »

กลัวเป็นมะเร็ง เลี่ยงได้โดยวิธีไหนบ้างครับ

คำถาม ทุกวันนี้คนไทยเราเป็นโรคอะไรมากที่สุดที่เป็นแล้วอาการทรุดเร็วและเสียชีวิตกันมาก ผมชักกลัวว่าตัวเองซึ่งทำงานเครียดอาจจะเป็นมะเร็งได้ เลี่ยงได้โดยวิธีไหนบ้างครับ คำตอบ โดย นายแพทย์วิโรจน์ เหล่าสุนทรศิริ (อายุรแพทย์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง และโลหิตวิทยา) นอกจากโรคติดเชื้อและโรคหัวใจแล้ว โรคมะเร็งพบว่ามีอัตราตายเพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลทั่วไป, โรคติดเชื้อ เช่น โรคเอดส์ มีอัตราการตายที่เกี่ยวข้องกันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลของการเสื่อมของภูมิต้านทานโรคจากโรคเอดส์ได้นำไปสู่โรคติดเชื้ออื่นตลอดจนถึงการเพิ่มความน่าจะเป็นจากโรคมะเร็งต่างๆ โรคมะเร็งและโรคติดเชื้อจึงเป็นโรคที่อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการทรุดลงเร็วและเสียชีวิตได้ ในแง่ของโรคมะเร็งกับความเครียด ปัจจุบันไม่มีการศึกษาที่บ่งชี้ชัดลงไปว่าความเครียดจะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ในแง่ทฤษฎีแล้วโรคมะเร็งในคนพบว่า เกี่ยวข้องกับการที่มีพันธุกรรมของยีนส์ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็ง, ภูมิต้านทานของร่างกาย, สารเคมีหรือมลพิษต่างๆ ที่ได้รับหรือการติดเชื้อไวรัสบางประเภท วิธีการเลี่ยงดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่ข้อแนะนำคือการตรวจสุขภาพตามเกณฑ์อายุ หรืออัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งอย่างถูกต้อง ปัจจุบันการตรวจร่างกาย หรือข้อแนะนำเหล่านี้บางครั้งสามารถทำให้เราค้นพบโรคมะเร็งร้ายเหล่านี้ในระยะต้นหรือแรกเริ่ม ยังผลรักษาให้หายขาดได้อย่างง่ายดาย โรคมะเร็งบางชนิดเราสามารถตรวจพบได้โดยการทำการตรวจตามระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ใช่เพียงการตรวจเพียงครั้งเดียวไม่พบแล้วจะสรุปว่าจะไม่เป็นโรคนี้ การเปลี่ยนการดำเนินชีวิต เช่น งดสูบบุหรี่, ดื่มเหล้า ก็จะมีผลที่ทำให้อัตราเสี่ยงจากโรคมะเร็งลดลงเช่นกัน

Read More »

มารู้จักโรคภูมิแพ้กันเถอะ

โดย (พ.ญ.วิลาวัณย์ เวทไว) อาการต่าง ๆ ของโรคภูมิแพ้ สามารถบรรเทาจนเป็นปกติเพราะยาที่ใช้รักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น บทความใน “9 ทันโรค” ฉบับนี้ จะกล่าวถึงโรคภูมิแพ้ทางระบบหายใจเพราะคนส่วนใหญ่เป็นกันมาก บางคน เรียกโรคน้ว่าโรคแพ้อากาศหรือโรคจมูกอักเสบ จะเรียกยังไงก็แล้วแต่นะคะ แต่อาการต่าง ๆ สามารถบรรเทา ลงจนรู้สึกดีเป็นปกติได้แล้วในยุคนี้ เพราะยาที่ใช้รักษามีประสิทธิภาพดีมากและมีผลข้างเคียงน้อย จึงไม่ต้อง ทนทรมานกับอาการจาม คันจมูก คันตา อยู่ประจำ หลายคนที่มาตรวจบอกว่ามีอาการคัดจมูกจนบ่อยครั้งต้อง อ้าปากหายใจ ทำให้เจ็บคอ ปวดหัว เพลีย สมาธิไม่ดี หงุดหงิดง่าย บางคนปล่อยเรื้อรังจนทำให้มีโรคไซนัส อักเสบแทรกซ้อน มีน้ำมูกและเสมหะเขียวเหลืองยากแก่การรักษาให้หายขาด การกำจัดสารแพ้ช่วยได้จริงหรือ คนส่วนหนึ่งที่มีปัญหาด้านจมูกพบว่า แพ้สารที่เราหายใจเข้าไปนั่นแหละ โดยเฉพาะฝุ่นในบ้านหรือที่ทำงาน ซึ่งประกอบไปด้วยไรฝุ่นจากผ้า ขนสัตว์เลี้ยง ซากแมลง เชื้อรา ควันบุหรี่ เมื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเสียใหม่ อาการก็จะทุเลาลงมาก การทำ Allergy skin test คือ การทดสอบว่าแพ้อะไรโดยสะกิดเบา ๆ ลงบนท้องแขน จะช่วยให้ทราบว่าแพ้อะไรบ้างภายใน 30 นาทีและทำได้แม้ในเด็กทารก ยารักษาภูมิแพ้และวัคซีนรักษาภูมิแพ้ เดี๋ยวนี้ยารักษาภูมิแพ้ ไม่ใช้ยาที่มีผลข้างเคียงแบบในอดีตที่ทำให้อ้วน เพราะมีสเตียรอยด์ในปริมาณมากเพราะ ในสมัยก่อนไม่มีทางเลือกอื่น ยาในปัจจุบันแบบกินและยาพ่นจมูก สามารถใช้ติดต่อกันอย่างปลอดภัยแม้แต่ใน เด็ก ๆ แต่บางคนไม่ชอบวิธีกินยาหรือพ่นจมูกไปตลอดจึงเลือกวิธีฉีดวัคซีน (Allergen Immunotherapy หรือ Allergy shots) ซึ่งคนไข้ในประเทศแถบยุโรปและอเมริกานิยมกันมาก เพราะทำให้อาการทุเลาลงได้ กว่า 80% เป็นการสร้างภูมิต่อต้านสารแพ้ให้มากกว่าเดิม 500 – 1000 เท่า โดยไม่ต้องกินยาประจำ ใช้เวลา ฉีด 2-3 ปี ต่อเนื่องเพื่อให้ภูมิต้านทานคงอยู่ไปกว่า 10 ปี การฉีดยา มักเริ่มในเด็กที่โตหน่อย ประมาณ 8 – 10 ขวบหรือวัยรุ่นจนถึงวัยกลางคน ข้อเสียคือหลาย คนไม่ชอบฉีดยา กลัวเจ็บ บางคนไม่มีเวลามาฉีดสม่ำเสมอ อ่านถึงตรงนี้ คงพอจะได้ไอเดียวิธีเอาชนะโรคภูมิแพ้ไปพอสมควรนะคะ

Read More »

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…? น.พ.เติมศักดิ์ กุศลรักษา คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วันก็หายเองได้ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น โพรงจมูกอักเสบ-หลอดลมอักเสบ หวัดธรรมดาไม่มีสภาพเรื้อรัง ถ้ามีอาการทุกเดือนหรือแต่ละครั้งนานเกินกว่า 10 วัน ให้สงสัยว่าไม่ใช่หวัด โรคภูมิแพ้ เกิดจากร่างกาย เยื่อบุจมูก-ตา , หลอดลม สัมผัสกับสารอินทรีย์ ในสิ่งแวดล้อม เช่น เกสรดอกไม้ , ซากแมลง-ฝุ่น , เชื้อรา , ขนสัตว์ ฯลฯ เกิดปฏิกิริยาจำเพาะ (Specific) ทำให้เยื่อบุบวม มีน้ำมูกไหล จาม หลอดลมอักเสบ เกิดกับผู้ที่แพ้ต่อสิ่งสัมผัสเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนจะแพ้และจะมีอาการเหมือนกันหมด ผู้ที่ไม่แพ้ อาจจะไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้ ผู้ที่สัมผัสกับควันบุหรี่ ควันไอเสียรถยนต์ หรือสารเคมี กลิ่นฉุนๆ แล้วคัดจมูก แสบจมูก แน่นหน้าอก อาการเหล่านี้ไม่ใช่โรคภูมิแพ้ แต่เป็นผลของสารพิษที่มีต่อเยื่อบุทางเดินหายใจโดยตรง ทุกคนที่สัมผัสก็จะมีอาการเหมือนกันหมด ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ การทานยาแก้แพ้ (Antihistamine) หรือพ่นยา (topical steroid) จะลดอาการโรคภูมิแพ้ได้แต่จะไม่สามารถป้องกันอากาศเป็นพิษ หรือกลิ่นไอที่ฉุนๆ ได้ โรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย มักเกิดในช่วงเวลาเฉพาะ เช่น กลางคืน หรือตอนเช้า หรือมีมากในช่วงหนึ่งช่วงใดของปี ที่มีเกสรดอกไม้ ต้นหญ้าในอากาศหนาแน่นมาก โรคหวัดช่วง 1 – 2 วันแรกแยกได้ยากกับอาการโรคภูมิแพ้ฉับพลัน คนส่วนมากเข้าใจว่า ถ้าจามบ่อยๆ มีน้ำมูกใสๆ คัดจมูก ไอ เจ็บคอ เสลดลงคอเรื้อรัง เป็นโรคภูมิแพ้ แต่ที่จริงเป็นอาการของโรคโพรงจมูกอักเสบได้ ถ้ารักษาทางโรคภูมิแพ้ คือ กินยา ฉีดยา เป็นเวลาหลายๆ เดือนแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์หู – คอ – จมูก เพื่อตรวจให้ละเอียดว่ามีโรคไซนัส ริดสีดวงจมูก โครงสร้างจมูกตีบแคบหรือไม่ รวมทั้งต่อม Adenoid หลังจมูกโตมากในเด็กเล็ก อายุ 3 – 6 ปี เหล่านี้ เป็นต้น เพราะวิธีการรักษาจะแตกต่างกัน อย่าปล่อยให้มีอาการเรื้อรังหลายๆปี จะทำให้รักษาให้หายได้ยากยิ่งขึ้น การตรวจมีทั้งการส่องกล้องในจมูก และ X-RAY คนจำนวนไม่น้อย ที่รักษาด้วยยาภูมิแพ้เป็นเวลานาน อาการไม่ดีขึ้น พอเปลี่ยนมารักษาด้วยยาไซนัส ทานยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่อง 2 – 3 สัปดาห์ อาการก็ดีขึ้นมาก และจมูกก็หายบวมได้ หายใจได้คล่องขึ้น ผู้ที่ช่องจมูกแคบ ผนังกั้นจมูกคด หรือช่องเปิดไซนัสตีบแคบ เวลาอากาศเปลี่ยนฉับพลัน อากาศเย็น จะคัดจมูก จาม ปวดศีรษะ อาการเหล่านี้อาจไม่ใช่โรคภูมิแพ้ มีหลายคนที่พบว่าหลังผ่าตัดแก้ไขช่องจมูกให้กว้างขึ้น เปิดช่องไซนัสให้สะดวก อาการจาม คัดจมูก ปวดศีรษะ ก็จะหายไปได้ เด็กเล็ก อายุ 3 – 6 ขวบ น้ำมูกไหลตลอดปี ใสบ้างข้นบ้าง มีขี้มูกมาก ไอบ่อย นอนอ้าปากหายใจ อาจไม่ใช่โรคภูมิแพ้อย่างเดียว แต่เป็นเพราะต่อม Adenoid โต ขวางช่องหลังจมูก หรือมีโพรงจมูกอักเสบร่วมด้วย บางคนปวดหู หูอื้อ การผ่าตัดเอาต่อม Adenoid ออก จะช่วยให้อาการส่วนใหญ่ดีขึ้นได้ ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ที่ช่องจมูกกว้าง โพรงจมูกมีช่องระบายดี แม้จะมีโรคภูมิแพ้ ก็มักจะมีอาการน้อย และมักไม่ค่อยไปพบแพทย์ ซื้อยาแก้แพ้ทานเองก็เพียงพอ ส่วนผู้ที่มีปัญหาช่องจมูกแคบ โพรงจมูกอักเสบเรื้อรัง ร่วมกับอาการภูมิแพ้ จะมีอาการรุนแรง และทนทุกข์ทรมาน จึงควรที่ต้องรักษาให้ถูกต้อง อย่ามัวแต่รักษาโรคภูมิแพ้แพียงอย่างเดียว ลักษณะอาการ โพรงจมูกอักเสบ โรคหวัด โรคภูมิแพ้ ปวดใบหน้า-จมูก หรือกระบอกตา พบบ่อย บางครั้ง บางครั้ง ระยะเวลาของโรค มากกว่า 10-14 วัน น้อยกว่า 10 วัน เป็นๆหายๆ ไม่แน่นอน น้ำมูก ข้น หรือ เขียว-เหลือง ใส – ไหลมาก เป็นน้ำ เหนียว-ใส หรือสีขาว ไข้ตัวร้อน บางครั้ง บางครั้ง ไม่มี หายใจมีกลิ่นเหม็น พบบางครั้ง ไม่มี ไม่มี อาการไอ พบบางครั้ง พบบ่อย พบบางครั้ง คัดจมูก พบได้มาก พบบ่อย พบบางครั้ง จาม พบน้อย พบบ่อย พบบ่อย

Read More »

ตับอักเสบฉับพลัน และข้อแนะนำสำหรับผู้มีตับอักเสบ

คำแนะนำ การตรวจดูว่ามีอาการตับอักเสบ แทรกซ้อนหรือยัง หรือ มีความเสี่ยงตับอักเสบ กรณีมีอาการผิดปกติ เช่น – มีไข้ – ปัสสาวะเข้มขี้น – ตัว หรือ ตาเหลือง – อ่อนเพลีย – ท้องโตขึ้น – ปวดท้อง แน่นท้อง – ซึมลง – จ้ำเลือดตามตัว : ควรปรึกษาแพทย์ ข้อแนะนำสำหรับผู้มีตับอักเสบ – ข้อแนะนำทั่วไป : แรกสุดต้องแน่ใจว่าตับอักเสบเกิดจากสาเหตุที่หมอแนะนำจริงนะครับ ให้ปรึกษากับหมอที่ดูแลครับ เพราะตับอักเสบอาจจากเรื่องอื่นไม่ได้จากที่หมอบอกมาก็ได้ครับ คือที่หมอบอกมาผลไม่แน่นอนหรือไม่ แพทย์ที่ดูแลจะตอบได้ครับว่าแน่นอนขนาดไหน ไม่ได้สงสัยโรคอื่นร่วมด้วยหรือไม่ 1 ควรตรวจเช็คกับแพทย์ตามที่แนะนำครับ 2 การปฏิบัติตัว ควรหลีกเลี่ยงยา อาหาร หรือสมุนไพร ที่มีผลต่อตับ 3 เลี่ยงการทำงานหนักหักโหม อดนอน ให้นอนพักเยอะ ๆ 4 หลีกเลี่ยงยากดภูมิต้านทาน ยาภูมิแพ้ เช่นยากลุ่ม steroid ถ้าหมอไม่แนะนำ 5 งดดื่มเหล้า ยาดองเหล้า 6 อย่ากินถั่วบด ข้าวโพดแห้ง หรือ พริกป่นที่ทิ้งค้าง ทำค้าง เพราะอาจมีเชื้อราอัลฟาร์ทอกซิน กระตุ้นให้เกิดมะเร็งตับได้ 7 มีอาการผิดปกติ เช่น – มีไข้ – ปัสสาวะเข้มขี้น – ตัว หรือ ตาเหลือง – อ่อนเพลีย – ท้องโตขึ้น – ปวดท้อง แน่นท้อง – ซึมลง – จ้ำเลือดตามตัว : ควรปรึกษาแพทย์ 8 ระวังมีดโกนหนวด ตุ้มหู ระวังแปรงสีฟัน และ แม้การติดต่อทางน้ำลายไม่ใช่การติดต่อหลัก แต่ ก็ควรแยกช้อนกลางทานอาหารไว้ก่อนจะดีกว่าครับ 9 ควรเช็ค และพิจารณาฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ หลังหายอักเสบฉับพลัน 10 อาหารไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ปัจจุบันเลิกความเชื่อการกินน้ำหวานแล้ว ให้ทานตามปกติ และ ตรงข้ามครับ อย่ากินหวานจัดเพราะจะเปลี่ยนเป็นไขมันทำให้ตับอักเสบมากขึ้นได้ครับ – ระวังเพียงอาหารควรสุกสะอาดระวังท้องเสียแทรกซ้อนนะครับ – ข้อแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับคนที่มีตับอักเสบ เพิ่มเติม แยกตามสาเหตุ A. กรณีตับอักเสบจากการกินยาที่มีผลต่อตับ 1. กรณีตับอักเสบจาก แพ้แบบภูมิแพ้ยา ให้งดยานั้นเด็ดขาด : แต่ถ้าเป็นตับอักเสบเพราะอักเสบเพราะรับยาเกินขนาดปกติ สามารถรับยานั้นอีกได้ : ให้ปรึกษาแพทย์ว่าเป็นแบบไหนกันแน่ รับยานี้ได้อีกหรือไม่ หรือห้ามทานยานี้เด็ดขาด : ความแน่นอนในการวินิจฉัยจะดูที่การอักเสบหายภายใน 1 เดือนหรือไม่ มักแน่นอนว่าการอักเสบนั้นเกิดจากยา กรณีค่าการอักเสบลดลงแค่ครึ่งหนึ่งภายใน 1 เดือน ความแน่นอนจะลดลงว่าเกิดจากยาแน่นอนหรือไม่ อาจต้องตรวจสาเหตุตับอื่น ๆ เพิ่มเติมครับ B. กรณีตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ – ควรนำญาติหรือผู้ที่มีตับอักเสบในครอบครัวร่วมด้วยที่อาจเป็นสาเหตุ หรือ อาจติดจากเราไปเช็ค และระวังแพร่ติดไปยังผู้อื่น เช่น นำคู่สมรสหรือแฟน ที่เรายุ่งเกี่ยวด้วยมาเช็ค และ ฉีดวัคซีนป้องกัน – การหายหรือไม่อยู่ที่ภูมิต้านทานเรา และ ไวรัสที่มีมากน้อยเพียงใดครับ และ ทำตามข้อ 1-10 ให้เคร่งครัดนะครับ

Read More »

โรคไขมันในตับ

โรค…ไขมันในตับ ก่อให้เกิดการอักเสบ การอักเสบของตับแบบเช็คร่างกายเจอ แบบไม่มีอาการ และ ไม่รู้ต้องทำอย่างไรดี โดย น.พ. ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย ผู้เชี่ยวชาญแผนกทางเดินอาหาร และ โรคตับ ร.พ. พระรามเก้า กระแสการรักสุขภาพ และ กลัวว่าจะเจอโรคอะไรที่ไม่รู้ตัว หรือ รู้แล้ว ก็รักษาไม่ทัน นำมาซึ่งการเช็คร่างกาย หรือ แม้แต่บางบริษัทรักพนักงานมาก ก็จะให้เช็คเลือดดูตับกันทุกปีเลยทีเดียว ข้อสงสัยอันดับแรก ๆ ก็คือเมื่อเช็คแล้วตับอักเสบเป็นอะไร อันตรายมั้ย บางคนเรียกว่าตับอักเสบเป็นเพื่อน มีมาอยู่นาน และ ไม่รู้ว่ามีอันตรายไหม หรือ จัดการอย่างไร วันนี้เรามาดูกลุ่มที่เช็คเลือดแล้วบังเอิญเจอว่า ตับอักเสบกันดีกว่าครับ ผมจะตั้งเป็นลักษณะถามตอบ ตามคำถามที่พบบ่อย หรือ โดนถามบ่อยดังนี้นะครับ 1. พบตับอักเสบโดยบังเอิญ เกิดจากอะไร, ผมไปเช็คร่างกายมาพบเอ็นไซม์ขึ้น แพทย์บอกว่ามีตับอักเสบ เกิดจากสาเหตุอะไร ทำอย่างไรดี ? ตอบ การที่มีเอ็นไซม์ตับสูงขึ้น (SGPT, SGOT) กรณีไม่มีสาเหตุอื่น เกือบทุกคนเกิดจากตับอักเสบครับ และอย่างที่ทราบมาก่อนว่าตับอักเสบมักยังไม่มีอาการใด ๆ ให้เรารู้ตัวมาก่อนในระยะแรก เมื่อมีอาการก็มักเป็นมากแล้วครับ ประมาณว่าเมื่อตับอักเสบเสียหายไปแล้ว เกินครึ่งจึงจะเริ่มมีอาการครับ เกิดตับเราเสียไปแล้ว 49 % ก็เลยยังไม่รู้ตัว ต้องให้เช็คเลือดเจอ แล้ว หมอมาบอก ก็ไม่เชื่ออีกว่าไม่เป็นไร รอไปนิด เกิดเสียไปครึ่งแล้ว จึงมีภาวะ การทรุดตัว หรือ พบโรคตับโดยไม่รู้ตัวกันมากครับ – พบว่าตับอักเสบส่วนใหญ่มักเป็นแค่ชั่วคราวไม่ต้องตกใจไปครับ สาเหตุที่ตับอักเสบชั่วคราวได้แก่ เหล้า การกินยาที่มีผลต่อตับ ติดเชื้อเช่นกลุ่มไวรัส ไข้เลือดออก ไข้รากสาด ก็ตับอักเสบได้ครับ กรณีพบตับอักเสบครั้งแรกอย่าเพิ่งตกใจครับ ให้ตรวจติดตามไปอีกครั้งหนึ่ง ถ้ายังอักเสบต่อเนื่องควรหาสาเหตุเพิ่มเติมครับ – ส่วนคนที่หายอักเสบในครั้งที่ 2 ก็อย่าเพิ่งสบายใจ 100 % เพราะมีสาเหตุตับอักเสบบางอย่างที่มีลักษณะหลอกว่าเราหายอักเสบไปพักหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วการอักเสบเป็น ๆ หาย ๆ ได้แก่ 1.1 การอักเสบจากไวรัสซี และไวรัสบีบางอย่าง (กลุ่ม precore mutant และ core promotor) ถ้าเรามีความเสี่ยงต่อการติดต่อไวรัสซี หรือไวรัสบี เช่น เคยใช้ยาเสพติดฉีดเข้าเส้นเลือด เคยรับเลือด เกร็ดเลือด หรือน้ำเหลืองมาก่อน เคยสักยันต์ เคยโดนเข็มไม่สะอาดเตรียมใส่ตุ้มหู หรือ แลกการใช้ตุ้มหูกับคนอื่น ปัญหาเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยง ประวัติครอบครัวเป็นโรคตับไม่ว่าจะมะเร็ง ตับแข็ง หรือ ตับอักเสบ ก็ควรเช็คไวรัสตับอักเสบเพิ่มเติมไปเลยจะดีกว่าครับ (ตรวจเลือดที่เรียกว่า HBsAg, Anti HBc, Anti HCV) 1.2 โดนวางยาพิษ ดื่มเหล้า กินยา สมุนไพร อาหารบางอย่างเช่น แกงขี้เหล็กที่ทำไม่สุก ให้ทบทวนดูนะครับ กรณีกินยา แม้กินมานาน ก็อาจมีตับอักเสบได้ครับ ให้นำยาดังกล่าวปรึกษาแพทย์นะครับ 2. ไปเช็คร่างกายมาพบว่ามีค่าเอ็นไซม์ตับ SGOT และ SGPT สูงกว่าปกติ แพทย์บอกว่ามีการอักเสบ ของตับ แต่ไม่มีไวรัสตับอักเสบทั้งไวรัส บี และ ไวรัสซี เป็นโรคอะไร ต้นเหตุคืออะไร ควรตรวจอะไรเพิ่มเติมครับ ? ตอบ ในปัจจุบันพบว่ามีการตรวจเช็คสุขภาพประจำปี เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย รวมทั้งบางบริษัทเองก็ เป็นห่วงสุขภาพของพนักงานจัดตรวจให้ฟรีเลยก็มี ในการตรวจมักมีการตรวจในส่วนการทำงานของตับ ร่วมด้วย เมื่อพบว่ามีค่า SGOT และ SGPT สูงกว่าปกติ เป็นการบ่งบอกว่าคุณมีตับอักเสบครับ ถ้าแยกโรคหลัก ๆ ในเมืองไทยออกไป ดังนี้ 2.1 แยกภาวะตับอักเสบจากไวรัสบี และ ซีออกก่อนนะครับ กลุ่มนี้จะเป็นมะเร็งตับแทรกซ้อนง่ายกว่าด้วย 2.2 ดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ สารกลุ่มที่มีแอลกอฮอล์ 2.3 กินยาที่ทำให้ตับอักเสบ ยาบำรุงบางอย่างทานแล้วเกิดการแพ้แบบตับอักเสบก็มีครับ 2.4 กินอาหารที่มีพิษต่อตับ เช่น เห็ดบางอย่าง แกงขี้เหล็ก ถูกวางยาพิษ ยาเสน่ห์ ก็พบผู้ป่วยตับอักเสบจากสาเหตุนี้ โดยไม่รู้ตัวก็พบได้เรื่อย ๆ ครับ 2.5 ไวรัสตับอักเสบฉับพลัน หรือ เรื้อรัง เช่นไวรัส เอ บี ซี ดี อี เอช 2.6 นิ่ว หรือ ฝีในตับ 2.7 มีการติดเชื้อที่มีตับอักเสบชั่วคราว หรือ เรื้อรัง ร่วมด้วย เช่น วัณโรค โรคเอดส์ 2.8 พบว่าหลังแยกสาเหตุด้านบนออกไปหมดจากการซักประวัติ และ ตรวจเลือดเพิ่มง่าย ๆ แล้ว ที่เหลือในคนไทยแทบไม่มีโรคอื่นอีกเลย เพราะโรคแปลก ๆ ไม่ค่อยพบในคนไทย ได้แก่ 2.8.1 โรคที่มีเหล็ก ทองแดงในตับ, น้ำย่อยในตับผิดปกติ

Read More »

การเจาะตับไม่เจ็บ มีผลดี

การเจาะตับไม่เจ็บ มีผลดี ผมรักษาโรคตับอับเสบอยู่ที่อื่นอยู่ปีกว่าก็ยังไม่รู้สาเหตุ ซึ่งมีคนแนะนำว่าให้ลองมารักษาที่ ร.พ.พระราม 9 ดู เพราะมีหมอเก่งหลายท่าน ผมก็เลยลองมาหาดู ซึ่งครั้งแรกที่ได้พบกับคุณหมอระพีพันธ์นั้นก็เกิดการประทับใจแล้ว เพราะคุณหมอจะอธิบายการทำงานของตับ และการเกิดภาวะตับอับเสบเกิดจากสาเหตุใดบ้าง จนผมเองมีความรู้สึกว่าเป็นนักเรียนไปเลยและเข้าใจการทำงานของระบบตับเลย จึงเริ่มทำการรักษาโดยวิธีรับประทานยา ตรวจเลือดดูผล และประเมินสาเหตุ ซึ่งผลนั้นไม่แน่นอน โดยรักษาอยู่เกือบปี ผลการตรวจก็ไม่ดีขึ้น มีแต่คงที่ ขึ้น ลงตามน้ำหนัก และคุณหมอก็แนะนำว่าจะเจาะตับตรวจหรือไม่ เพราะการรักษาจะได้รักษาถูกทาง ซึ่งขั้นตอนการเจาะตับนั้นทีแรกนึกว่าจะต้องผ่าตัด และนอน ร.พ.หลายวัน และกลัวว่าจะมีผลต่อร่างกาย แต่ได้รับการอธิบายจากคุณหมอว่าไม่น่ากล้ว นอนอยู่ รพ.แค่ 1 วันเท่านั้นและการเจาะก็ใช้เวลาแค่ 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งผมก็ตอบตกลง และก็เข้าทำการรักษาตามที่คุณหมอแนะนำ ซึ่งเป็นไปตามคุณหมออธิบายโดยไม่มีอาการของการเจ็บเลย เพราะการเจาะนั้น ใช้แค่เข็มลักษณะคล้ายกับเข็มฉีดยาซึ่งมีความยาวเท่านั้นและวางยาชาเฉพาะที่ จึงทำให้ไม่รู้สึกเลย (ซึ่งรายละเอียดนั้น อยากให้สอบถามคุณหมอดู เพราะคุณหมอจะอธิบายได้ละเอียดกว่า) และแผลนั้นไม่เห็นรอยเลย เหมือนเราฉีดยานี่เอง – และผลที่ได้จากการเจาะตับหาสาเหตุนั้น สรุปว่าเกิดจาก ไขมัน จึงทำการรักษาไปทางสาเหตุนี้ ซึ่งปัญจุบันนี้ผมมีอาการตับดีขึ้นกว่าแต่ก่อนจนอยู่ในขั้นที่ควบคุมได้ นี่คือผลดีของการเจาะตับ เพราะรักษาได้ถูกทาง และตัวผมก็ระมัดระวังในการทานอาหารมากขึ้น ขอขอบคุณคุณหมอครับ จากคุณ พงค์ – ขอขอบคุณ คุณพงค์สำหรับบทความนี้ครับ

Read More »

แนะนำการรักษามะเร็งตับ

แนะนำการรักษามะเร็งตับ นายแพทย์ระพีพันธุ์ กัลยาวินัย อายุรแพทย์ และ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารและโรคตับ ร.พ. พระรามเก้า ในบทความนี้จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาครับ ไม่ได้เล่าเกี่ยวกับการป้องกัน การค้นหา และ การวินิจฉัย ไว้มีเวลาจะเล่าให้ฟังทีหลังครับ เผอิญเขียนในรูปสอนนิสิตแพทย์ ยังไม่ได้แปลงให้ ประชาชนเข้าใจเลยครับต้องรอให้มีเวลาก่อน พบว่าเมื่อเป็นมะเร็งตับ มักหวังให้หายขาดยากเพราะ มักมาสายเกินไป แต่เนื่องจากการค้นหาหรือเช็คร่างกายโรคตับ และมะเร็งตับมีมากขึ้นทำให้เราพบ มะเร็งตับระยะเร็วขึ้น รักษาหายและง่ายมากขึ้นครับ อาจหายได้ ปัจจุบันจะใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกันและ พิจารณาเปลี่ยนตับ (เมืองไทยยังทำไม่นัก แต่ดีขึ้นเรื่อย ๆ) เมื่อมีข้อบ่งชี้ครับ ก่อนรักษาอย่าลืมนะครับว่า ถ้าเป็นมะเร็งส่วนอื่น ที่ไม่ใช่ตับโดยตรง การรักษามะเร็งตับอาจไม่ได้ผล หรือ ผิดวิธีครับ รวมทั้งการทำนายโรคจะไม่เหมือนกับมะเร็งตับครับ ยิ่งคนบางคน เป็นแค่ฝี หรือ เป็น เนื้องอกไม่ร้ายแรง เช่น เป็นแค่ไขมัน เนื้องอกเส้นเลือด (Hemangioma) หรือ เนื้องอก adenoma ยิ่ง แล้วใหญ่ไม่ต้องรักษาเลยครับ รออ่านเพิ่มในด้านการวินิจฉัย เมื่อผมมีเวลาเขียนนะครับ วิธีการรักษามีดังนี้ครับ 1. การผ่าตัดส่วนที่เป็นเนื้องอกออก (PARTIAL HEPATECTOMY) เราจะพิจารณาทำในผู้ป่วยที่ยังมีการทำงานของตับดีพอ สามารถตัดตับออกบางส่วนได้สบาย หรือ ยังไม่มีตับแข็งมากนัก มีทำงานของตับดีพอ วิธีการประเมินโดยดูว่ามีการทำงานตับโดยดู 1. ขนาดเนื้องอก 2. โปรตีนไข่ขาวที่เรียกว่า Albumin 3. ค่าสีเหลืองที่นิยมเรียกกันว่าดีซ่าน 4. น้ำในท้อง 5. ความสับสน หรือสั่น ทุกข้อที่กล่าวมาถ้าดีหมด จะมีความมั่นใจในการตัดออกทั้งหมด อย่างมั่นใจมาก ครับ พบว่าถ้าไม่มีตับแข็งเลย จะมีการเสียชีวิตขณะผ่าตัดน้อยมาก คือ น้อยกว่า 5 %, ขณะที่มีตับแข็งแล้ว จะมีโอกาสเสียชีวิตหลังผ่าตัด 10 % ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยอื่น ด้วย รวมทั้งดังที่กล่าวในข้อ 1 การดูการทำ งานโดยการฉีด indocyanine green (ICG) clearance ซึ่งเมืองไทยไม่นิยมทำกัน และควรไม่มีร่อง รอยของความดันเลือดดำในท้องสูง (portal hypertension) ขนาดเนื้องอก <,= 5 cm แต่ระวังอาจดูพลาดจากการทำคอมพิวเตอร์ (computed tomography) หรือ ตรวจคลื่นแม่เหล็ก (magnetic resonance imaging) อาจประมาณว่าเล็กเกินไป หรือ ใหญ่เกินไปได้ บางโรงพยาบาลอาจตรวจเสริมโดยใช้ การส่องกล้องตรวจโดยใช้กล้อง หรือ การใช้อัลตร้าซาวน์ตรวจ ในห้องผ่าตัด เพื่อช่วยในการเลือกการผ่าตัดดีขึ้น กรณีทำแล้วอาจพบก้อนอื่น เล็ก ๆ จนผ่าไม่ได้หมด ต้องวางแผนรักษาใหม่ หรือ ก้อนที่พบในห้องผ่าตัดอาจมากไปจนตัดไม่ได้ (เช่นอาจต้องใช้คลื่นวิทยุ หรือ ฉีดแอลกอฮอร์ในห้องผ่าตัดแทน) มีการศึกษาหนึ่งพบว่าอาจไม่ทำการผ่าตัดเมื่อตรวจวิธีนี้ เพราะ พบก้อนมากกว่าที่พบเมื่อตรวจก่อนผ่าตัดถึง 16 % ก้อนที่พบ น่าทำการผ่าตัด มักเป็นก้อน ก้อนเดียว และไม่มีภาพเอ๊กซเรย์วิธีต่าง ๆ พบว่าไม่มี การกิน เข้าไป (invasion) ต่อเส้นเลือดในตับ (hepatic vasculature) แต่มักมาช้ากว่าจะตัดได้เป็นส่วนใหญ่ ในการศึกษาหนึ่ง 370 คน พบผ่าได้เพียง 30 % พบว่ามีการเกิดมะเร็งซ้ำที่ 5 ปี เฉลี่ยประมาณ 30 % มีรายงานว่าอาจถึง 50 – 90 % ถ้าเลือกผู้ป่วยได้ดี การรอดอยู่นานโดยดูที่ 5 ปีว่ารอดได้กี่เปอร์เซ๊นต์ พบว่ามีการอยู่รอดตามขนาดของมะเร็ง คือ ถ้าก้อน น้อยกว่า 5 cm รอดถึง 62.7 %ต่อ 5 ปี, 46.3 %ต่อ 9 ปี, ถ้ามากกว่า 5 cm รอดได้ 37%ต่อ 5 ปี กรณีที่มีตับแข็งแล้ว หรือ ตับยังมีการอักเสบจากไวรัส (chronic viral hepatitis) ยังมีความเสี่ยงในการ เกิดมะเร็งซ้ำได้ ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดตลอดไป หรือ พิจารณารักษาต่อ การมีตับอักเสบก่อนการผ่าตัด โดยมีค่าการอักเสบ (preoperative aminotransferase) มากกว่า 100 IU/L (คือมีการอักเสบของตับอยู่ (underlying active hepatitis)) เป็นข้อบ่งชี้การอยู่รอดว่าไม่ดี (independent adverse prognostic factor), บาง การศึกษาพบว่ามีค่าเหลืองดีซ่าน bilirubin มากกว่า เท่ากับ 1 mg/dL (17.1 micro.mol/liter) ก็เป็นข้อบ่งชี้ว่าอยู่รอดไม่ได้ดี ( independent predictor)

Read More »
Page1 Page2 Page3 Page4 Page5
Facebook-f Youtube Instagram
  • 1270
  • About Us
  • Medical center
  • Doctors
  • Make an Appointment
  • Knowledge
  • Package
  • News & Events
  • Privacy Policy
  • Investor
  • Sustainability
  • Work with Us
  • Contact Us
  • Terms and Conditions

Copyright © 2025. All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • Medical Center
  • แพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us