Skip to content
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Praram 9 Star Doctors
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
Menu
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Praram 9 Star Doctors
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา

อาหารหลังการปลูกถ่ายไต เลือกรับประทานอย่างไรดี?

บทความ

โรงพยาบาลพระรามเก้า

  • วันที่โพสต์ 6 มีนาคม 2024
อาหารสำหรับผู้ป่วยปลูกถ่ายไต

การปลูกถ่ายไตเป็นการผ่าตัดเพื่อนำไตใหม่จากผู้บริจาคซึ่งอาจเป็นญาติหรือผู้ป่วยสมองตายมาปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เพื่อทดแทนการทำงานของไตที่บกพร่องไป ซึ่งปัจจุบันความสำเร็จของการปลูกถ่ายไตมีอัตราค่อนข้างสูง ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ จึงนับว่าเป็นทางเลือกการรักษาที่ดีที่สุดของผู้ป่วยภาวะไตวายเรื้อรังและไตที่ปลูกถ่ายใหม่สามารถใช้งานได้นานกว่า 10 ปี อย่างไรก็ตามหลังการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิต เนื่องจากผู้ป่วยจะต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิตเพื่อป้องกันภาวะปฏิเสธไต ทำให้มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่าย การดูแลสุขภาพในช่วงหลังการปลูกถ่ายไตจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง 

การรับประทานอาหารหลังการปลูกถ่ายไตก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ผู้ป่วยควรต้องคำนึงถึง เพราะต้องเพิ่มการดูแลเรื่องสุขอนามัยด้านอาหารมากขึ้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และอาหารบางชนิดอาจมีผลต่อยากดภูมิคุ้มกัน ดังนั้นหลังการปลูกถ่ายไตผู้ป่วยควรรับประทานอาหารให้เหมาะสม อาจต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารบางชนิดที่อาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยากดภูมิคุ้มกันหรือมีผลต่อระดับยาในร่างกายซึ่งอาจทำให้เกิดพิษในร่างกายได้  นอกจากนี้ผู้ป่วยควรมีการจัดเตรียมและรับประทานอาหารถูกต้องตามหลักการสุขาภิบาลอาหารเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการรับประทานอาหารหลังการปลูกถ่ายไตเพื่อที่จะสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อให้ไตใหม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและผู้ปลูกถ่ายไตมีคุณภาพชีวิตที่ดี

สารบัญ

  • อาหารหลังปลูกถ่ายไตสำคัญอย่างไร?
  • การเลือกรับประทานอาหารกลุ่มต่าง ๆ ของผู้ปลูกถ่ายไต
  • อาหารกับยากดภูมิคุ้มกัน 
  • ผู้ปลูกถ่ายไตควรหลีกเลี่ยงอาหารอะไรบ้าง? 
  • สุขอนามัยด้านอาหารของผู้ได้รับการปลูกถ่ายไต
  • สรุป

อาหารหลังปลูกถ่ายไตสำคัญอย่างไร?

จากที่กล่าวไปข้างต้นว่าผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไต จำเป็นต้องให้ความสำคัญและต้องดูแลระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหารรวมไปถึงสุขอนามัยด้านอาหารด้วย เนื่องจากการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมหลังการปลูกถ่ายไตจะส่งผลให้ร่างกายฟื้นตัวหลังผ่าตัดเร็ว และสามารถกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงได้เร็วขึ้น และยังช่วยให้ไตใหม่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการทำงานให้ยาวนานยิ่งขึ้น โดยผู้ป่วยปลูกถ่ายไตอาจต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ในการเลือกรับประทานอาหาร

  • อาหารที่รับประทานควรเป็นอาหารปรุงสุกใหม่ สะอาด มีโภชนาการครบ 5 หมู่ และการจัดเตรียมอาหารถูกต้องตามหลักการสุขาภิบาลอาหาร
  • กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ หลังการผ่าตัด จะสามารถเลือกทานอาหารได้ปกติ
  • กลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด เช่น มีไข้ ติดเชื้อ มีการสลายของกล้ามเนื้อมากขึ้น จำเป็นต้องรับประทานอาหารให้เพียงพอและเหมาะสมตามสภาวะร่างกาย ภายใต้การดูแลของแพทย์และนักโภชนากร
  • กลุ่มผู้ป่วยที่ต้องระมัดระวัง และควบคุมสารอาหารบางชนิด อันเนื่องมาจากยาหรือสภาวะต่าง ๆ เช่น ในภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง ความดันสูง ในภาวะร่างกายต้องการโปรตีนมากขึ้น หรือในภาวะแร่ธาตุต่าง ๆ ของร่างกายไม่อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม จำเป็นต้องได้รับอาหารที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพขณะนั้น ๆ ของตน ภายใต้การดูแลของแพทย์และนักโภชนากร

> กลับสู่สารบัญ

การเลือกรับประทานอาหารกลุ่มต่าง ๆ ของผู้ปลูกถ่ายไต

ผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไตต้องมีการปรับตัวในการรับประทานอาหาร ซึ่งจะมีรายละเอียดการเลือกรับประทานอาหารมากขึ้นกว่าคนปกติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อประสิทธิภาพการทำงานของไตใหม่ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ป่วย โดยหลักการเลือกรับประทานอาหารกลุ่มต่าง ๆ มีดังนี้

อาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต

ผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวาน หรือผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง อันเนื่องมาจากผลของยาสเตียรอยด์ (steroid) จะเป็นกลุ่มผู้ที่ต้องควบคุมอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต โดยควรรับประทานข้าว แป้ง และน้ำตาล ในปริมาณที่เหมาะสม โดยควรเลือกรับประทานดังนี้

  • อาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ควรบริโภค ได้แก่

    • คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวโอ๊ต พาสตา ซีเรียลไม่มีน้ำตาล ธัญพืช เป็นต้น
    • อาหารที่มีค่าการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายต่ำ (glycemic index < 55) เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวซ้อมมือ ข้าวบาร์เล่ย์ พาสตา ผักกาดแก้ว มันเทศ ข้าวโพด ถั่วแดง แคร์รอต แตงกวา มะเขือเทศ แอปเปิล แก้วมังกร ฝรั่ง เป็นต้น
  • อาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่

     

    • อาหารน้ำตาลสูง เช่น น้ำหวาน น้ำผลไม้ ขนม เป็นต้น
    • การปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย น้ำผึ้ง และน้ำหวานชนิดต่าง ๆ หากจำเป็นต้องปรุงรสก็ไม่ควรเกิน 3 – 6 ช้อนชา/วัน (ไม่นับรวมน้ำตาลที่แฝงอยู่ในผลไม้และผัก)

อาหารกลุ่มไขมัน

ผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง จำเป็นต้องจำกัดอาหารกลุ่มไขมัน โดยมีหลักการคือ

  • บริโภคไขมันไม่เกินร้อยละ 30 – 35 ของพลังงานรวมในแต่ละวัน
  • จำกัดปริมาณไขมันอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ 7 ของพลังงานรวมในแต่ละวัน
  • จำกัดปริมาณไขมันไม่อิ่มตัวไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงานรวมในแต่ละวัน
  • จำกัดปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหารให้น้อยกว่าวันละ 300 มิลลิกรัม 

และพิจารณาเลือกบริโภคอาหารกลุ่มไขมันดังนี้

  • อาหารกลุ่มไขมันที่เหมาะสม ได้แก่

    • บริโภคเนื้อสัตว์ไม่ติดมันหรือไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา อกไก่ ไข่ข่าว เป็นต้น
    • รับประทานอาหารในปริมาณที่พอเหมาะและไม่อิ่มมากจนเกินไป 
    • รับประทานอาหารให้ตรงเวลาเพื่อให้ระบบเผาผลาญทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • อาหารกลุ่มไขมัน ที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่

    • อาหารผัดและทอดที่ใช้น้ำมัน เช่น ผัดผัก ไข่เจียว ลูกชิ้นทอด ไก่ทอด เป็นต้น
    • อาหารกลุ่มเบเกอรี่ที่ใช้ไขมัน เนย และนม เช่น เค้ก คุกกี้ บราวนี่ ขนมปัง เป็นต้น
    • อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง ไข่ปลา ปลาหมึก กุ้ง เครื่องในสัตว์ นมสด มายองเนส เป็นต้น

และควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า ไวน์ วิสกี้ เบียร์ เป็นต้น และหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารมื้อดึก เนื่องจากการบริโภคอาหารก่อนเข้านอน 3 ชั่วโมงจะทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงได้ง่าย

อาหารที่มีโซเดียม

โซเดียมมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ สำหรับคนปกติทั่วไป แนะนำให้บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน (พิจารณาจาก dietary reference index; DRI)

สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องจำกัดปริมาณโซเดียม เช่น ผู้ป่วยโรตไต โรคความดัน โรคน้ำท่วมปอด หรือผู้ที่มีภาวะการคั่งของน้ำในร่างกาย เป็นต้น โดยมีแนวทางการบริโภคอาหารเพื่อจำกัดปริมาณโซเดียม มีดังนี้

  • บริโภคอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ชิมก่อนปรุงทุกครั้ง
  • ใช้รสเปรี้ยว เผ็ด และเครื่องเทศสมุนไพรต่าง ๆ เช่น หอมแดง กระเทียม ใบมะกรูด เป็นต้น เพื่อช่วยเสริมรสชาติ กลิ่น และสีสันแทนรสเค็ม
  • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง มีดังนี้

    • อาหารแปรรูป หมักดอง อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง อาหารอบแห้ง อาหารแช่อิ่ม และอาหารกึ่งสำเร็จรูป
    • เครื่องปรุงรส ผงชูรส ผงปรุงรส และซุปก้อน
    • น้ำจิ้มหรือน้ำราดต่าง ๆ เช่น น้ำจิ้มไก่ น้ำจิ้มลูกชิ้น เป็นต้น
  • โดยปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรสชนิดต่าง ๆ มีดังนี้ ผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไตสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อพิจารณาเลือกบริโภคได้
เครื่องปรุง ปริมาณ ปริมาณโซเดียม
(มิลลิกรัม)
เกลือ
1 ช้อนชา
2,000
ผงปรุงรส
1 ช้อนชา
815
ผงชูรส
1 ช้อนชา
600
น้ำปลา
1 ช้อนชา
433
ซีอิ๊วขาว
1 ช้อนชา
420
ซอสปรุงรส
1 ช้อนชา
400
น้ำจิ้มสุกี้
1 ช้อนชา
200
ซอสหอยนางรม
1 ช้อนชา
173
น้ำจิ้มไก่
1 ช้อนชา
128
ซอสพริก
1 ช้อนชา
85
ซอสมะเขือเทศ
1 ช้อนชา
57
  • ปริมาณโซเดียมในอาหารชนิดต่าง ๆ แสดงดังตารางข้างล่างนี้ ผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไตสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อพิจารณาเลือกบริโภคอาการได้
อาหาร ปริมาณ ปริมาณโซเดียม
(มิลลิกรัม)
ปลาทูทอด
1/2 ตัวขนาดกลาง (100 กรัม)
1,081
ผักกาดดอง
100 กรัม
1,044
เต้าหู้ยี้
2 ก้อน (15 กรัม)
660
น้ำพริกกะปิ
2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
550
สาหร่ายแผ่นปรุงรส
30 กรัม
520
ไข่เค็ม
1 ฟอง
480
หมูยอ
2 ชิ้นช้อนโต๊ะ
230
ไส้กรอกหมู
2 ชิ้น (30 กรัม)
230
ข้าวโพดแผ่นอบ
15 ชิ้น (30 กรัม)
200
ขนมปัง
1 แผ่น
177
นม
200 มิลลิลิตร
130
ไข่ต้ม
1 ฟอง
120
เนื้อหมูสุก
2 ช้อนโต๊ะ
90
ข้าว
1 ทัพพี
30
ผักกาด
1 ทัพพี
2

อาหารกลุ่มโปรตีน

โปรตีน มีหน้าที่สำคัญในการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เป็นส่วนประกอบของกล้ามเนื้อ และช่วยในการสังเคราะห์สารสำคัญที่ช่วยให้ร่ายกายทำงานเป็นปกติ เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ ภูมิคุ้มกันของร่างกาย เม็ดเลือด เป็นต้น ดังนั้นโปรตีนจึงเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

ผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่มีการสลายของกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น หรือมีภาวะทุพโภชนาการอยู่เดิม ควรมีการกำหนดปริมาณโปรตีนให้รับประทานได้เพียงพอแก่การชดเชยส่วนที่ขาดไป โดยควรเลือกรับประทานอาหารกลุ่มโปรตีนคุณภาพ (high biological value protein) เช่น นม เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เนื้อปลา ไข่ขาว เป็นต้น

อาหารที่มีโพแทสเซียม

โพแทสเซียมช่วยให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานได้เป็นปกติ สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง แพทย์จะกำหนดให้จำกัดปริมาณโพแทสเซียมในอาหาร ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมต่ำ โดยแหล่งอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ผัก ผลไม้ นม ธัญพืช และเครื่องปรุงรสบางชนิดที่เสริมโพแทสเซียม เป็นต้น เราสามารถลดปริมาณโพแทสเซียมในผักได้ด้วยการล้างผักให้สะอาด ปอกเปลือก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือนำผักไปต้มหรือลวก ก่อนนำไปปรุงประกอบอาหาร ก็จะลดปริมาณโพแทสเซียมในผักลงได้

สามารถแบ่งกลุ่มผักและผลไม้ตามปริมาณของโพแทสเซียม ได้ดังนี้

ชนิดอาหาร ผัก
(ต่อผักสุก 1 ทัพพี หรือ ผักดิบ 2 ทัพพี)
ผลไม้
(ต่อ 1 จานเล็ก)
โพแทสเซียมต่ำ
(< 100 มิลลิกรัม)
บวบเหลี่ยม ผักกาดแก้ว หอมหัวใหญ่
ยอดมะระ เห็ดหูหนูดำสด ถั่วพู กะเพรา
ขึ้นฉ่าย ชะอม ตำลึง ต้นหอม ถั่วงอก
ผักกาดขาวใบเขียว ผักกาดหอม
แอปเปิล สับปะรด
ชมพู่เขียว มังคุด เงาะ
สาลี่
โพแทสเซียมปานกลาง
(100 – 250 มิลลิกรัม)
เห็ดนางฟ้า เห็ดหอมสด มะละกอดิบ
กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักโขม มะเขือยาว
ข้าวโพดอ่อน พริกหวาน พริกหยวก
ผักบุ้งจีน คะน้า ฟักเขียว แตงกวา ดอกกุยช่าย
สตรอว์เบอร์รี มะม่วงสุก
องุ่นเขียว ละมุด ลิ้นจี่
โพแทสเซียมสูง
(> 250 มิลลิกรัม)
หัวปลี ต้นกระเทียม มะระจีน หน่อไม้ฝรั่ง
เห็ดฟาง ใบขี้เหล็ก โหระพา ผักชี
หอมแดง ผักกวางตุ้ง ผักบุ้งไทย แคร์รอต
ฟักทอง มะเขือพวง ยอดแค มะเขือเปราะ
มะเขือเทศ บรอกโคลี ปวยเล้ง
ลำใย ลูกเกด ส้ม ลูกพรุน
กล้วยตาก ฝรั่ง กล้วยหอม
ลูกพลับ มะละกอสุก แก้วมังกร
ทุเรียน น้อยหน่า ขนุน
น้ำมะพร้าว น้ำผลไม้

โดยวิธีการคำนวณปริมาณ 1 จานของผลไม้ มีหลักง่าย ๆ ดังนี้

ผลไม้ จาน ตัวอย่าง
ผลไม้ที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
1 จานเล็ก
แตงโม สับปะรด 8 – 10 ชิ้นพอดีคำ
ผลไม้ขนาดใหญ่
1 จานเล็ก
แอปเปิล ส้มเขียวหวาน 1 ผล
ผลไม้ขนาดกลาง
1 จานเล็ก
เงาะ ชมพู่ มังคุด 3 – 4 ผล
ผลไม้ขนาดเล็ก
1 จานเล็ก
ลองกอง ลิ้นจี่ 6 ผล

อาหารที่มีฟอสฟอรัส

ฟอสฟอรัส เป็นแร่ธาตุที่พบมากในกระดูกและเป็นส่วนประกอบหนึ่งในเลือด หากมีฟอสฟอรัสปริมาณมากเกินไปจะมีผลต่อร่างกาย เช่น กระดูกเปราะบาง คันตามผิวหนัง เกิดหินปูนเกาะ ทำให้เกิดโรคหัวใจได้

สำหรับผู้ป่วยโรคไตที่มีฟอสฟอรัสสูงสามารถควบคุมปริมาณฟอสฟอรัสได้หลายวิธี ได้แก่ การฟอกเลือด การรับประทานยาจับฟอสฟอรัส และการควบคุมอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง โดยอัตราการดูดซึมฟอสฟอรัสของร่างกายจะขึ้นกับแหล่งของอาหาร เช่น ฟอสฟอรัสจากส่วนผสมทางเคมีที่ใช้ในการถนอมอาหารและปรุงแต่งอาหารที่เพิ่มรสเพิ่มกลิ่นจะถูกดูดซึมได้มากกว่า 90% ฟอสฟอรัสจากเนื้อสัตว์ นม ไข่ จะถูกดูดซึมได้ประมาณ 60% และฟอสฟอรัสจากพืชจะถูกดูดซึมน้อยกว่า 50% ซึ่งกลุ่มอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง มีดังนี้

  • ไข่แดงของสัตว์ทุกชนิดและผลิตภัณฑ์ของไข่แดง เช่น ทองหยิบ ทองหยอด เบเกอรี่
  • ปลาที่กินทั้งก้าง เช่น ปลากรอบ ปลาไส้ตัน ปลาข้าวสาร ปลาแห้ง ปลาซาร์ดีน
  • เครื่องในสัตว์ กบ เขียด อึ่งอ่าง แย้ แมลงทุกชนิด ปูทะเล กุ้งแห้ง
  • อาหารแปรรูปและอาหารกระป๋อง
  • อาหารแช่แข็ง ผลไม้อบแห้ง
  • อาหารจานด่วนต่างๆ เช่น เบอร์เกอร์ นักเก็ต มันฝรั่งทอด
  • นมและอาหารที่มีส่วนผสมของนม เช่น นมเย็น ชานม เครื่องดื่มชงทรีอินวัน โยเกิร์ต ชีส
  • น้ำอัดลมสีเข้ม เบียร์ น้ำแร่ เครื่องดื่มชูกำลัง
  • กาแฟ ช็อกโกเลต โกโก้
  • ยีสต์ ผงฟู และผลิตภัณฑ์ เช่น เบเกอรี่ต่างๆ ซาลาเปา โดนัท ปาท่องโก๋
  • ลูกเดือย งาดำ เต้าหู ถั่ว และธัญพืชต่าง ๆ

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

  • ผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายไตควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 
  • ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ใกล้เวลาที่ต้องกินยา เพราะจะส่งผลกระทบต่อระดับยาและการกำจัดยาออกจากร่างกายของไต

> กลับสู่สารบัญ

อาหารกับยากดภูมิคุ้มกัน

ผู้ป่วยหลังการผ่าตัดปลูกถ่ายไตทุกราย จะได้รับยากดภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันภาวะปฏิเสธไต การรับประทานยากดภูมิคุ้มกันควรทานอย่างต่อเนื่องและตรงเวลาในทุก ๆ วัน ยาบางชนิดควรทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที บางชนิดไม่ควรรับประทานพร้อมอาหารหรือควรทานตอนท้องว่าง และยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับอาหารบางประเภท จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารนั้น ๆ เพราะจะส่งผลต่อระดับยาและระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ส่งผลให้เป็นพิษต่อร่างกายได้ 

ผู้ป่วยจึงควรทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของอาหารกับยากดภูมิคุ้มกันเบื้องต้น เพื่อให้การรับประทานยามีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัยมากที่สุด สามารถสรุปความสัมพันธ์ของยากับอาหาร ได้ดังนี้

  • ยากดภูมิคุ้มกันที่ควรรับประทานพร้อมอาหาร หรือหลังอาหารทันที ได้แก่

    • Prednisolone
    • Azathioprine (Imuran®)
    • Nystatin (Nyst Oral®)
    • Co-trimoxazole (Bactrim®)
    • Valganciclovir (Valcyte®)
    • Lamivudine (Lamivir®)
  • ยากดภูมิคุ้มกันที่ไม่ควรรับประทานพร้อมอาหาร หรือควรรับประทานขณะท้องว่าง ได้แก่
     
    • Tacrolimus (Advagraf®)
    • Mycophenolate mofetil (Cellcept®)
    • Mycophenolate sodium (Myfortic®)
  • ยากดภูมิคุ้มกันที่ทำปฏิกิริยากับเกรฟฟรุต ทับทิม ขิง ส้มโอ ขมิ้น และโสม ได้แก่
     
    • Cyclosporin (Sandimmume Neoral®)
    • Tacrolimus (Advagraf®, Prograf®)
    • Sirolimus (Rapamune®)
    • Everolimus (Certican®)
  • ยากดภูมิคุ้มกันที่ไม่ควรรับประทานพร้อมนม หรือหากรับประทานนมก็ควรห่างจากเวลารับประทานยา 2 ชั่วโมง ได้แก่
     
    • Cyclosporin (Sandimmume Neoral®)
    • Tacrolimus (Advagraf®), Prograf®)
    • Sirolimus (Rapamune®)
    • Mycophenolate mofetil (Cellcept®)
    • Mycophenolate sodium (Myfortic®)
  • ยากดภูมิคุ้มกันที่ทำปฏิกิริยากับคาเฟอีน (ชา, กาแฟ) หากดื่มชาหรือกาแฟก็ควรห่างจากเวลารับประทานยา 2 ชั่วโมง คือ prednisolone

> กลับสู่สารบัญ

ผู้ปลูกถ่ายไตควรหลีกเลี่ยงอาหารอะไรบ้าง?

อาหารและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ผู้ป่วยปลูกถ่ายไต “ควรหลีกเลี่ยง” มีดังนี้

อาหารหรือ
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
สรรพคุณ ตัวอย่างอาหาร
เกรฟฟรุต
ต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิว
เสริมสร้างคอลลาเจน
ผลเกรฟฟรุต, น้ำเกรฟฟรุต, น้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของเกรฟฟรุต
ทับทิม
ต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิว
เสริมสร้างคอลลาเจน
ผลทับทิม, น้ำทับทิม, น้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของทับทิม
ส้มโอ
ต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิว เสริมสร้างคอลลาเจน
ผลทับทิม, น้ำส้มโอ
ขิง
บรรเทาอาการจุก เสียด แน่นท้อง คลื่นไส้ และอาเจียน
น้ำขิง, ไก่ผัดขิง, ปลานึ่งขิง, บัวลอยน้ำขิง
ขมิ้น
บรรเทาอาการจุก เสียด แน่นท้อง
แกงไตปลา, คั่วกลิ้ง, แกงเหลือง, ขนมจีนน้ำยาใต้, ข้าวหมกไก่, อาหารเสริมต่าง ๆ ที่มีส่วนผสมของขมิ้น
โสม
เสริมภูมิคุ้มกัน ลดอาการอ่อนเพลีย
โสมสด, อาหารเสริมต่าง ๆ ที่มีส่วนผสมของโสม
Echinacea
เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด ป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
อาหารเสริมต่าง ๆ ที่มีส่วนผสมของ Echinacea
ST. John’s Wort
(เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งในยุโรปและอเมริกา)
บรรเทาอาการของโรคซึมเศร้า อาการนอนไม่หลับปรับอารมณ์ ลดอาการซึมเศร้า วิตกกังวล ช่วยให้นอนหลับ
อาหารเสริมต่าง ๆ ที่มีส่วนผสมของ ST. John’s Wort

> กลับสู่สารบัญ

สุขอนามัยด้านอาหารของผู้ได้รับการปลูกถ่ายไต

การได้รับยากดภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานลดลง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นสุขอนามัยด้านอาหารของผู้ได้รับการปลูกถ่ายไตจึงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยแนวทางสุขาภิบาลอาหาร มีดังนี้

การล้างมืออย่างสม่ำเสมอ

  • ก่อนสัมผัสหรือหยิบอาหาร
  • หลังการสัมผัสสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น สัมผัสเนื้อสัตว์สดทุกชนิด เข้าห้องน้ำ สัมผัสสัตว์เลี้ยง สั่งน้ำมูก สัมผัสหน้าหรืออวัยวะต่าง ๆ สัมผัสสิ่งสกปรกต่าง ๆ เป็นต้น
  • ควรล้างมือด้วยสบู่ล้างมือ ถูมือสองข้างให้สะอาดทั่วถึง และเช็ดมือให้แห้งด้วยกระดาษเช็ดมือหรือผ้าสะอาด
  • ผู้สัมผัสอาหารต้องมีสุขอนามัยที่ดี เช่น ไม่เจ็บป่วย ไม่ไอจามใส่อาหาร 

การลดการปนเปื้อนต่าง ๆ

  • แยกเก็บอาหารสดตามประเภท ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อหมู สัตว์ปีก อาหารทะเล ผัก ผลไม้ และไข่ แยกเก็บในตู้เย็น
  • แยกพื้นที่ในการประกอบอาหารสุก พื้นที่ในการเตรียมอาหารดิบ และเนื้อสัตว์ดิบต่าง ๆ ให้เป็นสัดส่วน
  • ล้างทำความสะอาดไข่ก่อนนำมาปรุงอาหารด้วยน้ำสะอาด แล้วใช้ฟองน้ำถูเปลือกไข่
  • แยกใช้เขียงสำหรับหั่นอาหารตามประเภทอาหาร เช่น เขียงอาหารปรุงสุก เขียงอาหารทะเล เป็นต้น 
  • ไม่นำน้ำซอสหมักเนื้อดิบมาใช้ซ้ำ ถ้าจะใช้ซ้ำต้องนำไปต้มให้สุกอีกรอบก่อน
  • ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทาน กรณีผักใบให้เด็ดออกทีละใบก่อนล้าง วิธีการล้างผักและผลไม้ ได้แก่

    • ใช้มือถู ปล่อยน้ำไหลผ่านทีละส่วน ประมาณ 2 นาที
    • แช่ในน้ำเกลือนาน 10 นาที (โดยใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร) และล้างออกด้วยน้ำสะอาด
    • แช่ในน้ำผสมโซเดียมไบคาร์บอเนต (โดยใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต 1/2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 10 ลิตร) และล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  • แยกประเภทผ้าที่ใช้ทำความสะอาดโต๊ะและภาชนะ
  • จัดเตรียมพื้นที่รับประทานอาหารให้สะอาด

การปรุงและรับประทานอาหารอย่างปลอดภัย

  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ รวมทั้งอาหารและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์
  • ปอกเปลือกผลไม้ก่อนรับประทาน
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงสุกแล้วเก็บไว้ข้ามวัน หากเก็บต้องเก็บในตู้เย็น และอุ่นร้อนก่อนรับประทานทุกครั้ง
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกทั่วถึงทั้งชิ้น เพื่อป้องกันเชื้อโรค และสิ่งปนเปื้อน
  • การละลายน้ำแข็งก่อนนำอาหารแช่แข็งมาใช้ ไม่ควรวางให้ละลายที่อุณหภูมิห้อง ควรนำพักไว้ในช่องแช่เย็นปกติก่อนถึงเวลาใช้งาน หรือแช่ในน้ำเย็นโดยต้องมีถุงหรือภาชนะห่อหุ้มอาหาร หรือนำเข้าละลายน้ำแข็งในไมโครเวฟ เมื่อละลายแล้วต้องใช้ทันที
  • ไม่แนะนำการปรุงประกอบอาหารด้วยไมโครเวฟ เพราะไม่สามารถทำลายเชื้อโรคบางชนิดได้

การเก็บรักษาอาหาร

  • เก็บรักษาอาหารและวัตถุดิบในอุณหภูมิที่เหมาะสมกับประเภทอาหาร แสดงดังรูป
  • เก็บอาหารทุกชนิดหากยังไม่ได้รับประทาน และอาหารเหลือจากที่รับประทานแล้ว ให้นำเข้าตู้เย็นภายใน 2 ชั่วโมง หลังจากปรุงประกอบเสร็จ
  • เก็บอาหารในภาชนะปิดมิดชิด แยกเก็บตามชนิดของอาหาร และใส่อาหารในปริมาณครั้งละไม่มากเกินไปเพื่อให้ความเย็นทั่วถึง
  • หลักการเก็บอาหารในตู้เย็น แสดงดังตาราง
ช่องในตู้เย็น อาหารที่เหมาะสม ตัวอย่าง
ช่องแช่แข็ง (-18 °C)
เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์อาหารอื่นที่ต้องการความเย็นจัด
เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ไอศกรีม น้ำแข็ง
ช่องเย็นที่สุด (0 – 5 °C)
อาหารที่ต้องการความเย็น แต่ไม่ต้องแช่แข็ง
อาหารพร้อมปรุง อาหารปรุงสำเร็จ
ช่องเย็นธรรมดา (5 – 7 °C)
อาหารที่ไม่ต้องการความเย็นมาก
นม โยเกิร์ต น้ำผลไม้ ไข่ น้ำดื่ม
ช่องเก็บผัก (8 – 10 °C)
ผัก ผลไม้ ที่เน่าเสียง่าย ยกเว้น ผลไม้เมืองร้อนทุกชนิด
ผัก ผลไม้
  • อุณหภูมิที่เหมาะสมและระยะเวลาในการเก็บอาหารที่เหมาะสม แสดงดังตาราง
ชนิดอาหาร อุณหภูมิ (°C) ระยะเวลาการเก็บรักษา
เนื้อวัว เนื้อหมูสด
0 – 3
3 – 5 วัน
เนื้อสัตว์ปีก (ไก่ เป็ด)
4 – 5
1 – 2 วัน
อาหารทะเล
(-1) ถึง 1
1 – 2 วัน
ไข่ดิบ
4 – 5
1 สัปดาห์
ไข่สุก
4 – 5
1 เดือน
อาหารปรุงสำเร็จ
4 – 5
3 – 4 วัน
นมสดพาสเจอไรซ์
1 – 7
5 – 7 วัน
ผัก-ผลไม้ที่ล้างทำความสะอาดแล้ว
7 – 10
3 – 5 วัน
ผลิตภัณฑ์บรรจุถุงสุญญากาศ (เช่น ไข่ ไก่ แฮม ทูน่า สลัด มักกะโรนี เป็นต้น)
4 – 5
3 – 5 วัน
ไส้กรอก (จากเนื้อหมู เนื้อวัว ไก่ ไก่งวง)
4 – 5
1 – 2 วัน

(ที่มา: คู่มือวิชาการสุขาภิบาลอาหารสำหรับเจ้าหน้าที่, 2566)

> กลับสู่สารบัญ

สรุป

การปลูกถ่ายไตถือว่าเป็นการวิธีการรักษาโรคไตวายเรื้อรังที่ให้ผลการรักษาดีกว่าการรักษาแบบอื่น ๆ ซึ่งการผ่าตัดปลูกถ่ายไตเป็นการผ่าตัดใหญ่จำเป็นต้องมีการเตรียมร่างกายของทั้งผู้บริจาคไต และผู้รับบริจาคไตก่อนการผ่าตัด ระหว่างผ่าตัด และหลังผ่าตัด เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุดของไตใหม่ และความปลอดภัยของทั้งผู้บริจาคและรับบริจาคไต และหลังจากการปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตต้องระมัดระวังและเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันภาวะที่ร่างกายปฏิเสธไตใหม่ ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และยืดอายุการทำงานของไตให้ยาวนานขึ้นด้วย

ผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายไต ควรรับประทานอาหารที่ให้พลังงานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีนคุณภาพสูง และไขมันชนิดที่ดีเพื่อให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดอยู่ในระดับปกติ  และควรมีการจำกัดปริมาณของเกลือแร่ที่ได้รับจากอาหาร เช่น โซเดียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส เพื่อคงสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกายซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของไตโดยตรง

ผู้ป่วยปลูกถ่ายไตเลือกรับประทานอาหารอย่างระมัดระวัง ควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด เช่น ขิง ข่า โสม ส้มโอ และทับทิม เป็นต้น เพราะมีผลต่อระดับของยากดภูมิคุ้มกันทำให้เกิดพิษในร่างกายได้ อาหารบางชนิดก็ไม่ควรรับประทานพร้อมกับยากดภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น แอลกอฮอล์ นม และกาแฟ อีกทั้งผู้ป่วยหลังการปลูกถ่ายไตมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย จึงควรให้ความสำคัญในเรื่องของการสุขาภิบาลอาหารอย่างถูกวิธีเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ

การรับประทานอาหารหลังปลูกถ่ายไตอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ไตใหม่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี

คลิกดูแพ็กเกจที่เกี่ยวข้องที่นี่

แพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคไต

รายละเอียด

แพ็กเกจตรวจคัดกรองเบาหวาน (Diabetic Screening)

รายละเอียด

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

รายละเอียด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

สนใจนัดหมาย

> กลับสู่สารบัญ

บทความล่าสุด

ทำไมกินหมูแล้วหูดับ?

อ่านเพิ่มเติม
หัวใจล้มเหลว

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

อ่านเพิ่มเติม
ลิ้นหัวใจเทียม

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

อ่านเพิ่มเติม
ดูบทความทั้งหมด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V

ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

  • Praram 9 Hospital
  • @praram9hospital

แพทย์ผู้เขียนบทความ

 

ศูนย์แพทย์

บทความอื่นๆ

ทำไมกินหมูแล้วหูดับ?

โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อสู่คนได้ 2 ทาง

อ่านเพิ่มเติม
หัวใจล้มเหลว

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

อ่านเพิ่มเติม
ลิ้นหัวใจเทียม

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

อ่านเพิ่มเติม
อ่านบทความทั้งหมด
Facebook-f Youtube Instagram Line
  • 1270
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • นัดหมาย
  • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ข่าว และกิจกรรม รพ.
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • นักลงทุนสัมพันธ์
  • การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
  • ร่วมงานกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • ข้อกำหนดและเงื่อนไข

Copyright © 2025 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Praram 9 Star Doctors
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา