โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) คือการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และปรสิตจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้รับการป้องกันที่ถูกต้อง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นโรคติดต่อที่พบได้สูงขึ้นในปัจจุบันและเป็นโรคที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายชนิด ผู้ติดเชื้ออาจไม่ทราบว่าภายในร่างกายได้รับเชื้อแล้ว แต่จะสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิดอาจไม่แสดงอาการให้เห็นในระยะเริ่มต้น แต่จะเริ่มทำลายระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายก่อนจะแสดงอาการออกมาภายหลัง
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ที่พบได้บ่อยมีอะไรบ้าง?
โรคซิฟิลิส (Syphilis)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อจากแบคทีเรียชื่อ Treponema pallidum โดยเชื้อโรคนี้จะสามารถติดต่อผ่านทางต่างๆ ได้ดังนี้ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้รับการป้องกันที่เหมาะสมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก และทางช่องปาก และยังสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสทางร่างกายได้อีกด้วย เช่น การสัมผัสแผลเปิด/แผลติดเชื้อตามร่างกาย การจูบ นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อผ่านทางเลือดรวมถึงการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในระบบประสาทอีกด้วยจึงถือว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่น่ากลัวมากๆ อีกโรคหนึ่ง
โรคหนองในแท้ (Gonorrhoea)
เป็นอีกหนึ่งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย การติดเชื้อจากโรคหนองในแท้สามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันโดยมีหรือไม่มีน้ำอสุจิก็ได้ และยังติดต่อได้ทั้งทางช่องคลอด ทางทวารหนัก ทางช่องปาก หรือการสัมผัสเยื่อบุตามอวัยวะต่างๆ อันตรายอีกหนึ่งอย่างของโรคหนองในคือส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ โดยเฉพาะในเพศหญิงอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะมีบุตรยาก และท้องนอกมดลูก
โรคหนองในเทียม (Chlamydia)
โรคหนองในเทียมลักษณะคล้ายโรคหนองในแท้ แต่โรคหนองในเทียมเกิดได้จากเชื้อหลายชนิดกว่าโรคหนองในแท้ และมีลักษณะโรคที่เกิดขึ้นได้เล็กกว่า สามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสเยื่อบุผิวตามอวัยวะต่างๆ เช่น องคชาต ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก ทวารหนัก ช่องปาก ลำคอโดยเชื้อจะอยู่ในสารคัดหลั่งรวมไปถึงน้ำอสุจิด้วย หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยก็สามารถติดเชื้อมาได้โดยตรง
โรคเริม (Herpes)
โรคเริมสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสเชื้อจากผู้ติดเชื้อ เช่น การจูบ การสัมผัสผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อ และจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อ โดยโรคเริมสามารถรักษาได้แต่ไม่หายขาด หากร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดีก็จะทำให้โรคสงบขึ้นได้ แต่หากช่วงไหนที่ผู้ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันต่ำเชื้อเริมก็จะสามารถกลับมาแสดงอาการได้อีก
เชื้อไวรัส HPV
เชื้อ HPV เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกที่ติดต่อได้ง่ายทางเพศสัมพันธ์ หรือจากการสัมผัสบริเวณอวัยวะเพศของผู้ที่มีเชื้อ หากได้รับเชื้อ HPV เชื้อตัวนี้จะเข้าไปเปลี่ยนเซลล์ปากมดลูกให้มีความผิดปกติและกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด เชื้อ HPV มีหลากหลายสายพันธุ์ แต่เชื้อ HPV ชนิดที่ก่อมะเร็งที่พบได้บ่อย คือ สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกถึง 70% และสายพันธุ์ที่ 6 และ 11 ก็อาจเป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่ได้
เชื้อไวรัส HIV
เชื้อไวรัส HIV คือเชื้อที่สามารถติดต่อได้ง่ายมากๆ การติดเชื้อหลักจะสามารถติดได้จากเลือด เช่น การส่งผ่านเชื้อจากแม่สู่ลูกในครรภ์ และการใช้ของที่ติดเชื้อร่วมกัน เช่น การใช้สารเสพติด หรือแม้กระทั่งการใช้เข็มติดเชื้อ และสามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้มีการป้องกันที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีเลือดก็จะสามรถติดต่อได้ง่ายมากขึ้น
โรคหูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminatum)
โรคหูดหงอนไก่เป็นผลมาจากการติดเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ที่ 6 และสายพันธุ์ที่ 11 ซึ่งเชื้อ HPV สายพันธุ์นี้สามารถติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์ และยังสามารถติดต่อได้ผ่านทางการสัมผัสผิวหนังได้ด้วย
โรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasi)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อ Trichomonas vaginalis โดยเชื้อตัวนี้มีขนาดเล็กมากๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มักจะพบได้บ่อยในเพศหญิง และไม่ค่อยแสดงอาการในระยะเริ่มต้น
อาการจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?
สำหรับอาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะคล้ายกันบางอาการ ได้แก่
- เป็นผื่นหรือคันที่อวัยวะเพศ
- มีอาการแสบเวลาปัสสาวะ
- เจ็บแผล เป็นตุ่ม หรือมีหนองที่อวัยวะเพศ
- มีติ่งหรือก้อนเนื้อขึ้นบริเวณผิวหนัง
- เจ็บปวดที่อวัยวะเพศหรือท้องน้อย
- มีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
แต่จะมีบางอาการจะจำเพาะกับอวัยวะของแต่ละเพศ
อาการในเพศชาย
- มีน้ำหรือหนองออกมาจากท่อปัสสาวะ
- มีแผลริมแข็งที่อวัยวะเพศ
อาการในเพศหญิง
- คันหรือตกขาวในช่องคลอด
- ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
- สีของตกขาวผิดปกติไปจากเดิม
พฤติกรรมใดบ้างที่เสี่ยงติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?
- การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ทางทวารหนัก หรือทางช่องคลอดโดยไม่มีการป้องกัน
- การใช้สารเสพติด รวมถึงใช้อุปกรณ์เสริมทางเพศร่วมกัน
- บุคคลที่มีเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชายให้บริการทางเพศโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- บุคคลมีคู่เพศสัมพันธ์มากกว่า 1 คน
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือ ถุงยางอนามัยแตก รั่ว หลุด (ช่องทางใดช่องทางหนึ่งหรือทุกช่องทางที่ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์)
- คู่เพศสัมพันธ์เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- มีประวัติการป่วยติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ 1 ครั้งขึ้นไปในรอบปีที่ผ่านมา
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ติดต่อได้ทางใดบ้าง?
- เชื้อสามารถส่งต่อจากคนสู่คนผ่านเลือด น้ำอสุจิ อวัยวะเพศ และของเหลวในร่างกาย ซึ่งมักส่งต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์
- โรคบางโรคติดต่อจากการสัมผัสทางใดทางหนึ่งได้แก่ ทางปาก ช่องคลอด หรือทวารหนัก
นอกเหนือจากเพศสัมพันธ์แล้ว โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังสามารถส่งต่อจากคนสู่คนด้วยการใช้เข็มร่วมกัน การให้เลือด หรือแม้กระทั่งจากแม่สู่ลูกในขณะตั้งครรภ์ หรือขณะคลอดบุตรได้
ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างไรบ้าง?
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์อย่างถูกต้อง
- ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีคู่นอนเดียวที่ไม่มีความเสี่ยงต่อโรค
- รักษาความสะอาดร่างกาย และบริเวณอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้โรคบางโรคสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันเช่น วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี และวัคซีน HPV ซึ่งสามารถฉีดได้ทั้งเพศชายและเพศหญิงอีกด้วยครับ
*** สนใจบริการ Telemedicine และ Smart Healthcare Service สามารถนัดหมายเพื่อเข้ารับการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้ โดย Scan QR Code ของศูนย์โรงพยาบาลออนไลน์ ได้ที่นี่
หรือ ติดต่อเจ้าหน้าที่ศูนย์โรงพยาบาลออนไลน์ (Praram9V) โดย add line : @praram9v หรือ click https://lin.ee/euA1bAc เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม ได้เลยค่ะ
**เวลาทำการ : ทุกวัน เวลา 08.00 – 20.00 น.