บทความสุขภาพ

Knowledge

เซ็กซ์เป็นเรื่องใกล้ตัว…โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก็เช่นกัน!

นพ. จิรายุ ฉิมวิไลทรัพย์

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) คือการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และปรสิตจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้รับการป้องกันที่ถูกต้อง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นโรคติดต่อที่พบได้สูงขึ้นในปัจจุบันและเป็นโรคที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายชนิด ผู้ติดเชื้ออาจไม่ทราบว่าภายในร่างกายได้รับเชื้อแล้ว แต่จะสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิดอาจไม่แสดงอาการให้เห็นในระยะเริ่มต้น แต่จะเริ่มทำลายระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายก่อนจะแสดงอาการออกมาภายหลัง


โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) ที่พบได้บ่อยมีอะไรบ้าง?


โรคซิฟิลิส (Syphilis)


เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อจากแบคทีเรียชื่อ Treponema pallidum โดยเชื้อโรคนี้จะสามารถติดต่อผ่านทางต่างๆ ได้ดังนี้ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้รับการป้องกันที่เหมาะสมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก และทางช่องปาก และยังสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสทางร่างกายได้อีกด้วย เช่น การสัมผัสแผลเปิด/แผลติดเชื้อตามร่างกาย การจูบ นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อผ่านทางเลือดรวมถึงการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในระบบประสาทอีกด้วยจึงถือว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่น่ากลัวมากๆ อีกโรคหนึ่ง


โรคหนองในแท้ (Gonorrhoea)


เป็นอีกหนึ่งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย การติดเชื้อจากโรคหนองในแท้สามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันโดยมีหรือไม่มีน้ำอสุจิก็ได้ และยังติดต่อได้ทั้งทางช่องคลอด ทางทวารหนัก ทางช่องปาก หรือการสัมผัสเยื่อบุตามอวัยวะต่างๆ อันตรายอีกหนึ่งอย่างของโรคหนองในคือส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ โดยเฉพาะในเพศหญิงอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะมีบุตรยาก และท้องนอกมดลูก


โรคหนองในเทียม (Chlamydia)


โรคหนองในเทียมลักษณะคล้ายโรคหนองในแท้ แต่โรคหนองในเทียมเกิดได้จากเชื้อหลายชนิดกว่าโรคหนองในแท้ และมีลักษณะโรคที่เกิดขึ้นได้เล็กกว่า สามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสเยื่อบุผิวตามอวัยวะต่างๆ เช่น องคชาต ท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก ทวารหนัก ช่องปาก ลำคอโดยเชื้อจะอยู่ในสารคัดหลั่งรวมไปถึงน้ำอสุจิด้วย หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยก็สามารถติดเชื้อมาได้โดยตรง


โรคเริม (Herpes)


โรคเริมสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสเชื้อจากผู้ติดเชื้อ เช่น การจูบ การสัมผัสผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อ และจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อ โดยโรคเริมสามารถรักษาได้แต่ไม่หายขาด หากร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดีก็จะทำให้โรคสงบขึ้นได้ แต่หากช่วงไหนที่ผู้ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันต่ำเชื้อเริมก็จะสามารถกลับมาแสดงอาการได้อีก


เชื้อไวรัส HPV


เชื้อ HPV เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกที่ติดต่อได้ง่ายทางเพศสัมพันธ์ หรือจากการสัมผัสบริเวณอวัยวะเพศของผู้ที่มีเชื้อ หากได้รับเชื้อ HPV เชื้อตัวนี้จะเข้าไปเปลี่ยนเซลล์ปากมดลูกให้มีความผิดปกติและกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด เชื้อ HPV มีหลากหลายสายพันธุ์ แต่เชื้อ HPV ชนิดที่ก่อมะเร็งที่พบได้บ่อย คือ สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกถึง 70% และสายพันธุ์ที่ 6 และ 11 ก็อาจเป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่ได้


เชื้อไวรัส HIV


เชื้อไวรัส HIV คือเชื้อที่สามารถติดต่อได้ง่ายมากๆ การติดเชื้อหลักจะสามารถติดได้จากเลือด เช่น การส่งผ่านเชื้อจากแม่สู่ลูกในครรภ์ และการใช้ของที่ติดเชื้อร่วมกัน เช่น การใช้สารเสพติด หรือแม้กระทั่งการใช้เข็มติดเชื้อ และสามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้มีการป้องกันที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีเลือดก็จะสามรถติดต่อได้ง่ายมากขึ้น


โรคหูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminatum)


โรคหูดหงอนไก่เป็นผลมาจากการติดเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ที่ 6 และสายพันธุ์ที่ 11 ซึ่งเชื้อ HPV สายพันธุ์นี้สามารถติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์ และยังสามารถติดต่อได้ผ่านทางการสัมผัสผิวหนังได้ด้วย


โรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasi)


เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อ Trichomonas vaginalis โดยเชื้อตัวนี้มีขนาดเล็กมากๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มักจะพบได้บ่อยในเพศหญิง และไม่ค่อยแสดงอาการในระยะเริ่มต้น


อาการจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?


สำหรับอาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะคล้ายกันบางอาการ ได้แก่


  • เป็นผื่นหรือคันที่อวัยวะเพศ
  • มีอาการแสบเวลาปัสสาวะ
  • เจ็บแผล เป็นตุ่ม หรือมีหนองที่อวัยวะเพศ
  • มีติ่งหรือก้อนเนื้อขึ้นบริเวณผิวหนัง
  • เจ็บปวดที่อวัยวะเพศหรือท้องน้อย
  • มีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์

แต่จะมีบางอาการจะจำเพาะกับอวัยวะของแต่ละเพศ


อาการในเพศชาย


  • มีน้ำหรือหนองออกมาจากท่อปัสสาวะ
  • มีแผลริมแข็งที่อวัยวะเพศ

อาการในเพศหญิง


  • คันหรือตกขาวในช่องคลอด
  • ช่องคลอดมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ
  • สีของตกขาวผิดปกติไปจากเดิม

พฤติกรรมใดบ้างที่เสี่ยงติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?


  • การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ทางทวารหนัก หรือทางช่องคลอดโดยไม่มีการป้องกัน
  • การใช้สารเสพติด รวมถึงใช้อุปกรณ์เสริมทางเพศร่วมกัน
  • บุคคลที่มีเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชายให้บริการทางเพศโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
  • บุคคลมีคู่เพศสัมพันธ์มากกว่า 1 คน
  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือ ถุงยางอนามัยแตก รั่ว หลุด (ช่องทางใดช่องทางหนึ่งหรือทุกช่องทางที่ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์)
  • คู่เพศสัมพันธ์เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • มีประวัติการป่วยติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ 1 ครั้งขึ้นไปในรอบปีที่ผ่านมา

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ติดต่อได้ทางใดบ้าง?


  • เชื้อสามารถส่งต่อจากคนสู่คนผ่านเลือด น้ำอสุจิ อวัยวะเพศ และของเหลวในร่างกาย ซึ่งมักส่งต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์
  • โรคบางโรคติดต่อจากการสัมผัสทางใดทางหนึ่งได้แก่ ทางปาก ช่องคลอด หรือทวารหนัก

นอกเหนือจากเพศสัมพันธ์แล้ว โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังสามารถส่งต่อจากคนสู่คนด้วยการใช้เข็มร่วมกัน การให้เลือด หรือแม้กระทั่งจากแม่สู่ลูกในขณะตั้งครรภ์ หรือขณะคลอดบุตรได้


ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างไรบ้าง?


  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์อย่างถูกต้อง
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือมีคู่นอนเดียวที่ไม่มีความเสี่ยงต่อโรค
  • รักษาความสะอาดร่างกาย และบริเวณอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากนี้โรคบางโรคสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันเช่น วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี และวัคซีน HPV ซึ่งสามารถฉีดได้ทั้งเพศชายและเพศหญิงอีกด้วยครับ


*** สนใจบริการ Telemedicine และ Smart Healthcare Service สามารถนัดหมายเพื่อเข้ารับการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้ โดย Scan QR Code ของศูนย์โรงพยาบาลออนไลน์ ได้ที่นี่

pr9v-vdo-call-cta.jpg

หรือ ติดต่อเจ้าหน้าที่ศูนย์โรงพยาบาลออนไลน์ (Praram9V) โดย add line : @praram9v หรือ click https://lin.ee/euA1bAc เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม ได้เลยค่ะ


**เวลาทำการ : ทุกวัน เวลา 08.00 – 20.00 น.

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. จิรายุ ฉิมวิไลทรัพย์

นพ. จิรายุ ฉิมวิไลทรัพย์

ศูนย์ตรวจสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital