บทความสุขภาพ

Knowledge

ตรวจแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์ เพื่อรู้ทันมะเร็งเต้านมก่อนจะลุกลาม

เป็นที่ทราบกันดีว่า การรักษามะเร็งเต้านมให้ได้ผลดีนั้นคือการตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะต้น ๆ จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมักไม่มีอาการเริ่มแรกแสดงให้เห็น หรืออาจเป็นอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้มองข้ามไป จนกระทั่งมะเร็งเริ่มอยู่ในระยะลุกลาม มีอาการเด่นชัด แล้วค่อยมาพบแพทย์ ซึ่งอาจสายเกินไป


การตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์เต้านมเมื่อถึงเกณฑ์ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้อัตราการรอดชีวิตสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้ป่วยมีทางเลือกในการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดเต้านมทิ้ง


รศ.นพ.ประกาศิต จิรัปปภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลพระรามเก้า ท่านมีความชำนาญในการดูแลและรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเป็นอย่างดี เนื่องจากดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมาเป็นจำนวนมากและหลายช่วงอายุ ได้มาให้คำแนะนำวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมกับเราในบทความนี้


mammogram-and-breast-ultrasound-1.jpg

ใครบ้างที่ควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม


เกณฑ์ที่เหมาะสมที่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรอง ดังนี้


เพศหญิง


ในแต่ละช่วงอายุควรปฏิบัติดังนี้


  • อายุ 20 ปีขึ้นไป ควรตรวจคลำเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ
  • อายุ 30-35 ปี ตรวจเป็นพื้นฐาน (base line)
  • อายุ 35-49 ปี ตรวจทุก 1-2 ปี
  • อายุ 50 ปีขึ้นไป ตรวจปีละ 1 ครั้ง

ผู้ที่มีปัจจัยอื่น ๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงโอกาสเกิดมะเร็งเต้านม


ควรปรึกษาแพทย์และเข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี อย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อปี

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.praram9.com/breast-cancer-staging/


แต่หากพบความผิดปกติ เช่น คลำพบก้อนที่เต้านม หรือเต้านมมีรูปร่างผิดปกติเปลี่ยนไปจากเดิม กรณีนี้ต้องเข้าพบแพทย์ทันที


mammogram-and-breast-ultrasound-2.jpg

การตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรม (mammogram) และอัลตร้าซาวด์ (breast ultrasound)


เนื่องจากมะเร็งเต้านมในระยะแรกไม่มีอาการ ดังนั้นการคัดกรองด้วยเครื่องดิจิทัลแมมโมแกรม (Digital Mammogram) และอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) เข้ามาช่วย จะทำให้สามารถพบความผิดปกติในระยะแรกได้ โดยทั้ง 2 เทคนิคต่างล้วนมีความสำคัญต่อการตรวจพบมะเร็งเต้านม


การตรวจแมมโมแกรม (mammogram)


การตรวจแมมโมแกรม (mammogram) คือ เทคโนโลยีการตรวจทางรังสีชนิดพิเศษ คล้ายกับการตรวจเอกซเรย์ แต่ใช้ปริมาณรังสีน้อยกว่าเครื่องเอกซเรย์ทั่วไป 30-60% โดยแพทย์จะใช้เครื่องแมมโมแกรม ซึ่งเป็นเครื่องเอกซเรย์แบบพิเศษในการตรวจ เทคนิคนี้มีประสิทธิภาพในการตรวจหามะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก เนื่องจากภาพที่ได้จากการตรวจมีความละเอียดสูง สามารถเห็นความผิดปกติได้ เช่น จุดหินปูนหรือเนื้อเยื่อที่ผิดปกติขนาดเล็ก (microcalcification) หรือก้อนที่มีลักษณะแข็ง (solidmass) ทำให้สามารถระบุตำแหน่งและค้นหาความผิดปกติของเต้านมได้อย่างถูกต้อง แม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น


ตรวจมะเร็งได้ มีความปลอดภัย ไร้รังสีตกค้าง


เทคโนโลยีแมมโมแกรมทำให้แพทย์สามารถตรวจสอบเนื้องอกขนาดเล็กได้ดีขึ้น ทำให้วางแผนการรักษาได้เหมาะสม และเพิ่มโอกาสหายขาดจากมะเร็งร้ายได้ นอกจากนี้ เครื่องแมมโมแกรมจะเป็นรังสีเอกซเรย์พลังงานต่ำ จึงไม่มีรังสีตกค้างในร่างกายหลังตรวจเสร็จ และไม่มีผลข้างเคียงกับร่างกาย


เตรียมตัวอย่างไร สำหรับการตรวจแมมโมแกรม


ผู้เข้ารับการตรวจควรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบ 2 ชิ้น บน-ล่าง เพื่อความสะดวก และสามารถกินอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่ห้ามทาแป้ง โลชั่น โรลออน ฉีดสเปรย์ หรือใช้สารระงับกลิ่นกายทุกชนิด ในบริเวณเต้านมและรักแร้


การทำแมมโมแกรม จะทำการบีบเนื้อนมเข้าหากัน แล้วทำการถ่ายรูปจากด้านบน และด้านข้าง หากพบจุดที่น่าสงสัย อาจถ่ายรูปเพิ่มหรือขยายรูป เพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น ขณะตรวจอาจจะรู้สึกเจ็บได้ จึงแนะนำให้เข้ารับการตรวจในช่วงที่เต้านมตึงน้อยที่สุด โดยในระหว่างตรวจ หากรู้สึกเจ็บมากสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ เพื่อให้ลดแรงกดลง


นอกจากนี้ หากเคยตรวจแมมโมแกรมมาก่อน ควรนำผลตรวจเดิมมาด้วย และหากมาด้วยอาการผิดปกติของเต้านม ควรแจ้งให้แพทย์ผู้ตรวจทราบทันที


mammogram-and-breast-ultrasound-3.jpg

การตรวจด้วยอัลตร้าซาวด์เต้านม (breast ultrasound)


การตรวจอัลตร้าซาวด์เต้านม (breast ultrasound) คือ การตรวจโดยการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงเข้าไปในเนื้อเต้านม โดยคลื่นเสียงจะไปกระทบกับส่วนต่าง ๆ จะสะท้อนกลับขึ้นมาที่เครื่องตรวจ ทำให้สามารถบอกความแตกต่างขององค์ประกอบเนื้อเยื่อได้ว่าเป็นเนื้อเยื่อเต้านมปกติ เป็นถุงน้ำ หรือเป็นก้อนเนื้อ การตรวจนี้จะทำให้ได้ผลการตรวจที่แม่นยำขึ้นในผู้ป่วยที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น แต่จะมีข้อจำกัดตรงที่ไม่สามารถตรวจพบหินปูนขนาดเล็กได้ ดังนั้นควรตรวจควบคู่กับแมมโมแกรม เพื่อความแม่นยำและถูกต้องในการค้นหามะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรก และนำไปสู่การวางแผนการรักษาที่มีประสิทธิภาพต่อไป


ใครควรตรวจอัลตร้าซาวด์บ้าง

เทคนิคนี้จะเหมาะกับคนอายุน้อยกว่า 25 ปี และเหมาะกับคนที่มีเต้านมหนาแน่นมาก แต่ผู้ที่มีอายุมากกว่านั้นก็สามารถตรวจด้วยวิธีนี้ได้ โดยตรวจร่วมกับการทำแมมโมแกรม


นอกจากนี้ อัลตร้าซาวด์ยังเหมาะกับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ผู้หญิงในช่วงให้นมบุตร รวมถึงคนที่ผ่านการเสริมหน้าอกมา


เตรียมตัวอย่างไร สำหรับการตรวจอัลตร้าซาวด์


ผู้เข้ารับการตรวจสามารถกินอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่ห้ามทาแป้ง โลชั่น โรลออน หรือฉีดสเปรย์ระงับกลิ่น ในบริเวณเต้านมและรักแร้ โดยทางโรงพยาบาลจะเตรียมเสื้อผ้าสำหรับเข้ารับการตรวจให้


สำหรับขั้นตอนการตรวจนั้น จะเหมือนกับการอัลตร้าซาวด์ที่อวัยวะส่วนอื่น โดยการใช้หัวตรวจ (Transducer) วางบนผิวหนัง และจะเห็นภาพฉายที่ปรากฏที่หน้าจอ ซึ่งแพทย์จะบันทึกภาพไว้เพื่อใช้วิเคราะห์ต่อไป


หากเคยเสริมหน้าอกมาแล้ว หรือมีความผิดปกติอื่น ๆ ของเต้านม ควรแจ้งให้แพทย์ผู้ตรวจทราบด้วย


mammogram-and-breast-ultrasound-4.jpg

ตรวจแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์คู่กัน ไม่ให้มะเร็งเล็ดลอด


การตรวจแมมโมแกรมแม้ว่าจะมีความแม่นยำสูง แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ผู้ที่เนื้อเต้านมหนาแน่นมาก จะทำให้ความแม่นยำในการตรวจด้วยแมมโมแกรมลดลง หรืออาการบางอย่างของมะเร็ง ที่แมมโมแกรมเพียงอย่างเดียว ไม่อาจสรุปผลได้ หรือ ผู้ป่วยบางราย ที่มีผื่นบริเวณหัวนม หรือมีของเหลวผิดปกติซึมออกจากหัวนม ซึ่งอาจจะเป็นอาการของมะเร็งในระยะแรก แต่อาจไม่พบความผิดปกติเมื่อตรวจด้วยแมมโมแกรม และในบางกรณี ขณะตรวจแมมโมแกรมอาจหนีบไม่ถึงก้อนเนื้อที่ผิดปกติ และไม่สามารถดึงเต้านมให้เข้ามาอยู่ในฟิล์มได้ เนื่องจากก้อนเนื้อบางตำแหน่งอยู่ด้านในมาก ๆ หรืออยู่บริเวณขอบของฐานเต้านมมาก ๆ ดังนั้น แพทย์จึงแนะนำให้ ตรวจแมมโมแกรมร่วมกับการอัลตร้าซาวด์เต้านม และร่วมกับการตรวจร่างกายโดยแพทย์เฉพาะทาง เพื่อความแม่นยำและถูกต้องที่มากยิ่งขึ้น


mammogram-and-breast-ultrasound-5.jpg

สรุป


ขึ้นชื่อว่า “มะเร็ง” แล้ว ถ้าตรวจพบตั้งแต่เริ่มแรก โอกาสที่จะรักษาให้หายนั้นมีมาก แต่ถ้าปล่อยไว้จนกระทั่งเป็นมากแล้ว โอกาสรักษาให้หายก็จะมีน้อยลง จึงควรมาตรวจหาให้พบมะเร็งร้ายเสียก่อน โดยปฏิบัติตามขั้นตอนที่แนะนำไว้แล้วในบทความข้างต้น


ทั้งนี้ การตรวจพบเร็วไม่เพียงส่งผลดีต่อการรักษา แต่ยังช่วยให้เรามีทางเลือกในการรักษาที่หลากหลายขึ้น เพื่อตัวเราเองจะได้มีความสุขกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีไปนาน ๆ


หากสนใจโปรแกรมตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม สามารถทำนัดหมายหรือศึกษาแพ็คเกจที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เต้านม โรงพยาบาลพระรามเก้า


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital