Skip to content
  • EN
    • TH
    • CN
    • AR
  • EN
    • TH
    • CN
    • AR
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us
Menu
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us

Day: May 9, 2019

ธ.ธนาคาร (sperm)

สูตินารี: ธ.ธนาคาร (sperm) ธ.ธนาคาร เอ่ยถึงธนาคารในวันนี้ หลายๆ คนอาจจะสะดุ้งเพราะต่างก็เป็นลูกหนี้ธนาคารมากกว่าที่เป็นเจ้าหนี้ ถึงแม้เจ้าหนี้ของธนาคารเองก็เถอะเจอดอกเบี้ยเงินฝากต่ำๆ เกือบถึงพื้น ต่างก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงยอยู่เหมือนกัน แต่เอาล่ะยังไงวันนี้ผมก็ไม่ขอคุยถึงเรื่องของธนาคารที่เกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ อยู่แล้ว แต่จะกล่าวถึงเรื่องของธนาคารอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งหากคุณได้ฝากกับธนาคารประเภทนี้นอกจากคุณจะไม่ได้ดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว คุณยังจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าฝากอีกต่างหาก อยากจะทราบมั๊ยหล่ะครับว่า ผมกำลังกล่าวถึงธนาคารอะไรกัน หากจะให้คุณเดาคุณก็อาจจะเดาถูก แต่ไม่ต้องเสียเวลาเดาหรอกนะครับ ผมจะบอกให้เลยว่า ผมกำลังเขียนถึง “ธนาคารอสุจิ” หรือที่เรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า “SPERM BANK” นั่นเอง ชื่อก็บอกแล้วนะครับว่าเป็นธนาคารสำหรับฝากอสุจิ ฟังแล้วคุณอาจจะงงกันนะครับว่าอยู่ดีๆ จะเอาอสุจิไปฝากธนาคารกันทำไม ครับ…มันก็ต้องมีเหตุมีผลกันนะครับอย่างกรณี เช่น คุณฝาละมี มีอาชีพเป็นทหารจำเป็นต้องไปรบทัพจับศึกในขณะที่ตนยังไม่เคยมีลูกเลย จับพลัดจับผลูเกิดไปสะดุดกับระเบิดตัดเอาพวงสวรรค์ขาดไป แล้วจะว่ายังไง อย่ากระนั้นเลยเพื่อเป็นการไม่ประมาท ก็เอาอสุจิจำนวนนับเป็นพันๆ ล้านไปฝากแบงค์เอาไว้ก่อน กันเหนียวว่างั้นเถอะ ในอนาคตจะได้มีโอกาสมีลูกได้ แม้ว่าไม่มีพวงสวรรค์แล้วก็ตาม หรือในกรณีที่คุณฝาละมีเกิดไม่สบายขึ้นมา และจำเป็นจะต้องให้การรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือ ฉายแสงอะไรก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้มีโอกาสทำให้เป็นหมันอย่างสนิทได้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาทเช่นเดียวกัน การเอาเชื้ออสุจิออกมาฝากแบงค์ไว้ก่อนก่อนที่จะไปทำการรักษาจึงเป็นวิธีการที่จะช่วยให้สามารถมีบุตรของตนเองได้ในอนาคต แม้จะไม่มีอสุจิเหลืออยู่ในตัวแล้วก็ตาม ธนาคารอสุจิจึงมีประโยชน์ด้วยประการฉะนี้ เขียนมาถึงตรงนี้ หลายๆ คนอาจจะนึกภาพของธนาคารอสุจิไม่ออกว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร จะสวยงามพอๆกับสำนักงานใหญ่ของธนาคารกรุงเทพ หรือธนาคารกสิกรไทยได้หรือไม่ เอาล่ะก่อนอื่นต้องบอกว่ามันคนละเรื่องกันเลยทีเดียว คุณเคยเห็นถังแก๊สหุงต้มขนาดเล็กมั๊ยหล่ะครับ นั่นแหล่ะหน้าตาของธนาคารที่ผมกำลังกล่าวถึง เพราะจริงๆ แล้วมันก็คือ ถังกลมยาวคล้ายถังแก๊สหุงต้ม แต่ภายในบรรจุไว้ด้วยแก๊สไนไตรเจนเหลว ซึ่งจะให้ความเย็นจัดถึงลบหนึ่งร้อยสี่สิบองศาเซลเซียสกันเลยทีเดียว ที่ความเย็นจัดขนาดนั้น จะทำให้ทุกอย่างของความมีชีวิตหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และอย่างไม่มีกำหนด ถ้าอุณหภูมิยังคงเย็นจัดขนาดนั้นจนกว่าจะทำให้อุณหภูมิกลับคืนสู่สภาพเหมือนปกติ การดำเนินของชีวิตก็จะกลับคืนมาได้ แต่ใช่ว่าจะทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ อย่างตัวอสุจิก็เช่นเดียวกันเมื่อเอาไปฝากแบงค์แช่แข็งไว้แล้วนั้น ในตอนเอากลับมาทำสู่สภาพปกติ อาจจะเหลือตัวอสุจิที่พอจะเตะปีบดังเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ธนาคารอสุจิในปัจจุบันนี้ใช่ว่าจะรับฝากแต่ตัวอสุจิเท่านั้น แต่สามารถรับฝากไข่ของคุณผู้หญิงที่คุณหมอเจาะเอาออกมาทำกี๊ฟ หรือทำเด็กหลอดแก้ว แล้วมีเหลือใช้อยู่บ้าง ก็สามารถฝากแบงค์เอาไว้ได้เช่นกัน วันดีคืนดีเมื่อต้องการจะใช้ไข่นั้นอีก ก็สามารถนำมาใช้ได้เช่นเดียวกันกับตัวอ่อนที่เหลือจากการทำเด็กหลอดแก้ว ทางแพทย์ก็สามารถเก็บไว้ในธนาคารอสุจิดังกล่าวนี้ได้เช่นกัน นับเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่สามารถเก็บสิ่งมีชีวิตที่เหลือใช้ และนำกลับมาใช้ได้อีกเมื่อต้องการ คุณๆว่าเข้าท่าดีมั๊ยหล่ะครับ.

Read More »

ตรวจก่อนแต่ง

แต่งงาน.. คำเริ่มต้นของการใช้ชีวิตคู่ อย่างเป็น ทางการตามประเพณี เป็นคำ เริ่มต้น ที่บอกให้ รู้ว่า ” คู่รัก ” จะต้อง รับผิดชอบชีวิต ของกัน และกัน ให้ดีที่สุด และอย่างมีความสุขมากที่สุด การตรวจ ก่อนแต่งงาน ก็คือ ส่วนหนึ่ง ของวิธี การที่ จะทำให้คู่รัก มีความสุข ตรวจหัวใจ ของตนเองให้ แน่ชัด ตรวจทานอุปนิสัยทั้งด้านดีและ ไม่ดี ตรวจความพร้อมทางอารมณ์ และจำต้อง ตรวจร่างกายด้วย การตรวจสุขภาพร่างกายก่อนแต่งงาน ก็เพื่อ จะได้รู้เท่าทันว่า ฝ่ายใดมี โรคที่จะ สามารถ ถ่ายทอด ทางพันธุกรรมไปสู่เจ้าตัวเล็ก ที่จะเกิดมา ใน อนาคต หรือฝ่าย ใดมีโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ที่อาจจะ ยังไม่ ปรากฏ อาการให้เห็น การตรวจ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อ คนที่คุณรัก สามี ภรรยา ลูก เพื่อจะ ได้หาทางรักษา และป้องกัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน เน้นที่การตรวจร่างกายและตรวจเลือด ดังนี้ Hepotitis B Profile การตรวจภูมิคุ้มกันเชื่อไวรัวตับอักเสบชนิดบี ถ้ามีเชื้อ อยู่ในเลือดแสดงว่า คุณเป็นพาหะ นำโรค ซึ่งสามารถติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์และและสายเลือด สำหรับฝ่าย หญิงที่มีเชื้อไวรัสตัวนี้ ยังจะถ่ายทอดไปสู่เจ้าตัวเล็ก ในครรภ์ อีกด้วย และถ้า ทารกไม่ได้ รับการฉีดวัคซีน ป้องกันเมื่อแรกคลอดก็จะเป็น โรคตับ อักเสบ ซึ่งมีโอกาสพัฒนา ไปเป็นโรคตับเรื้อรัง และอาจจะเป็นมะเร็ง ตับในที่สุด โดยเฉพาะทารกเพศชายจะมี ความไวต่อการ รับเชื้อมากกว่า ทารกเพศหญิงที่ อาจเป้นเพียง พาหะนำดรคต่อไป Hemoglobin Typing การตรวจชนิดของฮีโมโกลบินเพื่อดูว่ามีความผิดปกติซึ่งจะถ่ายทอดโรค ธาลัสซีเมีย หรือไม่ การที่ต้องตรวจหาโรคนี้เนื่องจาก ปรากฏสถิติว่า คู่แต่งงาน ทั้ง 2 ฝ่าย มีสุขภาพแข็งแรง ดี และต่างก็ไม่มีอาการมาก่อนว่า ทั้งคู่เป็นพาหะ ของ โรคธาลัสซีเมีย แต่เมื่อมีลูกกลับ พบว่า ลูกเป็นโรคนี้ ซึ่งจะส่งผลตั้งแต่ แท้ง ตายคลอด มีชีวิตรอดแต่ต้องได้รับ การถ่ายเลือด ตลอดชีวิต มีการเจริญ เติบโต ช้า ติดเชื้อง่าย มีชีวิตไม่ยืนยาว หรือเป็นพาหะของโรค โดยไม่มี ความผิด ปกติ อะไรทั้งสิ้น นอกจากว่าจะสามารถ ถ่ายทอดโรคนี้ ให้แก่รุ่น หลานต่อไปได้ VDRL,Anti HIV ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อหารทางรักษาและป้องกันได้ทันท่วงที VDRL และ Anti HIV มีข้อแตกต่างกันคือ VDRL เป็นการตรวจเพื่อ หาการติด เชื้อซิฟิลิส ในร่างกาย ซึ่งเป็นดรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ สามารถรักษา ให้หาย ได้โดย ง่ายและหายขาด แต่การตรวจนี้ไม่ได้ ยืนยัน การติดโรคซิฟิลิส เพราะ VDRL มีผลบวกนั้นมีผลมากจากภาวะ ต่างๆของ ร่างกายได้หลายอย่าง ถ้าตรวจ VDRL ได้บวก แพทย์ต้องตรวจ ยืนยันการ ติดเชื้อซิฟิลิสอีก ครั้งด้วยการตรวจ FTA-ABS ส่วนการตรวจ Anti HIV เป็นการตรวจหาภูมิต้านทานของเชื้อ HIV ซึ่งแสดงถึง การติดโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และทางเลือด ที่ยังไม่มี ทาง รักษาให้หาย ขาดในปัจจุบัน Rubella Antibodies การตรวจภูมิคุ้นกันโรคหัดเยอรมัน ในฝ่ายหญิง ซึ่งโดยทั่วไปจะได้รับการ ฉีดวัคซีนป้องกัน ตั้งแต ่ในวัยเด็กแล้ว แต่เมื่อเติบโตเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ภูมิต้านทานโรค นี้อาจจะหมดไป จึงจำเป็นต้องตรวจ ก่อนตัดสินใจแต่งงาน หรือมีลูก เพราะหากว่ามี การติดเชื้อไวรัวหัดเยอรมัน ขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ มีโอกาสสูงมากที่ ทารกจะแท้ง หรือพิการ ได้แก่ สมองเล็ก หูหนวก ตาบอด ปัญญาอ่อน ลิ้นหัวใจรั่ว ทารกตัวเล็ก หรืออาจรุนแรงถึงขั้นตายคลอด

Read More »

การรักษาโรคนิ่วแบบใหม่ เจาะผ่านผิวหนังส่องกล้องกรอนิ่วในไต (PCNL)

โรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะเป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่งโดยจะพบเป็นนิ่วในไตมากที่สุด รองลงมาเป็นนิ่วในทอไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ และนิ่วในท่อปัสสาวะตามลำดับ ในประเทศไทยโรคนิ่วสามารถพบได้ทุกภาคของประเทศ โดยจะพบบ่อยในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอุบัติการณ์ของโรคนิ่วจะพบว่าเกิดในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 2 – 3 เท่า สำหรับสาเหตุของการเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ จะเกิดหลายปัจจัย ได้แก่ 1. ความเข้มข้นของปัสสาวะ ถ้าหากดื่มน้ำน้อยหรือมีการเสียเหงื่อมากจะทำให้สารละลายที่ขับออกมา จากร่างกายทางปัสสาวะมีความเข้มข้นมาก และมีโอกาสที่จะตกตะกอนจับกันเป็นผลึกและเป็นก้อนนิ่วได้ 2. ความเป็นกรดด่างของปัสสาวะ ในบางภาวะที่ปัสสาวะมีความเป็นกรดมากจะทำให้ผลึกนิ่วบางชนิดก่อตัวขึ้นง่าย เช่น ผลึกนิ่วยูริค 3. การขับสารบางชนิดของร่างกายออกมาทางปัสสาวะมากเกินไป พบว่าในบางคนมีความผิดปกติในการขับสารบางอย่าง เช่น แคลเซียม, ออกซาเลต, ฟอสเฟตหรือกรดยูริค ถ้าหากขับออกมาในปัสสาวะมากจะทำให้เป็นนิ่วได้ง่าย 4. ภาวะการติดเชื้อบางชนิดในทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะกลุ่มแบคทีเรียที่สามารถผลิตสารยูเรียได้ จะทำให้เป็นนิ่วง่าย 5. มีภาวะที่ขัดขวางการไหลของปัสสาวะ เช่น มีการตีบแคบของกรวยไต, ท่อไต, ท่อปัสสาวะหรือมีต่อมลูกหมากโต จะทำให้ปัสสาวะไหลไม่คล่องคล้ายกับมีฝายกั้นน้ำหรือเขื่อนกั้นอยู่ และทำให้เกิดการตกตะกอนของสารในปัสสาวะจนก่อตัวเป็นก้อนนิ่วขึ้นได้ โดยทั่วไปชนิดของนิ่วจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1. นิ่วที่ทึบรังสี พบได้ประมาณ 90 % โดยนิ่วในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบ การตรวจเอกซเรย์จะเห็นนิ่วได้2. นิ่วที่ไม่ทึบรังสี พบได้ประมาณ 10 % มักเป็นนิ่วยูริค การตรวจโดยเอกซเรย์จะมองไม่เห็นนิ่ว การวินิจฉัยจะยากกว่าปกติ บางครั้งแยกยากจากเนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ อาจต้องตรวจเพิ่มเติมโดยการอัลตราซาวด์, ฉีดสี เอกซเรย์หรือทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ในอดีตการรักษานิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะจะกระทำด้วยการผ่าตัดเปิด แต่ปัจจุบันนี้ได้ลดลงมากเนื่องจากมีวิธีการรักษานิ่วอีกหลายวิธีเพื่อเลี่ยงการผ่าตัด ได้แก่ 1. การทานยาละลายนิ่ว เหมาะสำหรับนิ่วชนิดยูริค สามารถละลายได้โดยให้ทานยาที่ทำให้ปัสสาวะเป็นด่าง สำหรับนิ่วที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบไม่มียาละลายนิ่ว โดยถ้านิ่วมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซ.ม. มีโอกาสหลุดเองได้ โดยการดื่มน้ำเพิ่มหรือให้ยาขับปัสสาวะช่วย 2. การใช้เครื่องสลายนิ่ว (ESWL) เป็นการใช้เครื่องมือที่มีต้นกำเนิดพลังงานจากภายนอกร่างกายส่งคลื่นพลังเข้าไปกระแทกนิ่วให้แตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และให้ร่างกายเป็นผู้ขับเศษนิ่วออกมาเอง การรักษานิ่วโดยใช้เครื่อง ESWL นี้ ผู้ป่วยควรจะเป็นนิ่วที่ไตหรือท่อไตส่วนต้น และมีขนาดของนิ่วน้อยกว่า 2 ซ.ม. รวมทั้งต้องมีการทำงานของไตข้างนั้นพอที่จะมีปัสสาวะขับเอาเศษนิ่วที่สลายแตกแล้วให้หลุดออกมานอกร่างกายได้ ยกเว้นนิ่วบางชนิดที่แข็งมากไม่สามารถยิงสลายให้แตกโดยวิธี ESWL ได้ 3. การรักษาโดยการส่องกล้อง ได้แก่ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะจะส่องกล้องผ่านรูท่อปัสสาวะเข้าไปขบนิ่วและนิ่วในท่อไตจะส่องกล้องเข้าไปในรูท่อไตเข้าไปคล้องหรือกรอนิ่วในท่อไตออกมา ซึ่งทั้ง 2 วิธีเป็นการส่องกล้องเข้าไปในรูท่อปัสสาวะหรือรูท่อไตที่มีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้วจึงไม่มีรอยแผลผ่าตัด 4. การเจาะผ่านผิวหนังส่องกล้องกรอนิ่วในไต (PCNL) เป็นวิธีการรักษานิ่วในไตที่พัฒนามาเพื่อเลี่ยงการผ่าตัดโดยาใช้วิธีเจาะรูเล็ก ๆ ขนาดนิ้วชี้ทะลุจากผิวหนังเข้าไปในกรวยไต และใช้กล้องส่องตามเข้าไปจนพบก้อนนิ่ว จากนั้นจะใช้เครื่องมือเข้าไปกรอนิ่วให้แตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และดูดหรือคีบนิ่วออกมาการรักษาโดยวิธี PCNL นี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างมาก เนื่องจากแผลเจาะมีขนาดเล็ก 1-2 ซ.ม. เทียบกับบาดแผลผ่าตัดเปิดที่มีขนาดยาว 15 – 20 ซ.ม. อาการเจ็บแผลจะน้อยกว่า และกลับบ้านได้เร็วภาย ใน 3 – 5 วันหลังผ่าตัด สามารถฟื้นตัวกลับไปทำงานได้เร็วกว่าเดิมมาก นอกจากนี้ถ้าหากเกิดเป็นนิ่วในไตซ้ำขึ้นมาอีก ก็สามารถรักษาโดยวิธี PCNL ซ้ำได้ไม่ยาก ภายหลังการรักษานิ่วแล้ว ผู้ป่วยพึงระลึกว่า ถ้าหากไม่ระมัดระวังป้องกันมีโอกาสที่จะกลับเป็นนิ่วซ้ำได้ใหม่สูงถึง 35 – 50 % ภายในระยะเวลา 5 – 10 ปี ซึ่งถ้าพบว่ามีการกีดขวางทางไหลของปัสสาวะ เช่น ต่อมลูกหมากโต, ท่อปัสสาวะหรือท่อไตตีบจะต้องผ่าตัดแก้ไขด้วย และ ถ้ามีการติดเชื้ออักเสบของทางเดินปัสสาวะต้องรักษาให้หายขาด และมีคำแนะนำโดยทั่วไปที่ควรปฏิบัติเพื่อลดการเกิดนิ่วซ้ำ ได้แก่ – ดื่มน้ำอย่างน้อย 2 – 3 ลิตรต่อวัน เพื่อให้มีปริมาณน้ำปัสสาวะเพียงพอ ไม่ให้เข้มข้นมาก – ลดการทานอาหารที่เค็มจัด เนื่องจากปริมาณเกลือที่ทานเข้าไปจะขับออกทางปัสสาวะและมีส่วนชักนำให้ปริมาณแคลเซียมที่ขับออกมามากตามด้วย- ถ้ามีระดับกรดยูริคในเลือดสูง ต้องควบคุมให้ลงมาอยู่ในระดับปกติ โดยการทานยา หรือควบคุมอาหารที่มีกรดยูริคสูง – ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อที่จะให้มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย เป็นการเขย่าไม่ให้ผลึกนิ่วที่อาจเกิดขึ้น

Read More »

ภาวะหลั่งเร็ว

ภาวะหลั่งเร็ว ภาวะหลั่งเร็วเป็นภาวะที่พบได้มากที่สุดในปัญหาทางเพศของผู้ชาย ในทางการแพทย์ได้นิยามภาวะหลั่งเร็วว่ามีองค์ประกอบ 3 ประการคือ 1.เวลาในการหลั่งหลังสอดใส่เร็วกว่า 15 วินาที ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่าผู้ชายปกติจะมีค่าเฉลี่ยของการหลั่ง 2-10 นาที 2.การหลั่งไม่สามารถควบคุมให้เป็นไปตามความต้องการได้ ข้อนี้ใช้แยกภาวะปกติของผู้ชายบางคนที่บังคับให้มีการหลั่งเร็วได้ ในบางสภาวะการณ์ 3.ผู้ชายและ /หรือคู่นอนเกิดปัญหาจากภาวะนี้ เนื่องจากบางคู่ที่ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอดเร็วก็จะไม่เกิดปัญหาจากภาวะนี้ของฝ่ายชาย สาเหตุของการหลั่งเร็วเดิมเชื่อว่าเป็นจากภาวะทางจิตใจ เช่นความตื่นเต้น วิตกกังวล ปัจจุบันมีการศึกษาเพิ่มเติมพบว่ามีปัจจัยอื่นคือ 1.ระบบประสาทรับรู้ความรู้สึกของอวัยวะเพศมีความไวต่อการสัมผัสผิดปกติ อาจเป็นที่เส้นประสาทที่มาเลี้ยงอวัยวะเพศ หรือภายในสมอง 2.สารนำระบบประสาทในสมองผิดปกติ ที่มีการศึกษากันมากคือสาร “Serotonin” การรักษา ภาวะหลั่งเร็วที่เกิดเป็นบางครั้ง พวกนี้มักมีสาเหตุเช่น ความตื่นเต้น (คู่นอนใหม่),ยาหรือสารบางชนิด,เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือการมีเพศสัมพันธ์ห่าง กลุ่มดังกล่าวข้างต้นต้องแก้ไขที่สาเหตุ ในกลุ่มที่มีอาการทุกครั้งเป็นระยะเวลานานมีวิธีการรักษาคือ 1.พฤติกรรมบำบัด เป็นวิธีที่ใช้กันมานานนับสิบปี ให้ผลการรักษาแตกต่างกันไป 1.1.การไม่รีบเร่งในการมีเพศสัมพันธ์ ใช้เวลาเล้าโลมให้นานขึ้น 1.2.ผู้ชายมีการหลั่งก่อนมีเพศสัมพันธ์ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้การหลั่งครั้งต่อไปนานขึ้น 1.3.Stop Pause Method คือพักการมีเพศสัมพันธ์ก่อนเมื่อรู้สึกว่าจะมีการหลั่ง 1.4.Stop Squeeze Method เมื่อรู้สึกว่าจะมีการหลั่งให้หยุดและบีบส่วนหัวอวัยวะเพศ เพื่อให้อวัยวะเพศอ่อนตัว พักแล้วจึงเริ่มใหม่ 2.การใช้ยา 2.1.ยาชาในรูปสเปรย์หรือครีม ทาอวัยวะเพศก่อนมีเพศสัมพันธ์ จะช่วยลดความรู้สึกของอวัยวะเพศได้ 2.2.การใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าพบว่าทำให้มีการหลั่งช้าลงได้ มีทั้งกลุ่มTricyclic และกลุ่มยับยั้งการดูดซึมกลับของสาร Serotoninในสมอง ทั้งนี้ควรได้รับการคำแนะนำการใช้และผลข้างเคียงของยานี้จากแพทย์ 3.จิตบำบัด ใช้ในรายที่มีปัญหาจากจิตใจ การรักษาภาวะหลั่งเร็วในปัจจุบันแม้ยังไม่มีวิธีการรักษาที่ดีที่สุด แต่ก็สามารถทำให้ดีขึ้นได้ ทั้งนี้ต้องอาศัยความพยายาม และความเข้าใจของทั้งฝ่ายชายและหญิง และไม่ควรอายที่จะปรึกษาแพทย์

Read More »

มลพิษทางอากาศกับระบบทางเดินหายใจ

กุมารเวช: มลพิษทางอากาศกับระบบทางเดินหายใจ โดย นพ.พรชัย วัชระวณิชกุล ทุกวันนี้อากาศในบ้านเรามีปริมาณฝุ่นและก๊าซพิษเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ปัจจัยสำคัญ ก็คือ ควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ และควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง พวกน้ำมัน หรือถ่านหิน และสารเคมีต่างๆ นอกจากนี้ยังมีพวกฝุ่นจากการก่อสร้างความจริงมนุษย์เรารู้ว่าฝุ่นและควันพิษ มีผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ของอังกฤษ ในช่วงปี คศ. 1377-1399 มีการกำหนดระเบียบกฎเกณฑ์การใช้ถ่านหินเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมในโลกเราได้ประสบปัญหามลภาวะทางอากาศอย่างรุนแรงหลายครั้ง เช่น ปี คศ.1930 ที่เบลเยี่ยม, ปี คศ.1948 ที่เพนซิลวาเนีย และ ปี คศ.1952 ที่กรุงลอนดอน ทำให้มีผู้ป่วยตายเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นจึงมีผู้ให้ความสนใจและหาวิธีป้องกันอันตรายจากมลพิษทางอากาศอย่างจริงจังมลพิษทางอากาศ แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คืออนุภาคฝุ่นและก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ และโอโซน ซึ่งเป็นสารเกิดจากปฏิกิริยากับแสงแดดอื่นๆในข้อแรก จะเป็นผลพวงมาจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะที่ใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล ได้แก่ พวกถ่านหินน้ำมันดิบ ส่วนในข้อสอง จะมาจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ เช่น จากรถยนต์ และก๊าซเหล่านั้นไปทำปฏิกิริยากับแสงแดด นอกจากนั้นยังมีพวกก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ที่ไม่สมบูรณ์ และก๊าซไฮโดรคาร์บอน ซึ่งอาจเป็นตัวการของการเกิดมะเร็งอนุภาคฝุ่นที่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจ ส่วนใหญ่จะมีขนาด 1-10 ไมครอน ขนาดที่ใหญ่กว่านี้จะถูกจับไว้โดยขนที่จมูก ไม่ผ่านลงไปที่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ส่วนฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 0.5 ไมครอน เมื่อผ่านเข้าไปที่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่างแล้วก็จะถูกหายใจออกมา มีส่วนน้อยที่จะคงค้างอยู่ในถุงลม ปกติฝุ่นที่หลุดเข้าไปในหลอดลม ร่างกายจะพยายามกำจัดออกโดยขนเล็กๆ ที่อยู่ที่หลอดลมพยายามที่จะกวาดเอาฝุ่นขึ้นมา ส่วนที่เข้าไปในถุงลมจะถูกกำจัดโดยเซลล์ของร่างกายชนิดหนึ่ง เรียกว่า แมคโดฟาจ แต่ในคนที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง หรือหลอดลมอักเสบเรื้อรัง กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้าร่างกายจะไม่เหมือนปกติทำให้โอกาสเกิดอาการผิดปกติได้มากกว่าในคนที่สุขภาพดี ฝุ่น ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ,ไนโตรเจนไดออกไซด์ และโอโซน มีผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการ แสบจมูก ไอ แน่นหน้าอก สมรรถภาพปอดลดลง และทำให้เกิดหลอดลมตีบได้ โดยเฉพาะในคนที่เป็นโรค หอบหืด ถุงลมโป่งพอง หรือ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ผลกระทบต่อสุขภาพจะเกิดได้บ่อยกว่าในคนสูงอายุ เด็กเล็ก และคนที่มีโรคปอด หรือโรคหัวใจอยู่เดิม นอกจากนี้ยังพบว่าอัตราการติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กจะเพิ่มขึ้นในเมืองใหญ่ที่มีฝุ่นและควันพิษมาก โดยทั่วไปปริมาณความเข้มข้นของอนุภาคฝุ่นหรือควันพิษมีปะปนอยู่แล้วในอากาศในปริมาณเล็กน้อย ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แต่ถ้าหากเกิดในปริมาณสูงมากขึ้นโดยเฉพาะในสภาวะที่อากาศนิ่ง ไม่ถ่ายเท ก็จะเกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้มากขึ้น นอกจากนี้การออกกำลังกายก็ทำให้มีโอกาสได้รับก๊าซพิษมากขึ้น เพราะว่าก๊าซพิษส่วนหนึ่งจะไม่ถูกกรองโดยจมูก แต่จะเข้าทางปาก และลงไปสู่หลอดลมส่วนล่างได้ง่ายและมีปริมาณมากขึ้นปัญหาที่อาจจะมองข้ามไป คือ ภาวะมลพิษทางอากาศ ไม่ได้เกิดเฉพาะในที่กลางแจ้งเท่านั้น แม้ในบ้านเรือนก็มีโอกาสเกิดได้ เช่น จากการใช้เตาอบ เตาแก๊ส ในที่อากาศถ่ายเทไม่ดี หรือ พิษจากควันบุหรี่ที่ผู้อื่นสูบ เป็นต้นการป้องกันในแง่ส่วนบุคคล คือ การหลีกเลี่ยงเข้าไปในบริเวณที่มีการจราจรแออัด หรือเขตโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ออกกำลังกายกลางแจ้งในบริเวณที่มีฝุ่นหรือควันพิษจำนวนมาก การสวมหน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่นละอองช่วยได้ไม่มาก เพราะอนุภาคมีขนาดเล็ก สามารถเล็ดลอดผ่านหน้ากากได้ ความจริงสิ่งสำคัญ คือ แก้ที่ตัวต้นเหตุ ได้แก่ มีมาตรการควบคุมควันและก๊าซพิษที่ปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรมให้มีระดับที่ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การควบคุมควันเสียจากรถยนต์ ตลอดจนการคุมตัวตึกในบริเวณที่มีการก่อสร้างอาคาร เป็นต้นอ่านเรื่องนี้จบ ท่านผู้อ่านก็ไม่ต้องกังวลกับมันมากนัก เพราะว่าเขม่าควันพิษที่พัดมาจากอินโดนีเซียจากไฟไหม้ป่ามายังภาคใต้ของประเทศเรา ก็เริ่มเบาบางลงแล้ว ประกอบกับทางราชการก็มีมาตรการกำจัด

Read More »

จิตเวช: ยาบ้า ยาอี ยาม้า เหมือนกันหรือต่างกันตรงไหนคะ

จิตเวช: ยาบ้า ยาอี ยาม้า เหมือนกันหรือต่างกันตรงไหนคะ คำถาม ยาบ้า ยาอี ยาม้า เหมือนกันหรือต่างกันตรงไหนคะ ยาพวกนี้มามีส่วนทำอะไรในร่างกายหรือจิตใจเราคะจึงทำให้เราติดมัน คำตอบ โดย นายแพทย์ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง ยาบ้า หรือ ยาม้า เป็นชื่อสารเสพติดชนิดเดียวกัน คือ สารแอมเฟตามีน (Amphetamine) จัดเป็นสารกระตุ้นประสาท โดยออกฤทธิ์กระตุ้นสมองชั้นในหรือสมองส่วนอยาก (Limbic system) ซึ่งประกอบด้วยศูนย์พึงพอใจ ศูนย์ควบคุมอารมณ์ & พฤติกรรม ศูนย์ความอิ่ม ทำให้ผู้เสพมีความสุข สนุกสนาน ขยันขันแข็ง มีกำลังวังชา ไม่อยากอาหารแบบอิ่มทิพย์ นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ถ้าเสพมากหรือติดต่อกันจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย มีอาการทางจิต หวาดระแวง หูแว่ว ประสาทหลอน และอาจมีอารมณ์ซึมเศร้าฆ่าตัวตายได้ เดิมยาบ้าตั้งแต่สังเคราะห์ โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน เมื่อ คศ.1887 เป็นต้นมา ได้ถูกผลิตเป็นยาดม ยาเม็ดกิน จนมีการใช้ฉีดเข้าเส้น และล่าสุดทำเป็นก้อนผลึก จุดไฟอบสูบควัน ยาบ้าเคยใช้เป็นยารักษาโรคดอ้วน โรคหลับผิดปกติ และโรคซนในเด็ก แต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว ส่วนยาอี มาจากคำว่า Ecstasy ซึ่งแปลว่าสนุกสนานเบิกบานใจอย่างยิ่ง เป็นน้องของยาบ้าอีกที เพราะสังเคราะห์หลังยาบ้า 1 ปี โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น มีสูตรโครงสร้างใกล้เคียงกัน คือ เมทแอมเฟตามีน (Mathamphetamine) แต่มีฤทธิ์ร้ายแรงกว่า คือ นอกจากมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทแล้วยังมีฤทธิ์หลอนประสาทด้วย (psychedelic) กล่าวคือ ทำให้กล้ามเนื้ออยู่ไม่สุก ต้องเคลื่อนไหว เต้นรำ รู้สึกรักใคร่กลมเกลียวเหมือนพี่เหมือนน้อง รู้สึกอบอุ่นในอย่างประหลาด ต้องการเปิดเผยความในใจ มีส่วนรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น เป็นยาแห่งความรัก และการรับรู้ทางอายตนะสัมผัสพิศดาร จึงมักใช้ในงานปาร์ตี้ต่างๆ ทั้งยาบ้าและยาอีจะไปจับกับตัวรับ (receptors) ของสมองชั้นในหรือสมองส่วนนอก จนในที่สุดจะครอบงำสมองชั้นนอกหรือสมองส่วนเหตุผล (cerebral cortex) ทำให้ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ เข้าสู่กระบวนการเสพติดยา กล่าวคือ ตัวกระตุ้น –> ความคิด –> ความอยากยา –> การเสพยา ส่วนกระบวนการเสพติดยานั้นอธิบายด้วยทฤษฎีการเรียนรู้ กล่าวคือ ยา —–> อาการทางร่างกาย&จิตใจ (อยากยา) ยา + สิ่งที่เกี่ยวข้องกับยา (ตัวกระตุ้น) —> อยากยา ตัวกระตุ้น —> อยากยา และ เมื่อเสพติดยาแล้ว พอหยุดเสพจะเกิดอาการอยากยา ทนทุกข์ทรมานคล้ายลงแดง จึงหายามาเสพอีก วนเวียนไม่รู้จบ

Read More »

ลูกชายตัวเหลือง ส่องไฟแล้วหายเป็นปกติแล้ว แต่ยังสงสัย

กุมารเวช: เพิ่งคลอดบุตรช่วงที่อยู่ ร.พ. ลูกชายตัวเหลือง ส่องไฟแล้วหายเป็นปกติแล้ว แต่ยังสงสัย คำถาม เพิ่งคลอดบุตรได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ช่วงที่อยู่ ร.พ. ลูกชายตัวเหลือง คุณหมอบอกว่าต้องส่องไฟไม่มีอันตราย ส่องไฟแล้วก็จะหายเหลือง ตอนนี้ลูกชายหายเป็นปกติแล้ว แต่ยังสงสัยว่าไฟที่ส่องทำให้ลูกหายตัวเหลืองได้อย่างไร คุณหมอยังบอกด้วยว่ากลับบ้านให้นำลูกมาโดนแดดอ่อนๆ ตอนเช้า ก็จะช่วยให้หายเหลืองได้ดีขึ้น ไม่ทราบว่าไฟที่ ร.พ. ส่องกับแสงแดด เหมือนหรือต่างกันตรงไหนค่ะ คำตอบ โดย แพทย์หญิงเดือนเพ็ญ วันทนาศิริ ลูกชายมีภาวะตัวเหลืองหลังคลอดจึงเกิดจากสารที่เรียกว่า บิลิรูบิน ไปเกาะตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เห็นผิวหนัง, ตา มีสีเหลือง ปกติร่างกายจะมีการสร้างสารบิลิรูบินและทำลายขับถ่ายสารออกไป เด็กปกติจะมีตัวเหลืองจางๆ เมื่ออายุ 3 – 4 วัน และหายไปเมื่ออายุประมาณ 7 วัน ในภาวะบางอย่างร่างกายจะมีการสร้างสารนี้มากขึ้น หรืออวัยวะที่ทำลายและขับถ่ายสารนี้ไม่ทำงาน ก็จะเกิดทำให้มีตัวเหลืองขึ้น ภาวะเหล่านี้ เช่น หมู่เลือดของมารดาและทารกไม่เหมือนกัน เม็ดเลือดแดงผิดปกติ การติดเชื้อและท่อน้ำดีอุดตัน เมื่อสารบิลิรูบินมากผิดปกติก็จะไปเกาะตามอวัยวะต่างๆ รวมทั้งสมองทำให้มีการทำงานผิดปกติ เราจึงต้องรีบรักษาภาวะตัวเหลืองที่ผิดปกติ โดยการกำจัดและหาสาเหตุที่ทำให้เกิดตัวเหลือง การรักษามี 2 วิธี คือ การฉายแสง แสงจะทำปฏิกริยากับสารบิลิรูบิน ทำให้เกิดการทำลายและขับถ่ายออกจากร่างกาย เด็กจะถูกปิดตาเพื่อป้องกันไม่ให้แสงทำอันตรายต่อตา ถอดเสื้อผ้า และนำไปนอนใต้เครื่องฉายแสง ส่วนอีกวิธี คือ การเปลี่ยนถ่ายเลือด จะทำกรณีเด็กตัวเหลืองมากไม่สามารถทำให้ลดลงโดยการฉายแสงได้ทัน ส่วนแสงแดดก็สามารถทำให้ตัวเหลืองลดลงได้ กรณีเด็กตัวเหลืองไม่มาก เนื่องจากทำได้ลำบากต้องถอดเสื้อผ้าและนำไปผึ่งแดดช่วงแดดอ่อน เพราะถ้าแดดจ้าก็จะร้อนเกินไป ถ้าอากาศหนาวการถอดเสื้อผ้าก็จะหนาวเกินไป

Read More »

หลับตาย…สายใจของแม่

กุมารเวช: หลับตาย…สายใจของแม่ หลับตาย…สายใจของแม่ โดย คณะแพทย์โรงพยาบาลพระรามเก้า ชื่อเรื่องฟังแล้วใจหาย มีด้วยหรือที่ทารกเข้านอนแล้วก็หลับไม่ตื่น เคยได้ยินแต่ผู้ใหญ่อายุมาก ชราภาพแล้วปลิดจากขั้วเหมือนใบไม้แห้งกรอบ และคนอีสานที่ไปขายแรงงานยังถิ่นไกล กินแต่ข้าวเหนียวจิ้มแจ่วแล้วไหลตาย แต่เชื่อหรือไม่ว่าจากสถิติของทารกที่หลับตายพบว่าทารกมีอายุระหว่าง 1 เดือน ถึง 1 ปี โดยทารกจำนวน 95% มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน ส่วนใหญ่มีอุบัติการสูงสุดเมื่อทารกอยู่ระหว่าง 2 เดือน ถึง 4 เดือน ลองนึกภาพเด็กทารกอายุ 3 เดือน กำลังน่ารักน่าชัง แม่เห่กล่อมจนหลับพริ้มอยู่ข้างกาย ตื่นเช้าขึ้นมาตัวเขียวและเย็นเฉียบ แม่เขย่าปลุกเท่าไรก็ไม่ตอบสนองเสียงหวีดร้องของแม่ที่หัวใจแตกสลายจะดังแค่ไหนคงวาดภาพออก ในประเทศที่เจริญแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา “หลับตาย” (Sudden Infant Death Syndrome:SIDS) เป็นสาเหตุของการตายในทารกอายุต่ำกว่า 1 ปีเป็นอันดับที่ 1 การตายกระทันหันแบบนี้พ่อแม่ยอมรับไม่ได้เลย พาไปโรงพยาบาลให้หมอช่วย ในประเทศไทยเราไม่ได้พบบ่อยนักคงเป็นเพราะเมื่อทารกหลับตาย พ่อแม่ไม่พามาโรงพยาบาล เพราะเห็นว่าหมอคงช่วยให้ฟื้นไม่ได้ เราเป็นชาวพุทธจะรับเรื่องการตายได้เร็ว เพราะ “แล้วแต่บุญกรรมหรือทำบุญมาเท่านี้” คุณยายของข้าพเจ้าเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคุณยายแต่งงานกับคุณตาได้ไม่นาน ก็มีลูกคนแรกมาเชยชมเป็นหญิงผิวขาวเนียน ตาโต ผมดำขลับ เหมือนตุ๊กตา คุณยายตั้งชื่อให้ว่า หนูริกิ ริกิอ้วนจ้ำม่ำ กินเก่ง หัวเราะเก่ง เพื่อนบ้านขอบขออุ้มเพราะน่ารักเหลือหลาย คุณยายจำได้ว่าริกิโตจนเริ่มคว่ำได้แล้ว ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น มีชายแปลกหน้าเดินเข้ามาในบ้านขณะที่คุณยายกำลังอุ้มริกิเดินอยู่หน้าบ้านชายแปลกหน้าถามทางไปบ้านเพื่อนแถวนั้น คุณยายก็ชี้ทางให้ก่อนจะออกจากบ้านเขาออกปากขออุ้มหนูริกิ คุณยายใจดีก็ให้อุ้ม เขาอุ้มเชยชมอยู่ครู่ใหญ่ ก็ส่งคืนให้แล้วพูดว่า “น่ารักเหมือนลูกเทวดา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเด็กน่ารักอย่างนี้บนพื้นดิน” คุณยายรู้สึกใจหายวาบ ตัวเย็นรับริกิมาโอบกอดไว้อย่างกลัวจะหลุดหายเขาหัวเราะหึๆ แล้วก็เดินจากไป คืนนั้นคุณยายกลุ่มริกิจนหลับคาเต้านมแล้วก็วางไว้ข้างตัวบนที่นอน รุ่งเช้าริกิตัวเขียว เย็นเฉียบ ไม่มีอาการใดที่แสดงให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ คุณยายหัวใจแตกสลาย เป็นลมสลบแล้วสลบอีก เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าฟัง คุณยายบอกว่าเทวดาคงจะมารับกลับ และมาบอกให้รู้ว่าหนูริกิคือเทวดาหนีมาเกิดในโลกมนุษย์ เมื่อคิดอย่างนี้คุณยายก็รู้สึกดีขึ้น มีลูกต่อมาเป็นแถวถึง 11 คน สมัยนั้นข้าพเจ้ายังเรียนชั้นมัธยมตอนต้น คิดว่าตัวเองเชื่อคุณยายเรื่องหนูริกิหนีมาเกิดในโลกมนุษย์ แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าเป็นหมอเด็ก วินิจฉัยโรคของป้าริกิได้ว่าคงเป็นเหยื่อคนหนึ่งของโรคหลับตายหรือ SIDS ขณะเรียนแพทย์ไม่มีใครสอนเรื่องนี้กันเท่าใดนัก เพราะไม่พบ “หลับตาย” ในเมืองไทยกันบ่อย เมื่อข้าพเจ้าไปทำงานเป็นแพทย์ประจำบ้านแผนกเด็กที่สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งอยู่เวรที่ห้องฉุกเฉิน รถพยาบาลพาแม่ลูกคู่หนึ่งเข้ามา แม่กอดห่อผ้าแนบอก ปากร้องหวีดและโวยวาย น้ำตานองหน้า ผมเป็นกระเชิง ไม่มีสติสตังติดตัวอยู่เลย คุณพยาบาลเข้าไปแกะห่อผ้าอยู่นาน อธิบายจนสำเร็จยอมส่งห่อผ้าให้เราจากนั้นคุณพยาบาลก็พาเธอออกไปคอยนอกห้องปฐมพยาบาลซึ่งเธอยังคงหวีดร้องไม่ยอมหยุด แถมด้วยการตีอกชกหัวตัวเอง ในห่อผ้านั้นเป็นเด็กทารกอายุราว 3 เดือน อ้วนจ้ำม่ำ แต่ตัวเขียวคล้ำ และเย็นเฉียบ เราพยายามปฏิบัติการช่วยชีวิต แต่ไร้ผล เพียงครู่เดียวญาติพี่น้องของแม่เด็กก็มากันเต็มไปหมดนับได้เกินห้าสิบคน คุณพยาบาลบอกว่าเป็นพวกยิปซี พวกนี้อยู่เป็นกลุ่มก้อนรักกันเหมือนพี่น้องรับผิดชอบต่อคนในกลุ่มดีมาก เมื่อสามีของแม่เด็กเข้ามา คำแรกที่เขาถามข้าพเจ้าก็คือ “เด็กตายแล้วใช่ไหม” ข้าพเจ้าโกรธมาก นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาโทษกัน นี่เป็นเวลาที่ต้องปลอบโยนเห็นใจกัน ข้าพเข้าอธิบายให้เขาฟังว่าไม่ใช่การนอนทับตายแต่เป็นการหลับตายที่ยังไม่มีใครรู้สาเหตุ ในวงการแพทย์รู้สาเหตุของการหลับตายของเด็กแต่เพียงว่าเด็กที่มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการหลับตาย ได้แก่ เด็กคนนั้นเคยมีพี่หลับตายมาก่อน, เป็นเด็กผู้ชายกินนมขวดเพิ่มผ่านการเจ็บไข้ได้ป่วยมาหยกๆ , มีคนสูบบุหรี่ในบ้าน หรือนอนคว่ำบนที่นอนซึ่งนุ่มนิ่ม ความจริงอัตราเสี่ยงพบได้ตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์แล้ว โดยแม่ที่สูบบุหรี่ติดยาเสพติดลูกก็มีอัตราเสี่ยงต่อการหลับตายสูงเด็กที่คลอดน้ำหนักตัวเบากว่าสองกิโลครึ่ง หรือเด็กคลอดก่อนกำหนดพวกนี้อัตราเสี่ยงสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว จากการผ่าศพเด็กที่หลับตาย จะไม่พบคำอธิบายสาเหตุการตายที่พิสูจน์ได้ว่ามีพยาธิสภาพ สมัยก่อนนี้ในอเมริกานิยมให้เด็กทารกนอนคว่ำ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าเด็กที่นอนคว่ำมีอุบัติการหลับตายสูงกว่าเด็กนอนหงาย จึงมีการรณรงค์ให้พ่อแม่รุ่นใหม่จับเด็กนอนหงาย โดยสมาคมกุมารแพทย์ของสหรัฐอเมริกา (American Academy of Pediatrics : AAP) ให้คำแนะนำแก่สังคมทั่วไปให้พร้อมใจกันจับเด็กนอนหงายพบว่าอุบัติการของการหลับตายลดลงร้อยละ 32 คนไทยมีความเชื่อว่านอนคว่ำเด็กจะหัวทุยสวยงามตามอย่างเด็กฝรั่งจึงมีการนอนคว่ำมากขึ้นทุกวัน ไม่มีใครรู้ว่าเพราะคนไทยนอนหงายเราจึงไม่ค่อยหลับตายหรือว่ามีเด็กหลับตายบ้าง แต่พ่อแม่ไม่พามาโรงพยาบาล แต่ถ้าเรานิยมนอนคว่ำเลียนแบบฝรั่งที่เขาเลิกกันแล้ว ใครจะรู้ว่าเราอาจจะมีเด็กหลับตายเพิ่มจำนวนมากขึ้นเหมือนครั้งหนึ่งในอเมริกาก็ได้

Read More »

ไอคิว (IQ)

กุมารเวช: ไอ คิว (I.Q) ไอ คิว (I.Q) พ.ญ.สุภาพร ปิตวิวัฒนานนท์ IQ เป็นคำที่ทุกคนคงเคยได้ยินกันมานานจนคุ้นเคยกันดี ต่างจาก EQ และ AQ ซึ่งเป็นคำที่ทันสมัยกว่า และเป็นที่สนใจซักถามกันมากในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการที่คนเราจะประสบความสำเร็จพร้อมๆ กับการมีความสุขในชีวิต ก็ควรจะต้องมีองค์ประกอบของทั้ง 3 สิ่งนี้อยู่ในตัวในเกณฑ์ที่เหมาะสม จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้ เราจะมาคุยกันถึง IQ ก่อนเป็นลำดับแรก คนเราทุกคนจะเกิดมาพร้อมกับลักษณะเฉพาะตัว และถูกหล่อหลอมด้วยสภาพแวดล้อมในภายหลัง IQ หรือความสามารถทางเชาว์ปัญญาก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกเกิด โดยมีปัจจัยด้านพันธุกรรมไปเกี่ยวข้องด้วย และสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ในครรภ์ของมารดาจนกระทั่งหลังคลอดก็เป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่มีผลต่อเชาว์ปัญญาเช่นกัน เช่น ภาวะแวดล้อมที่มีการให้ความรัก ความอบอุ่น ให้การกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัย ก็จะมีผลต่อการเสริมสร้างศักยภาพนี้ให ้มากขึ้น หรือในทางกลับกันก็บั่นทอนให้ลดลงได้เชาว์ปัญญาเป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ แต่แสดงออกให้เห็นได้ผ่านพฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงถึงความสามารถในการเรียนรู้ ความสามารถปรับตัวต่อเหตุการณ์ใหม่ๆ ความสามารถเข้าใจและเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ อย่างมีเหตุผล และเป็นพฤติกรรมที่มีจุดมุ่งหมาย จะเห็นว่าเชาว์ปัญญาไม่ใช่ผลจากความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สามารถนำพฤติกรรมใดเพียงอย่างเดียวไปตัดสินว่าคนๆ นั้นโง่หรือฉลาดได้ เนื่องจากเชาว์ปัญญาเป็นสิ่งที่คนสนใจกันมานาน จึงมีการคิดมาตรวัดเชาว์ปัญญาขึ้นเพื่อให้ได้ผลออกมาเป็นตัวเลขที่สื่อกันได้ง่าย และเป็นที่รู้จักกันในคำว่า IQ นั่นเอง คำว่า IQ ย่อมาจาก Intelligence Quotient เป็นคำที่ William Stern เป็นผู้บัญญัติขึ้น เพื่อบ่งถึงระดับเชาว์ปัญญาของแต่ละบุคคล โดยมีสูตรว่า IQ = อายุสมอง (MENTAL AGE) X 100 อายุจริง (CHRONOLOGICAL AGE) โดยอายุสมอง มาจากการวัดโดยการใช้แบบทดสอบเชาว์ปัญญา ค่าคะแนนที่ได้จากการทดสอบจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับคะแนนมาตรฐานที่บุคคลในระดับอายุเดียวกันนั้นทำได้ จะเห็นว่าถ้าอายุสมองเท่ากับอายุจริง ค่า IQ ของบุคคลนั้นจะออกมาเท่ากับ 100 ซึ่งคือ ค่าเฉลี่ยของ IQ ในคนส่วนใหญ่นั่นเอง Classification of Intelligence by I.Q. Range ค่า IQ ปกติ คือ 90 – 109 ส่วนที่ต่ำกว่าปกติเล็กน้อย คือ 80 – 89 จะเรียกว่ากลุ่ม Dull normal เป็นกลุ่มคนที่สามารถเรียนรู้ในระบบปกติได้ เพียงแต่จะช้ากว่าเล็กน้อยในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิชาการ กลุ่มที่ต่ำลงไปอีก คือ 70 – 79 ถือเป็นกลุ่ม Borderline MR (คำว่า MR มาจาก Mental Retardation หรือ ความบกพร่องทางสติปัญญา หรือ ที่เมื่อก่อนเรียกกันว่าปัญญาอ่อนนั่นเอง) กลุ่มนี้มักจะต้องการความช่วยเหลือพิเศษจึงจะสามารถเรียนรู้ได้ ส่วนกลุ่มต่ำกว่านั้น คือ เด็กสติปัญญาบกพร่องจะต้องอาศัยระบบการศึกษาพิเศษซึ่งจะแบ่งระดับไปตามความรุนแรงของความบกพร่อง กลุ่มที่บกพร่องอย่างอ่อน เป็นกลุ่มที่จัดเป็น Educable คือ เรียนรู้ทางด้านวิชาการได้ในระดับหนึ่ง สามารถอ่านออกเขียนได้ โดยในการเรียนรู้จะต้องใช้เวลาที่มากกว่าปกติ ส่วนกลุ่มสติปัญญาบกพร่องปานกลาง จัดเป็นพวก Trainable คือ สามารถฝึกฝนสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันได้ ส่วนกลุ่มบกพร่องรุนแรงถึงรุนแรงมาก เป็นกลุ่มที่ต้องอาศัยผู้ดูแลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกลุ่มนี้มักมีโรคทางกายอื่นๆ ร่วมด้วยอยู่แล้ว ซึ่งเราจะไม่ลงรายละเอียดในที่นี้ ต่อไปเราจะมาดูกลุ่มในฝั่งตรงข้ามกันบ้าง กลุ่มที่มีค่า IQ สูงกว่าค่าปกติ คือ กลุ่ม Bright Normal จะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้รวดเร็ว เข้าใจอะไรๆ ได้ง่ายกว่าคนในระดับอายุเดียวกัน ที่สูงขึ้นมาอีก คือ กลุ่ม Superior และ Very superior กลุ่ม 2 กลุ่มหลังนี้ฟังดูน่าจะประสบความสำเร็จรวดเร็วกว่าคนอื่นในทุกๆ ด้าน เนื่องจากความฉลาดที่โดดเด่น แต่บางครั้งจะกลับพบว่าคนกลุ่มนี้มีปัญหาด้านอารมณ์ และพฤติกรรมได้บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความฉลาดเกินปกติของเขาทำให้คนรอบข้างคาดหวังกับเขามาก และมองข้ามความต้องการด้านอื่นๆ ของเขาไป ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถจัดแบ่งคนเป็นกลุ่ม ๆ ดังในตารางนี้ได้อย่างตายตัว เพราะค่า IQ ก็คล้ายกับแถบสีรุ้งที่แต่ละสีจะไม่แบ่งแยกกันโดยเด็ดขาด ความแตกต่างของตัวเลขเล็กๆ น้อยๆ อาจไม่บ่งชี้ถึงความแตกต่างของเชาว์ปัญญาเท่าใดนัก แต่รายละเอียดของความสามารถในแต่ละด้านมีความสำคัญมากกว่า

Read More »

เมื่อมีลูกแฝด

กุมารเวช: เมื่อมีลูกแฝด เมื่อมีลูกแฝด (HAVING TWINS) พ.ญ.พรรณพิศ สุพรหมจักร พ.ญ.สุภาพร ปิตวิวัฒนานนท์ ลูกช่วยเติมความสมบูรณ์ให้กับครอบครัว ขณะเดียวกันภาระการเลี้ยงดูบุตร ก็เป็นสิ่งที่คุณแม่มักจะกังวลว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร ยิ่งถ้าเป็นเด็กแฝด ความกังวลจะเป็นทวีคูณ แต่การเลี้ยงลูกแฝดก็ไม่ได้แตกต่างไปจากการเลี้ยงดูเด็กโดยทั่ว ๆ ไป และไม่ได้ยากลำบากอย่างที่คิด เมื่อคุณแม่เริ่มตั้งครรภ์ ก็คงจะต้องเตรียมสิ่งของเครื่องใช้สำหรับเด็กอ่อนซึ่งในกรณีที่มีเด็กแฝดคงจะต้องเตรียมทุกอย่างเป็น 2 เท่าของปกติ และที่สำคัญคือเตรียมคนที่จะมาช่วยคุณแม่หลังคลอด ในระยะแรกแม่ควรได้รับความช่วยเหลือจากสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อของลูก หลักในการเลี้ยงดูเด็กก็คงจะประกอบไปด้วยการดูแลเรื่องอาหาร การดูแลความเป็นอยู่โดยทั่ว ๆ ไป และการดูแลยามเมื่อลูกเจ็บป่วย อาหารสำหรับทารกได้แก่นม นมที่ดีที่สุดก็คือนมแม่ ซึ่งง่ายในการให้ ไม่ยุ่งยากที่จะต้องเตรียม และมีประโยชน์มากที่สุดทั้งในแง่การเจริญเติบโต และพัฒนาการของเด็ก นอกจากนี้ยังได้รับภูมิต้านทานโรคผ่านทางนมแม่อีกด้วย ตอนนี้คงจะเกิดปัญหาว่าจะให้นมแม่อย่างไร ในกรณีลูกแฝด เราสามารถให้นมแม่ พร้อม ๆ กันทั้ง 2 คน ด้วยวิธีต่อไปนี้ วิธีที่ 1 แม่นั่งให้สบายวางหมอนข้างลำตัวแม่ทั้ง 2 ข้าง อุ้มลุกคนแรกโดยใช้ฝ่ามือแม่ข้างเดียวกับเต้านมที่จะให้ลูกดูดช้อนใต้คอ และส่วนบนของลำตัวลูก ให้ปากอยู่ระดับเดียวกับหัวนมแม่ ปลายเท้าลูกยื่นไปด้านหลังของแม่ เมื่อลูกอมหัวนมได้กระชับแล้ว ปรับหมอนของแขนแม่ให้แม่วางแขนให้สบาย ทำเช่นเดียวกันนี้กับลูกคนที่สอง (ภาพที่ 1) วิธีที่ 2 แม่นั่งขัดสมาธิ มีหมอนหรือเบาะวางบนตักอุ้มลูกคนแรกให้ดูดนมในท่าปกติ โดยให้ลำตัวของลูกขนานไปกับแขนของแม่ หัวลูกจะพาดอยู่ตรงข้อพับแขนของแม่ให้ลำตัวลูกเบนออกจากตัวแม่เล็กน้อย เพื่อเว้นที่ให้ลูกคนที่สองซึ่งต้องมีคนช่วยเอามาดูดนมข้างที่เหลือ ลำตัวและปลายเท้าของลูกคนที่สอง จะยื่นไปด้านหลังของแม่ โดยแม่ใช้ฝ่ามือข้างเดียวกับเต้านมที่จะให้ลูกดูด ช้อนใต้คอและส่วนของลำตัวลูก ปรับให้ลูกอมหัวนมให้กระชับทั้งสองคน (ภาพที่ 2) โดยทั้ง 2 วิธีดังกล่าว แม่ก็สามารถให้นมลูกพร้อมกันทั้ง 2 คน คุณแม่อาจจะให้นมลูกทีละคนได้เช่นกันโดยที่ให้นมลูกคนที่หิวก่อน หรือตื่นก่อนเป็นคนแรก ในกรณีที่แม่ ไม่สามารถให้นมลูกได้ เช่น เจ็บป่วย หรือได้ยาบางอย่างจำเป็นต้องให้นมผสมแทน ซึ่งต้องเน้นที่ความสะอาด เมื่อผสมนมแล้ว ควรให้เด็กทันที ไม่ควรเก็บไว้ใช้หลายมื้อและการเลี้ยงด้วยนมผสม คงจะต้องการผู้ช่วยเพื่อที่จะได้ป้อนนมให้ทีละคน (ภาพที่ 3) เมื่อลูกน้อยถึงวัยที่จะต้องให้อาหารเสริมสำหรับเด็กอาจจะต้องอาศัยเก้าอี้นั่งสำหรับเด็กอ่อน โดยที่แม่นั่งกลางระหว่างเด็กทั้ง 2 คน และป้อนโดยใช้สำรับเพียงชุดเดียว หรือคุณแม่จะให้นั่งเก้าอี้คนหนึ่งและอีกคนหนึ่งแม่อุ้มไว้ แล้วป้อนทั้ง 2 คน ในเวลาเดียวกันก็ได้ เด็กแฝดอาจจะชอบอาหารต่างกัน และอาจจะแพ้อาหารบางอย่างต่างกันได้ (ภาพที่ 4) การนอนของเด็ก . ให้เด็กนอนด้วยกันได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเด็กจะอยู่ด้วยกันได้ดีมากกว่าที่จะกวนกัน หรืออาจจะให้เด็กนอนกับคุณแม่ โดยให้ลูกอยู่คนละข้าง เด็กจะหลับได้นานกว่าและได้รับความอบอุ่นอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับตอนที่อยู่ในครรภ์มารดา (ภาพที่ 5 , 6) การดูแลทั่วๆ ไป การอาบน้ำเด็กแฝด คงไม่ต่างจากการอาบน้ำเด็กโดยทั่วๆ ไป ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความสะอาดและความปลอดภัยเป็นหลัก เริ่มต้นตั้งแต่การล้างมือให้สะอาดก่อน เช็ดตาเด็กด้วยสำลีชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว และใช้ผ้าชุบน้ำในอ่างบิดหมาด ๆ เช็ดหน้าและซอกหู แล้วจึงอุ้มเด็กลงน้ำอุ่นที่เตรียมไว้ โดยจับศีรษะเด็กและหัวไหล่ด้วยฝ่ามือ ใช้นิ้วหัวแม่มือ และนิ้วกลางปิดใบหูทั้ง 2 ข้าง ระวังอย่าให้น้ำเข้าหน้า เข้าตาเด็ก ใช้มือที่เหลือในการอาบน้ำถูตัวเด็ก หลังจากนั้นจะมาถึงการแต่งตัวให้เด็กซึ่งปกติเสื้อผ้าที่คุณแม่เตรียมหรือได้รับจากผู้อื่นมักจะเป็นชุดที่เหมือนกัน จึงแต่งตัวให้เหมือนกัน ซึ่งในช่วงต้น ๆ ที่ลูกยังเลือกเองไม่ได้ คงไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อถึงวัยที่ลูกโตพอที่จะเลือกสิ่งที่ชอบเองได้ ควรจะให้โอกาสเด็กเลือกเอง ไม่จำเป็นต้องแต่งเหมือนกัน เมื่อลูกโตขึ้นเข้าสู่วัยที่ชอบซุกซนและค้นหาไปทั่ว ๆ กรณีของลูกแฝด คุณพ่อคุณแม่คงจะต้องเหนื่อยกว่าการเลี้ยงลูกคนเดียวเป็นแน่ เพราะเด็ก 2 คนจะช่วยกันทำความวุ่นวายได้มากกว่าที่เด็กคนเดียวจะทำได้ การเตรียมรับมือคือการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น บันได หรือประตูทางออกควรจะจัดให้มีแผงกั้นไม่ให้เด็กออก ปลั๊กไฟควรมี Safety cap ปิด หรือย้ายให้พ้นมือเด็ก , ยาและสารเคมีต่าง ๆ ในบ้านควรจะเก็บให้มิดชิด และปิดกุญแจให้เรียบร้อย การดูแลสุขภาพ การดูแลสุขภาพลูกน้อยเป็นเรื่องสำคัญ คุณพ่อคุณแม่ควรจะเอาใจใส่พาลูกไปตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนตามกำหนดและเมื่อลูกคนหนึ่งคนใดเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ควรจะต้องแยกเด็กแฝดออกจากกันจนกว่าจะหาย เพื่อป้องกันการติดต่อของโรค เช่น โรคหวัด เป็นต้น จะเห็นว่าการเลี้ยงลูกแฝด ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิดและคุณพ่อคุณแม่คงพอจะมีแนวทางในการเลี้ยงดูลูกแฝด ต่อไป นอกจากการดูแลทางด้านร่างกายที่กล่าวมาแล้ว พ่อแม่หลายๆ คนคงมีความกังวลใจไม่น้อย กับเรื่องพัฒนาการด้านจิตใจของลูกแฝด หลายคนคงห่วงไปล่วงหน้าว่าอาจให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูกได้ไม่เท่ากับการเลี้ยงดูลูกคนเดียว แต่จริง ๆ แล้วเรื่องความรักไม่ใช่สิ่งของที่ลูกแฝดจะได้รับเพียงครึ่งหรือหนึ่งในสามของลูกคนเดียว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะบริหารเวลากับลูกให้เป็นเวลาที่มีคุณภาพกับเขาได้เพียงไร เด็กแต่ละคนเมื่อคลอดจากท้องแม่ก็จะมีสิ่งที่ติดตัวมาแต่แรกคือพื้นฐานอารมณ์เฉพาะตัว เช่น เด็กเลี้ยงง่าย เด็กเลี้ยงยาก หรือเด็กที่เลี้ยงไม่ยากนักแต่ต้องอาศัยเวลาปรับตัวบ้างกับสิ่งใหม่ ๆ เคยมีคุณพ่อคุณแม่แฝดคู่หนึ่งเล่าว่าลูกแฝดคู่แรกของเขา เลี้ยงง่ายกว่าลูกคนที่ 3 ที่เป็นครรภ์เดี่ยวเสียอีก เพราะแฝดคู่นั้นเป็นเด็กเลี้ยงง่ายทั้งคู่ วงจรการกินการนอนเป็นจังหวะที่คาดเดาได้ แต่คนที่ 3 กลับเป็นเด็กเลี้ยงยากกว่า โดยรวมแล้วเหนื่อยกว่าการเลี้ยงลูกคู่แรกเสียอีก เพราะฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่จงอย่ากังวลไปล่วงหน้ามากนัก เพียงแค่เตรียมใจไว้ว่าอาจเหนื่อยกว่าปรกติบ้าง เพราะความกังวลจนเกินเหตุจะทำให้เราทำอะไรไม่ถูก ยิ่งพะว้าพะวงในการดูแลลูกมากขึ้น และยิ่งกว่านั้น อารมณ์ ความวิตกกังวลของผู้เลี้ยงดู ก็ยังสามารถถ่ายทอดไปสู่เด็กได้ผ่านสัมผัสที่เราปฏิบัติกับลูก จนเด็กเลี้ยงง่ายก็อาจเกิดอาการกระสับกระส่ายได้ หากพ่อแม่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความกังวลตลอดเวลา ส่วนเรื่องการแบ่งเวลาที่ให้แก่ลูก การมีลูกแฝดก็ไม่แตกต่างจากการเลี้ยงดูลูก 2 คน ที่มีอายุใกล้เคียงกัน บางครั้งเราอาจเหนื่อยมาก เพราะต้องใช้เวลากับคนนั้นทีคนนี้ที แต่บางคราวคุณพ่อคุณแม่อาจรู้สึกว่าสบายกว่าการมีลูกคนเดียวเสียอีก เพราะเขาสามารถที่จะเป็นเพื่อนเล่นกันเองได้ เพียงแต่เมื่อใดที่มีปัญหา คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องให้การตอบสนองอย่างเหมาะสมกับลูกแต่ละคนได้ ปัญหาพี่อิจฉาน้อง น้องอิจฉาพี่ แฝดพี่อิจฉาแฝดน้อง เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดกับทุกๆ ครอบครัว เพียงแต่การตอบสนองที่เหมาะสมของพ่อแม่ จะช่วยให้ปัญหานี้อยู่ในขอบเขตที่พอเหมาะ และพี่น้องหรือแฝดก็ตามแม้เขาจะเล่นกันไปทะเลาะกันไป เขาก็ยังคงรักที่จะเล่นด้วยกันมากกว่าที่จะถูกแยกจากกัน แต่หากพ่อแม่เข้าไปตัดสินเขาไม่เหมาะสม เปรียบเทียบเขาอีกคน ทำให้คนหนึ่งน้อยเนื้อต่ำใจ

Read More »
Page1 Page2 Page3 Page4 Page5 Page6

ธ.ธนาคาร (sperm)

สูตินารี: ธ.ธนาคาร (sperm) ธ.ธนาคาร เอ่ยถึงธนาคารในวันนี้ หลายๆ คนอาจจะสะดุ้งเพราะต่างก็เป็นลูกหนี้ธนาคารมากกว่าที่เป็นเจ้าหนี้ ถึงแม้เจ้าหนี้ของธนาคารเองก็เถอะเจอดอกเบี้ยเงินฝากต่ำๆ เกือบถึงพื้น ต่างก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงยอยู่เหมือนกัน แต่เอาล่ะยังไงวันนี้ผมก็ไม่ขอคุยถึงเรื่องของธนาคารที่เกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ อยู่แล้ว แต่จะกล่าวถึงเรื่องของธนาคารอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งหากคุณได้ฝากกับธนาคารประเภทนี้นอกจากคุณจะไม่ได้ดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว คุณยังจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าฝากอีกต่างหาก อยากจะทราบมั๊ยหล่ะครับว่า ผมกำลังกล่าวถึงธนาคารอะไรกัน หากจะให้คุณเดาคุณก็อาจจะเดาถูก แต่ไม่ต้องเสียเวลาเดาหรอกนะครับ ผมจะบอกให้เลยว่า ผมกำลังเขียนถึง “ธนาคารอสุจิ” หรือที่เรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า “SPERM BANK” นั่นเอง ชื่อก็บอกแล้วนะครับว่าเป็นธนาคารสำหรับฝากอสุจิ ฟังแล้วคุณอาจจะงงกันนะครับว่าอยู่ดีๆ จะเอาอสุจิไปฝากธนาคารกันทำไม ครับ…มันก็ต้องมีเหตุมีผลกันนะครับอย่างกรณี เช่น คุณฝาละมี มีอาชีพเป็นทหารจำเป็นต้องไปรบทัพจับศึกในขณะที่ตนยังไม่เคยมีลูกเลย จับพลัดจับผลูเกิดไปสะดุดกับระเบิดตัดเอาพวงสวรรค์ขาดไป แล้วจะว่ายังไง อย่ากระนั้นเลยเพื่อเป็นการไม่ประมาท ก็เอาอสุจิจำนวนนับเป็นพันๆ ล้านไปฝากแบงค์เอาไว้ก่อน กันเหนียวว่างั้นเถอะ ในอนาคตจะได้มีโอกาสมีลูกได้ แม้ว่าไม่มีพวงสวรรค์แล้วก็ตาม หรือในกรณีที่คุณฝาละมีเกิดไม่สบายขึ้นมา และจำเป็นจะต้องให้การรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือ ฉายแสงอะไรก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้มีโอกาสทำให้เป็นหมันอย่างสนิทได้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาทเช่นเดียวกัน การเอาเชื้ออสุจิออกมาฝากแบงค์ไว้ก่อนก่อนที่จะไปทำการรักษาจึงเป็นวิธีการที่จะช่วยให้สามารถมีบุตรของตนเองได้ในอนาคต แม้จะไม่มีอสุจิเหลืออยู่ในตัวแล้วก็ตาม ธนาคารอสุจิจึงมีประโยชน์ด้วยประการฉะนี้ เขียนมาถึงตรงนี้ หลายๆ คนอาจจะนึกภาพของธนาคารอสุจิไม่ออกว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร จะสวยงามพอๆกับสำนักงานใหญ่ของธนาคารกรุงเทพ หรือธนาคารกสิกรไทยได้หรือไม่ เอาล่ะก่อนอื่นต้องบอกว่ามันคนละเรื่องกันเลยทีเดียว คุณเคยเห็นถังแก๊สหุงต้มขนาดเล็กมั๊ยหล่ะครับ นั่นแหล่ะหน้าตาของธนาคารที่ผมกำลังกล่าวถึง เพราะจริงๆ แล้วมันก็คือ ถังกลมยาวคล้ายถังแก๊สหุงต้ม แต่ภายในบรรจุไว้ด้วยแก๊สไนไตรเจนเหลว ซึ่งจะให้ความเย็นจัดถึงลบหนึ่งร้อยสี่สิบองศาเซลเซียสกันเลยทีเดียว ที่ความเย็นจัดขนาดนั้น จะทำให้ทุกอย่างของความมีชีวิตหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และอย่างไม่มีกำหนด ถ้าอุณหภูมิยังคงเย็นจัดขนาดนั้นจนกว่าจะทำให้อุณหภูมิกลับคืนสู่สภาพเหมือนปกติ การดำเนินของชีวิตก็จะกลับคืนมาได้ แต่ใช่ว่าจะทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ อย่างตัวอสุจิก็เช่นเดียวกันเมื่อเอาไปฝากแบงค์แช่แข็งไว้แล้วนั้น ในตอนเอากลับมาทำสู่สภาพปกติ อาจจะเหลือตัวอสุจิที่พอจะเตะปีบดังเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ธนาคารอสุจิในปัจจุบันนี้ใช่ว่าจะรับฝากแต่ตัวอสุจิเท่านั้น แต่สามารถรับฝากไข่ของคุณผู้หญิงที่คุณหมอเจาะเอาออกมาทำกี๊ฟ หรือทำเด็กหลอดแก้ว แล้วมีเหลือใช้อยู่บ้าง ก็สามารถฝากแบงค์เอาไว้ได้เช่นกัน วันดีคืนดีเมื่อต้องการจะใช้ไข่นั้นอีก ก็สามารถนำมาใช้ได้เช่นเดียวกันกับตัวอ่อนที่เหลือจากการทำเด็กหลอดแก้ว ทางแพทย์ก็สามารถเก็บไว้ในธนาคารอสุจิดังกล่าวนี้ได้เช่นกัน นับเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่สามารถเก็บสิ่งมีชีวิตที่เหลือใช้ และนำกลับมาใช้ได้อีกเมื่อต้องการ คุณๆว่าเข้าท่าดีมั๊ยหล่ะครับ.

Read More »

ตรวจก่อนแต่ง

แต่งงาน.. คำเริ่มต้นของการใช้ชีวิตคู่ อย่างเป็น ทางการตามประเพณี เป็นคำ เริ่มต้น ที่บอกให้ รู้ว่า ” คู่รัก ” จะต้อง รับผิดชอบชีวิต ของกัน และกัน ให้ดีที่สุด และอย่างมีความสุขมากที่สุด การตรวจ ก่อนแต่งงาน ก็คือ ส่วนหนึ่ง ของวิธี การที่ จะทำให้คู่รัก มีความสุข ตรวจหัวใจ ของตนเองให้ แน่ชัด ตรวจทานอุปนิสัยทั้งด้านดีและ ไม่ดี ตรวจความพร้อมทางอารมณ์ และจำต้อง ตรวจร่างกายด้วย การตรวจสุขภาพร่างกายก่อนแต่งงาน ก็เพื่อ จะได้รู้เท่าทันว่า ฝ่ายใดมี โรคที่จะ สามารถ ถ่ายทอด ทางพันธุกรรมไปสู่เจ้าตัวเล็ก ที่จะเกิดมา ใน อนาคต หรือฝ่าย ใดมีโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ที่อาจจะ ยังไม่ ปรากฏ อาการให้เห็น การตรวจ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อ คนที่คุณรัก สามี ภรรยา ลูก เพื่อจะ ได้หาทางรักษา และป้องกัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน เน้นที่การตรวจร่างกายและตรวจเลือด ดังนี้ Hepotitis B Profile การตรวจภูมิคุ้มกันเชื่อไวรัวตับอักเสบชนิดบี ถ้ามีเชื้อ อยู่ในเลือดแสดงว่า คุณเป็นพาหะ นำโรค ซึ่งสามารถติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์และและสายเลือด สำหรับฝ่าย หญิงที่มีเชื้อไวรัสตัวนี้ ยังจะถ่ายทอดไปสู่เจ้าตัวเล็ก ในครรภ์ อีกด้วย และถ้า ทารกไม่ได้ รับการฉีดวัคซีน ป้องกันเมื่อแรกคลอดก็จะเป็น โรคตับ อักเสบ ซึ่งมีโอกาสพัฒนา ไปเป็นโรคตับเรื้อรัง และอาจจะเป็นมะเร็ง ตับในที่สุด โดยเฉพาะทารกเพศชายจะมี ความไวต่อการ รับเชื้อมากกว่า ทารกเพศหญิงที่ อาจเป้นเพียง พาหะนำดรคต่อไป Hemoglobin Typing การตรวจชนิดของฮีโมโกลบินเพื่อดูว่ามีความผิดปกติซึ่งจะถ่ายทอดโรค ธาลัสซีเมีย หรือไม่ การที่ต้องตรวจหาโรคนี้เนื่องจาก ปรากฏสถิติว่า คู่แต่งงาน ทั้ง 2 ฝ่าย มีสุขภาพแข็งแรง ดี และต่างก็ไม่มีอาการมาก่อนว่า ทั้งคู่เป็นพาหะ ของ โรคธาลัสซีเมีย แต่เมื่อมีลูกกลับ พบว่า ลูกเป็นโรคนี้ ซึ่งจะส่งผลตั้งแต่ แท้ง ตายคลอด มีชีวิตรอดแต่ต้องได้รับ การถ่ายเลือด ตลอดชีวิต มีการเจริญ เติบโต ช้า ติดเชื้อง่าย มีชีวิตไม่ยืนยาว หรือเป็นพาหะของโรค โดยไม่มี ความผิด ปกติ อะไรทั้งสิ้น นอกจากว่าจะสามารถ ถ่ายทอดโรคนี้ ให้แก่รุ่น หลานต่อไปได้ VDRL,Anti HIV ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อหารทางรักษาและป้องกันได้ทันท่วงที VDRL และ Anti HIV มีข้อแตกต่างกันคือ VDRL เป็นการตรวจเพื่อ หาการติด เชื้อซิฟิลิส ในร่างกาย ซึ่งเป็นดรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ สามารถรักษา ให้หาย ได้โดย ง่ายและหายขาด แต่การตรวจนี้ไม่ได้ ยืนยัน การติดโรคซิฟิลิส เพราะ VDRL มีผลบวกนั้นมีผลมากจากภาวะ ต่างๆของ ร่างกายได้หลายอย่าง ถ้าตรวจ VDRL ได้บวก แพทย์ต้องตรวจ ยืนยันการ ติดเชื้อซิฟิลิสอีก ครั้งด้วยการตรวจ FTA-ABS ส่วนการตรวจ Anti HIV เป็นการตรวจหาภูมิต้านทานของเชื้อ HIV ซึ่งแสดงถึง การติดโรคเอดส์ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และทางเลือด ที่ยังไม่มี ทาง รักษาให้หาย ขาดในปัจจุบัน Rubella Antibodies การตรวจภูมิคุ้นกันโรคหัดเยอรมัน ในฝ่ายหญิง ซึ่งโดยทั่วไปจะได้รับการ ฉีดวัคซีนป้องกัน ตั้งแต ่ในวัยเด็กแล้ว แต่เมื่อเติบโตเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ภูมิต้านทานโรค นี้อาจจะหมดไป จึงจำเป็นต้องตรวจ ก่อนตัดสินใจแต่งงาน หรือมีลูก เพราะหากว่ามี การติดเชื้อไวรัวหัดเยอรมัน ขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ มีโอกาสสูงมากที่ ทารกจะแท้ง หรือพิการ ได้แก่ สมองเล็ก หูหนวก ตาบอด ปัญญาอ่อน ลิ้นหัวใจรั่ว ทารกตัวเล็ก หรืออาจรุนแรงถึงขั้นตายคลอด

Read More »

การรักษาโรคนิ่วแบบใหม่ เจาะผ่านผิวหนังส่องกล้องกรอนิ่วในไต (PCNL)

โรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะเป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่งโดยจะพบเป็นนิ่วในไตมากที่สุด รองลงมาเป็นนิ่วในทอไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ และนิ่วในท่อปัสสาวะตามลำดับ ในประเทศไทยโรคนิ่วสามารถพบได้ทุกภาคของประเทศ โดยจะพบบ่อยในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอุบัติการณ์ของโรคนิ่วจะพบว่าเกิดในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 2 – 3 เท่า สำหรับสาเหตุของการเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ จะเกิดหลายปัจจัย ได้แก่ 1. ความเข้มข้นของปัสสาวะ ถ้าหากดื่มน้ำน้อยหรือมีการเสียเหงื่อมากจะทำให้สารละลายที่ขับออกมา จากร่างกายทางปัสสาวะมีความเข้มข้นมาก และมีโอกาสที่จะตกตะกอนจับกันเป็นผลึกและเป็นก้อนนิ่วได้ 2. ความเป็นกรดด่างของปัสสาวะ ในบางภาวะที่ปัสสาวะมีความเป็นกรดมากจะทำให้ผลึกนิ่วบางชนิดก่อตัวขึ้นง่าย เช่น ผลึกนิ่วยูริค 3. การขับสารบางชนิดของร่างกายออกมาทางปัสสาวะมากเกินไป พบว่าในบางคนมีความผิดปกติในการขับสารบางอย่าง เช่น แคลเซียม, ออกซาเลต, ฟอสเฟตหรือกรดยูริค ถ้าหากขับออกมาในปัสสาวะมากจะทำให้เป็นนิ่วได้ง่าย 4. ภาวะการติดเชื้อบางชนิดในทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะกลุ่มแบคทีเรียที่สามารถผลิตสารยูเรียได้ จะทำให้เป็นนิ่วง่าย 5. มีภาวะที่ขัดขวางการไหลของปัสสาวะ เช่น มีการตีบแคบของกรวยไต, ท่อไต, ท่อปัสสาวะหรือมีต่อมลูกหมากโต จะทำให้ปัสสาวะไหลไม่คล่องคล้ายกับมีฝายกั้นน้ำหรือเขื่อนกั้นอยู่ และทำให้เกิดการตกตะกอนของสารในปัสสาวะจนก่อตัวเป็นก้อนนิ่วขึ้นได้ โดยทั่วไปชนิดของนิ่วจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1. นิ่วที่ทึบรังสี พบได้ประมาณ 90 % โดยนิ่วในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบ การตรวจเอกซเรย์จะเห็นนิ่วได้2. นิ่วที่ไม่ทึบรังสี พบได้ประมาณ 10 % มักเป็นนิ่วยูริค การตรวจโดยเอกซเรย์จะมองไม่เห็นนิ่ว การวินิจฉัยจะยากกว่าปกติ บางครั้งแยกยากจากเนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ อาจต้องตรวจเพิ่มเติมโดยการอัลตราซาวด์, ฉีดสี เอกซเรย์หรือทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ในอดีตการรักษานิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะจะกระทำด้วยการผ่าตัดเปิด แต่ปัจจุบันนี้ได้ลดลงมากเนื่องจากมีวิธีการรักษานิ่วอีกหลายวิธีเพื่อเลี่ยงการผ่าตัด ได้แก่ 1. การทานยาละลายนิ่ว เหมาะสำหรับนิ่วชนิดยูริค สามารถละลายได้โดยให้ทานยาที่ทำให้ปัสสาวะเป็นด่าง สำหรับนิ่วที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบไม่มียาละลายนิ่ว โดยถ้านิ่วมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซ.ม. มีโอกาสหลุดเองได้ โดยการดื่มน้ำเพิ่มหรือให้ยาขับปัสสาวะช่วย 2. การใช้เครื่องสลายนิ่ว (ESWL) เป็นการใช้เครื่องมือที่มีต้นกำเนิดพลังงานจากภายนอกร่างกายส่งคลื่นพลังเข้าไปกระแทกนิ่วให้แตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และให้ร่างกายเป็นผู้ขับเศษนิ่วออกมาเอง การรักษานิ่วโดยใช้เครื่อง ESWL นี้ ผู้ป่วยควรจะเป็นนิ่วที่ไตหรือท่อไตส่วนต้น และมีขนาดของนิ่วน้อยกว่า 2 ซ.ม. รวมทั้งต้องมีการทำงานของไตข้างนั้นพอที่จะมีปัสสาวะขับเอาเศษนิ่วที่สลายแตกแล้วให้หลุดออกมานอกร่างกายได้ ยกเว้นนิ่วบางชนิดที่แข็งมากไม่สามารถยิงสลายให้แตกโดยวิธี ESWL ได้ 3. การรักษาโดยการส่องกล้อง ได้แก่ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะจะส่องกล้องผ่านรูท่อปัสสาวะเข้าไปขบนิ่วและนิ่วในท่อไตจะส่องกล้องเข้าไปในรูท่อไตเข้าไปคล้องหรือกรอนิ่วในท่อไตออกมา ซึ่งทั้ง 2 วิธีเป็นการส่องกล้องเข้าไปในรูท่อปัสสาวะหรือรูท่อไตที่มีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้วจึงไม่มีรอยแผลผ่าตัด 4. การเจาะผ่านผิวหนังส่องกล้องกรอนิ่วในไต (PCNL) เป็นวิธีการรักษานิ่วในไตที่พัฒนามาเพื่อเลี่ยงการผ่าตัดโดยาใช้วิธีเจาะรูเล็ก ๆ ขนาดนิ้วชี้ทะลุจากผิวหนังเข้าไปในกรวยไต และใช้กล้องส่องตามเข้าไปจนพบก้อนนิ่ว จากนั้นจะใช้เครื่องมือเข้าไปกรอนิ่วให้แตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และดูดหรือคีบนิ่วออกมาการรักษาโดยวิธี PCNL นี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างมาก เนื่องจากแผลเจาะมีขนาดเล็ก 1-2 ซ.ม. เทียบกับบาดแผลผ่าตัดเปิดที่มีขนาดยาว 15 – 20 ซ.ม. อาการเจ็บแผลจะน้อยกว่า และกลับบ้านได้เร็วภาย ใน 3 – 5 วันหลังผ่าตัด สามารถฟื้นตัวกลับไปทำงานได้เร็วกว่าเดิมมาก นอกจากนี้ถ้าหากเกิดเป็นนิ่วในไตซ้ำขึ้นมาอีก ก็สามารถรักษาโดยวิธี PCNL ซ้ำได้ไม่ยาก ภายหลังการรักษานิ่วแล้ว ผู้ป่วยพึงระลึกว่า ถ้าหากไม่ระมัดระวังป้องกันมีโอกาสที่จะกลับเป็นนิ่วซ้ำได้ใหม่สูงถึง 35 – 50 % ภายในระยะเวลา 5 – 10 ปี ซึ่งถ้าพบว่ามีการกีดขวางทางไหลของปัสสาวะ เช่น ต่อมลูกหมากโต, ท่อปัสสาวะหรือท่อไตตีบจะต้องผ่าตัดแก้ไขด้วย และ ถ้ามีการติดเชื้ออักเสบของทางเดินปัสสาวะต้องรักษาให้หายขาด และมีคำแนะนำโดยทั่วไปที่ควรปฏิบัติเพื่อลดการเกิดนิ่วซ้ำ ได้แก่ – ดื่มน้ำอย่างน้อย 2 – 3 ลิตรต่อวัน เพื่อให้มีปริมาณน้ำปัสสาวะเพียงพอ ไม่ให้เข้มข้นมาก – ลดการทานอาหารที่เค็มจัด เนื่องจากปริมาณเกลือที่ทานเข้าไปจะขับออกทางปัสสาวะและมีส่วนชักนำให้ปริมาณแคลเซียมที่ขับออกมามากตามด้วย- ถ้ามีระดับกรดยูริคในเลือดสูง ต้องควบคุมให้ลงมาอยู่ในระดับปกติ โดยการทานยา หรือควบคุมอาหารที่มีกรดยูริคสูง – ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อที่จะให้มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย เป็นการเขย่าไม่ให้ผลึกนิ่วที่อาจเกิดขึ้น

Read More »

ภาวะหลั่งเร็ว

ภาวะหลั่งเร็ว ภาวะหลั่งเร็วเป็นภาวะที่พบได้มากที่สุดในปัญหาทางเพศของผู้ชาย ในทางการแพทย์ได้นิยามภาวะหลั่งเร็วว่ามีองค์ประกอบ 3 ประการคือ 1.เวลาในการหลั่งหลังสอดใส่เร็วกว่า 15 วินาที ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่าผู้ชายปกติจะมีค่าเฉลี่ยของการหลั่ง 2-10 นาที 2.การหลั่งไม่สามารถควบคุมให้เป็นไปตามความต้องการได้ ข้อนี้ใช้แยกภาวะปกติของผู้ชายบางคนที่บังคับให้มีการหลั่งเร็วได้ ในบางสภาวะการณ์ 3.ผู้ชายและ /หรือคู่นอนเกิดปัญหาจากภาวะนี้ เนื่องจากบางคู่ที่ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอดเร็วก็จะไม่เกิดปัญหาจากภาวะนี้ของฝ่ายชาย สาเหตุของการหลั่งเร็วเดิมเชื่อว่าเป็นจากภาวะทางจิตใจ เช่นความตื่นเต้น วิตกกังวล ปัจจุบันมีการศึกษาเพิ่มเติมพบว่ามีปัจจัยอื่นคือ 1.ระบบประสาทรับรู้ความรู้สึกของอวัยวะเพศมีความไวต่อการสัมผัสผิดปกติ อาจเป็นที่เส้นประสาทที่มาเลี้ยงอวัยวะเพศ หรือภายในสมอง 2.สารนำระบบประสาทในสมองผิดปกติ ที่มีการศึกษากันมากคือสาร “Serotonin” การรักษา ภาวะหลั่งเร็วที่เกิดเป็นบางครั้ง พวกนี้มักมีสาเหตุเช่น ความตื่นเต้น (คู่นอนใหม่),ยาหรือสารบางชนิด,เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือการมีเพศสัมพันธ์ห่าง กลุ่มดังกล่าวข้างต้นต้องแก้ไขที่สาเหตุ ในกลุ่มที่มีอาการทุกครั้งเป็นระยะเวลานานมีวิธีการรักษาคือ 1.พฤติกรรมบำบัด เป็นวิธีที่ใช้กันมานานนับสิบปี ให้ผลการรักษาแตกต่างกันไป 1.1.การไม่รีบเร่งในการมีเพศสัมพันธ์ ใช้เวลาเล้าโลมให้นานขึ้น 1.2.ผู้ชายมีการหลั่งก่อนมีเพศสัมพันธ์ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้การหลั่งครั้งต่อไปนานขึ้น 1.3.Stop Pause Method คือพักการมีเพศสัมพันธ์ก่อนเมื่อรู้สึกว่าจะมีการหลั่ง 1.4.Stop Squeeze Method เมื่อรู้สึกว่าจะมีการหลั่งให้หยุดและบีบส่วนหัวอวัยวะเพศ เพื่อให้อวัยวะเพศอ่อนตัว พักแล้วจึงเริ่มใหม่ 2.การใช้ยา 2.1.ยาชาในรูปสเปรย์หรือครีม ทาอวัยวะเพศก่อนมีเพศสัมพันธ์ จะช่วยลดความรู้สึกของอวัยวะเพศได้ 2.2.การใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าพบว่าทำให้มีการหลั่งช้าลงได้ มีทั้งกลุ่มTricyclic และกลุ่มยับยั้งการดูดซึมกลับของสาร Serotoninในสมอง ทั้งนี้ควรได้รับการคำแนะนำการใช้และผลข้างเคียงของยานี้จากแพทย์ 3.จิตบำบัด ใช้ในรายที่มีปัญหาจากจิตใจ การรักษาภาวะหลั่งเร็วในปัจจุบันแม้ยังไม่มีวิธีการรักษาที่ดีที่สุด แต่ก็สามารถทำให้ดีขึ้นได้ ทั้งนี้ต้องอาศัยความพยายาม และความเข้าใจของทั้งฝ่ายชายและหญิง และไม่ควรอายที่จะปรึกษาแพทย์

Read More »

มลพิษทางอากาศกับระบบทางเดินหายใจ

กุมารเวช: มลพิษทางอากาศกับระบบทางเดินหายใจ โดย นพ.พรชัย วัชระวณิชกุล ทุกวันนี้อากาศในบ้านเรามีปริมาณฝุ่นและก๊าซพิษเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ปัจจัยสำคัญ ก็คือ ควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ และควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง พวกน้ำมัน หรือถ่านหิน และสารเคมีต่างๆ นอกจากนี้ยังมีพวกฝุ่นจากการก่อสร้างความจริงมนุษย์เรารู้ว่าฝุ่นและควันพิษ มีผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ของอังกฤษ ในช่วงปี คศ. 1377-1399 มีการกำหนดระเบียบกฎเกณฑ์การใช้ถ่านหินเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมในโลกเราได้ประสบปัญหามลภาวะทางอากาศอย่างรุนแรงหลายครั้ง เช่น ปี คศ.1930 ที่เบลเยี่ยม, ปี คศ.1948 ที่เพนซิลวาเนีย และ ปี คศ.1952 ที่กรุงลอนดอน ทำให้มีผู้ป่วยตายเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นจึงมีผู้ให้ความสนใจและหาวิธีป้องกันอันตรายจากมลพิษทางอากาศอย่างจริงจังมลพิษทางอากาศ แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คืออนุภาคฝุ่นและก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ และโอโซน ซึ่งเป็นสารเกิดจากปฏิกิริยากับแสงแดดอื่นๆในข้อแรก จะเป็นผลพวงมาจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะที่ใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล ได้แก่ พวกถ่านหินน้ำมันดิบ ส่วนในข้อสอง จะมาจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ เช่น จากรถยนต์ และก๊าซเหล่านั้นไปทำปฏิกิริยากับแสงแดด นอกจากนั้นยังมีพวกก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ที่ไม่สมบูรณ์ และก๊าซไฮโดรคาร์บอน ซึ่งอาจเป็นตัวการของการเกิดมะเร็งอนุภาคฝุ่นที่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจ ส่วนใหญ่จะมีขนาด 1-10 ไมครอน ขนาดที่ใหญ่กว่านี้จะถูกจับไว้โดยขนที่จมูก ไม่ผ่านลงไปที่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ส่วนฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 0.5 ไมครอน เมื่อผ่านเข้าไปที่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่างแล้วก็จะถูกหายใจออกมา มีส่วนน้อยที่จะคงค้างอยู่ในถุงลม ปกติฝุ่นที่หลุดเข้าไปในหลอดลม ร่างกายจะพยายามกำจัดออกโดยขนเล็กๆ ที่อยู่ที่หลอดลมพยายามที่จะกวาดเอาฝุ่นขึ้นมา ส่วนที่เข้าไปในถุงลมจะถูกกำจัดโดยเซลล์ของร่างกายชนิดหนึ่ง เรียกว่า แมคโดฟาจ แต่ในคนที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง หรือหลอดลมอักเสบเรื้อรัง กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้าร่างกายจะไม่เหมือนปกติทำให้โอกาสเกิดอาการผิดปกติได้มากกว่าในคนที่สุขภาพดี ฝุ่น ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ,ไนโตรเจนไดออกไซด์ และโอโซน มีผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการ แสบจมูก ไอ แน่นหน้าอก สมรรถภาพปอดลดลง และทำให้เกิดหลอดลมตีบได้ โดยเฉพาะในคนที่เป็นโรค หอบหืด ถุงลมโป่งพอง หรือ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ผลกระทบต่อสุขภาพจะเกิดได้บ่อยกว่าในคนสูงอายุ เด็กเล็ก และคนที่มีโรคปอด หรือโรคหัวใจอยู่เดิม นอกจากนี้ยังพบว่าอัตราการติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กจะเพิ่มขึ้นในเมืองใหญ่ที่มีฝุ่นและควันพิษมาก โดยทั่วไปปริมาณความเข้มข้นของอนุภาคฝุ่นหรือควันพิษมีปะปนอยู่แล้วในอากาศในปริมาณเล็กน้อย ไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แต่ถ้าหากเกิดในปริมาณสูงมากขึ้นโดยเฉพาะในสภาวะที่อากาศนิ่ง ไม่ถ่ายเท ก็จะเกิดผลกระทบต่อสุขภาพได้มากขึ้น นอกจากนี้การออกกำลังกายก็ทำให้มีโอกาสได้รับก๊าซพิษมากขึ้น เพราะว่าก๊าซพิษส่วนหนึ่งจะไม่ถูกกรองโดยจมูก แต่จะเข้าทางปาก และลงไปสู่หลอดลมส่วนล่างได้ง่ายและมีปริมาณมากขึ้นปัญหาที่อาจจะมองข้ามไป คือ ภาวะมลพิษทางอากาศ ไม่ได้เกิดเฉพาะในที่กลางแจ้งเท่านั้น แม้ในบ้านเรือนก็มีโอกาสเกิดได้ เช่น จากการใช้เตาอบ เตาแก๊ส ในที่อากาศถ่ายเทไม่ดี หรือ พิษจากควันบุหรี่ที่ผู้อื่นสูบ เป็นต้นการป้องกันในแง่ส่วนบุคคล คือ การหลีกเลี่ยงเข้าไปในบริเวณที่มีการจราจรแออัด หรือเขตโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ออกกำลังกายกลางแจ้งในบริเวณที่มีฝุ่นหรือควันพิษจำนวนมาก การสวมหน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่นละอองช่วยได้ไม่มาก เพราะอนุภาคมีขนาดเล็ก สามารถเล็ดลอดผ่านหน้ากากได้ ความจริงสิ่งสำคัญ คือ แก้ที่ตัวต้นเหตุ ได้แก่ มีมาตรการควบคุมควันและก๊าซพิษที่ปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรมให้มีระดับที่ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การควบคุมควันเสียจากรถยนต์ ตลอดจนการคุมตัวตึกในบริเวณที่มีการก่อสร้างอาคาร เป็นต้นอ่านเรื่องนี้จบ ท่านผู้อ่านก็ไม่ต้องกังวลกับมันมากนัก เพราะว่าเขม่าควันพิษที่พัดมาจากอินโดนีเซียจากไฟไหม้ป่ามายังภาคใต้ของประเทศเรา ก็เริ่มเบาบางลงแล้ว ประกอบกับทางราชการก็มีมาตรการกำจัด

Read More »

จิตเวช: ยาบ้า ยาอี ยาม้า เหมือนกันหรือต่างกันตรงไหนคะ

จิตเวช: ยาบ้า ยาอี ยาม้า เหมือนกันหรือต่างกันตรงไหนคะ คำถาม ยาบ้า ยาอี ยาม้า เหมือนกันหรือต่างกันตรงไหนคะ ยาพวกนี้มามีส่วนทำอะไรในร่างกายหรือจิตใจเราคะจึงทำให้เราติดมัน คำตอบ โดย นายแพทย์ประทักษ์ ลิขิตเลอสรวง ยาบ้า หรือ ยาม้า เป็นชื่อสารเสพติดชนิดเดียวกัน คือ สารแอมเฟตามีน (Amphetamine) จัดเป็นสารกระตุ้นประสาท โดยออกฤทธิ์กระตุ้นสมองชั้นในหรือสมองส่วนอยาก (Limbic system) ซึ่งประกอบด้วยศูนย์พึงพอใจ ศูนย์ควบคุมอารมณ์ & พฤติกรรม ศูนย์ความอิ่ม ทำให้ผู้เสพมีความสุข สนุกสนาน ขยันขันแข็ง มีกำลังวังชา ไม่อยากอาหารแบบอิ่มทิพย์ นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ถ้าเสพมากหรือติดต่อกันจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย มีอาการทางจิต หวาดระแวง หูแว่ว ประสาทหลอน และอาจมีอารมณ์ซึมเศร้าฆ่าตัวตายได้ เดิมยาบ้าตั้งแต่สังเคราะห์ โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน เมื่อ คศ.1887 เป็นต้นมา ได้ถูกผลิตเป็นยาดม ยาเม็ดกิน จนมีการใช้ฉีดเข้าเส้น และล่าสุดทำเป็นก้อนผลึก จุดไฟอบสูบควัน ยาบ้าเคยใช้เป็นยารักษาโรคดอ้วน โรคหลับผิดปกติ และโรคซนในเด็ก แต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว ส่วนยาอี มาจากคำว่า Ecstasy ซึ่งแปลว่าสนุกสนานเบิกบานใจอย่างยิ่ง เป็นน้องของยาบ้าอีกที เพราะสังเคราะห์หลังยาบ้า 1 ปี โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น มีสูตรโครงสร้างใกล้เคียงกัน คือ เมทแอมเฟตามีน (Mathamphetamine) แต่มีฤทธิ์ร้ายแรงกว่า คือ นอกจากมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทแล้วยังมีฤทธิ์หลอนประสาทด้วย (psychedelic) กล่าวคือ ทำให้กล้ามเนื้ออยู่ไม่สุก ต้องเคลื่อนไหว เต้นรำ รู้สึกรักใคร่กลมเกลียวเหมือนพี่เหมือนน้อง รู้สึกอบอุ่นในอย่างประหลาด ต้องการเปิดเผยความในใจ มีส่วนรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น เป็นยาแห่งความรัก และการรับรู้ทางอายตนะสัมผัสพิศดาร จึงมักใช้ในงานปาร์ตี้ต่างๆ ทั้งยาบ้าและยาอีจะไปจับกับตัวรับ (receptors) ของสมองชั้นในหรือสมองส่วนนอก จนในที่สุดจะครอบงำสมองชั้นนอกหรือสมองส่วนเหตุผล (cerebral cortex) ทำให้ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ เข้าสู่กระบวนการเสพติดยา กล่าวคือ ตัวกระตุ้น –> ความคิด –> ความอยากยา –> การเสพยา ส่วนกระบวนการเสพติดยานั้นอธิบายด้วยทฤษฎีการเรียนรู้ กล่าวคือ ยา —–> อาการทางร่างกาย&จิตใจ (อยากยา) ยา + สิ่งที่เกี่ยวข้องกับยา (ตัวกระตุ้น) —> อยากยา ตัวกระตุ้น —> อยากยา และ เมื่อเสพติดยาแล้ว พอหยุดเสพจะเกิดอาการอยากยา ทนทุกข์ทรมานคล้ายลงแดง จึงหายามาเสพอีก วนเวียนไม่รู้จบ

Read More »

ลูกชายตัวเหลือง ส่องไฟแล้วหายเป็นปกติแล้ว แต่ยังสงสัย

กุมารเวช: เพิ่งคลอดบุตรช่วงที่อยู่ ร.พ. ลูกชายตัวเหลือง ส่องไฟแล้วหายเป็นปกติแล้ว แต่ยังสงสัย คำถาม เพิ่งคลอดบุตรได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ช่วงที่อยู่ ร.พ. ลูกชายตัวเหลือง คุณหมอบอกว่าต้องส่องไฟไม่มีอันตราย ส่องไฟแล้วก็จะหายเหลือง ตอนนี้ลูกชายหายเป็นปกติแล้ว แต่ยังสงสัยว่าไฟที่ส่องทำให้ลูกหายตัวเหลืองได้อย่างไร คุณหมอยังบอกด้วยว่ากลับบ้านให้นำลูกมาโดนแดดอ่อนๆ ตอนเช้า ก็จะช่วยให้หายเหลืองได้ดีขึ้น ไม่ทราบว่าไฟที่ ร.พ. ส่องกับแสงแดด เหมือนหรือต่างกันตรงไหนค่ะ คำตอบ โดย แพทย์หญิงเดือนเพ็ญ วันทนาศิริ ลูกชายมีภาวะตัวเหลืองหลังคลอดจึงเกิดจากสารที่เรียกว่า บิลิรูบิน ไปเกาะตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เห็นผิวหนัง, ตา มีสีเหลือง ปกติร่างกายจะมีการสร้างสารบิลิรูบินและทำลายขับถ่ายสารออกไป เด็กปกติจะมีตัวเหลืองจางๆ เมื่ออายุ 3 – 4 วัน และหายไปเมื่ออายุประมาณ 7 วัน ในภาวะบางอย่างร่างกายจะมีการสร้างสารนี้มากขึ้น หรืออวัยวะที่ทำลายและขับถ่ายสารนี้ไม่ทำงาน ก็จะเกิดทำให้มีตัวเหลืองขึ้น ภาวะเหล่านี้ เช่น หมู่เลือดของมารดาและทารกไม่เหมือนกัน เม็ดเลือดแดงผิดปกติ การติดเชื้อและท่อน้ำดีอุดตัน เมื่อสารบิลิรูบินมากผิดปกติก็จะไปเกาะตามอวัยวะต่างๆ รวมทั้งสมองทำให้มีการทำงานผิดปกติ เราจึงต้องรีบรักษาภาวะตัวเหลืองที่ผิดปกติ โดยการกำจัดและหาสาเหตุที่ทำให้เกิดตัวเหลือง การรักษามี 2 วิธี คือ การฉายแสง แสงจะทำปฏิกริยากับสารบิลิรูบิน ทำให้เกิดการทำลายและขับถ่ายออกจากร่างกาย เด็กจะถูกปิดตาเพื่อป้องกันไม่ให้แสงทำอันตรายต่อตา ถอดเสื้อผ้า และนำไปนอนใต้เครื่องฉายแสง ส่วนอีกวิธี คือ การเปลี่ยนถ่ายเลือด จะทำกรณีเด็กตัวเหลืองมากไม่สามารถทำให้ลดลงโดยการฉายแสงได้ทัน ส่วนแสงแดดก็สามารถทำให้ตัวเหลืองลดลงได้ กรณีเด็กตัวเหลืองไม่มาก เนื่องจากทำได้ลำบากต้องถอดเสื้อผ้าและนำไปผึ่งแดดช่วงแดดอ่อน เพราะถ้าแดดจ้าก็จะร้อนเกินไป ถ้าอากาศหนาวการถอดเสื้อผ้าก็จะหนาวเกินไป

Read More »

หลับตาย…สายใจของแม่

กุมารเวช: หลับตาย…สายใจของแม่ หลับตาย…สายใจของแม่ โดย คณะแพทย์โรงพยาบาลพระรามเก้า ชื่อเรื่องฟังแล้วใจหาย มีด้วยหรือที่ทารกเข้านอนแล้วก็หลับไม่ตื่น เคยได้ยินแต่ผู้ใหญ่อายุมาก ชราภาพแล้วปลิดจากขั้วเหมือนใบไม้แห้งกรอบ และคนอีสานที่ไปขายแรงงานยังถิ่นไกล กินแต่ข้าวเหนียวจิ้มแจ่วแล้วไหลตาย แต่เชื่อหรือไม่ว่าจากสถิติของทารกที่หลับตายพบว่าทารกมีอายุระหว่าง 1 เดือน ถึง 1 ปี โดยทารกจำนวน 95% มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน ส่วนใหญ่มีอุบัติการสูงสุดเมื่อทารกอยู่ระหว่าง 2 เดือน ถึง 4 เดือน ลองนึกภาพเด็กทารกอายุ 3 เดือน กำลังน่ารักน่าชัง แม่เห่กล่อมจนหลับพริ้มอยู่ข้างกาย ตื่นเช้าขึ้นมาตัวเขียวและเย็นเฉียบ แม่เขย่าปลุกเท่าไรก็ไม่ตอบสนองเสียงหวีดร้องของแม่ที่หัวใจแตกสลายจะดังแค่ไหนคงวาดภาพออก ในประเทศที่เจริญแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา “หลับตาย” (Sudden Infant Death Syndrome:SIDS) เป็นสาเหตุของการตายในทารกอายุต่ำกว่า 1 ปีเป็นอันดับที่ 1 การตายกระทันหันแบบนี้พ่อแม่ยอมรับไม่ได้เลย พาไปโรงพยาบาลให้หมอช่วย ในประเทศไทยเราไม่ได้พบบ่อยนักคงเป็นเพราะเมื่อทารกหลับตาย พ่อแม่ไม่พามาโรงพยาบาล เพราะเห็นว่าหมอคงช่วยให้ฟื้นไม่ได้ เราเป็นชาวพุทธจะรับเรื่องการตายได้เร็ว เพราะ “แล้วแต่บุญกรรมหรือทำบุญมาเท่านี้” คุณยายของข้าพเจ้าเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคุณยายแต่งงานกับคุณตาได้ไม่นาน ก็มีลูกคนแรกมาเชยชมเป็นหญิงผิวขาวเนียน ตาโต ผมดำขลับ เหมือนตุ๊กตา คุณยายตั้งชื่อให้ว่า หนูริกิ ริกิอ้วนจ้ำม่ำ กินเก่ง หัวเราะเก่ง เพื่อนบ้านขอบขออุ้มเพราะน่ารักเหลือหลาย คุณยายจำได้ว่าริกิโตจนเริ่มคว่ำได้แล้ว ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้น มีชายแปลกหน้าเดินเข้ามาในบ้านขณะที่คุณยายกำลังอุ้มริกิเดินอยู่หน้าบ้านชายแปลกหน้าถามทางไปบ้านเพื่อนแถวนั้น คุณยายก็ชี้ทางให้ก่อนจะออกจากบ้านเขาออกปากขออุ้มหนูริกิ คุณยายใจดีก็ให้อุ้ม เขาอุ้มเชยชมอยู่ครู่ใหญ่ ก็ส่งคืนให้แล้วพูดว่า “น่ารักเหมือนลูกเทวดา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเด็กน่ารักอย่างนี้บนพื้นดิน” คุณยายรู้สึกใจหายวาบ ตัวเย็นรับริกิมาโอบกอดไว้อย่างกลัวจะหลุดหายเขาหัวเราะหึๆ แล้วก็เดินจากไป คืนนั้นคุณยายกลุ่มริกิจนหลับคาเต้านมแล้วก็วางไว้ข้างตัวบนที่นอน รุ่งเช้าริกิตัวเขียว เย็นเฉียบ ไม่มีอาการใดที่แสดงให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ คุณยายหัวใจแตกสลาย เป็นลมสลบแล้วสลบอีก เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้ข้าพเจ้าฟัง คุณยายบอกว่าเทวดาคงจะมารับกลับ และมาบอกให้รู้ว่าหนูริกิคือเทวดาหนีมาเกิดในโลกมนุษย์ เมื่อคิดอย่างนี้คุณยายก็รู้สึกดีขึ้น มีลูกต่อมาเป็นแถวถึง 11 คน สมัยนั้นข้าพเจ้ายังเรียนชั้นมัธยมตอนต้น คิดว่าตัวเองเชื่อคุณยายเรื่องหนูริกิหนีมาเกิดในโลกมนุษย์ แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าเป็นหมอเด็ก วินิจฉัยโรคของป้าริกิได้ว่าคงเป็นเหยื่อคนหนึ่งของโรคหลับตายหรือ SIDS ขณะเรียนแพทย์ไม่มีใครสอนเรื่องนี้กันเท่าใดนัก เพราะไม่พบ “หลับตาย” ในเมืองไทยกันบ่อย เมื่อข้าพเจ้าไปทำงานเป็นแพทย์ประจำบ้านแผนกเด็กที่สหรัฐอเมริกา วันหนึ่งอยู่เวรที่ห้องฉุกเฉิน รถพยาบาลพาแม่ลูกคู่หนึ่งเข้ามา แม่กอดห่อผ้าแนบอก ปากร้องหวีดและโวยวาย น้ำตานองหน้า ผมเป็นกระเชิง ไม่มีสติสตังติดตัวอยู่เลย คุณพยาบาลเข้าไปแกะห่อผ้าอยู่นาน อธิบายจนสำเร็จยอมส่งห่อผ้าให้เราจากนั้นคุณพยาบาลก็พาเธอออกไปคอยนอกห้องปฐมพยาบาลซึ่งเธอยังคงหวีดร้องไม่ยอมหยุด แถมด้วยการตีอกชกหัวตัวเอง ในห่อผ้านั้นเป็นเด็กทารกอายุราว 3 เดือน อ้วนจ้ำม่ำ แต่ตัวเขียวคล้ำ และเย็นเฉียบ เราพยายามปฏิบัติการช่วยชีวิต แต่ไร้ผล เพียงครู่เดียวญาติพี่น้องของแม่เด็กก็มากันเต็มไปหมดนับได้เกินห้าสิบคน คุณพยาบาลบอกว่าเป็นพวกยิปซี พวกนี้อยู่เป็นกลุ่มก้อนรักกันเหมือนพี่น้องรับผิดชอบต่อคนในกลุ่มดีมาก เมื่อสามีของแม่เด็กเข้ามา คำแรกที่เขาถามข้าพเจ้าก็คือ “เด็กตายแล้วใช่ไหม” ข้าพเจ้าโกรธมาก นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาโทษกัน นี่เป็นเวลาที่ต้องปลอบโยนเห็นใจกัน ข้าพเข้าอธิบายให้เขาฟังว่าไม่ใช่การนอนทับตายแต่เป็นการหลับตายที่ยังไม่มีใครรู้สาเหตุ ในวงการแพทย์รู้สาเหตุของการหลับตายของเด็กแต่เพียงว่าเด็กที่มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการหลับตาย ได้แก่ เด็กคนนั้นเคยมีพี่หลับตายมาก่อน, เป็นเด็กผู้ชายกินนมขวดเพิ่มผ่านการเจ็บไข้ได้ป่วยมาหยกๆ , มีคนสูบบุหรี่ในบ้าน หรือนอนคว่ำบนที่นอนซึ่งนุ่มนิ่ม ความจริงอัตราเสี่ยงพบได้ตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์แล้ว โดยแม่ที่สูบบุหรี่ติดยาเสพติดลูกก็มีอัตราเสี่ยงต่อการหลับตายสูงเด็กที่คลอดน้ำหนักตัวเบากว่าสองกิโลครึ่ง หรือเด็กคลอดก่อนกำหนดพวกนี้อัตราเสี่ยงสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว จากการผ่าศพเด็กที่หลับตาย จะไม่พบคำอธิบายสาเหตุการตายที่พิสูจน์ได้ว่ามีพยาธิสภาพ สมัยก่อนนี้ในอเมริกานิยมให้เด็กทารกนอนคว่ำ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าเด็กที่นอนคว่ำมีอุบัติการหลับตายสูงกว่าเด็กนอนหงาย จึงมีการรณรงค์ให้พ่อแม่รุ่นใหม่จับเด็กนอนหงาย โดยสมาคมกุมารแพทย์ของสหรัฐอเมริกา (American Academy of Pediatrics : AAP) ให้คำแนะนำแก่สังคมทั่วไปให้พร้อมใจกันจับเด็กนอนหงายพบว่าอุบัติการของการหลับตายลดลงร้อยละ 32 คนไทยมีความเชื่อว่านอนคว่ำเด็กจะหัวทุยสวยงามตามอย่างเด็กฝรั่งจึงมีการนอนคว่ำมากขึ้นทุกวัน ไม่มีใครรู้ว่าเพราะคนไทยนอนหงายเราจึงไม่ค่อยหลับตายหรือว่ามีเด็กหลับตายบ้าง แต่พ่อแม่ไม่พามาโรงพยาบาล แต่ถ้าเรานิยมนอนคว่ำเลียนแบบฝรั่งที่เขาเลิกกันแล้ว ใครจะรู้ว่าเราอาจจะมีเด็กหลับตายเพิ่มจำนวนมากขึ้นเหมือนครั้งหนึ่งในอเมริกาก็ได้

Read More »

ไอคิว (IQ)

กุมารเวช: ไอ คิว (I.Q) ไอ คิว (I.Q) พ.ญ.สุภาพร ปิตวิวัฒนานนท์ IQ เป็นคำที่ทุกคนคงเคยได้ยินกันมานานจนคุ้นเคยกันดี ต่างจาก EQ และ AQ ซึ่งเป็นคำที่ทันสมัยกว่า และเป็นที่สนใจซักถามกันมากในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการที่คนเราจะประสบความสำเร็จพร้อมๆ กับการมีความสุขในชีวิต ก็ควรจะต้องมีองค์ประกอบของทั้ง 3 สิ่งนี้อยู่ในตัวในเกณฑ์ที่เหมาะสม จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้ เราจะมาคุยกันถึง IQ ก่อนเป็นลำดับแรก คนเราทุกคนจะเกิดมาพร้อมกับลักษณะเฉพาะตัว และถูกหล่อหลอมด้วยสภาพแวดล้อมในภายหลัง IQ หรือความสามารถทางเชาว์ปัญญาก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกเกิด โดยมีปัจจัยด้านพันธุกรรมไปเกี่ยวข้องด้วย และสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ในครรภ์ของมารดาจนกระทั่งหลังคลอดก็เป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่มีผลต่อเชาว์ปัญญาเช่นกัน เช่น ภาวะแวดล้อมที่มีการให้ความรัก ความอบอุ่น ให้การกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัย ก็จะมีผลต่อการเสริมสร้างศักยภาพนี้ให ้มากขึ้น หรือในทางกลับกันก็บั่นทอนให้ลดลงได้เชาว์ปัญญาเป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ แต่แสดงออกให้เห็นได้ผ่านพฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงถึงความสามารถในการเรียนรู้ ความสามารถปรับตัวต่อเหตุการณ์ใหม่ๆ ความสามารถเข้าใจและเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ อย่างมีเหตุผล และเป็นพฤติกรรมที่มีจุดมุ่งหมาย จะเห็นว่าเชาว์ปัญญาไม่ใช่ผลจากความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สามารถนำพฤติกรรมใดเพียงอย่างเดียวไปตัดสินว่าคนๆ นั้นโง่หรือฉลาดได้ เนื่องจากเชาว์ปัญญาเป็นสิ่งที่คนสนใจกันมานาน จึงมีการคิดมาตรวัดเชาว์ปัญญาขึ้นเพื่อให้ได้ผลออกมาเป็นตัวเลขที่สื่อกันได้ง่าย และเป็นที่รู้จักกันในคำว่า IQ นั่นเอง คำว่า IQ ย่อมาจาก Intelligence Quotient เป็นคำที่ William Stern เป็นผู้บัญญัติขึ้น เพื่อบ่งถึงระดับเชาว์ปัญญาของแต่ละบุคคล โดยมีสูตรว่า IQ = อายุสมอง (MENTAL AGE) X 100 อายุจริง (CHRONOLOGICAL AGE) โดยอายุสมอง มาจากการวัดโดยการใช้แบบทดสอบเชาว์ปัญญา ค่าคะแนนที่ได้จากการทดสอบจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับคะแนนมาตรฐานที่บุคคลในระดับอายุเดียวกันนั้นทำได้ จะเห็นว่าถ้าอายุสมองเท่ากับอายุจริง ค่า IQ ของบุคคลนั้นจะออกมาเท่ากับ 100 ซึ่งคือ ค่าเฉลี่ยของ IQ ในคนส่วนใหญ่นั่นเอง Classification of Intelligence by I.Q. Range ค่า IQ ปกติ คือ 90 – 109 ส่วนที่ต่ำกว่าปกติเล็กน้อย คือ 80 – 89 จะเรียกว่ากลุ่ม Dull normal เป็นกลุ่มคนที่สามารถเรียนรู้ในระบบปกติได้ เพียงแต่จะช้ากว่าเล็กน้อยในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิชาการ กลุ่มที่ต่ำลงไปอีก คือ 70 – 79 ถือเป็นกลุ่ม Borderline MR (คำว่า MR มาจาก Mental Retardation หรือ ความบกพร่องทางสติปัญญา หรือ ที่เมื่อก่อนเรียกกันว่าปัญญาอ่อนนั่นเอง) กลุ่มนี้มักจะต้องการความช่วยเหลือพิเศษจึงจะสามารถเรียนรู้ได้ ส่วนกลุ่มต่ำกว่านั้น คือ เด็กสติปัญญาบกพร่องจะต้องอาศัยระบบการศึกษาพิเศษซึ่งจะแบ่งระดับไปตามความรุนแรงของความบกพร่อง กลุ่มที่บกพร่องอย่างอ่อน เป็นกลุ่มที่จัดเป็น Educable คือ เรียนรู้ทางด้านวิชาการได้ในระดับหนึ่ง สามารถอ่านออกเขียนได้ โดยในการเรียนรู้จะต้องใช้เวลาที่มากกว่าปกติ ส่วนกลุ่มสติปัญญาบกพร่องปานกลาง จัดเป็นพวก Trainable คือ สามารถฝึกฝนสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันได้ ส่วนกลุ่มบกพร่องรุนแรงถึงรุนแรงมาก เป็นกลุ่มที่ต้องอาศัยผู้ดูแลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกลุ่มนี้มักมีโรคทางกายอื่นๆ ร่วมด้วยอยู่แล้ว ซึ่งเราจะไม่ลงรายละเอียดในที่นี้ ต่อไปเราจะมาดูกลุ่มในฝั่งตรงข้ามกันบ้าง กลุ่มที่มีค่า IQ สูงกว่าค่าปกติ คือ กลุ่ม Bright Normal จะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้รวดเร็ว เข้าใจอะไรๆ ได้ง่ายกว่าคนในระดับอายุเดียวกัน ที่สูงขึ้นมาอีก คือ กลุ่ม Superior และ Very superior กลุ่ม 2 กลุ่มหลังนี้ฟังดูน่าจะประสบความสำเร็จรวดเร็วกว่าคนอื่นในทุกๆ ด้าน เนื่องจากความฉลาดที่โดดเด่น แต่บางครั้งจะกลับพบว่าคนกลุ่มนี้มีปัญหาด้านอารมณ์ และพฤติกรรมได้บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความฉลาดเกินปกติของเขาทำให้คนรอบข้างคาดหวังกับเขามาก และมองข้ามความต้องการด้านอื่นๆ ของเขาไป ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถจัดแบ่งคนเป็นกลุ่ม ๆ ดังในตารางนี้ได้อย่างตายตัว เพราะค่า IQ ก็คล้ายกับแถบสีรุ้งที่แต่ละสีจะไม่แบ่งแยกกันโดยเด็ดขาด ความแตกต่างของตัวเลขเล็กๆ น้อยๆ อาจไม่บ่งชี้ถึงความแตกต่างของเชาว์ปัญญาเท่าใดนัก แต่รายละเอียดของความสามารถในแต่ละด้านมีความสำคัญมากกว่า

Read More »

เมื่อมีลูกแฝด

กุมารเวช: เมื่อมีลูกแฝด เมื่อมีลูกแฝด (HAVING TWINS) พ.ญ.พรรณพิศ สุพรหมจักร พ.ญ.สุภาพร ปิตวิวัฒนานนท์ ลูกช่วยเติมความสมบูรณ์ให้กับครอบครัว ขณะเดียวกันภาระการเลี้ยงดูบุตร ก็เป็นสิ่งที่คุณแม่มักจะกังวลว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร ยิ่งถ้าเป็นเด็กแฝด ความกังวลจะเป็นทวีคูณ แต่การเลี้ยงลูกแฝดก็ไม่ได้แตกต่างไปจากการเลี้ยงดูเด็กโดยทั่ว ๆ ไป และไม่ได้ยากลำบากอย่างที่คิด เมื่อคุณแม่เริ่มตั้งครรภ์ ก็คงจะต้องเตรียมสิ่งของเครื่องใช้สำหรับเด็กอ่อนซึ่งในกรณีที่มีเด็กแฝดคงจะต้องเตรียมทุกอย่างเป็น 2 เท่าของปกติ และที่สำคัญคือเตรียมคนที่จะมาช่วยคุณแม่หลังคลอด ในระยะแรกแม่ควรได้รับความช่วยเหลือจากสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อของลูก หลักในการเลี้ยงดูเด็กก็คงจะประกอบไปด้วยการดูแลเรื่องอาหาร การดูแลความเป็นอยู่โดยทั่ว ๆ ไป และการดูแลยามเมื่อลูกเจ็บป่วย อาหารสำหรับทารกได้แก่นม นมที่ดีที่สุดก็คือนมแม่ ซึ่งง่ายในการให้ ไม่ยุ่งยากที่จะต้องเตรียม และมีประโยชน์มากที่สุดทั้งในแง่การเจริญเติบโต และพัฒนาการของเด็ก นอกจากนี้ยังได้รับภูมิต้านทานโรคผ่านทางนมแม่อีกด้วย ตอนนี้คงจะเกิดปัญหาว่าจะให้นมแม่อย่างไร ในกรณีลูกแฝด เราสามารถให้นมแม่ พร้อม ๆ กันทั้ง 2 คน ด้วยวิธีต่อไปนี้ วิธีที่ 1 แม่นั่งให้สบายวางหมอนข้างลำตัวแม่ทั้ง 2 ข้าง อุ้มลุกคนแรกโดยใช้ฝ่ามือแม่ข้างเดียวกับเต้านมที่จะให้ลูกดูดช้อนใต้คอ และส่วนบนของลำตัวลูก ให้ปากอยู่ระดับเดียวกับหัวนมแม่ ปลายเท้าลูกยื่นไปด้านหลังของแม่ เมื่อลูกอมหัวนมได้กระชับแล้ว ปรับหมอนของแขนแม่ให้แม่วางแขนให้สบาย ทำเช่นเดียวกันนี้กับลูกคนที่สอง (ภาพที่ 1) วิธีที่ 2 แม่นั่งขัดสมาธิ มีหมอนหรือเบาะวางบนตักอุ้มลูกคนแรกให้ดูดนมในท่าปกติ โดยให้ลำตัวของลูกขนานไปกับแขนของแม่ หัวลูกจะพาดอยู่ตรงข้อพับแขนของแม่ให้ลำตัวลูกเบนออกจากตัวแม่เล็กน้อย เพื่อเว้นที่ให้ลูกคนที่สองซึ่งต้องมีคนช่วยเอามาดูดนมข้างที่เหลือ ลำตัวและปลายเท้าของลูกคนที่สอง จะยื่นไปด้านหลังของแม่ โดยแม่ใช้ฝ่ามือข้างเดียวกับเต้านมที่จะให้ลูกดูด ช้อนใต้คอและส่วนของลำตัวลูก ปรับให้ลูกอมหัวนมให้กระชับทั้งสองคน (ภาพที่ 2) โดยทั้ง 2 วิธีดังกล่าว แม่ก็สามารถให้นมลูกพร้อมกันทั้ง 2 คน คุณแม่อาจจะให้นมลูกทีละคนได้เช่นกันโดยที่ให้นมลูกคนที่หิวก่อน หรือตื่นก่อนเป็นคนแรก ในกรณีที่แม่ ไม่สามารถให้นมลูกได้ เช่น เจ็บป่วย หรือได้ยาบางอย่างจำเป็นต้องให้นมผสมแทน ซึ่งต้องเน้นที่ความสะอาด เมื่อผสมนมแล้ว ควรให้เด็กทันที ไม่ควรเก็บไว้ใช้หลายมื้อและการเลี้ยงด้วยนมผสม คงจะต้องการผู้ช่วยเพื่อที่จะได้ป้อนนมให้ทีละคน (ภาพที่ 3) เมื่อลูกน้อยถึงวัยที่จะต้องให้อาหารเสริมสำหรับเด็กอาจจะต้องอาศัยเก้าอี้นั่งสำหรับเด็กอ่อน โดยที่แม่นั่งกลางระหว่างเด็กทั้ง 2 คน และป้อนโดยใช้สำรับเพียงชุดเดียว หรือคุณแม่จะให้นั่งเก้าอี้คนหนึ่งและอีกคนหนึ่งแม่อุ้มไว้ แล้วป้อนทั้ง 2 คน ในเวลาเดียวกันก็ได้ เด็กแฝดอาจจะชอบอาหารต่างกัน และอาจจะแพ้อาหารบางอย่างต่างกันได้ (ภาพที่ 4) การนอนของเด็ก . ให้เด็กนอนด้วยกันได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเด็กจะอยู่ด้วยกันได้ดีมากกว่าที่จะกวนกัน หรืออาจจะให้เด็กนอนกับคุณแม่ โดยให้ลูกอยู่คนละข้าง เด็กจะหลับได้นานกว่าและได้รับความอบอุ่นอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับตอนที่อยู่ในครรภ์มารดา (ภาพที่ 5 , 6) การดูแลทั่วๆ ไป การอาบน้ำเด็กแฝด คงไม่ต่างจากการอาบน้ำเด็กโดยทั่วๆ ไป ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความสะอาดและความปลอดภัยเป็นหลัก เริ่มต้นตั้งแต่การล้างมือให้สะอาดก่อน เช็ดตาเด็กด้วยสำลีชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว และใช้ผ้าชุบน้ำในอ่างบิดหมาด ๆ เช็ดหน้าและซอกหู แล้วจึงอุ้มเด็กลงน้ำอุ่นที่เตรียมไว้ โดยจับศีรษะเด็กและหัวไหล่ด้วยฝ่ามือ ใช้นิ้วหัวแม่มือ และนิ้วกลางปิดใบหูทั้ง 2 ข้าง ระวังอย่าให้น้ำเข้าหน้า เข้าตาเด็ก ใช้มือที่เหลือในการอาบน้ำถูตัวเด็ก หลังจากนั้นจะมาถึงการแต่งตัวให้เด็กซึ่งปกติเสื้อผ้าที่คุณแม่เตรียมหรือได้รับจากผู้อื่นมักจะเป็นชุดที่เหมือนกัน จึงแต่งตัวให้เหมือนกัน ซึ่งในช่วงต้น ๆ ที่ลูกยังเลือกเองไม่ได้ คงไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อถึงวัยที่ลูกโตพอที่จะเลือกสิ่งที่ชอบเองได้ ควรจะให้โอกาสเด็กเลือกเอง ไม่จำเป็นต้องแต่งเหมือนกัน เมื่อลูกโตขึ้นเข้าสู่วัยที่ชอบซุกซนและค้นหาไปทั่ว ๆ กรณีของลูกแฝด คุณพ่อคุณแม่คงจะต้องเหนื่อยกว่าการเลี้ยงลูกคนเดียวเป็นแน่ เพราะเด็ก 2 คนจะช่วยกันทำความวุ่นวายได้มากกว่าที่เด็กคนเดียวจะทำได้ การเตรียมรับมือคือการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น บันได หรือประตูทางออกควรจะจัดให้มีแผงกั้นไม่ให้เด็กออก ปลั๊กไฟควรมี Safety cap ปิด หรือย้ายให้พ้นมือเด็ก , ยาและสารเคมีต่าง ๆ ในบ้านควรจะเก็บให้มิดชิด และปิดกุญแจให้เรียบร้อย การดูแลสุขภาพ การดูแลสุขภาพลูกน้อยเป็นเรื่องสำคัญ คุณพ่อคุณแม่ควรจะเอาใจใส่พาลูกไปตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนตามกำหนดและเมื่อลูกคนหนึ่งคนใดเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ควรจะต้องแยกเด็กแฝดออกจากกันจนกว่าจะหาย เพื่อป้องกันการติดต่อของโรค เช่น โรคหวัด เป็นต้น จะเห็นว่าการเลี้ยงลูกแฝด ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิดและคุณพ่อคุณแม่คงพอจะมีแนวทางในการเลี้ยงดูลูกแฝด ต่อไป นอกจากการดูแลทางด้านร่างกายที่กล่าวมาแล้ว พ่อแม่หลายๆ คนคงมีความกังวลใจไม่น้อย กับเรื่องพัฒนาการด้านจิตใจของลูกแฝด หลายคนคงห่วงไปล่วงหน้าว่าอาจให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูกได้ไม่เท่ากับการเลี้ยงดูลูกคนเดียว แต่จริง ๆ แล้วเรื่องความรักไม่ใช่สิ่งของที่ลูกแฝดจะได้รับเพียงครึ่งหรือหนึ่งในสามของลูกคนเดียว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะบริหารเวลากับลูกให้เป็นเวลาที่มีคุณภาพกับเขาได้เพียงไร เด็กแต่ละคนเมื่อคลอดจากท้องแม่ก็จะมีสิ่งที่ติดตัวมาแต่แรกคือพื้นฐานอารมณ์เฉพาะตัว เช่น เด็กเลี้ยงง่าย เด็กเลี้ยงยาก หรือเด็กที่เลี้ยงไม่ยากนักแต่ต้องอาศัยเวลาปรับตัวบ้างกับสิ่งใหม่ ๆ เคยมีคุณพ่อคุณแม่แฝดคู่หนึ่งเล่าว่าลูกแฝดคู่แรกของเขา เลี้ยงง่ายกว่าลูกคนที่ 3 ที่เป็นครรภ์เดี่ยวเสียอีก เพราะแฝดคู่นั้นเป็นเด็กเลี้ยงง่ายทั้งคู่ วงจรการกินการนอนเป็นจังหวะที่คาดเดาได้ แต่คนที่ 3 กลับเป็นเด็กเลี้ยงยากกว่า โดยรวมแล้วเหนื่อยกว่าการเลี้ยงลูกคู่แรกเสียอีก เพราะฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่จงอย่ากังวลไปล่วงหน้ามากนัก เพียงแค่เตรียมใจไว้ว่าอาจเหนื่อยกว่าปรกติบ้าง เพราะความกังวลจนเกินเหตุจะทำให้เราทำอะไรไม่ถูก ยิ่งพะว้าพะวงในการดูแลลูกมากขึ้น และยิ่งกว่านั้น อารมณ์ ความวิตกกังวลของผู้เลี้ยงดู ก็ยังสามารถถ่ายทอดไปสู่เด็กได้ผ่านสัมผัสที่เราปฏิบัติกับลูก จนเด็กเลี้ยงง่ายก็อาจเกิดอาการกระสับกระส่ายได้ หากพ่อแม่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความกังวลตลอดเวลา ส่วนเรื่องการแบ่งเวลาที่ให้แก่ลูก การมีลูกแฝดก็ไม่แตกต่างจากการเลี้ยงดูลูก 2 คน ที่มีอายุใกล้เคียงกัน บางครั้งเราอาจเหนื่อยมาก เพราะต้องใช้เวลากับคนนั้นทีคนนี้ที แต่บางคราวคุณพ่อคุณแม่อาจรู้สึกว่าสบายกว่าการมีลูกคนเดียวเสียอีก เพราะเขาสามารถที่จะเป็นเพื่อนเล่นกันเองได้ เพียงแต่เมื่อใดที่มีปัญหา คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องให้การตอบสนองอย่างเหมาะสมกับลูกแต่ละคนได้ ปัญหาพี่อิจฉาน้อง น้องอิจฉาพี่ แฝดพี่อิจฉาแฝดน้อง เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดกับทุกๆ ครอบครัว เพียงแต่การตอบสนองที่เหมาะสมของพ่อแม่ จะช่วยให้ปัญหานี้อยู่ในขอบเขตที่พอเหมาะ และพี่น้องหรือแฝดก็ตามแม้เขาจะเล่นกันไปทะเลาะกันไป เขาก็ยังคงรักที่จะเล่นด้วยกันมากกว่าที่จะถูกแยกจากกัน แต่หากพ่อแม่เข้าไปตัดสินเขาไม่เหมาะสม เปรียบเทียบเขาอีกคน ทำให้คนหนึ่งน้อยเนื้อต่ำใจ

Read More »
Page1 Page2 Page3 Page4 Page5
Facebook-f Youtube Instagram
  • 1270
  • About Us
  • Medical center
  • Doctors
  • Make an Appointment
  • Knowledge
  • Package
  • News & Events
  • Privacy Policy
  • Investor
  • Sustainability
  • Work with Us
  • Contact Us
  • Terms and Conditions

Copyright © 2025. All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • Medical Center
  • แพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
  • About Us
  • Medical Center
  • Doctors
  • Room
  • Health Guru
    • Knowledge
    • Doctor’s Health Insights
  • Package
  • Contact Us