Skip to content
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
Menu
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา

ไขมันพอกตับ!…หากรู้ตัวช้า อาจเป็นสาเหตุของตับแข็ง และมะเร็งตับได้

บทความ

โรงพยาบาลพระรามเก้า

  • วันที่โพสต์ 19 มีนาคม 2024
ไขมันพอกตับ

ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง ได้แก่ สร้างน้ำย่อยเพื่อย่อยอาหาร สร้างโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด กำจัดสารพิษต่าง ๆ เกี่ยวข้องในกระบวนการสร้างและสลายสารอาหาร และสารต่าง ๆ เช่น คาร์โบไฮเดรต กรดอะมิโน ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ แอมโมเนีย และยังทำหน้าเก็บกักสารอาหารเพื่อเป็นแหล่งพลังงานของร่างกายอีกด้วย 

ปัจจุบันเราพบว่าประชาการมีความเสี่ยงโรคเกี่ยวกับตับมากขึ้น โดยเฉพาะ “โรคไขมันพอกตับ” เนื่องจากพฤติกรรมการรับประทานและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย จึงทำให้เสี่ยงต่อภาวะไขมันในเลือดสูง และภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ และหากมีภาวะไขมันพอกตับเรื้อรัง อาจทำให้มีภาวะตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับตามมาได้

สารบัญ

  • ไขมันพอกตับ คืออะไร? 
  • สาเหตุของไขมันพอกตับ 
  • อาการของไขมันพอกตับ 
  • ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นไขมันพอกตับ? 
  • อาหารแบบไหนเสี่ยงทำให้เป็นไขมันพอกตับ? 
  • การวินิจฉัยไขมันพอกตับ 
  • ไขมันพอกตับ เป็นแล้วหายได้ไหม? 
  • การรักษาไขมันพอกตับ
  • การป้องกันไขมันพอกตับ
  • สรุป

ไขมันพอกตับ คืออะไร?

ไขมันพอกตับ (fatty liver disease) เป็นภาวะที่มีการสะสมของไขมันส่วนเกินที่ตับ ซึ่งมักทำให้เอนไซม์ตับ (AST และ ALT) ที่ตรวจได้จากการเจาะเลือดมีค่าเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ ในบางรายหากปล่อยไว้นานไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจก่อให้เกิดโรคตับแข็ง หรือมะเร็งตับต่อไปได้ 

ภาวะไขมันพอกตับ แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ ได้แก่

  • ไขมันพอกตับในผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ alcoholic fatty liver disease (AFLD) 
  • ไขมันพอกตับในผู้ที่ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD)

> กลับสู่สารบัญ

ไขมันพอกตับ คืออะไร?

ไขมันพอกตับ (fatty liver disease) เป็นภาวะที่มีการสะสมของไขมันส่วนเกินที่ตับ ซึ่งมักทำให้เอนไซม์ตับ (AST และ ALT) ที่ตรวจได้จากการเจาะเลือดมีค่าเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ ในบางรายหากปล่อยไว้นานไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจก่อให้เกิดโรคตับแข็ง หรือมะเร็งตับต่อไปได้ 

ภาวะไขมันพอกตับ แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ ได้แก่

  • ไขมันพอกตับในผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ alcoholic fatty liver disease (AFLD) 
  • ไขมันพอกตับในผู้ที่ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD)

> กลับสู่สารบัญ

สาเหตุของไขมันพอกตับ

สาเหตุของไขมันพอกตับจากการดื่มแอลกอฮอล์ (AFLD)

การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นประจำและเป็นเวลานาน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไขมันสะสมในตับ เนื่องจากตับมีหน้าที่ในการเผาผลาญแอลกอฮอล์ ดังนั้นการบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไปจะทำให้ตับทำงานหนัก ประสิทธิภาพการทำงานของตับลดลง และยังทำให้เกิดการสะสมของไขมัน ซึ่งเป็นผลมาจากการสลายแอลกอฮอล์ ทำให้มีการสะสมของไขมันในเซลล์ตับมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เกิด “ภาวะไขมันพอกตับ”

ทั้งนี้ปริมาณการบริโภคแอลกอฮอล์ที่สามารถนำไปสู่ไขมันพอกตับอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่โดยทั่วไปการศึกษาพบว่าการบริโภคแอลกอฮอล์มากกว่า 40 กรัม (หรือประมาณ 4 แก้ว) ต่อวันเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะไขมันพอกตับมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาจนเกิดภาวะไขมันพอกตับมักเกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ๆ อาจเป็นปีหรือหลายปี

สาเหตุไขมันพอกตับในผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์

  • จากภาวะอ้วน หรือการมีไขมันส่วนเกินสะสมในร่างกายมากเกินไป โดยเฉพาะไขมันหน้าท้อง โดยจะสังเกตได้ว่าเป็นลักษณะการอ้วนแบบ “ลูกแอปเปิล” หรือ “apple-like” body shape 
  • มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน เนื่องจากอินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อร่างกายมีภาวะดื้อต่อการทำงานของอินซูลิน (ซึ่งมักพบในโรคอ้วนและผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2) ตับจะตอบสนองโดยการผลิตน้ำตาลกลูโคสมากขึ้น ทำให้เกิดการสะสมของไขมันในตับ
  • รับประทานทานอาหารที่มีไขมันสูง เพราะจะทำให้มีระดับไขมันและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และถูกนำไปเก็บสะสมไว้ที่ตับ นำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับได้

> กลับสู่สารบัญ

อาการของไขมันพอกตับ

  • ในระยะเริ่มแรกมักไม่มีแสดงอาการที่เห็นได้ชัดเจน ส่วนใหญ่จะตรวจพบจากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือตรวจเลือดเพื่อดูค่าเอนไซม์ตับในเลือด 
  • ในบางรายอาจมีอาการ เช่น

    • ปวดแน่นใต้ชายโครงด้านขวา 
    • เหนื่อยง่าย 
    • น้ำหนักลดลงอย่างหาสาเหตุไม่ได้ 

  • ในรายที่มีการสะสมของไขมันในตับมากและเรื้อรัง อาจทำให้มีอาการของโรคตับแข็งได้ เช่น

    • ตัวเหลือง ตาเหลือง
    • เลือดออก หรือเป็นจ้ำเลือดง่าย
    • เบื่ออาหาร
    • ขา เท้า หรือข้อเท้าบวม

> กลับสู่สารบัญ

อาหารแบบไหนเสี่ยงทำให้เป็นไขมันพอกตับ?

ภาวะไขมันพอกตับอาจเกิดจากหลายปัจจัย รวมทั้งการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น

  • อาหารที่มีไขมันสูง ทั้งไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ เช่น อาหารทอด เนื้อสัตว์ติดมัน ขนมขบเคี้ยว อาหารแปรรูป 
  • อาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง น้ำหวาน น้ำอัดลม
  • บริโภคคาร์โบไฮเดรตขัดสีมากเกินไป เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว พาสต้า
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

> กลับสู่สารบัญ

ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นไขมันพอกตับ

  • ผู้ที่เป็นโรคอ้วนลงพุง
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง
  • ผู้ที่เป็นโรคความดันสูง
  • ผู้ที่มีประวัติเคยติดเชื้อ หรือติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ซี

> กลับสู่สารบัญ

การวินิจฉัยไขมันพอกตับ

  • การซักประวัติ: แพทย์จะซักถามอาการ พฤติกรรมการใช้ชีวิต การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสภาวะทางสุขภาพต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดไขมันพอกตับ
  • การตรวจร่างกาย: แพทย์อาจตรวจร่างกายแล้วคลำพบว่าตับมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือกดเจ็บบริเวณช่องท้อง
  • การตรวจเลือด: เพื่อประเมินการทำงานของตับและตรวจหาเอนไซม์ตับที่เพิ่มขึ้น เช่น ALT และ AST ซึ่งใช้ในการประเมินการทำงานของตับในเบื้องต้น
  • FibroScan หรือ transient elastography: เป็นการตรวจโดยใช้เทคนิคของอัลตราซาวนด์ หรือคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง เพื่อใช้วัดความแข็งของตับ ซึ่งสามารถบ่งชี้ว่ามีพังผืดหรือรอยแผลเป็นในตับหรือไม่
  • การตรวจพิเศษอื่น ๆ : เช่น การตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (computerized tomography; CT) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (magnetic resonance imaging; MRI) ซึ่งสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่ชัดเจนมากขึ้นและช่วยระบุของเขตของความเสียหายของตับได้
  • การตรวจชิ้นเนื้อตับ: ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาให้ทำการตรวจชิ้นเนื้อตับเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและประเมินความรุนแรงของภาวะไขมันพอกตับ

> กลับสู่สารบัญ

ไขมันพอกตับ เป็นแล้วหายได้ไหม?

ภาวะไขมันพอกตับเป็นภาวะที่สามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม โดยการรักษาเบื้องต้นสามารถทำได้โดย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต และการรับประทานอาหาร แต่หากยังพบว่ามีภาวะไขมันพอกตับอยู่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

> กลับสู่สารบัญ

การรักษาไขมันพอกตับ

  • ลดน้ำหนัก: หากมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ควรค่อย ๆ ลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหาร และรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพร่วมกับการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยลดการสะสมของไขมันในตับได้
  • ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร: จำกัดการบริโภคอาหารแปรรูป เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ไขมันอิ่มตัว และคาร์โบไฮเดรตขัดสี เปลี่ยนไปบริโภคอาหารที่ให้มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ครบ 5 หมู่ รับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืช เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ และไขมันที่ดีต่อสุขภาพในมื้ออาหารแทน
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ: การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินได้ดีขึ้น และยังสามารถดึงไขมันในตับออกมาใช้ ทำให้ไขมันที่พอกอยู่ในตับลดลงได้ โดยตั้งเป้าหมายการออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์โดยสิ้นเชิง เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดต่อตับมากขึ้น
  • การรักษาด้วยการรับประทานยา: เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาในภาวะไขมันพอกตับโดยตรง ในบางกรณีแพทย์อาจจ่ายยาเพื่อช่วยจัดการโรคที่เกี่ยวข้อง หรือเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการสะสมของไขมันที่ตับเพิ่มมากขึ้น เช่น ยาควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ไขมัน หรือควบคุมระดับน้ำตาล ในผู้ป่วยที่มีเบาหวานร่วมด้วย

> กลับสู่สารบัญ

การป้องกันไขมันพอกตับ

  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หรือทุก 6 เดือน จะช่วยให้พบความผิดปกติของตับได้เร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะภาวะไขมันพอกตับสามารถตรวจเจอในระยะแรก ๆ โดยการตรวจเลือด อัลตราซาวนด์ หรือการตรวจด้วยเครื่อง FibroScan
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว หรือ อาหารที่มีไขมันทรานส์สูง เช่น เนื้อติดมัน เบคอน แฮม น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว เบเกอรี ครีมเทียม
  • หลีกเลี่ยงน้ำตาลฟรุกโตส เช่น เครื่องดื่มที่มีรสหวาน คุกกี้ ลูกอม น้ำผลไม้  (ควรรับประทานผลไม้ทั้งผลมากกว่า)
  • ควรรับประทานไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อาโวคาโด ถั่วต่าง ๆ ปลาทู ปลาแซลมอน ปลาทูน่า
  • หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อย 4-5 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30-45 นาที
  • ผู้ที่อยู่ในเกณฑ์อ้วน คือ มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ควรลดน้ำหนักตัว โดยสามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์ว่าควรจะมีน้ำหนักประมาณเท่าไร และควรลดน้ำหนักโดยวิธีใดได้บ้าง
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 5-6 ชั่วโมงต่อวัน

> กลับสู่สารบัญ

สรุป

การดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปและการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไขมันพอกตับ เนื่องจากการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับและทำให้ตับเสียการทำงานไป นอกจากนี้ อาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูงก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการสะสมของไขมันในตับ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันภาวะไขมันพอกตับ ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ รักษาสุขภาพ รับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลต่ำ ก็จะช่วยรักษาสุขภาพและการทำงานของตับให้เป็นปกติ

คลิกดูแพ็กเกจที่เกี่ยวข้องที่นี่

แพ็กเกจตรวจคัดกรองเบาหวาน (Diabetic Screening)

รายละเอียด

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

รายละเอียด

Isokinetic & Isotonic ออกกำลังกายในยิม ร่วมกับออกกำลังกายด้วยเครื่องไอโซคิเนติก จำนวน 4 ครั้ง

รายละเอียด

Gym & Reformer ออกกำลังกายในยิม ร่วมกับออกกำลังกายด้วยเครื่องรีฟอร์เมอร์ จำนวน 10 ครั้ง

รายละเอียด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

สนใจนัดหมาย

> กลับสู่สารบัญ

บทความล่าสุด

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร เลือกผ่าตัดแบบไหนให้เหมาะกับปัญหาข้อเข่าเสื่อม ของเรา?

อ่านเพิ่มเติม
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

เยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดจากอะไร รู้จักสังเกตอาการก่อนเป็นอันตรายถึงชีวิต

อ่านเพิ่มเติม
เลือดออกในสมอง

เข้าใจภาวะเลือดออกในสมอง วิกฤติสุขภาพที่อาจร้ายแรงถึงชีวิต

อ่านเพิ่มเติม
ดูบทความทั้งหมด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V

ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

  • Praram 9 Hospital
  • @praram9hospital

แพทย์ผู้เขียนบทความ

 

ศูนย์แพทย์

ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ

ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ

เยี่ยมชม

ดูทั้งหมด

บทความอื่นๆ

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ ต่างกันอย่างไร เลือกผ่าตัดแบบไหนให้เหมาะกับปัญหาข้อเข่าเสื่อม ของเรา?

ข้อเข่าเทียมมีกี่แบบ? สามารถแบ่งการผ่าตัดข้อเข่าเทียมออกเป็น 2 แบบหลัก ๆ คือผ่าตัดใส่ผิวข้อเข่าเทียมบางส่วน และการผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียมทั้งหมด

อ่านเพิ่มเติม
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

เยื่อหุ้มสมองอักเสบเกิดจากอะไร รู้จักสังเกตอาการก่อนเป็นอันตรายถึงชีวิต

เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) คือภาวะที่เยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังเกิดการอักเสบบวมจนก่อให้เกิดอาการผิดปกติ ซึ่งสาเหตุมีทั้งจากการติดเชื้อและไม่ใช่จากการติดเชื้อ

อ่านเพิ่มเติม
เลือดออกในสมอง

เข้าใจภาวะเลือดออกในสมอง วิกฤติสุขภาพที่อาจร้ายแรงถึงชีวิต

เลือดออกในสมอง (Intracerebral Hemorrhage) คือภาวะเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้เลือดไหลไปกดทับเนื้อเยื่อสมอง และเป็นสาเหตุของความพิการหรือเสียชีวิตในที่สุด

อ่านเพิ่มเติม
อ่านบทความทั้งหมด
Facebook-f Youtube Instagram Line
  • 1270
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • นัดหมาย
  • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ข่าว และกิจกรรม รพ.
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • นักลงทุนสัมพันธ์
  • การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
  • ร่วมงานกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • ข้อกำหนดและเงื่อนไข

Copyright © 2025 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Doctor’s Health Insights
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา