บทความสุขภาพ

Knowledge

ไขมันพอกตับ!…หากรู้ตัวช้า อาจเป็นสาเหตุของตับแข็ง และมะเร็งตับได้

ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง ได้แก่ สร้างน้ำย่อยเพื่อย่อยอาหาร สร้างโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด กำจัดสารพิษต่าง ๆ เกี่ยวข้องในกระบวนการสร้างและสลายสารอาหาร และสารต่าง ๆ เช่น คาร์โบไฮเดรต กรดอะมิโน ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ แอมโมเนีย และยังทำหน้าเก็บกักสารอาหารเพื่อเป็นแหล่งพลังงานของร่างกายอีกด้วย


ปัจจุบันเราพบว่าประชาการมีความเสี่ยงโรคเกี่ยวกับตับมากขึ้น โดยเฉพาะ “โรคไขมันพอกตับ” เนื่องจากพฤติกรรมการรับประทานและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ขาดการออกกำลังกาย จึงทำให้เสี่ยงต่อภาวะไขมันในเลือดสูง และภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพ และหากมีภาวะไขมันพอกตับเรื้อรัง อาจทำให้มีภาวะตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับตามมาได้


ไขมันพอกตับ คืออะไร?


ไขมันพอกตับ (fatty liver disease) เป็นภาวะที่มีการสะสมของไขมันส่วนเกินที่ตับ ซึ่งมักทำให้เอนไซม์ตับ (AST และ ALT) ที่ตรวจได้จากการเจาะเลือดมีค่าเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ ในบางรายหากปล่อยไว้นานไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจก่อให้เกิดโรคตับแข็ง หรือมะเร็งตับต่อไปได้


ภาวะไขมันพอกตับ แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ ได้แก่


  • ไขมันพอกตับในผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ alcoholic fatty liver disease (AFLD)
  • ไขมันพอกตับในผู้ที่ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD)

สาเหตุของไขมันพอกตับ


สาเหตุของไขมันพอกตับจากการดื่มแอลกอฮอล์ (AFLD)


การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นประจำและเป็นเวลานาน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไขมันสะสมในตับ เนื่องจากตับมีหน้าที่ในการเผาผลาญแอลกอฮอล์ ดังนั้นการบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไปจะทำให้ตับทำงานหนัก ประสิทธิภาพการทำงานของตับลดลง และยังทำให้เกิดการสะสมของไขมัน ซึ่งเป็นผลมาจากการสลายแอลกอฮอล์ ทำให้มีการสะสมของไขมันในเซลล์ตับมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เกิด “ภาวะไขมันพอกตับ”


ทั้งนี้ปริมาณการบริโภคแอลกอฮอล์ที่สามารถนำไปสู่ไขมันพอกตับอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่โดยทั่วไปการศึกษาพบว่าการบริโภคแอลกอฮอล์มากกว่า 40 กรัม (หรือประมาณ 4 แก้ว) ต่อวันเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะไขมันพอกตับมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการพัฒนาจนเกิดภาวะไขมันพอกตับมักเกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ๆ อาจเป็นปีหรือหลายปี


สาเหตุไขมันพอกตับในผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์


  • จากภาวะอ้วน หรือการมีไขมันส่วนเกินสะสมในร่างกายมากเกินไป โดยเฉพาะไขมันหน้าท้อง โดยจะสังเกตได้ว่าเป็นลักษณะการอ้วนแบบ “ลูกแอปเปิล” หรือ “apple-like” body shape
  • มีภาวะดื้อต่ออินซูลิน เนื่องจากอินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อร่างกายมีภาวะดื้อต่อการทำงานของอินซูลิน (ซึ่งมักพบในโรคอ้วนและผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2) ตับจะตอบสนองโดยการผลิตน้ำตาลกลูโคสมากขึ้น ทำให้เกิดการสะสมของไขมันในตับ
  • รับประทานทานอาหารที่มีไขมันสูง เพราะจะทำให้มีระดับไขมันและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และถูกนำไปเก็บสะสมไว้ที่ตับ นำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับได้

อาการของไขมันพอกตับ


  • ในระยะเริ่มแรกมักไม่มีแสดงอาการที่เห็นได้ชัดเจน ส่วนใหญ่จะตรวจพบจากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือตรวจเลือดเพื่อดูค่าเอนไซม์ตับในเลือด
  • ในบางรายอาจมีอาการ เช่น
    • ปวดแน่นใต้ชายโครงด้านขวา
    • เหนื่อยง่าย
    • น้ำหนักลดลงอย่างหาสาเหตุไม่ได้
  • ในรายที่มีการสะสมของไขมันในตับมากและเรื้อรัง อาจทำให้มีอาการของโรคตับแข็งได้ เช่น
    • ตัวเหลือง ตาเหลือง
    • เลือดออก หรือเป็นจ้ำเลือดง่าย
    • เบื่ออาหาร
    • ขา เท้า หรือข้อเท้าบวม

อาหารแบบไหนเสี่ยงทำให้เป็นไขมันพอกตับ?


ภาวะไขมันพอกตับอาจเกิดจากหลายปัจจัย รวมทั้งการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น


  • อาหารที่มีไขมันสูง ทั้งไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ เช่น อาหารทอด เนื้อสัตว์ติดมัน ขนมขบเคี้ยว อาหารแปรรูป
  • อาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง น้ำหวาน น้ำอัดลม
  • บริโภคคาร์โบไฮเดรตขัดสีมากเกินไป เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว พาสต้า
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นไขมันพอกตับ


  • ผู้ที่เป็นโรคอ้วนลงพุง
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง
  • ผู้ที่เป็นโรคความดันสูง
  • ผู้ที่มีประวัติเคยติดเชื้อ หรือติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ซี

การวินิจฉัยไขมันพอกตับ


  • การซักประวัติ: แพทย์จะซักถามอาการ พฤติกรรมการใช้ชีวิต การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสภาวะทางสุขภาพต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดไขมันพอกตับ
  • การตรวจร่างกาย: แพทย์อาจตรวจร่างกายแล้วคลำพบว่าตับมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือกดเจ็บบริเวณช่องท้อง
  • การตรวจเลือด: เพื่อประเมินการทำงานของตับและตรวจหาเอนไซม์ตับที่เพิ่มขึ้น เช่น ALT และ AST ซึ่งใช้ในการประเมินการทำงานของตับในเบื้องต้น
  • FibroScan หรือ transient elastography: เป็นการตรวจโดยใช้เทคนิคของอัลตราซาวนด์ หรือคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง เพื่อใช้วัดความแข็งของตับ ซึ่งสามารถบ่งชี้ว่ามีพังผืดหรือรอยแผลเป็นในตับหรือไม่
  • การตรวจพิเศษอื่น ๆ : เช่น การตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (computerized tomography; CT) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (magnetic resonance imaging; MRI) ซึ่งสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่ชัดเจนมากขึ้นและช่วยระบุของเขตของความเสียหายของตับได้
  • การตรวจชิ้นเนื้อตับ: ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาให้ทำการตรวจชิ้นเนื้อตับเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและประเมินความรุนแรงของภาวะไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ เป็นแล้วหายได้ไหม?


ภาวะไขมันพอกตับเป็นภาวะที่สามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม โดยการรักษาเบื้องต้นสามารถทำได้โดย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต และการรับประทานอาหาร แต่หากยังพบว่ามีภาวะไขมันพอกตับอยู่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสมต่อไป


การรักษาไขมันพอกตับ


  • ลดน้ำหนัก: หากมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ควรค่อย ๆ ลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหาร และรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพร่วมกับการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยลดการสะสมของไขมันในตับได้
  • ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร: จำกัดการบริโภคอาหารแปรรูป เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ไขมันอิ่มตัว และคาร์โบไฮเดรตขัดสี เปลี่ยนไปบริโภคอาหารที่ให้มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ครบ 5 หมู่ รับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืช เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ และไขมันที่ดีต่อสุขภาพในมื้ออาหารแทน
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ: การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินได้ดีขึ้น และยังสามารถดึงไขมันในตับออกมาใช้ ทำให้ไขมันที่พอกอยู่ในตับลดลงได้ โดยตั้งเป้าหมายการออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์โดยสิ้นเชิง เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดต่อตับมากขึ้น
  • การรักษาด้วยการรับประทานยา: เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาในภาวะไขมันพอกตับโดยตรง ในบางกรณีแพทย์อาจจ่ายยาเพื่อช่วยจัดการโรคที่เกี่ยวข้อง หรือเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการสะสมของไขมันที่ตับเพิ่มมากขึ้น เช่น ยาควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ไขมัน หรือควบคุมระดับน้ำตาล ในผู้ป่วยที่มีเบาหวานร่วมด้วย

การป้องกันไขมันพอกตับ


  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หรือทุก 6 เดือน จะช่วยให้พบความผิดปกติของตับได้เร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะภาวะไขมันพอกตับสามารถตรวจเจอในระยะแรก ๆ โดยการตรวจเลือด อัลตราซาวนด์ หรือการตรวจด้วยเครื่อง FibroScan
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว หรือ อาหารที่มีไขมันทรานส์สูง เช่น เนื้อติดมัน เบคอน แฮม น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว เบเกอรี ครีมเทียม
  • หลีกเลี่ยงน้ำตาลฟรุกโตส เช่น เครื่องดื่มที่มีรสหวาน คุกกี้ ลูกอม น้ำผลไม้ (ควรรับประทานผลไม้ทั้งผลมากกว่า)
  • ควรรับประทานไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อาโวคาโด ถั่วต่าง ๆ ปลาทู ปลาแซลมอน ปลาทูน่า
  • หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อย 4-5 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30-45 นาที
  • ผู้ที่อยู่ในเกณฑ์อ้วน คือ มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ควรลดน้ำหนักตัว โดยสามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์ว่าควรจะมีน้ำหนักประมาณเท่าไร และควรลดน้ำหนักโดยวิธีใดได้บ้าง
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 5-6 ชั่วโมงต่อวัน

สรุป


การดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปและการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไขมันพอกตับ เนื่องจากการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับและทำให้ตับเสียการทำงานไป นอกจากนี้ อาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูงก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการสะสมของไขมันในตับ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันภาวะไขมันพอกตับ ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำ รักษาสุขภาพ รับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลต่ำ ก็จะช่วยรักษาสุขภาพและการทำงานของตับให้เป็นปกติ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital