Skip to content
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • TH
    • EN
    • CN
    • AR
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Praram 9 Star Doctors
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา
Menu
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Praram 9 Star Doctors
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

บทความ

โรงพยาบาลพระรามเก้า

  • วันที่โพสต์ 9 พฤษภาคม 2025
ลิ้นหัวใจเทียม

การผ่าตัดลิ้นหัวใจเทียม เป็นวิธีการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจ กลุ่มที่มีปัญหาของลิ้นหัวใจ การผ่าตัดนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจเสื่อมสภาพ ลิ้นหัวใจตีบหรือลิ้นหัวใจรั่วสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพอีกครั้ง 

ภาวะลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีลิ้นหัวใจรั่วมาก ๆ หรือตีบมาก ๆ มักจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่ปกติ ทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก และเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว การเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยการทดแทนลิ้นหัวใจเดิมที่เสื่อมสภาพด้วยลิ้นหัวใจเทียมที่มีความทนทานและทำงานได้ใกล้เคียงลิ้นหัวใจธรรมชาติ 

ในบทความนี้ จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนของการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม ทั้งในด้านการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด ขั้นตอนการผ่าตัด และการดูแลหลังผ่าตัด รวมถึงคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการผ่าตัดชนิดนี้

สารบัญบทความ

  • ลิ้นหัวใจคืออะไร?
  • ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร?
  • สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
  • อาการแบบไหนต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจ?
  • ลิ้นหัวใจแต่ละชนิดเหมาะกับผู้ป่วยแบบไหน
  • ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
  • ขั้นตอนการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
  • การดูแลหลังผ่าตัด
  • การป้องกันภาวะแทรกซ้อน
  • สรุป

ลิ้นหัวใจคืออะไร?

ลิ้นหัวใจ (Heart Valve) คือ เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่อยู่ในหัวใจ ทำหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนของเลือดในแต่ละห้องของหัวใจ โดยมีทั้งหมด 4 ลิ้น ได้แก่ ลิ้นหัวใจเอออร์ติก (Aortic Valve) ลิ้นหัวใจพัลโมนิก (Pulmonary Valve) ลิ้นหัวใจไมตรัล (Mitral Valve) และลิ้นหัวใจไตรคัสปิด (Tricuspid Valve) ลิ้นหัวใจแต่ละลิ้นจะเปิดและปิดตามจังหวะการเต้นของหัวใจ

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร?

ลิ้นหัวใจเทียม (Prosthesic Valve) คืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ออกแบบมาเพื่อทดแทนลิ้นหัวใจที่ทำงานผิดปกติ ซึ่งจะช่วยให้เลือดในหัวใจไหลเวียนได้ดีขึ้น โดยลิ้นหัวใจเทียมมี 2 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ลิ้นหัวใจเทียมชนิดโลหะ (Mechanical Valve)
    • ผลิตจากวัสดุที่มีความทนทาน เช่น ไทเทเนียม หรือคาร์บอน
    • อายุการใช้งานนานกว่าลิ้นหัวใจเทียมชนิดเนื้อเยื่อ
    • ผู้ป่วยต้องรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดตลอดชีวิต เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดบริเวณลิ้นหัวใจเทียม ดังนั้นผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลืออย่างสม่ำเสมอ (ซึ่งในบางกรณีอาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อการลืมรับประทานยา หรือผู้ป่วยที่อาจมีความเสี่ยงจากการรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด)
    • เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการอายุการใช้งานยาวนานโดยไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย
  • ลิ้นหัวใจเทียมชนิดเนื้อเยื่อ (Bioprosthetic Valve)
    • ผลิตจากเนื้อเยื่อของสัตว์ เช่น วัวหรือหมู หรือจากผู้บริจาค
    • ไม่ต้องรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดเป็นประจำ จึงเหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่ต้องใช้ยาประจำ
    • อายุการใช้งานสั้นกว่า โดยปกติจะมีอายุการใช้งานประมาณ 10-20 ปี
    • เหมาะสำหรับผู้ป่วยสูงอายุหรือผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงของการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด

สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจ

ลิ้นหัวใจสามารถเกิดการเสื่อมหรือมีปัญหาได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งทำให้ต้องมีการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเพื่อฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้ปกติ โดยโรคที่อาจทำให้ต้องมีการเปลี่ยนลิ้นหัวใจ เช่น

  • โรคลิ้นหัวใจพิการแต่กำเนิด: ลิ้นหัวใจที่มีความผิดปกติตั้งแต่เกิด เช่น ลิ้นหัวใจตีบ
  • ลิ้นหัวใจเสื่อมตามอายุ: การเสื่อมสภาพของลิ้นหัวใจเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งพบได้ในผู้สูงอายุ
  • การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ (Infective Endocarditis; IE): การติดเชื้อแบคทีเรียที่ลิ้นหัวใจ ซึ่งทำให้ลิ้นหัวใจเสียหาย
  • ภาวะลิ้นหัวใจตีบ (Stenosis): ภาวะที่ลิ้นหัวใจไม่สามารถเปิดได้เต็มที่ ทำให้เลือดไหลผ่านลิ้นหัวใจได้ยากขึ้น
  • ภาวะลิ้นหัวใจรั่ว (Regurgitation): ภาวะที่ลิ้นหัวใจไม่สามารถปิดได้สมบูรณ์ ทำให้เลือดไหลย้อนกลับไปยังห้องหัวใจเดิม

อาการแบบไหนต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจ?

  1. อาการเหนื่อยง่ายเรื้อรัง
    • รู้สึกเหนื่อยทั้งในขณะทำกิจกรรมเบา ๆ หรือแม้แต่ในขณะพักผ่อน ซึ่งอาจเกิดจากลิ้นหัวใจที่ทำงานผิดปกติ เช่น ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่วมาก ๆ ซึ่งจะทำให้เลือดไหลออกจากหัวใจไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายต้องปรับให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
  2. หายใจลำบาก โดยเฉพาะขณะนอนราบหรือขณะออกแรง
    • เริ่มจากเหนื่อยง่ายเวลาทำกิจกรรม และพัฒนาไปจนกระทั่งหายใจลำบากแม้ในขณะพักผ่อน และอาจเกิดอาการแน่นหน้าอกหรือหายใจเหนื่อยร่วมด้วย ซึ่งอาจเป็นอาการของน้ำท่วมปอด ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจมีภาวะหัวใจล้มเหลวได้
  3. เจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก
    • รู้สึกเจ็บแน่นบริเวณกลางหน้าอก โดยเฉพาะเวลาที่ใช้แรง เช่น เดินขึ้นบันไดหรือทำงานหนัก อาการนี้พบได้ในผู้ป่วยที่มีลิ้นหัวใจตีบอย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ
  4. หน้ามืด วิงเวียน หรือหมดสติ
    • เกิดจากหัวใจส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ซึ่งมีสาเหตุจากความผิดปกติของลิ้นหัวใจ หากไม่ได้รับการรักษา อาจเสี่ยงต่อการหมดสติหรือการ วูบ ล้ม บาดเจ็บได้
  5. บวมที่ขา ข้อเท้า หรือหน้าท้อง
    • เป็นสัญญาณของการมีของเหลวคั่งในร่างกาย โดยเฉพาะส่วนล่างของร่างกาย ซึ่งอาจพบได้ในผู้ป่วยที่มีโรคของลิ้นหัวใจ หรือมีภาวะหัวใจล้มเหลวร่วมด้วย
  6. หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือใจสั่น
    • รู้สึกใจเต้นเร็วหรือแรงผิดปกติ โดยเฉพาะในช่วงพักผ่อนหรือขณะนอนหลับ มักเกิดจากลิ้นหัวใจที่เสียหาย ซึ่งส่งผลให้เกิดการกระตุ้นหัวใจที่ผิดปกติ
  7. อ่อนเพลียเรื้อรังจนส่งผลต่อชีวิตประจำวัน
    • รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ไม่สามารถทำกิจกรรมที่เคยทำได้ เช่น การเดินขึ้นบันไดหรือการออกกำลังกายเบา ๆ ซึ่งมีสาเหตุมาจากหัวใจที่ทำงานหนักเกินไป
  8. ภาวะแทรกซ้อนที่ทำลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติ
    • เช่น การติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ (Infective Endocarditis) หรือโรคหลอดเลือดตีบที่ทำให้การบีบตัวของหัวใจเสียไป หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้

ลิ้นหัวใจแต่ละชนิดเหมาะกับผู้ป่วยแบบไหน

การเลือกชนิดของลิ้นหัวใจเทียมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุของผู้ป่วย ภาวะสุขภาพพื้นฐาน และความสะดวกในการติดตามผลการรักษาหลังผ่าตัด ซึ่งลิ้นหัวใจเทียมมี 2 ชนิดหลักดังที่กล่าวไปแล้ว ได้แก่ ลิ้นหัวใจเทียมชนิดโลหะ (Mechanical Valve) และ ลิ้นหัวใจเทียมชนิดเนื้อเยื่อ (Bioprosthetic Valve) ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยแต่ละประเภทดังนี้

1. ลิ้นหัวใจเทียมชนิดโลหะ (Mechanical Valve)

เหมาะสำหรับ:

  • ผู้ป่วยอายุน้อย
    เนื่องจากลิ้นหัวใจชนิดนี้มีความทนทานสูงและใช้งานได้ตลอดชีวิต ไม่ต้องเปลี่ยนใหม่บ่อยครั้ง
  • ผู้ป่วยที่สามารถควบคุมการใช้ยาละลายลิ่มเลือดได้ดีหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยต้องรับประทานยาวาร์ฟาริน (Warfarin) เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือด จึงเหมาะกับผู้ที่สามารถตรวจติดตามระดับเลือด และรับประทานยาาร์ฟารินได้อย่างสม่ำเสมอ
  • ผู้ป่วยที่ไม่มีข้อห้ามในการใช้ยาละลายลิ่มเลือด
    เช่น ผู้ที่ไม่มีประวัติเลือดออกง่ายหรือมีโรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการมีเลือดออก

ข้อดี:

  • อายุการใช้งานนาน (20-30 ปี หรือมากกว่า)
  • ไม่ต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจบ่อย

ข้อจำกัด:

  • ต้องรับประทานยาละลายลิ่มเลือดตลอดชีวิต
  • เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาละลายลิ่มเลือด เช่น เลือดออกในอวัยวะต่าง ๆ

2. ลิ้นหัวใจเทียมชนิดเนื้อเยื่อ (Bioprosthetic Valve)

เหมาะสำหรับ:

  • ผู้ป่วยสูงอายุ
    เนื่องจากไม่ต้องรับประทานยาละลายลิ่มเลือดในระยะยาว เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
  • ผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาละลายลิ่มเลือดได้
    เช่น ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะเลือดออก หรือมีโรคประจำตัวที่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน

ข้อดี:

  • ไม่ต้องรับประทานยาละลายลิ่มเลือดในระยะยาว
  • ลดความเสี่ยงจากภาวะเลือดออก

ข้อจำกัด:

  • อายุการใช้งานสั้นกว่าลิ้นหัวใจชนิดโลหะ (ประมาณ 10-20 ปี)
  • ต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจใหม่เมื่อหมดอายุการใช้งาน ซึ่งในการผ่าตัดลิ้นหัวใจซ้ำจะเพิ่มความเสี่ยงของการผ่าตัดมากขึ้น

ปัจจัยเพิ่มเติมในการเลือกชนิดของลิ้นหัวใจ

  • โรคประจำตัว: เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคตับหรือเลือดออกง่าย อาจไม่เหมาะกับลิ้นหัวใจชนิดโลหะ
  • แผนการตั้งครรภ์ในอนาคต: ผู้หญิงที่วางแผนมีบุตรอาจเหมาะกับชนิดเนื้อเยื่อชีวภาพเพื่อลดความเสี่ยงจากการใช้ยาละลายลิ่มเลือด

อย่างไรก็ตามแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและให้คำแนะนำตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว

ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด

การเตรียมตัวอย่างเหมาะสมช่วยเพิ่มความสำเร็จในการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยแพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติดังนี้

  1. การตรวจร่างกายอย่างละเอียด
    • ตรวจเลือดเพื่อประเมินความพร้อมของร่างกาย
    • เอกซเรย์ทรวงอกและคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
    • ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อน (Echocardiogram) เพื่อประเมินดูลักษณะการทำงาน รวมถึงความรุนแรงของลิ้นหัวใจที่มีปัญหา ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ศัลยแพทย์โรคหัวใจสามารถวางแผนการผ่าตัดได้ง่ายขึ้น
  2. การปรับยาก่อนผ่าตัด
    • หยุดยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ตามคำแนะนำของแพทย์
    • ปรับยาควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิต ตามคำแนะนำของแพทย์
  3. การเตรียมตัวทางจิตใจและร่างกาย
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์
    • พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด
    • เตรียมความพร้อมสำหรับการพักฟื้นหลังผ่าตัด เช่น จัดที่พักให้สะดวกต่อการเคลื่อนไหว
  4. การปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม
    • แพทย์จะอธิบายขั้นตอนการผ่าตัดและตอบคำถามเพื่อให้ผู้ป่วยมั่นใจ และหากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการผ่าตัด สามารถปรึกษาแพทย์ได้ ไม่ควรปล่อยไว้ เพื่อลดความกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด
    • แจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัวอย่างละเอียด

ขั้นตอนการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจสามารถทำได้ 2 วิธีหลัก ขึ้นอยู่กับลิ้นหัวใจที่ต้องได้รับการผ่าตัด และความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละคน

  1. การผ่าตัดเปิดหน้าอก (Open-heart Surgery)
    • วิธีการ: แพทย์จะเปิดหน้าอกเพื่อเข้าถึงหัวใจ และหยุดการเต้นของหัวใจชั่วคราวโดยใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Heart-lung Machine) จากนั้นจึงทำการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
    • ระยะเวลา: ใช้เวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของโรค ตำแหน่งของลิ้นที่ต้องผ่าตัด รวมถึงสภาวะของผู้ป่วยแต่ละคน
  2. การเปลี่ยนลิ้นหัวใจผ่านสายสวน (Transcatheter Aortic Valve Implantation; TAVI/TAVR)
    • ใช้เฉพาะการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติก (ยังไม่สามารถใช้วิธีนี้กับลิ้นหัวใจอื่นได้)
    • วิธีการ: การรักษาด้วยวิธีนี้ ไม่ต้องเปิดหน้าอก แต่จะทำการรักษาโดยอายุรแพทย์โรคหัวใจ โดยแพทยจะใช้สายสวนใส่ลิ้นหัวใจใหม่ผ่านหลอดเลือดแดงขนาดใหญ่บริเวณขาหนีบ
    • เหมาะสำหรับ: ผู้ป่วยสูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการผ่าตัดใหญ่

การดูแลหลังผ่าตัด

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วและป้องกันภาวะแทรกซ้อน:

  1. ระยะแรก (2-4 สัปดาห์แรก)
    • พักฟื้นในโรงพยาบาลประมาณ 3-10 วันขึ้นอยู่กับวิธีการผ่าตัด เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน
    • ดูแลแผลผ่าตัดให้สะอาดและอย่าให้แผลติดเชื้อ
    • ทำความสะอาดแผลตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลด้วยมือที่ไม่สะอาด
    • สังเกตอาการบวม แดง หรือหนองที่แผล ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ หากพบต้องรีบพบแพทย์ทันที
    • หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือออกแรงมาก
  2. การปรับตัวในระยะยาว
    • ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดิน โยคะ โดยควรออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์
    • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ลดอาหารที่มีรสเค็ม ลดไขมัน ลดแป้งและน้ำตาล
    • ติดตามผลกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ลิ้นหัวใจชนิดโลหะซึ่งต้องรับประทานยาละลายลิ่มเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อยืดอายุการทำงานของลิ้นหัวใจ และป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดที่ลิ้นหัวใจที่จะทำให้การทำงาานของลิ้นหัวใจเสียไป

การป้องกันภาวะแทรกซ้อน

หลังการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ การป้องกันภาวะแทรกซ้อนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

  1. ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน
    • รับประทานยาละลายลิ่มเลือดตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
    • เคลื่อนไหวร่างกาย เช่น เดินเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
    • หลีกเลี่ยงการนั่งนิ่ง ๆ หรือยืนเป็นเวลานานเกินไป
  2. ป้องกันการติดเชื้อที่หัวใจ (Endocarditis)
    • รับประทานยาปฏิชีวนะก่อนการทำหัตถการ เช่น การถอนฟันหรือทำฟัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่หัวใจ
    • รักษาสุขอนามัยในช่องปาก เช่น แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ
    • หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  3. เฝ้าระวังอาการผิดปกติ
    • อาการหายใจลำบาก เหนื่อยง่าย หรือเจ็บหน้าอก อาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจล้มเหลว
    • อาการขาบวม เท้าบวม หรือข้อเท้าบวม ซึ่งอาจเกิดจากมีน้ำเกินในร่างกาย ซึ่งเป็นสัญญาณการทำงานที่ผิดปกติของหัวใจ
    • มีไข้หรืออาการคล้ายไข้หวัด ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อ
  4. การดูแลด้านอาหารและโภชนาการ
    • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนไร้ไขมัน
    • ลดการบริโภคเกลือและไขมันอิ่มตัว เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะความดันโลหิตสูง
    • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีวิตามินเคสูง เช่น ผักใบเขียวเข้ม หากใช้ยาละลายลิ่มเลือด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อประสิทธิภาพของยา
  5. ติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
    • เข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจเช็กลิ้นหัวใจเทียมและประเมินการทำงานของหัวใจ
    • แจ้งแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรืออ่อนเพลียผิดปกติ
    • ตรวจเลือดเพื่อวัดระดับ INR (ค่าที่ประเมินการเกิดลิ่มเลือด) อย่างสม่ำเสมอในผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือด
  6. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
    • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
    • พักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงความเครียด
    • ออกกำลังกายเบา ๆ ตามที่แพทย์แนะนำ เช่น เดิน ปั่นจักรยานเบา ๆ
  7. การรับวัคซีนป้องกันโรค
    • รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำ
    • รับวัคซีนป้องกันปอดอักเสบตามคำแนะนำของแพทย์
    • ป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อหัวใจ

การป้องกันภาวะแทรกซ้อนต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งผู้ป่วยและครอบครัว โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และใส่ใจการดูแลตัวเองในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว

สรุป

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม นอกจากนี้การดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดก็มีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และฟื้นตัวช่วยให้ฟื้นตัวเร็ว เพื่อการกลับไปใช้ชีวิตประจำวันเป็นปกติ

แนะนำแพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง

  • โปรแกรมตรวจสุขภาพหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อน (Echocardiogram)
  • โปรแกรมตรวจคัดกรองหลอดเลือดหัวใจและตรวจสมรรถภาพการทำงานของหัวใจ (Calcium Score & Exercise Stress Test)
  • โปรแกรมตรวจแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Calcium Score)
  • โปรแกรมตรวจสมรรถภาพการทำงานของหัวใจโดยการวิ่งสายพาน (Exercise Stress Test)
  • แพ็กเกจตรวจคัดกรองอาการใจสั่น พร้อมติดเครื่อง EVENT Recorder
  • แพ็กเกจตรวจคัดกรองอาการใจสั่น พร้อมติดเครื่อง Holter Monitoring

บทความล่าสุด

ทำไมกินหมูแล้วหูดับ?

อ่านเพิ่มเติม
หัวใจล้มเหลว

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

อ่านเพิ่มเติม
ลิ้นหัวใจเทียม

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

อ่านเพิ่มเติม
ดูบทความทั้งหมด

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V

ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

  • Praram 9 Hospital
  • @praram9hospital

แพทย์ผู้เขียนบทความ

 

ศูนย์แพทย์

สถาบันหัวใจและหลอดเลือด_1-1

สถาบันหัวใจและหลอดเลือดพระรามเก้า

เยี่ยมชม

ดูทั้งหมด

บทความอื่นๆ

ทำไมกินหมูแล้วหูดับ?

โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อสู่คนได้ 2 ทาง

อ่านเพิ่มเติม
หัวใจล้มเหลว

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

อ่านเพิ่มเติม
ลิ้นหัวใจเทียม

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

อ่านเพิ่มเติม
อ่านบทความทั้งหมด
Facebook-f Youtube Instagram Line
  • 1270
  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • นัดหมาย
  • บทความสุขภาพ
  • แพ็กเกจ
  • ข่าว และกิจกรรม รพ.
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว
  • นักลงทุนสัมพันธ์
  • การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
  • ร่วมงานกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • ข้อกำหนดและเงื่อนไข

Copyright © 2025 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital

  • เกี่ยวกับเรา
  • ศูนย์การแพทย์
  • ค้นหาแพทย์
  • ห้องพัก
  • Health Guru
    • บทความสุขภาพ
    • Praram 9 Star Doctors
  • แพ็กเกจ
  • ติดต่อเรา