บทความสุขภาพ

Knowledge

ภาวะเลือดเป็นกรด DKA ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

พญ. ณัฐกานต์ มยุระสาคร

ภาวะ DKA (Diabetic Ketoacidosis) หรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับเลือดเป็นกรด เป็นภาวะฉุกเฉินที่พบได้ในผู้ป่วยเบาหวาน แต่เดิมพบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน(เบาหวานชนิดที่หนึ่ง) ปัจจุบันพบได้บ่อยขึ้นในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สอง ซึ่งเป็นผู้ป่วยกลุ่มใหญ่ของโรคเบาหวาน ภาวะ DKA เป็นภาวะฉุกเฉินที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ดังนั้นผู้ป่วยและคนใกล้ชิดควรทำความเข้าใจถึงภาวะนี้ อาการ ปัจจัยเสี่ยงและทราบถึงอันตราย เพื่อเตรียมตัวรับมือและหาแนวทางป้องกันที่เหมาะสมได้

ภาวะ DKA (Diabetic Ketoacidosis) คืออะไร


ภาวะ DKA คือภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับภาวะเลือดเป็นกรดจากการที่มีสารคีโตนสะสมในเลือด


dka-diabetic-ketoacidosis-1.jpg

อาการที่บ่งชี้ว่ากำลังเกิดภาวะ DKA


ผู้ป่วยจะมีอาการของน้ำตาลในเลือดสูง เช่น ปัสสาวะบ่อย คอแห้ง กระหายน้ำ รวมกับ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลียไม่มีแรง หอบเหนื่อย ลมหายใจมีกลิ่นผลไม้ ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ หากเป็นมากขึ้นจะมีอาการสับสน อาจเกิดภาวะช็อค หมดสติ และตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 250 มก. ต่อดล. ต้องระวังในผู้ป่วยที่กินยาเบาหวานบางกลุ่มอาจเกิดภาวะ DKA ได้ที่ระดับน้ำตาลต่ำกว่า 250 มก. ต่อดล.


dka-diabetic-ketoacidosis-2.jpg

ปัจจัยเสี่ยงของภาวะ DKA


ภาวะ DKA เกิดจากปัจจัย 3 อย่าง รวมกัน ได้แก่


  1. ภาวะขาดฮอร์โมนอินซูลิน เช่น ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่หนึ่ง ตับอ่อนไม่หลั่งอินซูลิน หรือในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สองที่เป็นโรคมานาน ตับอ่อนหลั่งอินซูลินลดลง จำเป็นต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ เมื่อผู้ป่วยหยุดฉีดอินซูลิน อาจทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ DKA ได้
  2. มีภาวะเจ็บป่วยเฉียบพลันเกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อ การผ่าตัด อุบัติเหตุ โรคร้ายแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือได้รับยาบางชนิดที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เช่น ยาสเตียรอยด์
  3. ขาดอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต คือ การได้รับอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลไม่เพียงพอ ซึ่งอาจพบได้ในภาวะ อาเจียน เบื่ออาหาร หรืองดน้ำงดอาหารเพื่อเตรียมตัวผ่าตัด

หากมีปัจจัย 3 อย่างร่วมกัน ผู้ป่วยและคนดูแล ควรหมั่นสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด


กลไกการเกิดภาวะ DKA ในผู้ป่วยเบาหวาน


เมื่อเกิดภาวะเครียดของร่างกายดังกล่าวข้างต้น กลไกของร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีฤทธิ์ตรงข้ามกับอินซูลิน เรียกว่า Counter-regulatory hormone เช่น คอร์ติซอล อะดรีนาลิน และกลูคากอน ฮอร์โมนเหล่านี้ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น โดยการเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาล ซึ่งมีข้อดีทำให้ร่างกายได้พลังงานเพิ่มขึ้น แต่การเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาลนี้ได้ของแถมเป็นสารคีโตน ซึ่งเมื่อคีโตนสะสมมาก ๆ ทำให้เลือดเป็นกรด เมื่อคีโตนคั่งทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย และหอบเหนื่อยดังกล่าวข้างต้น

การป้องกันภาวะ DKA ในผู้ป่วยเบาหวาน


ผู้ป่วยเบาหวานจะมีข้อปฏิบัติยามมีอาการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ( sick-day rules) เช่น มีไข้ คลื่นไส้ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ DKA ได้แก่


“พยายามกินคาร์โบไฮเดรต – ดื่มน้ำเปล่ามากขึ้น – อย่าหยุดยาฉีดอินซูลินเอง –ตรวจน้ำตาลบ่อยขึ้น –และมาโรงพยาบาลเมื่อไม่ดีขึ้น”


  • กินคาร์โบไฮเดรต คือ แนะนำให้รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าวผสมเกลือเล็กน้อย แครกเกอร์ หรือขนมปัง ถ้าไม่สามารถกินอาหารอ่อนได้ แนะนำให้กินอาหารเหลวที่มีคาร์โบไฮเดรตอย่างน้อย 50 กรัม ทุก 3 – 4 ชม. เช่น น้ำผลไม้หรือ โยเกิร์ต ซุปข้น เป็นต้น
  • ดื่มน้ำมากขึ้น คือ ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพออย่างน้อย 1 แก้วทุก 1 ชั่วโมง (สำหรับผู้ที่มีปัญหาโรคหัวใจหรือโรคไต ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปริมาณน้ำที่เหมาะสม)
  • ห้ามหยุดฉีดยาอินซูลินเอง โดยเฉพาะ basal หรือ long-acting insulin
  • หมั่นตรวจน้ำตาลในเลือดบ่อยขึ้น ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่หนึ่ง แนะนำตรวจทุก 4 ชั่วโมง และในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สอง แนะนำตรวจอย่างน้อย 4 ครั้งต่อวัน (เช่น 3 เวลาก่อนอาหารทุกมื้อและก่อนนอน)
  • งดออกกำลังกายและพักผ่อนให้มาก
  • มาโรงพยาบาลทันทีเมื่อมีอาการเหล่านี้ ได้แก่
    • อาการของโรคร้ายแรง เช่น อาการแน่นหน้าอก ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง เป็นต้น
    • มีอาการป่วยหรือมีไข้ 2 วัน แล้วยังไม่ทุเลา
    • มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องร่วง ไม่สามารถกินอาหารได้นานเกิน 6 ชั่วโมง
    • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อนอาหาร แล้วพบว่าสูงกว่า 240 มก./ดล.
    • มีอาการของภาวะขาดน้ำ เช่น ริมฝีปากแห้งแตก กระหายน้ำ หรืออาการรุนแรงขึ้น เช่น อ่อนเพลีย หอบเหนื่อย แน่นหน้าอก หายใจมีกลิ่นผลไม้ เป็นต้น
  • ในกรณีที่ผู้ป่วยเบาหวานเตรียมตัวผ่าตัดหรือทำหัตถการ เมื่อมีการงดน้ำงดอาหารควรปรึกษาแพทย์ เพื่อปรับยารับประทานบางตัวและยาฉีดอินซูลิน เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ DKA และภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำขณะหรือหลังการทำหัตถการ

dka-diabetic-ketoacidosis-3.jpg

การรักษาภาวะ DKA


ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลซึ่งมักเป็นหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) การรักษา ได้แก่


  • ให้สารน้ำทดแทนทางหลอดเลือด
  • ให้ฮอร์โมนอินซูลินเพื่อแก้ภาวะอินซูลินไม่เพียงพอ
  • ให้เกลือแร่ที่จำเป็น และติดตามระดับอย่างใกล้ชิด
  • รักษาภาวะเจ็บป่วยที่เกิดร่วมด้วย เช่นยาปฏิชีวนะกรณีมีภาวะติดเชื้อ หรือรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น

ในการรักษาอาจพบภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะเกลือแร่โปแตสเซียมต่ำ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำภาวะน้ำเกิน น้ำท่วมปอด ซึ่งมักเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รักษาได้ และเมื่อผู้ป่วยตอบสนองต่อการรักษา อาการจะดีขึ้นใน 12-24 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลในเลือด และความเป็นกรดด่างกลับสู่สภาวะปกติ แต่ในบางครั้งก็อาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ป่วยหายจากภาวะ DKA แพทย์จะวางแผนการรักษา ปรับยาและพฤติกรรม เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะ DKA อีกในอนาคต


สรุป


Diabetic ketoacidosis (DKA) เป็นภาวะน้ำตาลในเลือดสูงร่วมกับเลือดเป็นกรดจากสารคีโตน มักพบในผู้ป่วยเบาหวานที่ฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ และมีภาวะเครียดของร่างกาย โดยหากมีอาการแนะนำให้รีบพาผู้ป่วยเข้ารักษาในโรงพยาบาล ดังนั้นผู้ป่วยและคนใกล้ชิดควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะ DKA การปฏิบัติตัวยามเจ็บป่วย และสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)


เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. ณัฐกานต์  มยุระสาคร

พญ. ณัฐกานต์ มยุระสาคร

ศูนย์เบาหวานและเมตาบอลิก

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital