บทความสุขภาพ
Knowledge
พญ. จิตรฟ้า หรูรุ่งโรจน์
ในปัจจุบัน นักท่องเที่ยวไทยนิยมการท่องเที่ยวในที่สูงมากขึ้น เช่น การไปเดินเขา หรือ trekking ตามยอดเขาสูงต่าง ๆ เช่น เอเวอร์เรสในประเทศเนปาล คิลิมันจาโรในประเทศแทนซาเนีย การไปเที่ยวเมืองเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย เมืองคุซโก้ มาชูปิกชู แหล่งอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ประเทศเปรู เป็นต้น
สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวหญิงไทย 2 รายที่ไป trekking ที่เทือกเขาอันนะปุรณะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย ประเทศเนปาล แม้ขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัด แต่การไป trekking ในที่สูงในสภาพอากาศหนาวอุณหภูมิติดลบเช่นในกรณีนี้ อาจเกิดอันตรายแก่ร่างกายจนนำไปสู่การเสียชีวิตได้ซึ่งสาเหตุที่เป็นไปได้ อาจเป็นจากภาวะแพ้ที่สูง หรือ High-altitude illness หรือจากสภาวะอากาศที่หนาวจัดจนเกิดภาวะ อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ หรือ Hypothermia
ในบทความนี้จะพูดถึง ภาวะแพ้ที่สูง และ การบาดเจ็บจากความเย็น ได้แก่ ภาวะ hypothermia ซึ่งเป็นสองภาวะที่เป็นสาเหตุการเจ็บป่วยที่สำคัญและนำไปสู่การเสียชีวิตสำหรับผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวในที่สูง นอกจากนี้ ยังขอกล่าวถึงการบาดเจ็บจากหิมะกัด (Frostbite) ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเดินทางไปที่สูงในสภาวะที่อุณหภูมิหนาวจัดควรทราบ ผู้ที่จะเดินทางขึ้นที่สูงควรมีความรู้ ทราบถึงอาการ การป้องกัน และการรักษาเบื้องต้น เพื่อป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยถึงขั้นเสียชีวิต
คือภาวะที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะที่มีออกซิเจนต่ำได้ ทำให้เกิดอาการจากการขาดออกซิเจน อาการมีตั้งแต่อาการเล็กน้อย ได้แก่ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร (Acute mountain sickness หรือ AMS) จนกระทั่งอาการรุนแรง ได้แก่ อาการสมองบวม ( High altitude cerebral edema หรือ HACE) ซึ่งจะมีอาการสับสน เดินเซ ซึม หรือ อาการปอดบวม ( High altitude pulmonary edema หรือ HAPE) ซึ่งจะมีอาการ เหนื่อย ไอเสมหะสีชมพู อาการรุนแรงเหล่านี้นำไปสู่การเสียชีวิตได้ภายในเวลา 24 ชม.
อาการแพ้ที่สูงจะเกิดได้ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 2500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ยิ่งสูงมากความดันออกซิเจนในบรรยากาศยิ่งลดลง เช่น
ดังนั้น ยิ่งอยู่ที่สูงมาก โอกาสเกิดอาการยิ่งมากขึ้นและรุนแรง หากร่างกายปรับตัวไม่ทัน
เมื่อเราอยู่ในที่สูงซึ่งความดันของออกซิเจนในบรรยากาศน้อย ร่างกายจะปรับตัวเพื่อให้ออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากขึ้น เช่น อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น ชีพจรเต้นเร็วขึ้น หัวใจบีบตัวแรงขึ้น ไตขับด่างออกจากปัสสาวะมากขึ้นเพื่อรักษาสมดุลในร่างกาย ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ใช้เวลา 3-5 วัน กว่าที่ร่างกายจะปรับตัวได้ ดังนั้นหากร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวในภาวะออกซิเจนต่ำได้ ก็จะเกิดอาการต่างๆ ซึ่งเป็นอาการแพ้ที่สูง
ภาวะแพ้ที่สูงนั้นเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย ไม่ขึ้นกับอายุและความฟิตของร่างกาย กล่าวคือ คนที่มีความฟิตร่างกายเยอะเช่นนักกีฬาก็อาจจะมีโอกาสเกิดอาการแพ้ที่สูงได้ไม่ต่างกับคนที่มีความฟิตน้อย ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวได้เร็วหรือช้าของแต่ละคนอาจเนื่องมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม สิ่งที่หนึ่งที่จะช่วยพยากรณ์ได้ว่าใครจะมีโอกาสเกิดอาการแพ้ที่สูงได้หรือไม่อาจดูจากประวัติแพ้ที่สูงในการเดินทางก่อนหน้านี้ หากมีประวัติแพ้ที่สูงมาก่อน การเดินทางขึ้นที่สูงครั้งต่อไปในระดับความสูงเดียวกันก็อาจเกิดขึ้นได้อีก
ได้แก่อาการปวดศีรษะร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาการจะเกิดขึ้นภายใน 2-12 ชม.หลังจากขึ้นที่สูง โดยมักจะมีอาการตอนกลางคืนของวันแรกและอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นเองหลัง 48 ชม.ไปแล้ว
กรณีที่ต้องขึ้นที่สูงในระยะเวลาอันสั้น เช่นขึ้นที่สูงเกิน 3000 เมตร โดยไม่มีเวลาในการปรับตัว อาจรับประทานยาป้องกันที่สูง โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อน ถึงข้อบ่งชี้ การรับประทานยา และผลข้างเคียง ได้แก่
สิ่งสำคัญของการเตรียมตัวเพื่อป้องกันภาวะแพ้ที่สูงอาจไม่ใช่เพื่อป้องกันอาการเล็กน้อย (Acute mountain sickness) เนื่องจากมีโอกาสเกิดขึ้นได้แม้มีการเตรียมตัวอย่างดีแล้ว แต่เป็นการป้องกันอาการรุนแรงและการเสียชีวิตจากภาวะแพ้ที่สูง จึงควรต้องมีความรู้และการเตรียมตัวที่ดีก่อนการเดินทาง
คือสภาวะที่อุณหภูมิร่างกายลดต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส ซึ่งจะนำไปสู่การลดลงของระดับความรู้สึกตัว โคม่าและเสียชีวิตได้
เกิดจากการที่ร่างกายอยู่ในที่ที่อุณหภูมิต่ำเป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องอยู่ในอุณหภูมิติดลบก็ก่อให้เกิดภาวะนี้ได้ เช่นการแช่อยู่ในน้ำอุณหภูมิประมาณ 20 องศาเซลเซียสเป็นเวลานาน หรือปัจจัยอื่นร่วมด้วยเช่น ลม ความชื้นเช่นการสวมใส่เสื้อผ้าที่เปียก แม้ในอากาศที่อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส ก็ทำให้เกิด hypothermia ได้
อาการ
มีได้ตั้งแต่อาการเล็กน้อย คือ อุณหภูมิร่างกาย 35-32 องศาเซลเซียส จะมีอาการหนาวสั่น สับสน พูดไม่ชัด จนกระทั่งอาการรุนแรงคืออุณหภูมิต่ำว่า 32 องศาเซลเซียส ซึ่งระบบการควบคุมอุณภูมิของร่างกายจะเสียไป ไม่มีอาการสั่น ไม่รู้สึกตัว หัวใจเต้นช้า หรืออาจหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรงจนกระทั่งหัวใจหยุดเต้น
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
เนื่องจากเป็นภาวะฉุกเฉิน ควรรีบนำผู้ป่วยไปรักษาในสถานพยาบาลใกล้เคียงโดยเร็วที่สุด ระหว่างรอการนำส่งรพ.ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นดังนี้
เกิดจากการที่เนื้อเยื่อร่างกายสัมผัสกับอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส จนทำให้เกิดเป็นผลึกน้ำแข็งในเซลล์ เกิดการทำลายเซลล์ ส่งผลทำให้เนื้อเยื่อบาดเจ็บ ถูกทำลาย นำไปสู่เนื้อเยื่อตาย ซึ่งอาจต้องผ่าตัดอวัยวะส่วนที่บาดเจ็บทิ้ง นำไปสู่การสูญเสียอวัยวะถาวร
บริเวณที่เกิดหิมะกัดจะเป็นบริเวณอวัยวะส่วนปลายที่เลือดไปเลี้ยงน้อย เช่น ปลายมือ ปลาเท้า จมูก ใบหู แก้ม คาง
ความรุนแรงของอาการหิมะกัดแบ่งออกเป็น 3 ระดับตามความลึกของชั้นผิวหนังและเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ
ปัจจัยที่มีผลต่อ Frostbite
ได้แก่ สภาพอากาศ อุณหภูมิ กระแสลม ระยะเวลาที่สัมผัสอากาศหนาว ไม่ได้อยู่ในที่กำบัง การอยู่ที่สูง การสัมผัสความชื้น การดื่มแอลกอฮอล์ อายุเยอะ ภาวะขาดสารอาหาร โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ต่ำ เส้นเลือดส่วนปลายตีบ เป็นต้น
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ดังนั้นผู้ที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวในที่สูง ควรมีการเตรียมตัวก่อนการเดินทางที่ดี มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคหรือสภาวะต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเดินทางขึ้นที่สูง ไม่ฝืนเดินทางต่อหากมีอาการผิดปกติที่อาจนำไปสู่อาการรุนแรง ซื้อประกันการเดินทางที่ครอบคลุมการอพยพทางอากาศ สุดท้ายนี้การปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์เวชศาสตร์การเดินทางก็อาจช่วยให้นักเดินทางมีความรู้เกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนเดินทาง โรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นขณะเดินทาง การใช้ยาป้องกันต่าง ๆ และการรักษาเบื้องต้น เพื่อให้การเดินทางเป็นไปด้วยความราบรื่น และเกิดความเจ็บป่วยน้อยที่สุด
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)
เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ
แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (0)
ดูทั้งหมด
บทความที่เกี่ยวข้อง (10)
ดูทั้งหมด
Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital