บทความสุขภาพ
Knowledge
นพ. สมชัย ลีลาศิริวงศ์, พญ. รวีรัตน์ สิชฌรังษี
โดย นพ. สมชัย ลีลาศิริวงศ์ และ รศ.พญ.รวีรัตน์ สิชฌรังษี
คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนโควิด 19 ในช่วงนี้ ค่อนข้างสร้างความสับสนให้กับประชาชนพอสมควร เราจึงได้รวบรวมข้อมูลและรายละเอียดที่สำคัญ เช่น เราควรรีบไปรับการฉีดหรือไม่ มีโรคประจำตัวฉีดได้ไหม ในประเทศไทยมีตัวไหนให้เลือกบ้าง และมีความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงอะไรที่ควรทราบ เพื่อให้ทุกคนสามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม ภายใต้ข้อมูลที่ชัดเจนและเพียงพอ
หากพูดถึงภาพรวมของประสิทธิภาพในการป้องกันโรคแล้ว จะแบ่งเป็น 2 รูปแบบคือ ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด 19 ที่ไม่มีอาการ และ ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด 19 ที่มีอาการ
ตามข่าวที่รายงานถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่เรามักเห็นกันส่วนใหญ่แล้ว เช่น วัคซีนของ Pfizer มีประสิทธิภาพโดยรวมร้อยละ 95 เป็นต้น กรณีนี้จะหมายถึงประสิทธิภาพของการป้องกันโรคที่มีอาการ ในขณะที่การศึกษาประสิทธิภาพการป้องกันโรคแบบไม่มีอาการนั้นยังบอกได้เพียงแนวโน้ม และส่วนมากยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด
จึงสรุปได้ว่า ในปัจจุบัน วัคซีนยังไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% ผู้เข้ารับการฉีดจึงยังอาจมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้อยู่ เพียงแต่วัคซีนสามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ลดโอกาสที่จะต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และลดการเสียชีวิตได้
วัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคโควิด 19 ทั้งหมดในปัจจุบัน มีอยู่ 4 ชนิดหลัก ๆ โดยแบ่งจากเทคนิคที่ใช้ในการผลิตวัคซีนโควิด 19 ได้แก่
บริษัทหรือวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติและใช้กันแล้วในหลายประเทศ ได้แก่ Pfizer-BioNTech, Moderna, Gamaleya (Sputnik V), AstraZeneca, Sinovac, และ Sinopharm เป็นต้น โดยมีทั้งชนิดที่ได้รับอนุมัติทะเบียนอย่างสมบูรณ์และชนิดที่ได้รับอนุมัติให้ใช้กรณีฉุกเฉิน
ตารางแสดงข้อมูลของวัคซีนโควิด 19 แต่ละบริษัท (อัปเดตล่าสุด 10 พฤษภาคม 2564)
มีรายงานพบผู้ฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่เกิดผลข้างเคียงรุนแรงขึ้นบ้าง ได้แก่
แม้จะพบว่าวัคซีนโควิด 19 หลายตัวอาจพบกรณีที่เกิดอาการข้างเคียงรุนแรง แต่ก็ยังถือว่าน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบกับจำนวนผู้เข้ารับการฉีดทั้งหมด และแม้ว่าจะมีรายงานเรื่องการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน แต่หลายหน่วยงานด้านสาธารณสุขระดับโลก ยังคงสนับสนุนให้เดินหน้าฉีดวัคซีนดังกล่าวอยู่ เพราะเมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว การให้ฉีดวัคซีนจะมีประโยชน์มากกว่าการระงับใช้ไปเลย
การฉีดวัคซีนโควิด 19 พบว่ามีอาการข้างเคียงที่พบได้บ่อย ได้แก่
กรณีของวัคซีนโควิด 19 ประเภท mRNA พบว่า เข็มที่ 2 มีแนวโน้มอาการข้างเคียงรุนแรงมากกว่าเข็มแรก แตกต่างจากวัคซีนประเภท viral vector ที่เข็มที่สองมักจะมีแนวโน้มรุนแรงน้อยกว่าเข็มแรก
ในประเทศไทยโดยภาพรวมแล้ว พบอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีนบ้าง เช่น ก่อนหน้านี้มีรายงานผู้เข้ารับการฉีดวัคซีน Sinovac แล้วมีอาการคล้ายอัมพฤกษ์ มีอาการชาหรืออ่อนแรงครึ่งตัว ซึ่งอาจเป็นความผิดปกติทางระบบประสาทแบบชั่วคราว อาจเกิดจากร่างกายไม่พร้อม อ่อนเพลีย หรือกลัว
แต่พบผู้มีอาการไม่พึงประสงค์ในสัดส่วนที่น้อยมาก และเป็นผลข้างเคียงชนิดที่ไม่รุนแรง โดยส่วนมากสามารถหายได้เองหลังฉีดวัคซีนประมาณ 1 – 3 วัน หรือไม่เกิน 1 สัปดาห์
และจากข้อมูลล่าสุด หลาย ๆ ประเทศทั่วโลก มีการรายงานอาการข้างเคียงหลังจากฉีดวัคซีนโควิด 19 (รวมทุกชนิดทั้งชนิด mRNA, Viral vector และชนิดเชื้อตายแล้ว) พบว่าผู้เข้ารับวัคซีนบางรายเกิดตุ่มน้ำใส แสบ คัน ปวดแสบปวดร้อน โดยขึ้นตามบริเวณร่างกายคล้ายจะเป็นงูสวัส
เบื้องต้นนักวิชาการตั้งสมมติฐานว่าอาจเกิดจากวัคซีนทำปฏิกิริยากับระบบภูมิคุ้มกันแล้วกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคงูสวัสขึ้น ซึ่งในประเทศไทยนั้น อยู่ในขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลของอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นนี้
มีข้อแนะนำว่า ห้ามรับการฉีดเข็มที่ 2 ต่อ หากมีอาการแพ้วัคซีนโควิด 19 ทันทีหลังได้รับการฉีด ดังนี้
สำหรับเกณฑ์ในการพิจารณารับวัคซีนสำหรับประเทศไทยนั้น จะเน้นพิจารณารับวัคซีนที่ผ่านการขึ้นทะเบียนและได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อย่างถูกต้อง รวมถึงมีการอนุมัติใช้แล้วในหลากหลายประเทศและได้รับการรับรองจากองค์กรอนามัยโลกแล้ว
สำหรับวัคซีนโควิด 19 ที่จะนำมาใช้ในประเทศไทย (อัปเดตล่าสุด 21 เมษายน 2564) ได้แก่ วัคซีนโควิด 19 แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) และ วัคซีนโควิด 19 ซิโนแวค (Sinovac)
ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเร่งติดต่อบริษัทผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นเพิ่มเติม และกำลังอยู่ในช่วงการเจรจา ซึ่งเมื่อไรที่เราสามารถสั่งซื้อวัคซีนเข้ามาได้หลากหลายยี่ห้อมากขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการรับการฉีดวัคซีนให้กับเรามากขึ้น
ปัจจุบัน เรายังไม่ทราบประสิทธิภาพในการยับยั้งการติดไวรัส ทุกคนที่เข้ารับการฉีดวัคซีน ยังมีโอกาสติดเชื้อได้จากหลายปัจจัย เช่น การกลายพันธุ์ของไวรัส หรือบางคนอาจจะยังไม่ทันที่วัคซีนจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายได้ก็มาสัมผัสเชื้อเสียก่อน ก็มีโอกาสติดเหมือนกัน
แต่เบื้องต้น การศึกษาของสถาบันวิจัยด้านภูมิคุ้มกันวิทยา ลา จอลลา (La Jolla Institute for Immunology) พบว่าวัคซีนสามารถช่วยป้องกันโรคได้อีกอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน นอกจากนี้ ยังไม่ทราบว่าเกิดภูมิคุ้มกันได้อีกนานถึงเมื่อไร แต่ก็มีข้อแนะนำให้ฉีดวัคซีนให้ครบทั้ง 2 เข็ม (หรือตามโดสที่แนะนำ) เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย
เนื่องจากวัคซีนในไทยตอนนี้ยังมีปริมาณไม่เพียงพอ จึงต้องมีการจัดลำดับความสำคัญว่ากลุ่มใดควรได้รับการฉีดวัคซีนก่อน เมื่อพิจารณาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมา มีข้อมูลสำคัญที่น่าสนใจ คือ
ประกอบกับจุดประสงค์หลักที่ต้องการลดความรุนแรงของอาการ ลดอัตราการเข้าโรงพยาบาลในกลุ่มเสี่ยง และลดอัตราการเสียชีวิต ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายที่มีสิทธิได้รับวัคซีนก่อน ตามมติอนุคณะกรรมการอำนวยการการใช้วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จึงได้แก่
ทั้งนี้ หากวัคซีนมีปริมาณมากขึ้นแล้ว จะพิจารณาฉีดให้กับประชาชนทั่วไป
คุณผู้หญิงหลายท่านที่กำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมลูก น่าจะกังวลใจไม่น้อย ว่าตัวเองและลูกอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด 19 แต่ครั้นจะไปรับวัคซีน ก็ไม่แน่ใจอีกว่าจะมีผลกระทบอะไรกับลูกน้อยหรือไม่
หากพบว่าตัวเองเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือมีโอกาสไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงติดเชื้อ แนะนำให้ปรึกษาสูตินารีแพทย์ที่ดูแลก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 โดยมีเกณฑ์ว่าต้องเป็นคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ จะมีประโยชน์มากกว่า และควรฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตายเพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง แนะนำว่ายังไม่จำเป็นต้องไปฉีดวัคซีนโควิด 19 และควรมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินระหว่างความรุนแรงที่เกิดขึ้นหากติดเชื้อ กับอาการข้างเคียงของการฉีดวัคซีนก่อนตัดสินใจ
เด็ก: สำหรับเด็ก ยังไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีน เนื่องจากวัคซีนในปัจจุบันได้รับรองให้ใช้ในผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น ยกเว้นวัคซีนของ Pfizer-BioNTech ที่รองรับให้ใช้ในผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป (ข้อมูลอัปเดตวันที่ 10 พฤษภาคม 2564) อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาพบว่าผู้ติดเชื้อโควิดที่เป็นเด็ก มักจะมีอาการไม่รุนแรง
ทั้งนี้มีข้อแนะนำว่า ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัว เพื่อให้แพทย์พิจารณาให้ฉีดวัคซีนเป็นรายบุคคลตามความจำเป็นเร่งด่วนและความเหมาะสม
หลังจากที่เราทำความรู้จักกับวัคซีนแต่ละชนิด รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ ครบถ้วนแล้ว หากพิจารณาว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มที่ควรรีบเข้ารับการฉีด ก็สามารถลงทะเบียนเพื่อรอรับการฉีดวัคซีนได้เลย
สามารถลงทะเบียนผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้
เริ่มลงทะเบียน 1 พฤษภาคม 2564 สำหรับ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง*
*โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง, โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคไตวายเรื้อรัง, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคมะเร็ง, โรคเบาหวาน และโรคอ้วน
เริ่มลงทะเบียน 1 กรกฎาคม 2564 สำหรับ ประชาชนทั่วไป อายุ 18-59 ปี
“หมอพร้อม” เป็นระบบที่มีการเชื่อมต่อโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่รับฉีดวัคซีนโควิด 19 กว่า 1,500 แห่ง ซึ่งสามารถแสดงผลได้แบบ real-time นอกจากนี้ ยังมีระบบจำแนกประชาชนโดยแบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามความเสี่ยง เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการรับวัคซีนของประชาชนทั่วประเทศ
หากเป็นกลุ่มเป้าหมายการรับวัคซีนกลุ่มแรก ระบบของเราก็จะถูกบันทึกไว้ในระบบหมอพร้อมอยู่แล้ว สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ เราสามารถเข้าไปเลือกโรงพยาบาลที่ต้องการฉีดวัคซีนได้เลย ซึ่งหมอพร้อมจะมีระบบนัดหมายและแจ้งเตือนให้เข้ารับการฉีด โดยเฉพาะการแจ้งเตือนในกรณีที่ต้องฉีด 2 ครั้ง
วิธีการลงทะเบียนหมอพร้อม
อัปเดตข้อมูล วันที่ 6 พฤษภาคม 2564
หากมีประวัติแพ้รุนแรงต่อส่วนประกอบของวัคซีน หรือมีอาการแพ้รุนแรงหลังฉีดวัคซีนเข็มแรก ห้ามเข้ารับการฉีดวัคซีน และควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
ศึกษาการเตรียมตัวฉีดวัคซีนโควิด 19 เพิ่มเติม > คลิก
รอ 30 นาทีหลังฉีด อย่าพึ่งไปไหน: เนื่องจากการแพ้รุนแรงเกือบทุกกรณี มักเกิดขึ้นภายใน 15-30 นาทีหลังจากได้รับวัคซีน จึงมีข้อปฏิบัติว่า จะต้องนั่งรอภายในสถานที่ฉีด ประมาณ 30 นาที หลังการเข้ารับวัคซีน
แม้ได้รับวัคซีนแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตัวเช่นเดิม: ผู้ได้รับวัคซีนแล้ว ควรปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันตัวเองจากโควิด 19 ไม่ต่างจากบุคคลทั่วไป ได้แก่ การล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ การรักษาระยะห่าง การสวมใส่หน้ากากอนามัย และไม่ไปยังพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพื่อลดโอกาสติดเชื้อให้ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด
เข้ารับการฉีดให้ครบตามโดสที่แนะนำ เคยฉีดยี่ห้อไหน ให้ฉีดยี่ห้อนั้น: เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาผลข้างเคียงหรือประสิทธิภาพของการรับวัคซีนต่างชนิดกัน และมีข้อแนะนำให้ฉีดให้ครบถ้วนตามโดสที่กำหนดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันโรค
หากพิจารณาจากสถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิด 19 ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า ข้อมูลประสิทธิภาพและผลข้างเคียงต่าง ๆ ของการฉีดวัคซีนอาจจะยังไม่แน่ชัดหรือสรุปไม่ได้ 100% แต่หน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลก ก็ยังแนะนำให้เข้ารับการฉีด เนื่องจากเปรียบเทียบประโยชน์ที่จะได้รับแล้วสูงกว่า
สำหรับบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง สมควรรีบเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยทันที เพื่อลดโอกาสที่จะติดเชื้อแล้วมีอาการรุนแรง ลดโอกาสการเสียชีวิต และลดโอกาสที่จะต้องเข้าไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล
แต่สำหรับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ (หรือวางแผนจะตั้งครรภ์) ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่กินยากดภูมิคุ้มกันขนาดสูง และผู้ที่กินยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาเพื่อซื้อวัคซีนของบริษัทอื่น ๆ นอกเหนือจาก Sinovac และ AstraZeneca ซึ่งจะทำให้เรามีทางเลือกในการฉีดวัคซีนหลากหลายมากขึ้นในอนาคต ซึ่งก็เป็นความหวังถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดที่จะดีขึ้นในไม่ช้า ขอให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด สุดท้ายนี้ทางโรงพยาบาลพระราม 9 ขอให้กำลังใจทุกท่านให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้อย่างราบรื่นด้วยดี
เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ
แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (0)
ดูทั้งหมด
บทความที่เกี่ยวข้อง (10)
ดูทั้งหมด
Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital