บทความสุขภาพ

Knowledge

วัคซีนมะเร็งปากมดลูก” ฉีดตรงไหน ฉีดกี่เข็ม ตอนไหนบ้าง?

พญ. จิตรฟ้า หรูรุ่งโรจน์

มะเร็งปากมดลูกเป็นภัยร้ายที่คุกคามชีวิตผู้หญิงทั่วโลก โดยมีสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสทางเพศสัมพันธ์ มะเร็งชนิดนี้มักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่จะแสดงอาการเมื่อโรคอยู่ในระยะลุกลามแล้ว ซึ่งทำให้การรักษายากขึ้นและมีโอกาสเสียชีวิตสูงขึ้น ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจึงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของโรคนี้


แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “วัคซีนมะเร็งปากมดลูกต้องฉีดกี่เข็ม” และฉีดอย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงอันตรายของมะเร็งปากมดลูกและความสำคัญของการฉีดวัคซีน เพื่อให้คุณมีข้อมูลสำหรับการดูแลตัวเองและคนที่คุณรักได้อย่างถูกต้องเพื่อให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง


มะเร็งปากมดลูกคืออะไร?


มะเร็งปากมดลูก (Cervical Cancer) เป็นโรคที่เกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ที่ปากมดลูก (Cervix) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบสืบพันธุ์สตรี โดยเซลล์ที่ปากมดลูกนี้อาจกลายเป็นเนื้องอกที่เป็นมะเร็งได้ สาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human Papillomavirus หรือ HPV) ซึ่งเป็นไวรัสที่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์


เชื้อไวรัส HPV มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ แต่มีเพียงบางสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก เช่น สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งพบว่าประมาณ 70% ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกทั่วโลกเกิดจากสายพันธุ์เหล่านี้ นอกจากทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูกแล้ว การติดเชื้อ HPV ยังทำให้เป็นหูดหงอนไก่ (Genital Warts) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย


ทำไมต้องฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก?


การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (วัคซีน HPV) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อ HPV โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อให้เกิดมะเร็ง การฉีดวัคซีนนี้จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัส HPV ทำให้ร่างกายสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ก่อนที่เชื้อจะมีโอกาสก่อให้เกิดโรค


นอกจากการป้องกันมะเร็งปากมดลูกแล้ว วัคซีน HPV ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ HPV เช่น มะเร็งอวัยวะเพศภายนอก (Vulvar Cancer) มะเร็งช่องคลอด (Vaginal Cancer) มะเร็งทวารหนัก (Anal Cancer) และมะเร็งศีรษะและลำคอ (Oropharyngeal Cancer) ด้วย


วัคซีนมะเร็งปากมดลูกมีแบบไหนบ้าง?


วัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์ (Bivalent Vaccine)


  • วัคซีนชนิดนี้พัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันไวรัส HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกมากที่สุด การฉีดวัคซีนชนิดนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ โดยวัคซีนนี้เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ต้องการป้องกันมะเร็งปากมดลูกโดยเฉพาะ

วัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent Vaccine)


  • วัคซีนชนิดนี้สามารถป้องกันไวรัส HPV สายพันธุ์ 6 สายพันธุ์ 11 สายพันธุ์ 16 และสายพันธุ์ 18 นอกจากการป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่เกิดจากสายพันธุ์ 16 และ 18 แล้ว วัคซีนชนิดนี้ยังสามารถป้องกันการเกิดหูดหงอนไก่ ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากไวรัส HPV สายพันธุ์ 6 และ 11 ได้ด้วย

วัคซีนชนิด 9 สายพันธุ์ (Nonavalent Vaccine)


  • วัคซีนชนิดนี้เป็นวัคซีนที่พัฒนาขึ้นล่าสุด โดยสามารถป้องกันไวรัส HPV ได้ถึง 9 สายพันธุ์ คือสายพันธุ์ 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52, และ 58 ซึ่งนอกจากการป้องกันหูดหงอนไก่และมะเร็งปากมดลูกได้แล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งชนิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ HPV ได้มากยิ่งขึ้น

วัคซีนมะเร็งปากมดลูกต้องฉีดตรงไหน?


การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจะต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular Injection) โดยส่วนมากจะฉีดที่กล้ามเนื้อบริเวณต้นแขน (กล้ามเนื้อเดลทอยด์) ซึ่งเป็นจุดที่สะดวกและมีการดูดซึมวัคซีนได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถฉีดที่กล้ามเนื้อบริเวณสะโพกได้เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่มักจะฉีดที่ต้นแขนมากกว่าเนื่องจากสะดวกกว่าในทางปฏิบัติ


การฉีดวัคซีนควรทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดของวัคซีน นอกจากนี้ ควรจะฉีดวัคซีนในแต่ละเข็มตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ได้รับการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

AW_PR9_C01_11Mar2025-1.jpg

วัคซีนมะเร็งปากมดลูกต้องฉีดกี่เข็ม? และฉีดตอนไหนบ้าง?


จำนวนเข็มของวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจะแตกต่างกันไปตามอายุและสุขภาพของผู้ที่รับวัคซีน โดยมีรายละเอียดดังนี้


  1. อายุ 9-14 ปี: ในช่วงอายุนี้ ผู้รับวัคซีนจะต้องฉีดวัคซีนทั้งหมด 2 เข็ม โดยเข็มแรกจะฉีดตามวันที่กำหนด และเข็มที่สองจะฉีดหลังจากเข็มแรก 6 เดือน (หรือไม่เกิน 12 เดือน) การที่ฉีดเพียง 2 เข็มในช่วงอายุนี้เป็นเพราะเป็นช่วงอายุที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี
  2. อายุ 15 ปีขึ้นไป: สำหรับผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จำเป็นต้องฉีดวัคซีนทั้งหมด 3 เข็ม โดยเข็มที่สองจะฉีดหลังจากเข็มแรก 1-2 เดือน และเข็มสามจะต้องฉีดห่างจากเข็มที่หนึ่ง 6 เดือน การฉีด 3 เข็มในกรณีนี้เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพสูงสุด
  3. กรณีพิเศษ: หากผู้รับวัคซีนมีโรคประจำตัวที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเอชไอวี (HIV) หรือโรคอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำนวนและระยะเวลาการฉีดวัคซีน

ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกอย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด


เพื่อให้วัคซีนมีประสิทธิภาพดีที่สุด มีข้อพิจารณาและข้อควรปฏิบัติ ดังนี้


  1. ฉีดวัคซีนในช่วงอายุที่เหมาะสม การฉีดวัคซีนในช่วงอายุที่เหมาะสมมีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพของวัคซีน โดยแนะนำให้ฉีดวัคซีนในช่วงอายุ 9-14 ปี ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะเริ่มมีเพศสัมพันธ์ การฉีดวัคซีนในช่วงนี้จะช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัส HPV ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนในช่วงอายุนี้ให้ผลดีมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการฉีดวัคซีนในช่วงอายุที่มากขึ้น
  2. รับวัคซีนครบทุกเข็มตามกำหนด เพื่อให้วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันสูงสุด ผู้รับวัคซีนควรได้รับการฉีดวัคซีนครบตามจำนวนเข็มและเวลาที่กำหนด หากมีการขาดหรือล่าช้าในการฉีดวัคซีนเข็มใด อาจส่งผลต่อการสร้างภูมิคุ้มกันและลดประสิทธิภาพของวัคซีน การปฏิบัติตามตารางการฉีดวัคซีนที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัดจึงมีความสำคัญ
  3. หลีกเลี่ยงการติดเชื้อ HPV ก่อนการฉีดวัคซีน การฉีดวัคซีน HPV จะให้ผลดีที่สุดเมื่อได้รับวัคซีนก่อนที่จะมีการติดเชื้อ HPV ดังนั้น การฉีดวัคซีนในช่วงที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์หรือมีเพศสัมพันธ์เป็นครั้งแรกจะเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันได้อย่างมาก แม้ว่าวัคซีนจะยังคงมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว แต่ความสามารถในการป้องกันอาจลดลงหากมีการติดเชื้อ HPV บางสายพันธุ์ไปแล้ว
  4. ปฏิบัติตามคำแนะนำหลังการฉีดวัคซีน หลังการฉีดวัคซีน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น การสังเกตอาการแพ้หรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และการเข้ารับการฉีดวัคซีนตามนัดหมายต่อไปอย่างครบถ้วน เพื่อให้ผู้รับวัคซีนจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการฉีดวัคซีน
  5. ตรวจสุขภาพและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าการฉีดวัคซีนจะเป็นวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังคงมีความสำคัญที่จะต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป การตรวจคัดกรองนี้จะช่วยในการตรวจหาความผิดปกติของเซลล์ที่ปากมดลูกในระยะเริ่มแรก ซึ่งสามารถรักษาได้ก่อนที่จะพัฒนาเป็นมะเร็ง
  6. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันการติดเชื้อ HPV เช่น การใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ การมีคู่ครองเพียงคนเดียว และการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ซึ่งการสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งปากมดลูก
  7. รักษาสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง การมีสุขภาพที่แข็งแรงจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดี ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของวัคซีน การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับเพียงพอ ล้วนเป็นปัจจัยที่จะช่วยทำให้มีสุขภาพดีและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวัคซีน

การป้องกันมะเร็งปากมดลูกเพิ่มเติม


การฉีดวัคซีนไม่ได้เป็นการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกทั้งหมด ดังนั้นยังคงต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อการตรวจคัดกรองและหากพบความผิดปกติจะได้รับรักษาตั้งแต่ในระยะเริ่มแรก เพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด


สรุป


การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง และคำถามที่หลายคนสงสัยว่า “วัคซีนมะเร็งปากมดลูก ฉีดกี่เข็ม” คำตอบคือวัคซีนนี้มักต้องฉีด 2-3 เข็ม ขึ้นอยู่กับอายุและประเภทของวัคซีน การฉีดให้ครบตามจำนวนที่กำหนดและในช่วงเวลาที่เหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การฉีดวัคซีนเป็นขั้นตอนที่ง่ายแต่มีความสำคัญในการดูแลสุขภาพของคุณผู้หญิงให้แข็งแรงและปลอดภัยจากโรคร้าย


เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. จิตรฟ้า หรูรุ่งโรจน์

พญ. จิตรฟ้า หรูรุ่งโรจน์

ศูนย์ตรวจสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital