บทความสุขภาพ
Knowledge
นพ. สุทัศน์ คันติโต
หลายคนมักจะเคยเป็นหรือเห็นใครมีอาการหน้ามืด วูบ หมดสติ ซึ่งมีได้หลายสาเหตุ อาจเกิดขึ้นในช่วงที่ร่างกายอ่อนเพลีย พักผ่อนน้อย ยืนตากแดดนาน ๆ หรือมีการสูญเสียน้ำหรือเกลือแร่ในร่างกาย เช่น เสียเหงื่อมาก หรือท้องเสียรุนแรง บางคนอาจมีอาการหลังใช้ยาลดความดัน ยาที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ก็สามารถนำไปสู่อาการหน้ามืด หมดสติได้
แต่อาการที่ดูเหมือนจะพบเจอได้ทั่วไปนั้น อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่น โรคหัวใจ หรือ โรคทางสมอง เราจึงควรระวัง และทำความเข้าใจอาการเหล่านี้ให้ดี จะได้ทราบแนวทางป้องกัน และเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้
วูบ หน้ามืด คือ ภาวะหมดสติหรือเกือบหมดสติ ที่อาจเกิดขึ้นชั่วคราวหรือเป็นเวลานานก็ได้ ในทางการแพทย์จะเรียกว่า อาการลมวูบหมดสติ (Syncope) ผู้ป่วยจะรู้สึกหน้ามืด จะเป็นลม ตาลาย มองไม่เห็นภาพชัดเจน
มักมีสาเหตุเกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ บางรายมีสาเหตุมาจากอาการชัก หรือระบบหูชั้นในมีปัญหา ทำให้เสียการทรงตัวหรือวิงเวียน อาการเหล่านี้ หากไม่ระวัง ผู้ป่วยอาจล้มลงศีรษะกระแทกพื้นได้รับบาดเจ็บได้
ส่วนภาวะหมดสติ (Unconsciousness) คือ ภาวะที่ร่างกายไม่รู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่รับรู้ต่อสภาพแวดล้อม ไม่มีตอบสนองต่อการกระตุ้นใด ๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว ภาวะหมดสติ มักมาจากสาเหตุที่ร้ายแรง จึงควรนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
เป็นอาการ หน้ามืด วูบ หมดสติ ที่พบได้บ่อยที่สุด มาจากหลายสาเหตุ ได้แก่
มีลักษณะอาการที่ดูคล้ายคลึงกันกับประเภทแรก แต่มาจากสาเหตุที่อันตรายกว่า ซึ่งควรรีบพาส่งโรงพยาบาล ได้แก่
** เช็กให้ชัวร์ว่ามีปัญหาหัวใจหรือไม่ ? >> แนะนำแพ็กเกจตรวจสุขภาพหัวใจ
หากดูเพียงผิวเผิน อาการเป็นลมธรรมดา กับอาการเป็นลมที่มาจากสาเหตุอันตรายร้ายแรงอาจดูคล้ายกัน หากไม่ได้สังเกตโดยละเอียด แล้วทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ดีพอ หรือส่งต่อไปยังโรงพยาบาลล่าช้า อาจส่งผลถึงชีวิตได้
เมื่อเรารู้ถึงสาเหตุของอาการวูบ หมดสติ ที่เป็นอันตรายแล้ว ต่อไปนี้คือวิธีสังเกตและประเมินอาการวูบ หน้ามืด เวียนหัว หมดสติ
ผู้ป่วยที่เป็นลมธรรมดา จะมีความรู้สึกใจหวิว ๆ ทรงตัวไม่ไหว บางรายหากหมดสติอยู่ จะใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 1- 2 นาทีก็ฟื้นได้ บางรายจะมีอาการเตือนล่วงหน้า เช่น รู้สึกหนักศีรษะ รู้สึกโคลงเคลง ไม่มีแรงประคองตัว ตามัวลง หรือมองเห็นภาพเป็นจุด เป็นต้น แล้วจึงเริ่มมีอาการวูบหรือเป็นลม
หากเป็นอาการวูบ หน้ามืด หมดสติ ที่ไม่รุนแรงนัก และฟื้นตัวได้เอง อย่าพึ่งชะล่าใจ ควรเฝ้าสังเกตอาการให้ดี หากพบว่าเข้าเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ควรพาเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุ
1. วูบจากสาเหตุของหัวใจ
ผู้ป่วยที่เกิดอาการวูบจากสาเหตุของหัวใจนั้น มักมีอาการหน้ามืดใจสั่น มวนท้อง เหงื่อแตก ตัวเย็น คลื่นไส้อาเจียน ที่สำคัญคือผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอาการวูบในช่วงเวลาสั้น ๆ และเมื่อตื่นขึ้นมาก็ยังจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ และกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง
แต่หากผู้ป่วยปล่อยทิ้งไว้ ไม่เข้ารับการตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด และรักษาอย่างถูกวิธีแล้ว อาจส่งผลให้ผู้ป่วยกลายเป็นอัมพาต หรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โรคหัวใจ
2. วูบจากภาวะทางสมอง
โรควูบที่เกิดจากภาวะทางสมองนั้น ผู้ป่วยมักมีอาการวูบร่วมกับอาการทางระบบประสาทอื่น ๆ เช่น อาการเกร็งชัก เหม่อ สับสน เมื่อตื่นจากอาการวูบ ผู้ป่วยไม่สามารถจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ หรืออาจมีอาการอื่นร่วมด้วยเมื่อฟื้นขึ้นมา เช่น ปากเบี้ยว ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด ชาหรืออ่อนแรงร่างกายครึ่งซีก เป็นต้น
ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติของภาวะทางสมอง เช่นหลอดเลือดในสมองตีบได้ ด้วยสาเหตุนี้ผู้ป่วยหรือผู้ใกล้ชิดควรต้องสังเกตอาการวูบที่เกิดขึ้น เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ
การเป็นนักกีฬาที่ดูสุขภาพดีและแข็งแรง และไม่ได้มีประวัติเป็นโรคหัวใจมาก่อน ก็อาจเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น แล้ววูบหมดสติได้ อย่างที่เรามักจะเคยเห็นกันในข่าวมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะนักกีฬาฟุตบอล
เหตุการณ์ลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็นับเป็นความสูญเสียและยิ่งถ้าเกิดกับนักเล่นกีฬาที่มีชื่อเสียงแล้ว ย่อมสร้างความสะเทือนใจให้แก่แฟน ๆ หรือผู้ชม ปัจจุบันจึงเกิดการตื่นตัวในเรื่องนี้กันมาก ทางสมาคมทางด้านกีฬาหลาย ๆ แห่ง เช่น FIFA ก็มีการพูดคุยกันถึงแนวทางคัดเลือกตัวผู้เล่นเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว (Sudden cardiac death)
จากการศึกษาข้อมูลการเสียชีวิตของนักกีฬาอายุต่ำกว่า 35 ปี ในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า สาเหตุหลักของการวูบ หมดสติ และนำมาสู่การเสียชีวิตด้วยอาการด้านหัวใจของนักกีฬา มาจากสาเหตุ ดังนี้
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่นักกีฬาเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวจากการใช้แอลกอฮอล์หรือสารเสพติดบางชนิดในปริมาณมากก่อนการแข่งขัน รวมถึงกรณีที่ยังไม่สามารถวินิจฉัยสาเหตุได้อีกด้วย
ในปัจจุบัน เทคโนโลยีและแนวทางการตรวจคัดกรองได้พัฒนาไปมาก ทำให้เราสามารถตรวจพบสาเหตุดังกล่าวได้เกินกว่าครึ่งของสาเหตุที่ทำให้นักกีฬาวูบ หมดสติ และเสียชีวิต โดยที่ไม่มีอาการเตือนมาก่อน โดยทดสอบร่วมกับการวัดความฟิตของร่างกายไปพร้อมกันด้วย
ศึกษาเพิ่มเติม VO2 max เครื่องมือวัดความฟิตของร่างกาย ที่เหล่านักออกกำลังกายควรรู้ !
แม้ว่าอาการดังกล่าว มีที่มาได้จากหลายสาเหตุ แต่ในเบื้องต้น หากเรามีการรักษาสุขภาพให้ดี และหมั่นตรวจตราสุขภาพของตนเองอยู่เสมอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของหลาย ๆ สาเหตุที่ทำให้เรามีอาการหน้ามืด หมดสติได้
แนวทางปฏิบัติสำหรับตัวเราเอง หรือกรณีพบเห็นผู้อื่นมีอาการผิดปกติ มีดังนี้
ทำการตรวจสอบว่าหมดสติหรือไม่ โดยการตะโกนเรียกดัง ๆ และเขย่าที่ไหล่ ดูว่าคนไข้รู้เรื่องหรือได้ยินที่เราพูดหรือเปล่า หากผู้ป่วยรู้สึกตัว อย่าพึ่งให้ลุกนั่งทันที (เพราะความดันอาจจะตก) ควรให้พักต่ออีกราว ๆ 15 นาที ระหว่างนั้นให้รีบขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ให้ปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ (Cardiopulmonary resuscitation : CPR)
สำหรับขั้นตอนในการทำ CPR เบื้องต้นมีหลักการดังนี้
ศึกษาเพิ่มเติม “รู้วิธี CPR การช่วยชีวิตเบื้องต้น ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ลดการเสียชีวิตได้”
หากมีอาการหน้ามืด วูบ หมดสติ แล้วไม่แน่ใจว่าเกิดจากสาเหตุใด ควรเข้ามาปรึกษาแพทย์ แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกายทั่วไป และตรวจระบบประสาท เพื่อดูอาการว่าบ่งชี้ต่าง ๆ ก่อนที่จะทำการส่งตรวจโดยละเอียดต่อไป
อาการหน้ามืด วูบ หมดสติ มีได้หลายสาเหตุ จึงควรทำความเข้าใจแนวทางสังเกตเบื้องต้น และหมั่นประเมินอาการอย่างละเอียด เพราะบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงอย่าง โรคหัวใจ หรือ โรคทางสมอง บางรายอาจเกิดอาการขึ้นอย่างฉับพลันและเสียชีวิต อย่างที่เป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง ดูแล้วก็น่าใจหาย
ดังนั้น หากเรามีการศึกษาแนวทางสังเกตและวิธีรับมือไว้ล่วงหน้า จะได้เข้าช่วยเหลือได้ทันกาล และลดความเสี่ยงที่ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ หรืออย่างน้อย ถ้ามีคนรอบตัวเกิดอาการหน้ามืด วูบขึ้นมา และไม่ได้มีอาการรุนแรงมาก เราจะได้ดูแลพวกเขาได้อย่างเหมาะสม ก่อนนำตัวไปรักษาต่อไป
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)
เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ
แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (0)
ดูทั้งหมด
บทความที่เกี่ยวข้อง (10)
ดูทั้งหมด
Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital