บทความสุขภาพ

Knowledge

แนวทางใหม่! รักษามะเร็งเต้านม ด้วยวิธีผ่าตัดสงวนเต้า และการเสริมสร้างเต้านมใหม่

การรักษามะเร็งเต้านมแบบผ่าตัดสงวนเต้า และการผ่าตัดสร้างเสริมเต้านม เป็นเทคนิคสมัยใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความสวยงาม และความมั่นใจของผู้ป่วย


สำหรับคนที่สนใจว่าวิธีการรักษาเป็นอย่างไร? มีขั้นตอนอะไรบ้าง? ใครสามารถเข้ารับการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวได้? สามารถศึกษาได้จากบทความนี้


การรักษามะเร็งเต้านมด้วยการผ่าตัดแนวทางใหม่


“การผ่าตัด” ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคนิคการรักษาหลักของผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงจากอดีตที่มุ่งเน้นเพียงการรอดชีวิต เป็นการผ่าตัดที่จะคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและความสวยงามมากขึ้น


การรักษาในปัจจุบันของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมก็เช่นเดียวกัน เพราะเรามีเทคนิคการผ่าตัดแบบสงวนเต้า (Breast Conserving Surgery: BCS) ซึ่งผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องถูกตัดเต้านมออกทั้งหมด หรือหากมีบางรายที่จำเป็นต้องผ่าตัดเต้านมออก ก็สามารถทำการผ่าตัดสร้างเสริมเต้านม (Breast Reconstruction) ได้ทันทีโดยใช้เต้านมเทียมหรือใช้เนื้อเยื่อของตัวผู้ป่วยเอง เติมเต็มความมั่นใจผู้ป่วย ให้ใช้ชีวิตหลังการรักษาได้อย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นเดิม


การผ่าตัดแบบตัดสงวนเต้า คืออะไร


การผ่าตัดแบบสงวนเต้า (Breast Conserving Surgery: BCS) คือ การผ่าตัดรักษามะเร็งเต้านม ซึ่งจะใช้วิธีทางศัลยกรรมตกแต่งเข้ามาช่วยในการตัดเอาก้อนเนื้อร้ายออก โดยไม่จำเป็นต้องตัดเต้านมออกทั้งหมด แพทย์จะออกแบบบาดแผล ประเมินปริมาณเนื้อเยื่อเต้านมบริเวณที่จะผ่าตัดออก เพื่อป้องกันไม่ให้เต้านมเกิดการเสียรูปทรง หรือบิดเบี้ยวหลังผ่าตัด ซึ่งการตรวจพบมะเร็งในระยะแรก ๆ สามารถรักษาด้วยวิธีนี้ได้


PR9_มะเร็งเต้านม01.jpg

3 ข้อดีของการผ่าตัดแบบสงวนเต้า


  1. สามารถเก็บรักษาเต้านมไว้ได้ เต้านมจะมีรูปทรงใกล้เคียงกับตอนก่อนรักษา
  2. มีระยะพักฟื้นที่สั้นกว่า ผู้ป่วยอาจนอนพักฟื้นแค่ 1 คืน หรือบางราย แพทย์อาจให้กลับได้เลย
  3. ทำให้ไม่สูญเสียความมั่นใจ ส่งผลดีต่อจิตใจของผู้เข้ารับการรักษา

PR9_มะเร็งเต้านม02.jpg

ระยะที่เหมาะสมกับการผ่าตัดแบบสงวนเต้า


ระยะของมะเร็งเต้านม จะแบ่งเป็น 5 ระยะ ซึ่งการรักษาด้วยการผ่าตัดแบบสงวนเต้าสามารถทำได้ในมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะที่ 0 ถึง 2 หรืออาจรักษามะเร็งระยะที่ 3 ได้ในบางกรณี ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ ทั้งนี้ ในการผ่าตัดแบบสงวนเต้าต้องทำรักษาควบคู่ไปกับการฉายรังสีด้วย


breast-conserving-table.png

การรักษาด้วยวิธีผ่าตัดแบบสงวนเต้า ต้องรู้อะไรบ้าง

เราแบ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกวิธีผ่าตัดได้เป็น 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ตัวมะเร็ง และผู้ป่วย


ปัจจัยด้านลักษณะมะเร็ง

แพทย์จะวิเคราะห์ตำแหน่งของมะเร็ง เพื่อกำหนดตำแหน่งของบาดแผล รวมถึงลักษณะการจัดวางแนวแผล อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดแบบสงวนเต้าต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ เนื่องจากผู้ป่วยบางรายอาจจะไม่เหมาะกับการรักษาข้างต้น ในกรณีดังนี้


  1. หากลักษณะของมะเร็งบ่งบอกว่ามีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้สูงหรือมีความร้ายแรง
  2. ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่เกินไป เมื่อเทียบกับขนาดเต้านม
  3. มะเร็งกระจายตัวหลายตำแหน่ง หรือเกิดขึ้นเป็นหลาย ๆ หย่อมในเต้านม

ปัจจัยด้านผู้ป่วย


  1. อายุ: ปัจจุบัน วิธีผ่าตัดแบบสงวนเต้า ยังไม่แนะนำสำหรับผู้ป่วยที่มีอายุน้อย ๆ
  2. กรรมพันธุ์ หรือปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ: หากผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงที่บ่งบอกว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งซ้ำได้ในอนาคต การผ่าตัดสงวนเต้าอาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยกลุ่มนี้ นอกจากนี้ ในผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อเต้านมอีกข้างออกด้วย หากผู้ป่วยได้รับการตรวจยืนยันว่ามียีนมะเร็งเต้านม (BRCA-1, BRCA-2) เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งที่เต้านมอีกข้างที่ยังปกติอยู่
  3. โรคประจำตัว และสภาพร่างกาย: หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวหรือสภาพร่างกาย ที่ไม่สามารถเข้ารับการฉายแสงได้ อาจไม่เหมาะกับการผ่าตัดแบบสงวนเต้า เนื่องจากต้องได้รับการฉายแสงเป็นควบคู่ไปด้วยในการรักษา
  4. การตั้งครรภ์: ผู้ป่วยมีครรภ์ จะไม่สามารถเข้ารับการฉายรังสีได้ จึงไม่สามารถรักษาด้วยวิธีผ่าตัดแบบสงวนเต้าได้
  5. ประวัติการฉายรังสี: หากผู้ป่วยเคยมีประวัติการฉายรังสีบริเวณทรวงอกมาก่อน จะไม่สามารถผ่าตัดด้วยวิธีนี้ได้
  6. ลักษณะเต้านมของผู้ป่วย: เนื่องจากการผ่าตัดแบบสงวนเต้าจะคำนึงถึงความสมดุลของเต้านมทั้งสองข้างภายหลังการผ่าตัด จึงต้องมีพิจารณารูปทรงและขนาดของเต้านมด้วย หากผู้ป่วยมีเต้านมขนาดเล็ก อาจมีข้อจำกัดในการรักษาด้วยวิธีนี้ แพทย์อาจแนะนำให้เลือกวิธีผ่าตัดก่อนแล้วเสริมสร้างเต้านมขึ้นมาใหม่

สรุปการผ่าตัดแบบสงวนเต้า


การผ่าตัดแบบสงวนเต้า (Breast conserving surgery: BCS) มีข้อดีคือ ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องถูกตัดเต้านมออกทั้งหมด เหมาะกับผู้ที่มีความประสงค์จะเก็บรักษาเต้านมไว้ ภายใต้ความเหมาะสม ทั้งในด้านร่างกาย และด้านลักษณะของมะเร็งที่เป็นอยู่


อย่างไรก็ตาม หากแพทย์พิจารณาแล้วว่าไม่สามารถรักษาด้วยวิธีนี้ได้ ซึ่งอาจเกิดจากระยะของมะเร็งที่ไม่เหมาะสม หรือปัจจัยด้านอื่น ๆ ก็ตาม อีกวิธีการรักษาสำหรับผู้ที่ต้องการมีเต้านมใหม่ที่ใกล้เคียงกับเต้านมเดิม คือ การผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม (Breast Reconstruction)


PR9_มะเร็งเต้านม03.jpg

การผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมใหม่ คืออะไร


การผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม (Breast Reconstruction) คือ การผ่าตัดเพื่อสร้างรูปทรงเต้านมขึ้นมาใหม่ให้ใกล้เคียงกับเต้านมเดิม ในกรณีที่จำเป็นต้องผ่าตัดเต้านมออกทั้งเต้า โดยใช้เต้านมเทียมหรือใช้เนื้อเยื่อของตัวผู้ป่วยเอง เนื้อเยื่อที่นิยมได้แก่ กล้ามเนื้อและชั้นไขมันบริเวณหน้าท้อง และกล้ามเนื้อและไขมันบริเวณที่หลัง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้นและกลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง


2 แนวทาง การผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมใหม่


การผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมใหม่ แบบช้เนื้อเยื่อของตัวผู้ป่วยเอง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและปลอดภัย ปัจจุบันจะมีแนวทางการผ่าตัดที่นิยมอยู่ 2 แบบ ต่างกันที่ตำแหน่งของเนื้อเยื่อที่เลือกใช้ ได้แก่


  1. เทคนิค LD flap (Latissimus Dorsi flap) จะใช้ผิวหนังกล้ามเนื้อและไขมันบริเวณหลังในการผ่าตัดตกแต่งเสริมเต้านม
  2. เทคนิค TRAM flap (Transverse Rectus Abdominis Musculocutaneous flap) จะใช้กล้ามเนื้อและชั้นไขมันบริเวณหน้าท้อง ในการผ่าตัดตกแต่งเสริมเต้านม

ทั้ง 2 เทคนิคนี้ เป็นเทคนิคตามมาตรฐานทางการแพทย์ที่ปลอดภัย สามารถเก็บรักษาได้แม้กระทั่งหัวนมและผิวหนังเดิมของผู้ป่วย มีภาวะแทรกซ้อนน้อย ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลเพียงแค่ 3 วัน ลักษณะของเต้านมที่สร้างขึ้นใหม่ จะเหมือนเต้านมจริงทั้งในลักษณะของเนื้อเต้านมและรูปร่าง


วิธีการผ่าตัด LD flap เป็นอย่างไร


วิธีการผ่าตัด Latissimus Dorsi (LD) flap หรือ LD flap เป็นวิธีที่ใช้ในการผ่าตัดเพื่อสร้างเนื้อเต้านมขึ้นใหม่สำหรับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมที่ต้องการทำการผ่าตัดเต้านมออก ซึ่งวิธีการนี้จะใช้ผิวหนังกล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi และไขมันบริเวณหลังมาผ่าตัดตกแต่งเสริมเต้านม ภายหลังการผ่าตัดเลาะเนื้อเต้านมออกทั้งหมด


ข้อดีและข้อควรทราบของ LD flap


การผ่าตัดแบบ LD flap จะใช้กล้ามเนื้อที่หลัง ซึ่งเป็นวิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน อีกทั้งผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูสุขภาพได้เร็วกว่าการใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง รวมทั้งเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและมีภาวะแทรกซ้อนน้อย


ระยะการนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล เทียบเท่ากับการผ่าตัดในมะเร็งเต้านมตามปกติคือประมาณ 3 วัน สามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ทั้งในแง่ตัวผู้ป่วยเอง ครอบครัวและสังคม


แม้ว่าการผ่าตัด LD flap reconstruction จะดูยุ่งยากเล็กน้อย แต่ก็เพิ่มเวลาในการผ่าตัดไม่มากนัก และเนื่องจากวิธีการนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้เต้านมเทียมช่วยเสริม แต่จะใช้เพียงแผ่นผิวหนังและชั้นไขมันบริเวณหลังรวมไปถึงกล้ามเนื้อ LD ของตัวผู้ป่วยเองทั้งหมด


ดังนั้นผลของการผ่าตัดในระยะยาวแล้ว จะได้ลักษณะของเต้านมที่สร้างขึ้นใหม่ เหมือนเต้านมจริงมากที่สุด ทั้งในด้านรูปร่างและลักษณะเนื้อเต้านมจากการสัมผัส สร้างความพึงพอใจ และความรู้สึกว่ายังมีเต้านมอยู่เช่นเดิมได้เป็นอย่างดี


ใครเหมาะที่จะผ่าตัดแบบ LD flap บ้าง


  1. ผู้ป่วยที่มีเต้านมขนาดเล็กถึงปานกลาง
  2. ผู้ป่วยที่มีเต้านมหย่อนคล้อย ไม่มาก
  3. ผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องมาตกแต่งได้ เนื่องจากมีรอยแผลเป็นบริเวณหน้าท้องมาก่อน
  4. ใช้ผ่าตัดเสริมเพื่อแก้ไขในผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดเสริมเต้านมด้วยวิธีอื่นมาก่อน

วิธีการผ่าตัดแบบ TRAM flap เป็นอย่างไร


วิธีการผ่าตัดแบบ Transverse Rectus Abdominis Musculocutaneous flap หรือ TRAM flap คือ การผ่าตัดตกแต่งหรือเสริมสร้างเนื้อเต้านมขึ้นใหม่โดยใช้กล้ามเนื้อและชั้นไขมันบริเวณหน้าท้องมาผ่าตัดตกแต่งเสริมเต้านมภายหลังการผ่าตัดเลาะเนื้อเต้านมออกทั้งหมด


ข้อดีและข้อควรทราบของ TRAM flap


การผ่าตัดใช้กล้ามเนื้อและชั้นไขมันบริเวณหน้าท้อง เป็นวิธีหนึ่งที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเช่นกัน เนื่องจากมีความปลอดภัย มีภาวะแทรกซ้อนน้อย ระยะการนอนรักษาตัวประมาณ 3-5 วัน


นอกจากนี้ยังได้เต้านมที่มีลักษณะหย่อนคล้อยสวยงาม มีความนุ่มเป็นธรรมชาติใกล้เคียงกับเต้านมจริง เนื่องจากกล้ามเนื้อผนังหน้าท้องมีความหนาและนุ่ม


ข้อควรทราบของการทำ TRAM flap


การผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้ อาจต้องใช้เวลานานกว่า และตัวผู้ป่วยเองอาจมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่บริเวณหน้าท้องได้ เช่น ผนังหน้าท้องอ่อนแรง ไส้เลื่อน และจะมีแผลเป็นบนผนังหน้าท้องในตำแหน่งที่อาจสังเกตเห็นได้


ใครเหมาะที่จะผ่าตัดแบบ TRAM flap บ้าง


  1. เหมาะสมสำหรับเต้านมทุกขนาด ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม
  2. ผู้ป่วยที่มีเต้านมหย่อนคล้อยมาก
  3. ผู้ที่แพทย์พิจารณาแล้วว่ามีผนังหน้าท้องหนาเพียงพอ (และไม่มีแผลเป็นหรือเคยรับการรักษาดูดไขมันที่หน้าท้อง)
  4. ผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะอ้วนหรือเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
  5. ผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่ หรือหยุดสูบบุหรี่มาแล้วเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน

สรุปการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านมใหม่


การผ่าตัดสร้างเสริมเต้านมขึ้นมาใหม่โดยใช้เนื้อเยื่อของตัวเอง นอกจากจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ต้องทำการผ่าตัดเต้านมออกไป มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น


ดังนั้นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีความประสงค์ผ่าตัดเอาเนื้อเต้านมออกและต้องการเสริมสร้างเต้านมใหม่ วิธีการดังกล่าวนี้ จะเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะช่วยผู้ป่วยได้มาก อย่างไรก็ตามต้องปรึกษาศัลยแพทย์ก่อน ถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธี


สรุป


ปัจจุบันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในการตรวจเต้านมและการส่งเสริมการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ทำให้ค้นพบมะเร็งในระยะแรก ๆ ได้มากขึ้น มีผลให้อัตราการรอดชีวิตสูงขึ้น


การผ่าตัดซึ่งเป็นการรักษาที่มุ่งเน้นเพียงการรอดชีวิตในอดีต ได้เปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นการผ่าตัดที่จะคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและความสวยงามมากขึ้น


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านม ก็ไม่มีความจำเป็นต้องถูกตัดเต้านมออกทั้งหมด และสามารถรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดแบบสงวนเต้าได้ หรือหากจำเป็นต้องผ่าตัดเต้านมออก ก็สามารถทำการผ่าตัดสร้างเสริมเต้านมได้ทันทีในการผ่าตัดนั้น


โรงพยาบาลพระรามเก้า มีความตระหนักและเห็นความสำคัญของการให้ความรู้ ให้คำแนะนำ ค้นหาความเสี่ยง และคัดกรองโรคมะเร็งเต้านม โดยเรามีเป้าหมายให้ผู้ป่วยทุกคนสามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป หากสนใจปรึกษาสามารถติดต่อ ศูนย์เต้านม โรงพยาบาลพระรามเก้า https://www.praram9.com/departments/breast-clinic-center/


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital