บทความสุขภาพ

Knowledge

ตรวจหูดีอย่างไร อาการแบบไหนบ้างที่ควรตรวจหู?

พญ. วรรนธนี อภิวัฒนเสวี

หูเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้เราได้ยินเสียง ทั้งเสียงสนทนา และเสียงของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อการสื่อสาร การใช้ชีวิตประจำวัน และการเรียนรู้ การสูญเสียการได้ยินสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย ดังนั้นการตรวจหูจึงเป็นการตรวจที่สำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาได้อย่างเหมาะสม เพราะหากปล่อยให้เป็นโรคทางหูอย่างเรื้อรัง จนเกิดการสูญเสียการได้ยิน จะทำให้ไม่อาจฟื้นฟูให้กลับมาเป็นปกติดังเดิมได้


หูสำคัญอย่างไร?


การได้ยินเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารกับผู้คนรอบตัว หูจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยหูเป็นจุดเริ่มต้นในกระบวนการทางประสาทของการรับเสียง การเดินทางของเสียงเริ่มตั้งแต่ภายนอกสู่ภายใน ตามลำดับ โดยเริ่มจาก


  • ใบหูและช่องหู ทำหน้าที่รับและนำส่งคลื่นเสียงให้ตกกระทบบนเยื่อแก้วหู
  • เยื่อแก้วหู ทำหน้าที่เป็นเหมือนหนังกลอง ส่งต่อการสั่นสะเทือนที่เกิดจากการกระทบของเสียงเข้าสู่หูชั้นกลาง
  • หูชั้นกลาง ประกอบไปด้วยกระดูกขนาดเล็กสามชิ้น ทำหน้าที่ปรับขนาดคลื่น และส่งต่อไปยังหูชั้นใน
  • หูชั้นใน จะเปลี่ยนคลื่นความสั่นสะเทือนไปเป็นสัญญาณประสาท เข้าสู่สมอง
  • สมอง จะทำหน้าที่แปลเสียงที่ได้ยินเป็นคำที่มีความหมาย หรือแปลเสียงสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่ได้ยินให้เราเข้าใจเสียงนั้น ๆ ว่าคือเสียงอะไร

ดังนั้นความผิดปกติไม่ว่าในส่วนใด ๆ ของหูจึงมีผลกระทบต่อการเดินทางของเสียง และทำให้การได้ยินลดลงจนอาจถึงขั้นหูหนวกได้ ความผิดปกติที่พบได้ เช่น ขี้หูอุดตันในช่องหู เยื่อแก้วหูทะลุ หูน้ำหนวกเรื้อรังจนกระดูกในหูชั้นกลางผิดรูป การเสื่อมของเซลล์ขนในหูชั้นในของผู้สูงอายุ ความพิการแต่กำเนิด เป็นต้น


นอกจากนี้ ในส่วนของหูชั้นในยังมีอวัยวะอีกส่วนที่หน้าที่รับรู้ตำแหน่งของศีรษะ เช่น ตั้งตรง เอนซ้ายขวา ก้มเงย เคลื่อนที่หรือหยุดนิ่ง ซึ่งมีความสำคัญมากในการควบคุมการทรงตัว ดังนั้นหากเกิดความผิดปกติของหูชั้นในจะทำให้เกิดอาการเวียนหัวบ้านหมุนทรงตัวลำบากตามมาได้


ตรวจหูดูอะไรบ้าง?


การตรวจหูโดยทั่วไปจะประกอบไปด้วยการตรวจ 2 ส่วน ได้แก่


  1. ตรวจช่องหู เป็นการตรวจดูลักษณะทางกายภาพของหู ตั้งแต่ใบหู ช่องหู จนถึงเยื่อบุแก้วหู โดยใช้อุปกรณ์เฉพาะส่องเข้าไปดูในช่องหูเพื่อตรวจหาความผิดปกติ เช่น การอักเสบหรือติดเชื้อ เยื่อแก้วหูทะลุ ขี้หูอุดตัน แมลงหรือสิ่งแปลกปลอมในหู เป็นต้น นอกจากนี้ การตรวจหูด้วยอุปกรณ์ที่มีกล้องจุลทรรศน์ในการขยายภาพ ก็จะช่วยทำให้เห็นลักษณะทางกายภาพได้ชัดเจน และตรวจได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น
  2. ตรวจการได้ยิน เป็นการตรวจประเมินการทำงานด้านการรับเสียงของหู ซึ่งจะดำเนินการโดยนักโสตสัมผัสวิทยา (audiologist)

ใครบ้างควรตรวจหู?


โรคทางหูสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ทั้งวัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ และวัยสูงอายุ ทุกคนจึงควรเข้ารับการตรวจหูเพื่อประเมินสุขภาพของหูอย่างสม่ำเสมอ


  • ทารกขวบปีแรก ซึ่งเป็นการตรวจเพื่อคัดกรองภาวะหูหนวกและหากพบความผิดปกติ จะทำให้สามารถวางแผนการรักษาเพื่อแก้ไขความพิการแต่กำเนิด
  • เด็กปฐมวัย ที่มีความเสี่ยงโรคหูน้ำหนวกเฉียบพลันและเรื้อรัง แมลงหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปติดในหู การบาดเจ็บจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือการติดเชื้อที่ส่งผลให้หูหนวกตามมาได้ เช่น หัด คางทูม และไข้สมองอักเสบ เป็นต้น
  • วัยผู้ใหญ่ ที่ต้องเจอมลภาวะทางเสียงติดต่อกันเป็นเวลานานจากการทำงาน หรือมีพฤติกรรมการบริโภคหมูดิบซึ่งเสี่ยงต่อโรคไข้หูดับ
  • ผู้สูงอายุ ที่เริ่มมีความเสื่อมทางการได้ยิน ทำให้มีอาการหูตึง

อาการที่ควรไปตรวจหู


อาการที่ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหู มีดังนี้


  • ปวดหู
  • มีของเหลว หนอง หรือเลือดไหลออกมาจากหู
  • ไม่ได้ยินเสียงจากหูข้างใดข้างหนึ่งอย่างเฉียบพลัน
  • หูอื้อ
  • มีเสียงดังในหู
  • เวียนหัวหรือบ้านหมุน
  • ฟังเสียงพูดไม่ออก
  • มีไข้ร่วมกับมีอาการปวดหูและไม่ได้ยินเสียงอย่างเฉียบพลัน

ในกรณีเด็กเล็ก ตัวเด็กเองมักไม่สามารถบอกได้ว่าการได้ยินลดลง ผู้ดูแลควรสังเกตพฤติกรรมการได้ยินที่ผิดปกติไป เช่น ไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียก พูดตอบเสียงดังมาก ต้องปรับระดับเสียงให้ดังมากถึงจะได้ยิน เวลาคุยด้วยมักถูกขอให้พูดซ้ำ เป็นต้น


การตรวจการได้ยินคืออะไร?


การตรวจการได้ยินเป็นการประเมินการทำงานของหูด้านการรับเสียง ซึ่งเป็นการทดสอบการได้ยินเสียงโดยใช้ระดับความดังของเสียงในหน่วยเดซิเบล โดยผู้ทดสอบจะค่อย ๆ ปรับความดังของเสียงจนผู้ถูกทดสอบเริ่มได้ยินเสียง ซึ่งผู้ทดสอบจะบันทึกค่าระดับความดังแรกที่เริ่มได้ยิน ซึ่งค่าที่ได้นี้จะใช้ในการวินิจฉัยความผิดปกติของการได้ยิน และบ่งบอกระดับความรุนแรงของการสูญเสียการได้ยิน หากมีระดับสมรรถภาพการได้ยินเริ่มต้นที่ความดังเกินกว่า 25 เดซิเบล จะถือว่าเริ่มมีอาการหูตึงแล้ว


ตรวจการได้ยินทำอย่างไร?


โดยทั่วไป การตรวจการได้ยินมักจะประกอบไปด้วย


  1. ตรวจสมรรถภาพการได้ยิน (audiometry) โดยการเปิดคลื่นเสียงในระดับความถี่และความดังที่ค่อย ๆ ไล่ระดับจากความถี่ต่ำไปความถี่สูง หรือความดังตั้งแต่ระดับน้อย ๆ ไปจนถึงระดับดังมาก ผู้รับการตรวจจะต้องกดปุ่มทุกครั้งที่ได้ยินเสียง ผลการตรวจจะออกมาเป็นกราฟออดิโอแกรม (audiogram) ที่แสดงระดับการได้ยินในคลื่นเสียงแต่ละความถี่ของหูแต่ละข้าง
  2. ตรวจหูชั้นกลาง (tympanometry) เป็นการตรวจจับการสั่นไหวของเยื่อแก้วหู ใช้ตรวจว่ามีของเหลวหรือหนองในหูชั้นกลางหรือไม่
  3. ตรวจการได้ยินบทสนทนา (speech perception test) เป็นการตรวจที่คล้ายกับการตรวจสมรรถภาพการได้ยิน เพียงแต่เปลี่ยนจากคลื่นเสียง เป็นเสียงบทสนทนาพูดคุยที่พบได้ในชีวิตประจำวัน

นอกจากนั้น ยังอาจมีการตรวจช่องหูด้วยกล้องจุลทรรศน์ และการให้บริการทำความสะอาดเพื่อสุขอนามัยที่ดีและปลอดภัยต่อเยื่อแก้วหู


สรุป


หูเป็นอวัยวะสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม เพราะมีส่วนในการสื่อสาร การเรียนรู้ การทำงาน รวมถึงการใช้ชีวิตการตรวจหูจะช่วยให้เราทราบถึงสุขภาพหู และหากพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรก ๆ จะเป็นประโยชน์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมและถูกต้อง เราทราบกันดีว่าการสูญเสียการได้ยินมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิต และยังส่งผลต่อสภาพจิตใจอีกด้วย เพราะการสูญเสียการได้ยินทำให้เราตัดขาดการสื่อสารกับคนรอบข้างซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจได้


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)



เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. วรรนธนี อภิวัฒนเสวี

พญ. วรรนธนี อภิวัฒนเสวี

ศูนย์หู คอ จมูก

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital