บทความสุขภาพ

Knowledge

ตรวจเต้านมด้วยตนเอง เพื่อรู้ทันมะเร็งเต้านม

มะเร็งเต้านม (breast cancer) พบมากเป็นอันดับต้น ๆ ของมะเร็งในเพศหญิง ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ล้วนมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งประเภทนี้ ดังนั้น ถ้าตรวจพบมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ แล้วเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ทัน ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด


การตรวจเต้านมด้วยตนเอง ด้วยวิธีการคลำเต้านม เป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ เพราะถือเป็นแนวทางด่านแรกที่จะเพิ่มโอกาสเจอมะเร็งได้ในระยะเริ่มต้น ถ้าพร้อมแล้ว มาลองตรวจกันเลย!


3 แนวทางตรวจคัดกรองเบื้องต้น ที่ควรรู้จัก


การมีแนวทางป้องกันมะเร็งตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยเป็นปราการสำคัญ ป้องกันไม่ให้เราเข้าสู่กระบวนการรักษาสายเกินไป ลดโอกาสลุกลามหรือแพร่กระจายของมะเร็ง โดยมีข้อควรปฏิบัติที่ควรทำ ดังนี้


  1. การตรวจเต้านมด้วยตนเอง (breast self examination)
  2. การตรวจเต้านมด้วยแพทย์ (clinical breast examination)
  3. เข้ารับการตรวจคัดกรองด้วยการตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) และอัลตราซาวด์ (Ultrasound)

มีข้อแนะนำว่า ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการผิดปกติใด ๆ หรือไม่ ควรคลำเต้านมด้วยตัวเองอย่างถูกวิธี ประมาณเดือนละ 1 ครั้ง แล้วตรวจเป็นประจำทุกเดือน


เพื่อความมั่นใจและความมั่นยำในการตรวจ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ก็ควรเข้ารับการตรวจเต้านมโดยแพทย์ ประมาณ 6 เดือนต่อครั้งด้วย


นอกจากนี้ เมื่อมีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองด้วยการตรวจแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์ อย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อปี


ควรปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม ในการคัดกรองมะเร็งเต้านมที่เหมาะสม เนื่องจากบางท่านอาจมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ อาจต้องปรับวิธีการตรวจ ช่วงเวลา และความถี่ที่ควรเข้ามารับการตรวจให้สอดคล้องกับความเสี่ยงนั้น ๆ


อ่านเรื่องราวของมะเร็งเต้านมโดยละเอียดได้ที่นี่

https://www.praram9.com/breast-cancer-staging/


ทำไมถึงต้องตรวจเต้านมด้วยตนเอง


การตรวจเต้านมด้วยตนเอง โดยเฉพาะการคลำเต้านั้น จะทำให้เราเข้าใจ “ลักษณะตามปกติ” ของเต้านมตัวเองว่าเป็นอย่างไร (บางคนอาจไม่เคยสังเกตเต้านมตัวเองอย่างจริงจัง) ซึ่งจะมีประโยชน์ในการสังเกต “ความผิดปกติ” ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อรูปร่างหรือลักษณะเต้านมของเราเปลี่ยนไปจากเดิม


ทำไมต้องใช้วิธีคลำเต้านม


การตรวจเต้านมจะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนหลัก คือ การพินิจสังเกตเต้า และ การคลำเต้า ซึ่งเราควรทำให้ครบ เพื่อความละเอียดแม่นยำในการตรวจ


การพินิจดูเต้านมของตนเอง จะช่วยในการบอกลักษณะของเต้านมที่สังเกตได้โดยละเอียด หากมีความผิดปกติเกิดขึ้น เช่น เต้านมสองข้างไม่เท่ากัน (ทั้งที่เมื่อก่อนเท่ากัน) หรือมีการนูนของผิวหนังที่ดูผิดปกติ เป็นต้น ก็สามารถบอกสัญญาณของโอกาสที่จะเป็นมะเร็งได้


การคลำเต้านม จะมีประโยชน์ในการคลำพบก้อนมะเร็งที่อยู่ในบริเวณเต้าแต่ยังไม่ปรากฏออกมาให้เห็นได้ชัดเจนได้


หากพิจารณาดูจะพบว่า ไม่ว่าจะเป็นการดูหรือคลำก็ตาม หากทำเป็นประจำสม่ำเสมอ เราจะรู้จักลักษณะเต้านมของตัวเอง ทำให้สังเกตพบได้ง่าย หากมีก้อนผิดปกติที่ไม่เคยคลำพบมาก่อน


ควรคลำเต้านมเมื่อไหร่ ช่วงเวลาไหน


การคลำเต้านม ใช้เวลาเพียงสั้น ๆ เท่านั้น แต่ควรวางแผนคลำเต้าเป็นประจำ ดังนี้


  • ควรคลำเต้านมเป็นประจำทุกเดือน เดือนละ 1 ครั้ง
  • ให้เลือกเวลาหลังประจำเดือนมา 7-10 วัน นับจากวันแรกของการมีประจำเดือน เนื่องจากเป็นช่วงที่เต้านมไม่มีการคัดตึง ลดโอกาสเข้าใจผิดได้
  • หากหมดประจำเดือนแล้ว ให้ตั้งวันที่จะคลำเต้านมเป็นวันเดียวกันทุกเดือน

breast-cancer-self-exam-2.jpg


การตรวจเต้านมด้วยตัวเองต้องรู้อะไรบ้าง


การตรวจเต้านม มี 2 ขั้นตอนใหญ่ ๆ คือ การดูและการคลำ


1. การดูเต้านม


การดูเต้านม มีจุดประสงค์เพื่อสังเกตลักษณะภายนอกของเต้านมที่มองเห็นได้ โดยต้องส่องกระจกในการดูสิ่งผิดปกติต่าง ๆ ของเต้านม ได้แก่


  • หัวนม : หัวนมทั้ง 2 ข้าง ควรอยู่ที่ตำแหน่งระดับเดียวกัน มีสีผิวและรูปร่างเหมือนกัน ชี้ออกไปด้านข้างเล็กน้อยเท่านั้น ต้องไม่มีลักษณะที่ถูกดึงรั้งหรือทำให้เอนไปยังข้างใดข้างหนึ่ง ไม่ควรมีน้ำเหลือง เลือด หรือของเหลวผิดปกติไหลออกมาจากหัวนม รวมถึงไม่ควรมีแผลผิวถลอก หรือแผลจากก้อนนูน
  • ฐานหัวนม : ฐานเต้านมควรมีผิวเนียนและสีเสมอกัน ไม่ควรมีรอยนูนหรือก้อนดันผิวออกมา ไม่ควรมีรอยบุ๋มที่เกิดจากก้อนมะเร็งดึงรั้งลงไป รวมถึงแผลผิวถลอกหรือแผลจากก้อนนูน
  • เต้านม : เต้านมควรมีผิวเนียนและมีสีผิวเสมอกัน ไม่ควรมีส่วนของผิวที่บวมหนาแล้วมองเห็นรูขุมขนได้ชัดเหมือนผิวเปลือกส้ม ไม่ควรมีรอยนูนหรือรอยบุ๋มผิดปกติ หรือรอยตะปุ่มตะป่ำต่าง ๆ สีผิวของเต้านมไม่ควรเป็นสีแดงคล้ำ และไม่ควรมีรอยแผลแตกทะลุที่ผิวหนัง ไม่มีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลออกมา นอกจากนี้ ให้สังเกตระดับและขนาดของเต้านม เต้านมทั้ง 2 ข้างควรมีรูปร่างและขนาดใกล้เคียงกัน และควรอยู่ระนาบเดียวกัน หากพบว่ามีส่วนที่ถูกดึงรั้งขึ้นหรือถ่วงให้หย่อนคล้อยลงมา (โดยเฉพาะถ้าเริ่มเป็นจากเต้านมด้านใดด้านหนึ่ง) ให้ไปพบแพทย์

2. การคลำเต้านม


เป้าหมายของการคลำเต้านม คือ การสังเกตความผิดปกติที่อาจมองไม่เห็นด้วยตา โดยทั่วไปลักษณะของเต้านมที่เหมาะสม จะต้องนุ่ม ๆ หยุ่น ๆ หากบีบจะได้ก้อนเนื้อที่นุ่ม แต่หากพบความผิดปกติดังต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์


  • คลำพบก้อนผิดปกติ อาจพบได้ทั้งบริเวณเต้านม หัวนม รักแร้ และเหนือไหปลาร้า
    • อาจเป็นไตแข็งหรือเป็นก้อนเรียบ ๆ ก็ได้
    • เมื่อคลำพบหรือลองกดดูเบา ๆ อาจรู้สึกเจ็บ หรือไม่รู้สึกเจ็บก็ได้
    • ก้อนอาจกลิ้งได้ หรือถ้ากลิ้งไม่ได้ อาจมีส่วนที่ยึดหรือรั้งกับเนื้อเยื่อส่วนล่างหรือผิวหนัง
  • คลำพบรอยบุ๋มเหมือนลักยิ้ม ที่อาจเกิดจากก้อนไปดึงรั้งลงมา
  • มีแผลที่เกิดจากการแตกทะลุของก้อน อาจมีหรือไม่มีเลือดและน้ำเหลืองไหลออกมาก็ได้
  • บีบหัวนม แล้วพบน้ำเหลืองหรือเลือดไหลออกมา


วิธีการคลำเต้านม 3 แบบ


การคลำเต้านม จะต้องคลำให้ครบและทั่วทั้งบริเวณเต้านม รวมไปถึงบริเวณรักแร้ด้วย ปัจจุบันการจะคลำให้ทั่ว (โดยไม่พลาดจุดใดไปเลย) จะมีอยู่ 3 แบบ ให้เราเลือกวิธีที่ถนัดมาหนึ่งวิธีเพื่อใช้ 3 นิ้วของเราในการตรวจเต้านม


ควรดูภาพประกอบไปด้วย เพื่อทำความเข้าใจวิธีการทั้ง 3 รูปแบบได้ชัดเจนขึ้น


1. คลำเป็นก้นหอย หรือ คลำตามเข็มนาฬิกา (clock pattern)


ให้นึกถึงภาพของวงก้นหอย โดยเริ่มจากหัวนม แล้วค่อย ๆ ขยายวงก้นหอยออกไปยังบริเวณฐานเต้า รวมไปถึงรักแร้ โดยค่อย ๆ คลำและวนเลื่อนนิ้วมือตามเข็มนาฬิกาเป็นวงกลมขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ไปสิ้นสุดที่บริเวณรักแร้


ในระหว่างที่คลำ ให้พิจารณาดูว่ามีก้อนหรือไม่ แล้วอย่าลืมสังเกตเนื้อเยื่อใต้หัวนมและลองบีบหัวนมเบา ๆ เพื่อดูสิ่งคัดหลั่ง


2. คลำตามแนวนอนขึ้น-ลง ขนานลำตัว (virtical strip)


โดยจะคลำตามแนวนอนขึ้นและลงไปเรื่อย ๆ ในลักษณะที่ขนานกับลำตัว เริ่มจากส่วนล่างด้านนอกของเต้านมเป็นแนวยาว ไปจนถึงกระดูกไหปลาร้า ลักษณะการคลำ ให้คลำในแนวขึ้น-ลง สลับกันไปมาจนทั่วทั้งเต้านม


3. คลำเป็นรูปลิ่ม หรือ คลำเป็นรัศมีรอบเต้านม (wedge pattern)


ให้คลำเข้าและออกจากส่วนเต้านมไปยังฐานเต้า เมื่อครบ 1 ครั้งแล้ว ให้เลื่อนมือวนรอบเต้านมเป็นรัศมีแล้วคลำเข้าและออกอีกครั้ง ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนวนครบรอบเต้านม อย่าลืมคลำจนถึงกระดูกไหปลาร้าและบริเวณรักแร้ด้วย


breast-cancer-self-exam-3.jpg


3 ท่า เพื่อคลำเต้านมด้วยตนเองที่แม่นยำ


การตรวจคลำเต้านมด้วยตัวเองจะแบ่งออกเป็น 3 ท่า ได้แก่ ท่ายืน ท่านอน และการตรวจขณะอาบน้ำ


1. ท่ายืน


การตรวจใจท่ายืนนี้ เราจะต้องส่องดูและสังเกตเต้านมตัวเองจากกระจก จึงควรทำในห้องน้ำ หรือในห้องที่มีกระจก โดยมีขั้นตอนดังนี้


สิ่งที่ต้องสังเกต: ความผิดปกติต่าง ๆ ได้แก่ รูปร่างที่ไม่เท่ากัน รอยบุ๋ม รอยนูน แผล และการอักเสบ แต่หากไม่พบความผิดปกติ ก็ควรจดจำลักษณะตามปกติของเต้านมให้ดี เพื่อความสะดวกในการเปรียบเทียบครั้งถัดไป


  1. วางแขนข้างลำตัว ผ่อนคลาย ไม่ต้องเกร็งแขน แล้วพิจารณาดูรูปร่าง ขนาด สีผิว ลักษณะของพื้นผิว และระดับของหัวนม
  2. ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ ดูขนาด รูปร่าง และร่องรอยผิดปกติของเต้านม
  3. วางมือทั้ง 2 ข้างไว้ที่สะโพก แล้วเกร็งหน้าอกหรือกดน้ำหนักตัวลง จากนั้นให้ดูลักษณะที่ผิดปกติของเต้านม
  4. โน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อความชัดเจนที่มากขึ้นของเต้านมทั้งสองข้าง แล้วตรวจสอบเต้านมดูอีกครั้ง

2. ท่านอน


สิ่งที่ต้องสังเกต: ตรวจหาก้อนที่อยู่บริเวณใกล้ผิวหนังและบริเวณเต้านม รวมถึงของเหลวที่ผิดปกติต่าง ๆ เช่น เลือดและน้ำเหลือง ที่อาจไหลออกมาจากหัวนม


  1. นอนหงาย ใช้หมอนขนาดเล็ก สอดไปที่ใต้ไหล่ข้างที่ต้องการตรวจ จากนั้นยกแขนข้างที่จะตรวจขึ้นเหนือศีรษะ สมมติว่ารอบแรก เราจะตรวจเต้านมข้างขวา ก็ให้สอดหมอนเข้าไปที่ไหล่ขวา แล้วยกมือขวาเหนือศีรษะไว้
  2. ใช้นิ้วมือข้างที่จะตรวจ 3 นิ้ว ได้แก่ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง เราจะใช้ปลายนิ้วในการตรวจคลำเต้านม สมมติว่าตรวจเต้านมด้านขวา ก็ให้ใช้นิ้วมือข้างซ้าย 3 นิ้วในการตรวจ
  3. ใช้ 3 นิ้วกดลงไป ไล่ระดับตั้งแต่กดเบา ๆ ไปจนถึงกดแรงขึ้น ทำ 3 รอบ โดยแต่ละรอบ ให้แบ่งความหนักเบาเป็น 3 ระดับ ค่อย ๆ กดไปจนทั่วเต้านมและรักแร้ ในขั้นตอนนี้ห้ามบีบเนื้อเต้านม เนื่องจากอาจทำให้รู้สึกว่ามีก้อน แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่
  4. บีบหัวนมเบา ๆ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ ดูว่ามีสิ่งคัดหลั่งไหลออกมาหรือไม่

ให้ทำเช่นนี้ทั้ง 4 ข้อ กับเต้านมทั้ง 2 ข้าง


3. ขณะอาบน้ำ


การตรวจขณะอาบน้ำ จะอาศัยความเปียกหรือความลื่นของสบู่ ซึ่งจะทำให้ผิวหนังลื่นขึ้นและตรวจได้ง่าย


สิ่งที่ต้องสังเกต: ตรวจหาความผิดปกติเช่นเดียวกับการตรวจท่ายืน เช่น ก้อนที่เต้านม และของเหลวจากหัวนม แต่มีข้อสังเกตเพิ่มเติมคือ ดูว่ามีก้อนหรือต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณรักแร้ด้วยหรือไม่


  1. ยกมือข้างเดียวกันกับเต้านมที่จะตรวจขึ้นวางบนศีรษะ แล้วใช้มืออีกข้างตรวจ โดยใช้นิ้วมือ 3 นิ้ว แล้วทำการตรวจเช่นเดียวกันกับวิธีการตรวจในท่านอน
  2. เมื่อเสร็จแล้ว ให้ตรวจคลำเต้านมอีกข้างด้วยวิธีเดียวกัน
  3. จากนั้นให้ตรวจดูบริเวณรักแร้
  4. บีบหัวนมเบา ๆ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ ดูว่ามีสิ่งคัดหลั่งไหลออกมาหรือไม่


ผิดปกติแบบไหน ควรมาพบแพทย์


ความผิดปกติ เมื่อสังเกตดูจากภายนอก : เมื่อสังเกตเห็นลักษณะเต้านมที่เปลี่ยนไปจากปกติ เช่น บวม นูน หรือมีแผล หรือมีลักษณะใดที่ไม่เหมือนกันทั้งสองข้าง เช่น ขนาด รูปร่าง ตำแหน่งของหัวนม ให้มาพบแพทย์


ความผิดปกติ ที่พบจากการคลำเต้านม : มีแผลที่ผิดปกติ มีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลออกมา หรือคลำพบรอยนูนไม่สม่ำเสมอ รอยบุ๋ม หรือก้อนที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นก้อนลักษณะใดก็ตาม จะแข็งหรือเรียบ จะรู้สึกเจ็บหรือไม่ ให้มาพบแพทย์เพื่อตรวจโดยละเอียดจะดีที่สุด


เพื่อความปลอดภัย อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า ถ้าตัวเราเองได้สังเกตดูหรือคลำเต้านมเป็นประจำอยู่แล้ว รับรู้ถึงลักษณะของเต้านมที่ปกติของตัวเองเป็นอย่างดี แล้วมีอยู่วันหนึ่งที่พบลักษณะผิดปกติ (ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยพบ) ก็ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจโดยละเอียดได้เลย


breast-cancer-self-exam-4.jpg


สรุป


การตรวจเต้านมด้วยตัวเองเป็นประจำ ถือเป็นปราการด่านแรกที่ช่วยให้เรารับรู้ถึงความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในทุก ๆ เดือน เราควรตรวจดูและคลำเต้านมตัวเองอย่างน้อย 1 ครั้ง


ควรพยายามปฏิบัติให้ต่อเนื่องจนเป็นนิสัย เนื่องจากประโยชน์ของการคลำเต้านมเป็นประจำ จะทำให้ทราบลักษณะที่เป็นปกติของเต้า หากมีความผิดปกติจะทำให้ทราบได้ทันที


ในทางกลับกัน ถ้านาน ๆ เราตรวจเต้านมครั้งหนึ่ง อาจพลาดช่วงเวลาสำคัญที่เริ่มเกิดมะเร็งขึ้น หรือบางครั้ง การที่เราไม่คุ้นเคยกับเต้านมตัวเองดีพอ อาจทำให้เข้าใจผิด เกิดความวิตกกังวลไปต่าง ๆ นานา คิดว่าพบก้อนมะเร็ง ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจเป็นแค่ส่วนของเนื้อเยื่อตามปกติเท่านั้นเอง


เมื่อตรวจคลำเต้านมเป็นประจำแล้ว อย่าลืมเข้ามาตรวจเต้านมโดยแพทย์ และรับการตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์ ตามช่วงวัยที่เหมาะสมด้วย ซึ่งจะช่วยให้เราตรวจพบความผิดปกติได้เร็วขึ้น เพิ่มโอกาสรอดชีวิต แถมยังมีโอกาสเก็บรักษาเต้านมไว้ได้ด้วย หากยังไม่ถึงระยะแพร่กระจาย


อ้างอิง

https://www.nci.go.th/th/Knowledge/downloads/ตรวจเต้านม.pdf



ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital