บทความสุขภาพ

Knowledge

เข้าใจภาวะเลือดออกในสมอง วิกฤติสุขภาพที่อาจร้ายแรงถึงชีวิต

พญ. สลิษา ประดิษฐบาทุกา

เลือดออกในสมอง ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่คร่าชีวิตผู้ป่วยจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากผู้ป่วยหรือคนใกล้ชิดมักขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสัญญาณเตือนของภาวะดังกล่าว


การตระหนักรู้และทำความเข้าใจถึงอาการและปัจจัยเสี่ยงของภาวะเลือดออกในสมองอย่างถูกต้อง จะช่วยให้สามารถเข้ารับการรักษาได้เร็วขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อโอกาสในการฟื้นตัว และสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างใกล้เคียงปกติอีกครั้ง


Key Takeaways


  • เลือดออกในสมองจัดอยู่ในกลุ่มโรคหลอดเลือดสมอง ที่เกิดขึ้นจากหลอดเลือดในสมองแตกและมีเลือดซึมในสมอง
  • เลือดออกในสมองทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น สมองบวม ความดันในกะโหลกสูง และเกิดความผิดปกติทางระบบประสาทขึ้น
  • อาการเลือดคั่งในสมองที่ปรากฏขึ้นอยู่กับตำแหน่งและปริมาณเลือดที่คั่งในสมอง โดยอาการทั่วไปที่พบได้ เช่น ปวดศีรษะรุนแรง อ่อนแรง สูญเสียการทรงตัว มองเห็นผิดปกติ สับสน หมดสติ ฯลฯ
  • เลือดออกในสมองจำเป็นต้องรับการรักษาโดยเร็ว เนื่องจากเป็นภาวะฉุกเฉินที่สามารถก่อให้เกิดความพิการและเสียชีวิตได้ในระยะเวลาอันสั้น

เลือดออกในสมองคืออะไร?


เลือดออกในสมอง (Intracerebral Hemorrhage; ICH) คือภาวะที่หลอดเลือดภายในสมองแตก ส่งผลให้เลือดรั่วไหลออกจากหลอดเลือดและคั่งอยู่ภายในเนื้อสมอง เลือดที่คั่งอยู่นี้จะกดทับเนื้อสมองโดยรอบ ทำให้เนื้อสมองบริเวณนั้นได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ส่งผลให้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และอาจเกิดความเสียหายถาวรต่อสมอง


เลือดออกในสมองจัดอยู่ในกลุ่มโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ที่มีความรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูงมากกว่าโรคหลอดเลือดสมองแบบขาดเลือด เนื่องจากเลือดที่คั่งในสมองทำให้เกิดแรงดันในสมองเพิ่มขึ้นจนทำให้การทำงานของสมองส่วนนั้นล้มเหลว


สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะเลือดออกในสมองเกิดจากอะไร

ภาวะเลือดออกในสมองสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากอุบัติเหตุที่ทำให้ศีรษะเกิดการกระแทก และจากการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดสมอง ซึ่งสามารถแบ่งสาเหตุของการเกิดเลือดคั่งในสมองได้อีกเป็นสองประเภท ดังนี้


Primary Intracerebral Hemorrhage


เป็นสาเหตุที่พบได้มากถึง 85% ของภาวะเลือดออกในสมองทั้งหมด ซึ่งสาเหตุนี้มักจะไม่พบความผิดปกติทางพยาธิวิทยา และพบบ่อยในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง หรืออายุมาก


  • ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่พบได้บ่อยที่สุด เนื่องจากความดันโลหิตที่สูงเป็นเวลานานทำให้หลอดเลือดเสื่อม หนา และเปราะ หรืออาจเกิดหลอดเลือดสมองโป่งพองเล็ก ๆ ขึ้นได้
  • ผนังหลอดเลือดในสมองเปราะ (Cerebral amyloid angiopathy) เกิดจากการสะสมของโปรตีนอะไมลอนด์ภายในผนังหลอดเลือดสมอง พบมากในผู้สูงอายุ

ปัจจัยดังกล่าวนั้นทำให้หลอดเลือดในสมองเปราะ เมื่อความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน หรือเกิดการกระทบกระเทือนจากภายนอก หลอดเลือดที่เปราะไม่สามารถทนแรงดันจากเลือดได้จึงทำให้เลือดออกในสมอง


Secondary Intracerebral Hemorrhage


เป็นภาวะเลือดออกในสมองที่มีสาเหตุชัดเจน สามารถพบความผิดปกติทางพยาธิวิทยา โดยสาเหตุที่จัดอยู่ในประเภทนี้ได้แก่


  • โรคหลอดเลือดผิดปกติ (Vascular malformations) เช่น AVM (Arteriovenous malformation) หรือ Cavernous malformations เป็นภาวะที่หลอดเลือดแดงกับหลอดเลือดดำเชื่อมกันโดยไม่มีเส้นเลือดฝอย ซึ่งหลอดเลือดดำมีผนังที่บางกว่าจึงไม่สามารถทนแรงดันเลือดที่พบได้ในหลอดเลือดเเดงปกติ ทำให้มีโอกาสแตกง่าย พบมากในผู้ป่วยเด็กที่มีอาการเลือดออกในสมอง
  • หลอดเลือดสมองโป่งพอง (Cerebral Aneurysms) เกิดจากผนังหลอดเลือดเสื่อมสภาพ ทำให้เส้นเลือดโป่งพองและแตกออก
  • เนื้องอกในสมอง (Brain tumor) สามารถก่อให้เกิดเลือดออกในสมองได้จากการที่เนื้องอกเจริญเติบโตไปทำลายหลอดเลือด หรือหลอดเลือดใหม่ที่ถูกสร้างเพื่อหล่อเลี้ยงเนื้องอกเกิดแตกตัว
  • ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด โดยอาจเกิดขึ้นจากโรคทางพันธุกรรม (Hemophilia, Thrombocytopenia) หรือจากผลข้างเคียงของยารักษาโรค (Warfarin, Aspirin) ซึ่งทำให้เลือดออกง่ายและหยุดไหลยาก
  • การใช้สารเสพติด เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ โคเคน ซึ่งสารเหล่านี้ทำให้ความดันโลหิตสูง และยังทำลายหลอดเลือด ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพ โป่งพอง

อาการเลือดออกในสมอง สังเกตได้ไว รับการรักษาได้ทันท่วงที


symptoms-of-intracerebral-hemorrhage-1024x1024.jpg

เลือดออกในสมอง อาการรุนแรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่หลอดเลือดแตก และปริมาณที่เลือดคั่งในสมอง แต่โดยทั่วไปมักจะพบอาการดังต่อไปนี้


  • ปวดศีรษะรุนแรงเฉียบพลัน (Thunderclap Headache) อาจพบอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
  • มีอาการอ่อนแรง หรือชาด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย
  • สูญเสียการทรงตัวและการเคลื่อนไหว
  • การมองเห็นผิดปกติ หรือสูญเสียการมองเห็นบางส่วน
  • พูดไม่ชัด หรือโต้ตอบกลับไม่ได้
  • มีอาการชักหรือเกร็ง
  • เกิดอาการสับสน ซึม หมดสติ

ภาวะเลือดออกในสมองสามารถสังเกตได้ หากพบเร็วและได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที ก็มีโอกาสที่จะรอดชีวิตและกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้สูงขึ้น


การวินิจฉัยเลือดออกในสมอง


โอกาสรอดชีวิตและการฟื้นตัวของผู้ป่วยขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำในช่วงเวลาทอง (Golden time) เมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล จะมีขั้นตอนการวินิจฉัยคัดกรองโรคดังนี้


  • แพทย์ซักประวัติ สอบถามอาการผู้ป่วย และตรวจระบบประสาท เพื่อประเมินอาการเบื้องต้น
  • ส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาตำแหน่งเลือดออกในสมอง โดยเฉพาะ CT Scan ซึ่งเป็นการส่งตรวจขั้นต้นสำหรับผู้ป่วยที่สงสัยโรคดังกล่าว
  • แพทย์อาจขอตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ เช่น MRI Brain เหมาะกับการหาสาเหตุซ่อนเร้นที่อาจไม่เร่งด่วนมาก CT Angiography เพื่อดูสภาพหลอดเลือดสมอง การตรวจเลือด เพื่อดูความสามารถในการแข็งตัวของเลือด ค่าเกล็ดเลือด การอักเสบ เป็นต้น

แนวทางการรักษาเลือดออกในสมอง


treatment-of-intracerebral-hemorrhage.jpg

การได้รับการรักษาที่เหมาะสมและรวดเร็วช่วยลดความเสียหายจากเลือดออกในสมอง และยังช่วยให้สมองสามารถฟื้นฟูกลับมาได้เร็วขึ้น ซึ่งจะใช้วิธีรักษาแบบไหนนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเลือดที่ออกในสมอง และปริมาณเลือดที่ไหลออก


การผ่าตัด


เป็นวิธีรักษาเลือดคั่งในสมองระดับรุนแรง คือ มีเลือดออกปริมาณมาก มีการกดทับเนื้อสมองจนบวม ซึ่งแพทย์อาจจะเลือกวิธีผ่าตัดสมองที่เหมาะสมกับอาการ เช่น


  • การใส่ท่อระบายน้ำไขสันหลังหรือเลือดในโพรงสมอง (External Ventricular Drainage – EVD) เพื่อระบายน้ำไขสันหลังหรือเลือดที่คั่งในสมอง
  • การผ่าตัดระบายก้อนเลือด (Craniotomy with Hematoma Evacuation) เปิดกะโหลกศีรษะเพื่อนำเลือดหรือลิ่มเลือดอุดตันออกจากเนื้อสมองที่เป็นสาเหตุของสมองบวม
  • การผ่าตัดผ่านกล้องขนาดเล็ก (Minimally Invasive Surgery / Endoscopic Evacuation) โดยการส่องกล้องและดูดเอาก้อนเลือดผ่านรูเจาะขนาดเล็ก วิธีนี้ลดความเสียหายของเนื้อสมองและลดการบาดเจ็บจากการเปิดกะโหลกได้
  • การผ่าตัดรักษาความผิดปกติของหลอดเลือด (Aneurysm Clipping / AVM Resection) ใช้รักษาหลอดเลือดในสมองแตกจากหลอดเลือดโป่งพองหรือหลอดเลือดผิดปกติ

การใช้ยา


เป็นวิธีรักษาเลือดออกในสมองที่ไม่รุนแรง เลือดออกเล็กน้อย ไม่มีอาการวิกฤติ โดยแพทย์จะจ่ายยาลดบวมในสมอง เพื่อลดความเสียหายของสมอง รวมถึงการจ่ายยาที่ช่วยลดโอกาสเกิดหลอดเลือดในสมองแตก เช่น ยาลดความดัน ยาห้ามเลือด ฯลฯ


แนวทางการฟื้นฟูหลังรับการรักษาเลือดออกในสมอง


หลังได้รับการรักษาเลือดออกในสมองแล้วผู้ป่วยอาจต้องทำการฟื้นฟูสมรรถภาพเพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติอีกครั้ง โดยอาจมีการทำกายภาพบำบัด การฝึกพูด และการฟื้นฟูการทำกิจวัตรประจำวัน รวมถึงการแนะนำแนวทางปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคซ้ำ ซึ่งระยะเวลาในการฟื้นฟูขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น


เราสามารถป้องกันเลือดออกในสมองได้หรือไม่?


เลือดออกในสมองสามารถป้องกันได้ โดยเฉพาะสาเหตุที่ควบคุมได้ ดังนี้


  • ป้องกันศีรษะกระทบกระเทือนการเกิดอุบัติเหตุด้วยการใส่หมวกกันน็อค หรือคาดเข็มขัดนิรภัยกรณีขับขี่หรือเล่นกีฬาผาดโผน
  • ป้องกันไม่ให้ความดันโลหิตสูง
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกายและหลอดเลือด
  • ควบคุมอาหารและน้ำหนักตัว ลดความเสี่ยงไขมันในเลือดสูง
  • ไม่ใช่สารเสพติด สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดเสื่อม
  • กรณีที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือมีโรคประจำตัวใด ๆ ที่อาจเป็นปัจจัยหลอดเลือดในสมองแตก ควรเข้ารับการติดตามกับแพทย์อยู่เสมอ

เลือดออกในสมองป้องกันและรักษาได้ หากเข้าใจและรับการรักษาทันท่วงที


เลือดออกในสมอง เป็นภาวะฉุกเฉินที่รุนแรงและอาจก่อให้เกิดความพิการหรือเสียชีวิตได้เลย ดังนั้น เวลา จึงเป็นกุญแจสำคัญที่มีผลต่อโอกาสการรอดชีวิตและการฟื้นตัวของผู้ป่วยในระยะยาว หากมีความรู้และความเข้าใจถึงอาการหรือสัญญาณเตือนภาวะเลือดออกในสมอง ก็สามารถช่วยให้ผู้ป่วยสามารถได้รับการรักษาที่เหมาะสมอย่างทันท่วงทีและกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติอีกครั้ง


เพราะทุกนาทีคือโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลพระรามเก้า เรามุ่งมั่นที่จะวินิจฉัยและรักษาอย่างแม่นยำ รวดเร็ว โดยแพทย์เฉพาะทางโรคสมองและระบบประสาท นอกจากนี้ เรายังคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยหลังการรักษาด้วยการฟื้นฟูและดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการป้องกันความเสี่ยงการเกิดโรคซ้ำในระยะยาว


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลือดออกในสมอง


1. เลือดออกในสมองอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างไร?


เลือดออกในสมองอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายอย่าง เช่น สมองบวม สมองเคลื่อนตัว เลือดออกซ้ำ อาการชัก อัมพฤกษ์อัมพาต ซึ่งอาการเหล่านี้อาจทำให้เกิดความพิการหรือเสียชีวิตได้


2. เลือดออกในสมองมีโอกาสรอดเท่าไหร่?


โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ป่วยเลือดออกในสมองจะมีโอกาสรอดรอดชีวิตในระยะเวลา 5 ปีจะอยู่ที่ 26.7% นั่นหมายความว่า ผู้ป่วยประมาณ 1 ใน 4 คนจะมีชีวิตอยู่เกิน 5 ปี หลังจากมีเลือดคั่งในสมอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เลือดออก ความรุนแรง การได้รับการรักษาที่รวดเร็วและแม่นยำ


References


Liebeskind, DS. (2018, December 7). Intracranial Hemorrhage. Medscape. https://emedicine.medscape.com/article/1163977-overview?form=fpf#a4


Memon, N. (n.d.). What Are the Chances of Surviving Bleeding in the Brain?. MedicineNet. https://www.medicinenet.com/chances_of_surviving_bleeding_in_the_brain/article.htm


Rajashekar, D & Liang, JW. (2023, February 6). Intracerebral Hemorrhage. [Updated 2023 Feb 6]. In: StatPearls [Internet]. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing; 2025 Jan-. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK553103/


เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. สลิษา ประดิษฐบาทุกา

พญ. สลิษา ประดิษฐบาทุกา

ศูนย์สมองและระบบประสาท

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital