บทความสุขภาพ

Knowledge

ข้อเข่าเสื่อมรักษาได้ คืนความสุขให้ชีวิต

นพ. พฤกษ์ ไชยกิจ

โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) ปัญหาหลักที่พบมากสุดในผู้สูงอายุ โดยประเทศไทยพบผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมถึงร้อยละ 50 เลยทีเดียว ในบางรายเริ่มเป็นตั้งแต่วัยกลางคนจนถึงวัยสูงอายุ


โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดเข่า ปวดขา ข้อเข่าเคลื่อนไหวได้ไม่เต็มที่ มักมีเสียงดังเสียงกรอบแกรบจากหัวเข่า เคลื่อนไหวลำบาก ทำให้ไม่อยากเดินไปไหนไกล ๆ รู้สึกเดินขึ้น ลงบันไดยากมากขึ้น ลุกนั่งแล้วรู้สึกเจ็บปวด


อย่างไรก็ตาม เราสามารถชะลอโรคข้อเข่าเสื่อมและทุเลาความเจ็บปวดลงได้ เพียงเรารู้เท่าทันก็จะสามารถป้องกันได้อย่างถูกวิธี

โรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร? เกิดจากอะไร?


โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) คือ การอักเสบของข้อต่อ ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่กระดูกอ่อนผิวข้อถูกทำลาย ซึ่งกระดูกอ่อนผิวข้อนี้มีหน้าที่สำคัญในการป้องกันและดูดซับแรงกระแทกระหว่างข้อเข่า ช่วยลดการสึกหรอและเสื่อมสภาพของข้อเข่า


กระดูกอ่อนผิวข้อ จะมีลักษณะเรียบลื่น เป็นมัน ช่วยกระจายแรงและลดแรงกระแทกที่เกิดขึ้นกับข้อต่อนั้น ๆ ทำให้เราเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสะดวก ไม่เจ็บปวด เมื่อไหร่ที่กระดูกอ่อนเกิดความเสียหายจนทำให้กระดูกที่อยู่ใต้กระดูกอ่อนในข้อเข่าเสียดสีกัน จะทำให้เกิดการอักเสบ ปวดเข่า เข่าบวม ข้อยึด เดินลำบาก หรือบางรายเข่าอาจผิดรูปหรือโก่งงอได้


นอกจากนี้ เรายังพบว่าผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม มักมีกระดูกผิวข้อเข่าบางลง มีการแตกและเปื่อยยุ่ย ร่วมกับสูญเสียกระดูกอ่อนผิวข้อไป บางรายอาจมีการอักเสบของเยื่อบุข้อร่วมด้วย ส่งผลให้น้ำในข้อมากขึ้น จึงเกิดอาการบวมของข้อเข่า มีกระดูกงอตามขอบผิวข้อ ร่วมกับการโก่งผิดรูปของข้อเข่าในระยะสุดท้ายของโรค ส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมจะเป็นขาโก่งแบบโค้งออก (Bow legs) แต่บางรายอาจพบในลักษณะผิดรูปของข้อเข่าแบบโค้งเข้า (Knock knee) ได้อีกด้วย แม้จะพบได้น้อยกว่า


Knee-1024x1024.jpg

สัญญาณเตือน และอาการของโรคข้อเข่าเสื่อม


  • ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม มักจะมีอาการปวดเข่าขณะเดิน ขึ้นลงบันได นั่งยอง ๆ หรือนั่งขัดสมาธิ ผู้ป่วยมักจะนั่งพับเพียบไม่ได้ เพราะมีอาการปวด บางครั้งเดินอยู่ก็มีอาการเข่าทรุด เพราะปวดเสียวในเข่า
  • ไม่สามารถขยับเข่าหรือเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่ อาจเหยียดหรืองอเข่าได้ไม่สุด รู้สึกตึงข้อ และมีอาการข้อติดขัด ไม่คล่องแคล่ว
  • รู้สึกปวดตื้อ ๆ เจ็บแปลบ เจ็บเสียวตามแนวข้อเข่า อาการปวดนี้จะมีแนวโน้มเป็นมากขึ้นตามลักษณะการทำลายผิวข้อที่มากขึ้น ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะรู้สึกทุเลาจากอาการปวดเป็นระยะ ๆ แต่ในระหว่างที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม และไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง กระดูกก็จะถูกทำลายมากขึ้น ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดเท่าเดิมหรือมากขึ้นกว่าเดิมเป็นระยะ ๆ แต่เมื่อโรคข้อเข่าเสื่อมลุกลามมากขึ้น ผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดและขยับข้อเข่าได้เพียงเล็กน้อย
  • ในระยะสุดท้ายของโรค อาการของโรคเข่าเสื่อมจะรุนแรงขึ้น ขาของผู้ป่วยเริ่มมีการผิดรูป และมีอาการเจ็บปวด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมเดินไม่ได้ ผู้ป่วยอาจมีอาการขัดในข้อ ข้อยึด ขยับลำบาก โดยมักเป็นขณะนั่ง หรือนอนกับที่เป็นเวลานาน ๆ แต่เมื่อขยับข้อระยะหนึ่งจะรู้สึกคล่องขึ้น

S__6725670-1024x1024.jpg

โรคข้อเข่าเสื่อมมีกี่ระยะ?


โรคเข่าเสื่อมแบ่งออกเป็น 4 ระยะ โดยจำแนกตามความรุนแรงของการสึกหรอของข้อเข่า และความรุนแรงของอาการที่ผู้ป่วย


  1. ระยะที่ 1 (Early Stage) : ในระยะแรกนี้ การสึกหรอของกระดูกอ่อนที่ข้อเข่าจะยังมีไม่มาก ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือมีอาการน้อยมาก และมักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจคัดกรองภาวะข้อเข่าเสื่อม หรือจากการเอกซเรย์
  2. ระยะที่ 2 (Mild Stage) : กระดูกอ่อนเริ่มสึกหรอมากขึ้น และมีอาการบวมและเจ็บปวดเมื่อใช้ข้อเข่าอาจมีเสียงกรอบแกรบเมื่อเคลื่อนไหวข้อเข่า ข้อเข่าเริ่มมีความแข็งแรงลดลง และการเคลื่อนไหวหัวเข่าเริ่มมีการติดขัด
  3. ระยะที่ 3 (Moderate Stage) : กระดูกอ่อนเสื่อมสภาพมากขึ้นจนกระดูกเริ่มชนกันเมื่อเคลื่อนไหวข้อเข่า อาการเจ็บปวดจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดินหรือเคลื่อนไหวข้อเข่า นอกจากนี้ยังอาจพบการบวมของหัวเข่า และเคลื่อนไหวข้อเข่าได้น้อยลง
  4. ระยะที่ 4 (Severe Stage) : กระดูกอ่อนในข้อเข่าถูกทำลายไปเกือบทั้งหมด ทำให้กระดูกข้อเข่าเสียดสีกันโดยตรง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อเข่าอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง แม้ว่าจะพักการใช้งานข้อเข่าแล้วก็ตาม ในระยะนี้ข้อเข่าอาจผิดรูปและมีอาการบวมที่เห็นได้ชัดเจน และการเคลื่อนไหวข้อเข่าจะทำได้ลดลงอย่างมาก ในระยะนี้ต้องได้รับการรักษา ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

ดังนั้น สำหรับผู้ที่เริ่มมีอาการสัญญาณเตือนของโรคข้อเข่าเสื่อม ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดตั้งแต่ต้น หากป่วยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมไม่ว่าจะระยะใดก็ตาม จะได้เข้ารับการรักษาได้ทันเวลา และช่วยลดความเสี่ยงของการผ่าตัดเข่าในระยะยาวได้อีกด้วย


สาเหตุของโรคข้อเข่าเสื่อม


  1. ความผิดปกติของข้อเข่า เช่น มีข้อเข่าผิดรูป ขาโก่ง หรือมีเข่าชนกัน
  2. อายุที่มากขึ้น โดยพบมากในคนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งมักจะเกิดในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
  3. มีน้ำหนักตัว หรือ ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 23 กก/ม2
  4. การใช้ข้อเข่าหักโหมซ้ำ ๆ หรือท่าทางบางท่าที่ต้องงอเข่ามากเกินไป เช่น การคุกเข่า นั่งยอง ๆ นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ ซึ่งทำให้ข้อเข่าต้องรับแรงกดสูงกว่าปกติเป็นเวลานาน ๆ หรือบ่อยครั้ง
  5. มีประวัติการเกิดอุบัติเหตุที่บริเวณข้อเข่า เช่น การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ส่งผลให้เพิ่มความเสี่ยงการเกิดข้อเข่าเสื่อมได้มากขึ้น
  6. พันธุกรรม หรือผู้มีประวัติคนภายในครอบครัวเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม
  7. เชื้อชาติ จากการศึกษาพบว่าคนเอเชียบางกลุ่มมีความเสี่ยงต่อโรคข้อเสื่อมน้อยกว่าภูมิภาคอื่น ๆ
  8. มีประวัติการติดเชื้อในข้อเข่า หรือโรคข้ออักเสบต่าง ๆ เช่น โรคอักเสบรูมาตอยด์ โรคเก๊าท์

S__1581188.jpg

เมื่อเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ควรปฏิบัติตัวอย่างไร?


  1. ลดการใช้งานข้อเข่าที่ไม่เหมาะสม เช่น หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบ นั่งคุกเข่า นั่งยอง ๆ นั่งขัดสมาธิ การยืนหรือเดินมากเกินความจำเป็น รวมถึงการขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ
  2. ควบคุมน้ำหนัก หรือลดน้ำหนักในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก
  3. ออกกำลังกายกล้ามเนื้อรอบเข่าให้แข็งแรงสม่ำเสมอ
  4. ใช้สนับเข่าในรายที่มีอาการปวดเข่ามาก จะช่วยลดอาการปวดของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม และทำให้เดินคล่องขึ้น
  5. กรณีที่ปวดเข่าข้างเดียว การใช้ไม้เท้าจะช่วยลดน้ำหนักที่กดลงบริเวณข้อเข่าได้มาก วิธีการถือไม้เท้าให้ถือด้านตรงข้ามกับเข่าที่ปวด เช่น ปวดเข่าซ้ายถือไม้เท้าข้างขวา
  6. ประคบอุ่น เพื่อลดอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อรอบ ๆ เข่า หรือในกรณีเข่าบวม ให้ใช้การประคบเย็น เพื่อลดอาการบวมของข้อเข่า
  7. กรณีมีอาการปวดเข่าเรื้อรังมากกว่า 1-2 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ และรับการรักษาอย่างเหมาะสม
S__1581190-1024x1024.jpg

การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม


การรักษาด้วยวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด


  1. การรักษาโดยไม่ใช้ยา : ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการยังไม่รุนแรง โดยส่วนใหญ่จะเป็นการให้คำปรึกษาและแนะนำในการปฏิบัติตัว การใช้งานข้อเข่าอย่างถูกต้องและลดน้ำหนักตัวในผู้ป่วยรายที่มีน้ำหนักตัวมาก เพื่อเป็นการลดน้ำหนักและแรงกดทับที่กระทำไปที่ข้อเข่า นอกจากนี้แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการบริหารข้อเข่าและกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรง
  2. การรักษาโดยการใช้ยา : หากผู้ป่วยออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์แล้วยังไม่ได้ผล หรือหากมีอาการเจ็บปวดรุนแรง แพทย์อาจพิจารณารักษาด้วยการให้ยาบรรเทาอาการปวด เช่น พาราเซตามอล หรือกลุ่มยาที่ช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อและข้อ เช่น ไอบูโปรเฟน
  3. การรักษาโดยการฉีดยา : แพทย์อาจพิจารณารักษาด้วยการฉีดยาเข้าบริเวณข้อเข่า หรือฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่าให้กับผู้ป่วย
  4. การรักษาโดยการการฉีดเกล็ดเลือดแก้อาการปวดเข่า : การรักษาเข่าเสื่อมด้วยการฉีดเกล็ดเลือด (platelet-rich plasma; PRP) เป็นทางเลือกการรักษาอาการเข่าเสื่อมที่ลดอาการปวดได้ดี ปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด ช่วยลดการใช้ยาแก้ปวด

การรักษาด้วยการผ่าตัด


  1. การผ่าตัดเข่าส่องกล้อง (Knee Arthroscopic Surgery) : เป็นการผ่าตัด โดยการเจาะรูเล็กขนาดประมาณ 6-8 มิลลิเมตร บริเวณด้านหน้าข้อเข่าและใช้กล้อง Arthroscope ส่องเข้าไปในข้อเข่าและใช้เครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็กสอดเข้าไปเพื่อผ่าตัด มักใช้ในกรณีที่การสึกหรอของกระดูกอ่อนผิวข้อมีไม่มาก และมีอาการขัดในข้อเนื่องมาจากหมอนรองกระดูกฉีก หรือมีเศษกระดูกงอกหลุดมาขัดในข้อ แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดด้วยวิธีนี้เพื่อตัดแต่งหมอนรองกระดูกที่ฉีก หรือเอาเศษกระดูกงอกดังกล่าวออก
  2. การผ่าตัดจัดแนวกระดูก (High Tibial Osteotomy) : แพทย์จะทำการผ่าตัด โดยจัดแนวกระดูกใหม่เพื่อลดแรงกดที่บริเวณกระดูกอ่อนผิวข้อที่มีความเสื่อม แพทย์มักพิจารณาการผ่าตัดแบบนี้ในผู้ป่วยที่มีการสึกหรอที่บริเวณกระดูกผิวข้อเพียงด้านเดียว โดยส่วนใหญ่มักพบที่ด้านในของข้อเข่า การผ่าตัดวิธีนี้นิยมใช้ในผู้ป่วยที่มีอายุน้อยและขาของผู้ป่วยมีการโก่งผิดรูป หลังการผ่าตัดผู้ป่วยสามารถกลับไปมีกิจกรรมต่าง ๆ ได้ใกล้เคียงกับข้อเข่าเดิม แต่ระยะพักฟื้นหลังผ่าตัดค่อนข้างนานสำหรับการผ่าตัดวิธีนี้
  3. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าแบบบางส่วน (Partial Knee Arthroplasty) : การผ่าตัดด้วยวิธีนี้มีหลายวิธี แต่ในประเทศไทยนิยมทำด้วยวิธี Unicompartment Knee Arthroplasty (UKA) โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนเฉพาะผิวข้อส่วนที่สึกหรอ โดยทั่วไปจะพิจารณาทำในกรณีที่ผู้ป่วยมีการสึกหรอที่บริเวณกระดูกผิวข้อเพียงด้านเดียวและขาของผู้ป่วยยังไม่โก่งผิดรูปมาก
  4. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าแบบทั้งหมด (Total Knee Arthroplasty) : แพทย์จะทำการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อทั้งหมด ซึ่งวิธีนี้มักจะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการอยู่ในระยะท้ายของโรคข้อเข่าเสื่อมที่มีการโก่งผิดรูปของข้อเข่าและมีการสึกหรอลุกลามไปยังบริเวณกระดูกผิวข้อเกือบทั้งหมด โดยแพทย์จะผ่าตัดนำผิวข้อเข่าออกทั้งหมดแล้วแทนที่ด้วยผิวข้อเทียมที่ทำจากโลหะผสมและพลาสติกสังเคราะห์ที่มีความปลอดภัยและคงทนสูง

IMG_3595.jpg

การป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม และการถนอมข้อเข่า


การป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมและการถนอมข้อเข่าสามารถทำได้ดังนี้


  1. รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม : น้ำหนักตัวที่มากจะเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดข้อเข่าเสื่อม เนื่องจากข้อเข่าต้องรับน้ำหนักมากขึ้น การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจึงเป็นการลดภาระของข้อเข่า
  2. ออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ : การออกกำลังกายที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าให้แข็งแรง โดยควรเลือกประเภทของการออกกำลังกายที่ไม่มีแรงกดดันต่อข้อเข่ามากเกินไป เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน หรือการออกกำลังกายแบบยืดเหยียดและการออกกำลังกายแบบฝึกสมดุลจะสามารถช่วยรักษาความยืดหยุ่นของข้อเข่าและลดโอกาสการบาดเจ็บได้
  3. หลีกเลี่ยงการใช้งานข้อเข่าหนักเกินไป : หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อเข่ามาก ๆ เช่น การวิ่งบนพื้นผิวแข็ง หรือการนั่งยอง ๆ เป็นเวลานาน หากต้องทำกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อเข่ามาก ควรหยุดพักเป็นระยะเพื่อให้ข้อเข่าได้พักผ่อน
  4. สวมรองเท้าที่เหมาะสม : การเลือกรองเท้าที่มีพื้นรองรับที่ดีจะช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อเข่าและป้องกันการสึกหรอของข้อเข่าได้
  5. ใช้ท่าทางที่ถูกต้องในการเคลื่อนไหว : ใช้ท่าทางที่ถูกต้องในการเคลื่อนไหว เช่น การลุกนั่ง การยกของ หรือการเดิน เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของข้อเข่า
  6. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อข้อ : รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม วิตามินดี และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ และปลา ซึ่งจะช่วยบำรุงกระดูกและข้อเข่าให้แข็งแรง
  7. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ : การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลง ซึ่งส่งผลต่อการฟื้นฟูของข้อและกระดูก

สรุป


โรคข้อเข่าเสื่อม แม้จะเป็นปัญหาที่พบมากในผู้สูงอายุ แต่ก็สามารถพบได้ในวัยทำงานได้เช่นกัน ซึ่งมักจะเกิดจากกระดูกอ่อนผิวข้อถูกทำลาย หรือสาเหตุอื่น ๆ


อย่างไรก็ตาม เราสามารถป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมได้ด้วยการทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรค และดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม เพื่อทำให้เรามีความสุขในทุกย่างก้าวที่เดิน


ศูนย์กระดูกและข้อพระรามเก้า เราตระหนักถึงความสำคัญในทุกย่างก้าวของทุกคนในทุกเพศทุกวัย เราจึงพร้อมให้คำปรึกษา ตรวจวินิจฉัย และทำการรักษาโรคกระดูกและข้อโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเฉพาะทาง ด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้มาตรฐาน สร้างความมั่นใจและสร้างความสุขให้กับทุกคนในทุกก้าวใหม่ ๆ ของทุกวัน

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. พฤกษ์  ไชยกิจ

นพ. พฤกษ์ ไชยกิจ

ศูนย์กระดูกและข้อโรงพยาบาลพระรามเก้า

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital