บทความสุขภาพ

Knowledge

ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) อาการเรื้อรังที่ต้องรีบรักษา ก่อนจะบานปลาย

นพ. ปรมินทร์ ชัยวิบูลย์ผล

ยุคสมัยนี้ โรคออฟฟิศซินโดรม (office syndrome) ดูจะเป็นโรคที่คนยุคใหม่เป็นกันมากพอสมควร ด้วยพฤติกรรมการทำงานและการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป เราไม่ค่อยเน้นการยืน เดิน เคลื่อนไหว หรือออกแรงเหมือนแต่ก่อน กลายเป็นการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ หรือก้มดูมือถือนาน ๆ แทน


อาการออฟฟิศซินโดรม เริ่มแรกคือ รู้สึกปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ สะบัก และบริเวณหลัง การนวดอาจจะช่วยให้ดีขึ้นได้ แต่ผ่านไปสักระยะหนึ่งก็จะกลับมาเป็นอีก และเป็นเรื้อรังมากขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้ โดยไม่มาตรวจหาสาเหตุและทำการรักษา อาจลุกลามจนเป็นโรคไมเกรน หรืออาจเกิดโรคทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อที่รุนแรงขึ้นตามมาได้


บทความนี้จะพาเราเจาะลึกโรคยอดฮิตชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุ อาการ พร้อมแนวทางการรักษาอย่างถูกต้อง ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ตั้งแต่แนวทางปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมให้เหมาะสม การออกกำลังกาย ไปจนถึงการทำกายภาพบำบัด พร้อมอัปเดตเทคโนโลยีการรักษาล่าสุดที่คุณต้องรู้


ออฟฟิศซินโดรม คืออะไร


Artboard-2.jpg

ออฟฟิศซินโดรม (office syndrome) คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด รวมถึงอาการปวดหรือชาจากอาการอักเสบจากเนื้อเยื่อและเอ็น มักเกิดขึ้นกับกลุ่มวัยทำงานที่ต้องนั่งทำงานในออฟฟิศหรือทำงานโดยใช้คอมพิวเตอร์และมือถือเป็นประจำ


โรคออฟฟิศซินโดรม มีสาเหตุมาจากอะไร


Artboard-3.jpg

ออฟฟิศซินโดรม มักเกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อมัดเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ไม่ค่อยได้เปลี่ยนท่าทาง รวมถึงอิริยาบถที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งไขว่ห้างเป็นประจำ การนั่งตัวงอ หรือการก้มหน้านาน ๆ เป็นต้น ทำให้กล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานซ้ำ ๆ มีการหดเกร็ง หรือยืดค้างในรูปแบบเดิมบ่อย ๆ จนกล้ามเนื้อมัดนั้น ๆ เกิดการบาดเจ็บ หรืออาจขมวดเป็นก้อนตึง และเกิดอาการปวดตามมา


กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ในร่างกายของเรามีลักษณะเป็นเส้นใยร้อยโยงต่อเนื่องกันหลายส่วน เมื่อกล้ามเนื้อเริ่มมีการขมวดกันเป็นปมขึ้น ก็ดึงรั้งกันไปมา ตอนแรกอาการปวดตึงอาจจะเริ่มจากจุดหนึ่ง แต่พอนานวันเข้าก็จะร้าวไปปวดอีกจุดหนึ่ง เพราะถูกดึงรั้งจากกล้ามเนื้อส่วนที่หดเกร็ง รู้ตัวอีกทีก็จะปวดเป็นบริเวณกว้าง ๆ ระบุหาตำแหน่งที่ปวดจริง ๆ ไม่ได้เลย


ธรรมชาติของคนทำงานประจำในยุคนี้ มักจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานได้ยาก เพราะต้องโฟกัสกับงานที่ทำ หรือยุ่งจนลืมปรับเปลี่ยนท่าทางและหยุดพัก บ่อยครั้งจึงปล่อยให้อาการของโรคนี้มีอาการหนักมากขึ้น หรือลุกลามไปยังกล้ามเนื้อและระบบประสาทส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน


หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา หรือไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายตามมา เช่น เสี่ยงต่อการเกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กระดูกสันหลังคด และแขนขาอ่อนแรงอีกด้วย


อาการออฟฟิศซินโดรม ที่พบได้บ่อยดังนี้


1. ปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด: เป็นกลุ่มอาการยอดฮิตของออฟฟิศซินโดรม โดยจะเริ่มจากมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ สะบัก ส่วนหลัง และสะโพก และมักจะเป็นเรื้อรังไม่หายขาด


2. เส้นประสาทที่ข้อมือถูกกดทับ: เกิดขึ้นจากมีพังผืดบริเวณข้อมือ (ด้านฝ่ามือ) ทำให้เส้นประสาทบริเวณนั้นถูกกดทับ เกิดอาการปวดและชาที่นิ้วมือ ฝ่ามือ หรือแขน


3. นิ้วล็อค: เกิดจากการออกแรงที่นิ้วมือมาก ๆ และบ่อยครั้ง ทำให้เกิดการเสียดสีจนอักเสบบริเวณปลอกหุ้มเอ็น และเส้นเอ็นของนิ้วมือ มักพบอาการนี้ในกลุ่มคนที่ทำงานเป็นแม่บ้าน


4. เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ: เกิดการบวมหรือเจ็บที่บริเวณเอ็นกล้ามเนื้อ มักเป็นบริเวณหัวไหล่ ข้อศอก ข้อเท้า เข่า และข้อมือ ซึ่งมักเกิดจากอุบัติเหตุ การกระแทก การใช้งานรุนแรง หรือการใช้งานที่บ่อยครั้งเกินไป ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดบริเวณที่มีอาการ


Artboard-4.jpg

5. อาการตาแห้ง: เกิดจากต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติ โดยสาเหตุอาจมาจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือมือถือนานเกินไป


6. อาการปวดตา: เนื่องจากจ้องหน้าจอหรือมือถือนานเกินไปโดยไม่ได้พักสายตา ซึ่งในหลาย ๆ ครั้ง อาการปวดตามักก่อให้เกิดอาการปวดหัวตามมาได้


7. อาการปวดหัว: อาการปวดหัวจากออฟฟิศซินโดรม มักเกิดจากการลุกลามของปัญหากล้ามเนื้อบริเวณบ่าที่ตึง ทำให้เลือดไม่สามารถไหลไปเลี้ยงส่วนหัวได้สะดวก หรือบางครั้งอาจเกิดจากอาการปวดตาหรือตาแห้ง แล้วร้าวไปถึงหัวได้ บางคนอาจรุนแรงเป็นอาการปวดหัวไมเกรน


8. อาการปวดหลัง: เป็นอาการปวดหลังที่เกิดจากท่ายืนหรือท่านั่งไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน หรือมีการใช้กล้ามเนื้อหลังที่รุนแรงเกินไป จนเกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ


นอกจากนี้ ออฟฟิศซินโดรม ยังมีกลุ่มอาการที่เกิดจากส่วนของกระดูกสันหลังมีปัญหา ซึ่งมักจะสัมพันธ์กันกับท่านั่งทำงานที่ไม่เหมาะสมของเราด้วย หลาย ๆ ครั้งมักเป็นอาการรุนแรงที่ควรรีบรักษา เช่น โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โรคหมอนรองกระดูกปลิ้น หรือโรคกระดูกสันหลังคด เป็นต้น


แนวทางการสังเกตอาการโรคออฟฟิศซินโดรมด้วยตัวเอง


ลักษณะของอาการออฟฟิศซินโดรม สังเกตได้จากอาการปวดที่มีลักษณะเรื้อรัง โดยอาจจะเริ่มจากปวดเบา ๆ ไปจนถึงปวดมาก หรืออาการปวดล้า และปวดร้าวไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็น ๆ หาย ๆ หรือมีอาการเป็นประจำ ซึ่งอาการปวดเหล่านี้ สามารถเกิดได้หลายส่วนในร่างกาย ได้แก่


  • บริเวณส่วนบนของร่างกาย เช่น หัว ดวงตา ท้ายทอย คอ ไหล่ สะบัก นิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก
  • บริเวณส่วนหลัง
  • ส่วนล่างของร่างกาย เช่น สะโพก ต้นขา เข่า ข้อเท้า

สังเกตว่า ผู้ป่วยมักจะมีอาการบ่อย ๆ หรือเกิดเรื้อรัง บางคนอาจลามไปถึงอาการปวดหัวได้ และหากเป็นมากขึ้น จะไม่สามารถชี้ตำแหน่งที่เป็นได้ชัดเจน เพราะจะรู้สึกปวดเป็นบริเวณกว้าง ๆ เนื่องจากกล้ามเนื้อและเส้นประสาทส่วนต่าง ๆ ที่รู้สึกปวดมีความเกี่ยวข้องเชื่อมต่อกัน


นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการเหน็บชา รู้สึกซ่า ๆ ซึ่งเป็นอาการของระบบประสาทอัตโนมัติ จากโรคออฟฟิศซินโดรม


หากเริ่มพบว่าตัวเองมีอาการเหล่านี้บ่อย ๆ หรือมีลักษณะเรื้อรัง เป็นไปได้ว่าเราอาจมีอาการของโรคออฟฟิศซินโดรมเข้าแล้ว ควรปรึกษาแพทย์


ใครมีโอกาสเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้บ้าง


อาการออฟฟิศซินโดรม อาจพบได้ทั้งในคนทำงานแบบใช้แรงเป็นประจำ และคนที่นั่งทำงานในออฟฟิศ เนื่องจากทั้งสองกลุ่มมีโอกาสที่จะทำใช้กล้ามเนื้อในรูปแบบซ้ำ ๆ เป็นประจำ


คนทำงานในออฟฟิศ แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะแทบไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรเลย จนดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อ แต่การนั่ง ยืน หรือค้างอยู่ในท่า ๆ หนึ่งนานเกินไป เช่น การก้มหน้าใช้งานมือถือ ก็ส่งผลให้กล้ามเนื้อมัดที่ใช้ในอิริยาบถนั้น ๆ บ่อย ๆ เกิดอาการตึงและปวดตามมาได้


กรณีของผู้ใช้แรงงานเป็นประจำ หรือกลุ่มนักกีฬา อาการทางกล้ามเนื้อหรือกระดูกอาจจะมาจากการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะสม เช่น การยกของผิดท่า การกระชากกล้ามเนื้อเร็วเกินไป การออกแรงมากเกินไป หรือต้องแบกของที่มีน้ำหนักมากเกินไป เป็นต้น ทำให้กล้ามเนื้อหรือกระดูกได้รับบาดเจ็บอย่างเฉียบพลันหรือเรื้อรัง


Artboard-5.jpg

ต่อไปนี้คือแนวทางการในสำรวจตัวเองง่าย ๆ ว่าเราเสี่ยงต่อการเป็นออฟฟิศซินโดรมหรือไม่?


  1. เรามีแนวโน้มต้องทำกิจกรรมหรือทำงานลักษณะเดิม ๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวันหรือไม่ เช่น
    1. พนักงานออฟฟิศ ที่ต้องนั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ไม่ค่อยได้ลุกไปไหน
    2. พนักงานขาย ที่ต้องยืนขายตลอดทั้งวัน (โดยเฉพาะพนักงานที่ต้องใส่รองเท้าส้นสูง)
    3. คนขายกาแฟโบราณ ที่ต้องยืนชงกาแฟ โดยออกแรงใช้มือและแขนข้างเดิมซ้ำ ๆ ทุกวัน
    4. พนักงานขับรถ ที่ต้องนั่งขับรถอยู่เป็นเวลานาน ๆ
  2. ผู้ที่มีอาการปวด ในช่วงเวลาที่สัมพันธ์กับเวลาทำงาน และอาการดีขึ้นหรือไม่มีอาการในวันที่หยุดพัก
  3. ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสม เช่น ออฟฟิศแออัด อากาศไม่ถ่ายเท โต๊ะเก้าอี้ไม่เหมาะกับสรีระ เป็นต้น
  4. มีเวลาพักผ่อนน้อย หรือไม่ได้พักผ่อน
  5. มีความเครียดจากการทำงานสูง หรืออยู่ในสภาพสังคมการทำงานที่เป็นพิษ
  6. ผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ พอรักษาหรือยืดกล้ามเนื้อแล้ว อาการก็ดีขึ้นชั่วคราว แต่สักพักก็กลับมาเป็นอีก มักมีอาการบริเวณกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ ต้นคอ สะบัก ส่วนหลัง
  7. มีอาการปวดร้าวไปยังส่วนต่าง ๆ เช่น ปวดร้าวขึ้นศีรษะ ปวดร้าวไปที่ไหล่หรือแขน ปวดร้าวลงขา สัมพันธ์กับท่าทางของเรา
  8. ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว หรือไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  9. ทำงานในลักษณะที่ต้องใช้แรงเป็นประจำ เช่น งานแบกหาม งานลาก ยก หรือเข็นวัสดุสิ่งของ
  10. นักกีฬา หรือผู้ที่ต้องเล่นกีฬาเป็นประจำ

แนวทางการรักษาออฟฟิศซินโดรม


หลายคนอาจลองค้นหาวิธีแก้ อาการออฟฟิศซินโดรมด้วยตนเองมาบ้างแล้ว จะพบว่าส่วนใหญ่ก็มักจะแนะนำให้เราเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตามมาด้วยท่าบริหารร่างกายเพื่อป้องกันหรือทุเลาอาการ และหากไม่ดีขึ้นจริง ๆ จึงค่อยไปปรึกษาแพทย์ ซึ่งเมื่อแบ่งเป็นหมวดหมู่ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น จะแบ่งเป็น 3 ระยะ


วิธีแก้ออฟฟิศซินโดรมที่ได้ผลในระยะสั้น


มักจะเป็นการรักษาหรือการทำท่าบริหารร่างกายอย่างง่าย ช่วยให้อาการทุเลา ไม่เป็นหนักขึ้น มักจะใช้ในการลดอาการปวดกล้ามเนื้อคอ บ่า สะบัก หน้าอก ไหล่ แขน และหน้าท้อง ได้แก่


Artboard-6.jpg
  1. การยืดกล้ามเนื้อในขณะกำลังทำงานเป็นระยะ ๆ แบ่งเป็นการยืดเพื่อคลายกล้ามเนื้อส่วนบน และกล้ามเนื้อส่วนล่าง โดยมักจะเน้นกล้ามเนื้อที่เกิดอาการปวดบ่อย ๆ ในกลุ่มคนที่ทำงานออฟฟิศ
  2. การนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือนวดโดยใช้ครีมแก้ปวด แปะแผ่นเจลประคบ หรือรับประทานยาแก้ปวด

โรคออฟฟิศซินโดรม รักษาที่ต้นเหตุ ได้ผลยั่งยืนกว่า


มีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นออฟฟิศซินโดรมว่า หากแก้ไขที่ต้นเหตุได้ จะเป็นผลดีที่สุด โดยสามารถทำได้ดังนี้


Artboard-7.jpg

1. การปรับพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเวลาพักเป็นระยะ (ข้อแนะนำคือ ทุก ๆ 2 ชั่วโมงหรือเร็วกว่านั้น) การลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวหรือบริหารผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หมั่นปรับเปลี่ยนท่าทาง ไม่ค้างอยู่ท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป

ที่สำคัญควรเลือกใช้โต๊ะและเก้าอี้ที่ความเหมาะสมกับสรีระ ควรปรับระดับของการนั่งที่ถูกต้อง และปรับท่านั่งให้ถูกต้อง คือ นั่งหลังตรง จอคอมพิวเตอร์จะต้องอยู่ในระดับสายตา ไม่ก้มหรือเงย และหัวไหล่ไม่ยกขณะทำงาน


อ่านเพิ่มเติม


2. การออกกำลังกายเป็นประจำ ด้วยวิธีการที่หลากหลาย ได้แก่


  • ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ซึ่งช่วยทำให้การหมุนเวียนโลหิตมีประสิทธิภาพ กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวจะมีความแข็งแรงขึ้น ป้องกันเอ็นและข้อยึด เกิดความยืดหยุ่น
  • ออกกำลังกายแบบเสริมสร้างกล้ามเนื้อ โดยการเสริมสร้างเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของเรา เช่น การหมุน การก้ม-เงย และการเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนแกนกลางลำตัว เช่น การออกกำลังกายแบบพิลาทิส จะทำให้ลดโอกาสบาดเจ็บของ กระดูกสันหลัง ซึ่งมักได้รับผลกระทบโดยตรงจากท่านั่งของเรา
  • ออกกำลังกายแบบยืดเหยียด มีประโยชน์ในการยืดและบริหารกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ทำให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้เป็นปกติ และลดอาการตึงและเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ

สำหรับรายที่มีอาการมาก ๆ แล้ว หรือพยายามเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแล้ว แต่อาการปวดกล้ามเนื้อยังไม่ดีขึ้น มีอาการปวดเรื้อรัง ปวดจนนอนไม่หลับ ทำงานไม่ได้ มีภาวะแขนขาอ่อนแรง หรือบางราย อาจมีสาเหตุหรือมีภาวะซ่อนเร้นอื่น ๆ ควรเข้ามาพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด หากเป็นอาการออฟฟิศซินโดรมจริง ก็ต้องรักษากับแพทย์ด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู


ออฟฟิศซินโดรม รักษาที่ไหน เลือกอย่างไร


โรคออฟฟิศซินโดรม เป็นโรคที่มีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมของเราเอง และยังมีความเกี่ยวข้องกับระบบกล้ามเนื้อ ประสาท และกระดูก จะรักษาหรือแก้ไขเพียงประเด็นใดประเด็นหนึ่งไม่ได้ จึงต้องอาศัยการตรวจหาสาเหตุ และวางแผนรักษาที่บูรณาการหลายด้าน ดังนี้


รักษาออฟฟิศซินโดรมแบบบูรณาการ โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู นักกายภาพบำบัด และหลากหลายสาขาวิชาชีพ


เนื่องจากทีมแพทย์ที่มุ่งเน้นการรักษาโรคนี้โดยตรงนั้น จะเข้าใจและเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์หาสาเหตุอาการและวางแผนการรักษาแบบบูรณาการ ทั้งการใช้ยา กายภาพบำบัด ประเมินเพื่อจัดสมดุลของโครงสร้างร่างกาย และการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ในการบำบัดอาการได้อย่างเหมาะสมในทุกมิติ


ใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์และเทคโนโลยีการรักษาที่หลากหลายและเกี่ยวข้องโดยตรงกับโรคออฟฟิศซินโดรม


ทั้งนี้ อาจมีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น X-ray, MRI, Electrodiagnosis ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ อาการ และความรุนแรงของโรค


  • เครื่องกระตุ้นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ Peripheral Magnetic Stimulation (PMS) เป็นเทคโนโลยีที่มีการใช้เครื่องมือในการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มากระตุ้นระบบประสาท ซึ่งการรักษาช่วยลดอาการปวด อาการชา และการอักเสบ จากการทำงานที่ผิดปกติของปลายประสาทให้ดีขึ้น
  • คลื่นกระแทกช็อคเวฟ (Shockwave Therapy) โดยใช้คลื่นกระแทกบนกล้ามเนื้อที่มีอาการปวด ช่วยลดอาการปวดและกระตุ้นเนื้อเยื่อให้มีการซ่อมแซมและสร้างเสริม โดยเฉพาะกรณีอาการปวดที่เรื้อรังของระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและข้อ
  • เทคโนโลยีจัดกระดูกสันหลัง ปัจจุบัน มีเตียงจัดกระดูกสันหลังที่หมุนได้สามมิติ เหมาะสำหรับรักษาอาการปวดหลังเรื้อรัง และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดกระดูกของผู้ที่มีปัญหากระดูกสันหลังคด

Artboard-9.jpg
  • การรักษาโดยใช้ความเย็นจัด (Whole Body Cryotherapy หรือ Ice lab) เพื่อกระตุ้นให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายตอบสนองต่อความเย็นจัดถึง -110 C เป็นเวลา 3 นาที โดยกระตุ้นร่างกายให้ปรับตัวสู้กับความปวดและความเครียด

Artboard-8.jpg

มีระบบสนับสนุนการรักษาแบบบูรณาการที่หลากหลาย


การมีสภาพแวดล้อมการรักษาแบบบูรณาการ จะยิ่งเอื้อให้ผู้ป่วยสามารถใช้บริการเพื่อรักษา บรรเทา และป้องกันอาการออฟฟิศซินโดรมได้หลากหลาย เหมาะสมกับตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยสามารถหายจากโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


สามารถเข้ามาเยี่ยมชมและขอคำปรึกษาเพื่อรับการรักษาออฟฟิศซินโดรมแบบครบวงจรได้ที่นี่

สรุป


ออฟฟิศซินโดรม (office syndrome) เป็นอาการที่แม้จะไม่ได้เสี่ยงถึงชีวิต แต่สร้างความรำคาญและสามารถลุกลามไปยังกล้ามเนื้อหรือกระดูกส่วนอื่น ๆ ได้ เรียกได้ว่า ยิ่งเป็นแล้วปล่อยไว้ จะยิ่งทรมาน ส่งผลกระทบต่อการทำงาน การใช้ชีวิต รวมถึงสภาพจิตใจได้มาก


แนวทางการรักษาออฟฟิศซินโดรม สามารถเริ่มได้ที่ตัวเราเอง ด้วยการปรับพฤติกรรมตัวเองเสียใหม่ ลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พยายามพักผ่อน ยืดเหยียดบริหารกล้ามเนื้อบ้าง และจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทำงาน เสาะหาวิธีลดความเครียดหรือลดการทำงานหนัก ซึ่งจะเป็นแนวทางการป้องกันที่ยั่งยืนที่สุด


อย่างไรก็ตาม นอกจากการรักษาหรือป้องกันด้วยตัวเองแล้ว หากมีอาการมากจริง ๆ ควรเข้ารับการรักษาหรือบรรเทาอาการให้ทุเลาลง ตั้งแต่การรักษาที่เน้นให้อาการทุเลาลงแบบระยะสั้น เช่น การนวดผ่อนคลาย การใช้ยารักษา ไปจนถึงการรักษาด้วยเวชศาสตร์ฟื้นฟู การทำกายภาพบำบัด และการบูรณาการแนวคิดการรักษา รวมถึงประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ต่าง ๆ เข้ามาช่วย


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. ปรมินทร์ ชัยวิบูลย์ผล

นพ. ปรมินทร์ ชัยวิบูลย์ผล

ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital