บทความสุขภาพ
Knowledge
นพ. ณรงค์ เชาวนะปัญจะ, พญ. เพชรรัตน์ แสงทอง
โดย นพ. ณรงค์ เชาวนะปัญจะ และ พญ. เพชรรัตน์ แสงทอง
หลายคนอาจคิดว่าปัญหาการนอนกรนเป็นแค่เรื่องของความเสียงดังน่ารำคาญ แท้จริงแล้วอาการดังกล่าวสามารถสร้างปัญหาสุขภาพมากกว่าที่คิด บางคนอาจแค่มีอาการเจ็บคอหรือคอแห้งหลังตื่นนอนทุกเช้า ในขณะที่บางคนมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย และเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น เมื่อรู้ตัวว่ามีอาการนอนกรน จึงไม่ควรประมาทเด็ดขาด หากลองแก้ไขด้วยวิธีต่างๆ เองแล้วไม่หาย อย่าปล่อยไว้ ให้รีบมาปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย รวมทั้งพิจารณาตรวจการนอนหลับ (Sleep test) และวางแผนหาแนวทางการรักษาต่อไป
ใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อยากรู้ว่าควรรักษานอนกรนที่ไหนดี และต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบให้แล้ว
การนอนกรน เกิดจากทางเดินหายใจส่วนบนถูกอุดกั้น โดยในขณะที่เรานอนหลับ กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบริเวณช่องคอส่วนบน ได้แก่
ลิ้นไก่ เพดานอ่อน คอหอย โคนลิ้น และฝาปิดกล่องเสียง จะหย่อนตัวลง ทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบ เมื่อลมเคลื่อนที่ผ่านบริเวณดังกล่าวจึงเกิดเสียงดังขึ้น กลายเป็นเสียงกรนเจ้าปัญหาในที่สุด
1.นอนกรนธรรมดา (snoring) ซึ่งอาจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวหรืออาจเกิดขึ้นเป็นประจำก็ได้ กรณีนี้น่าเป็นห่วงคนข้างกายที่อาจหลับไม่สนิทหรือต้องลุกขึ้นกลางดึกเพราะเสียงดังรบกวน หากหาสาเหตุหรือแก้ไขได้ก็จะเป็นเรื่องดี
2.นอนกรน และมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (obstructive sleep apnea; OSA) ร่วมด้วย กรณีนี้ น่าเป็นห่วงทั้งคนข้างกายและ
ตัวผู้นอนเองด้วย เนื่องจากร่างกายมีโอกาสที่จะได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดปัญหาในระยะสั้นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และเกิดความผิดปกติต่อระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายในระยะยาวได้
โดยอาการนอนกรนบ่งบอกถึงทางเดินหายใจบางส่วนถูกอุดกั้น ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เราจะทราบได้อย่างไรว่า อาการนอนกรนของเรานั้นมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย
มีข้อสังเกตคือ หากเป็นกรณีที่นอนกรนแล้วมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย เสียงกรนจะมีลักษณะที่ไม่สม่ำเสมอ โดยผู้ป่วยจะหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ สลับกับเสียงกรน
ในช่วงที่ผู้ป่วยมีภาวะหยุดหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือดแดงอาจจะต่ำลงกว่าค่าปกติ มีผลให้หัวใจ ปอด และสมองทำงานหนักมากขึ้น
ผู้ป่วยอาจสะดุ้งตื่นกลางดึกบ่อย ๆ ทำให้นอนหลับได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกิดปัญหาการนอนหลับและมีอาการทางสุขภาพตามมา เช่น
ปัญหาสุขภาพที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ อาจเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญในการใช้ชีวิตประจำวัน บางคนอาจจะทนไหว และคิดว่าพยายามพักผ่อนให้มากขึ้นอาจจะดีขึ้นเอง แต่อาการเหล่านี้มักไม่หายได้เอง จนกว่าผู้ป่วยจะปรับพฤติกรรมอย่างจริงจังหรือได้รับการรักษาที่
ถูกต้องเสียก่อน ซึ่งหากปล่อยไว้ บางทีอาจก่อให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรงต่อสุขภาพได้ เช่น
การนอนกรนร่วมกับภาวะหยุดหายใจทำให้มีการขาดออกซิเจน ผู้ป่วยตื่นบ่อยๆ กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงขึ้นได้ และเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง ที่เราสามารถรักษาแก้ไขได้
การนอนกรนร่วมกับภาวะหยุดหายใจทำให้ขาดออกซิเจน ร่างกายจะมีการกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นมาเพื่อส่งออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกาย สลับกับกลับมาเต้นช้าเมื่อออกซิเจนเพียงพอ เมื่อหัวใจเต้นเร็วสลับช้าแบบนี้บ่อยครั้งเวลานอนส่งผลให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะในที่สุด
ปัญหาการนอนกรนเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากการนอนหลับและเกิดการขาดออกซิเจน ส่งผลให้ร่างกายเกิดความเครียดและ ส่งผลต่อการไม่แข็งตัวของอวัยวะเพศชาย และในเพศหญิงเกิดการทำหน้าที่ผิดปกติทางเพศสัมพันธ์
ภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นขณะหลับ เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะความดันเลือดในปอดสูง ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ทำให้การสูบฉีดและแลกเปลี่ยนออกซิเจนทำได้น้อยลง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากปล่อยให้การนอนกรนเป็นแค่เรื่องของเสียงดังรบกวน และไม่รีบมาตรวจหรือวางแผนการรักษา อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาได้อีกมากมายเลยทีเดียว
โดยทั่วไป การตรวจคัดกรองโรคนอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับเบื้องต้น แพทย์จะสอบถามข้อมูลจากตัวผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิด เช่น สามีหรือภรรยา และจะให้ทำแบบสอบถามว่ามีอาการเผลอหลับในสถานการณ์ต่าง ๆ บ้างหรือไม่ แบบสอบถามนี้เรียกว่า Epworth sleepiness scale
แต่หากเราเริ่มสงสัยว่าตัวเองอาจมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และส่งผลกระทบต่อปัญหาง่วงเหงาหาวนอนมากจนดูผิดปกติ สามารถลองทำแบบสอบถามความง่วงนี้และให้คะแนนประเมินตัวเองได้เหมือนกัน โดยดูได้จากตารางนี้
โดยคะแนน 0 = ไม่เคยง่วง, 1 = ง่วงเล็กน้อย, 2 = ง่วงปานกลาง, 3 = ง่วงมาก
แบบสอบถาม Epworth sleepiness scale
หากว่าเราได้คะแนนรวมกันมากกว่าหรือเท่ากับ 9 คะแนนขึ้นไป แสดงว่าเรามีภาวะง่วงมากผิดปกติ ควรได้รับการสืบค้นหาสาเหตุเพื่อวินิจฉัยโรคและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจโดยละเอียดอีกที ด้วยวิธี sleep test
Sleep test คือ การตรวจการนอนหลับ เพื่อบันทึกลักษณะความผิดปกติขณะนอนหลับ ซึ่งแพทย์จะนำผลไปวินิจฉัย เพื่อประเมินความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับต่อไป
ในขณะที่ทำ Sleep test นักเทคนิคการแพทย์จะทำการบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น
หลังจากนั้น จะนำข้อมูลต่าง ๆ ที่บันทึกได้ พร้อมกับผลการตรวจร่างกาย มาวินิจฉัยและวางแผนการรักษาต่อไป
สำหรับท่านที่สงสัยว่า จะไปตรวจ sleep test และรักษานอนกรนที่ไหนดี ปัจจุบัน เราสามารถเข้ารับการตรวจ sleep test ได้จาก 3 สถานที่หลัก ๆ คือ โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน ตามคลินิกต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการตรวจที่บ้าน โดยมีเทคนิคในการเลือกสถานที่ตรวจให้เหมาะกับเราดังนี้
เราควรค้นหาสถานที่ตรวจ Sleep test โดยพิจารณาจากทีมแพทย์และนักเทคนิคที่เชี่ยวชาญในการแปลผล มีทีมแพทย์และพยาบาลพร้อมในภาวะฉุกเฉิน เพื่อรับมือกับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่มีโรคนอนกรนรุนแรง และควรสำรวจหาสถานที่ตรวจที่มีบรรยากาศห้องนอนที่ดูสงบ น่าผ่อนคลาย แยกออกจากบริเวณที่คนพลุกพล่าน เพื่อที่เราจะได้หลับสนิทอย่างเต็มที่ ผลการบันทึกจะได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
มีข้อปฏิบัติโดยทั่วไป ดังนี้
หลังจากที่ทำ Sleep test เรียบร้อย แพทย์ก็จะนำผลมาประเมินความรุนแรงของอาการและหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
บางท่านอาจจะคิดว่า ก็นอนกรนไปแล้ว คงไม่ต้องมาสนใจเรื่องสาเหตุกันอีก แต่ที่จริงแล้ว แม้ว่าเราจะมีอาการมาก่อนอยู่แล้ว ก็ไม่ได้แปลว่าปัญหานี้จะคงที่เท่าเดิมอยู่เช่นนี้เสมอไป
บางคนอาจจะเริ่มจากกรนเสียงเบาในวันแรก ๆ และกรนเสียงดังมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป บางคนอาจจะไม่เคยมีภาวะหยุดหายใจมาก่อน แต่พอเป็นมากขึ้น ก็เริ่มมีอาการหยุดหายใจเป็นพัก ๆ หรือถึงขั้นหยุดหายใจไปหลายวินาที จนคนข้าง ๆ ต้องใจหายกันเลยทีเดียว
สาเหตุและปัจจัยที่กระตุ้นอาการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับของเรามีดังนี้
โดยทั่วไป แพทย์จะแนะนำการรักษาผสมผสานกันระหว่างการปรับพฤติกรรมและการใช้เทคนิคทางการแพทย์ โดยประเมินจากผล Sleep test และพิจารณาปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ป่วย ว่ามีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด
ทั้ง 2 วิธีนี้จะเหมาะกับภาวะความรุนแรงของอาการที่แตกต่างกัน (รวมถึงมีข้อดีข้อเสียต่างกันด้วย) จึงควรเข้ารับการตรวจ Sleep test ก่อน เพื่อให้สามารถประเมินได้ว่ามีอาการรุนแรงแค่ไหน
โดยการผ่าตัดจะมีอยู่หลายวิธี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่มีภาวะอุดกั้นลมหายใจ
นอนกรน อาจเป็นอาการที่สร้างความรำคาญซึ่งดูเหมือนจะพบเห็นกันเป็นปกติ บางคนอาจคิดว่าการรักษาโรคนี้จะยุ่งยากหรือมีค่าใช้จ่ายมาก เลยพาลไม่ไปตรวจเสียตั้งแต่แรก
ข้อแนะนำสำหรับคนนอนกรนก็คือ หากพบว่ามีอาการดังกล่าว ควรเข้ารับการตรวจ sleep test เพื่อให้รู้ว่าตัวเราเองมีอาการหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วยหรือไม่ และมีอาการรุนแรงมากน้อยเพียงใด เนื่องจากเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนหลายชนิด จึงไม่ควรประมาทเป็นอย่างยิ่ง
ขอให้กำลังใจว่า เมื่อการรักษาสำเร็จผ่านไปด้วยดี เราจะนอนเต็มอิ่มมากขึ้น สุขภาพร่างกายและจิตใจดีขึ้น มีความสุขทั้งกับตัวเองและคนรอบตัว แถมยังอาจทำให้ชีวิตครอบครัวอบอุ่นหวานแหวว กันยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย
เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ
แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (0)
ดูทั้งหมด
บทความที่เกี่ยวข้อง (10)
ดูทั้งหมด
Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital