บทความสุขภาพ
Knowledge
พญ. รับพร ทักษิณวราจาร
โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) หรือที่เรียกกันว่า โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นโรคที่อันตรายและฉุกเฉินพบได้ทั้งในวัยสูงอายุและวัยทำงาน ซึ่งทำให้เสียชีวิตหรือพิการได้ ดังนั้นการตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคหลอดเลือดสมองอย่างถูกต้อง โดยแพทย์เฉพาะทางระบบประสาท จะช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้
การรักษาและป้องกันโรคหลอดเลือดสมองไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ นับเป็นการดูแลสุขภาพแบบยั่งยืน และช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองในระยะยาว
ศึกษาอาการและสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง เพิ่มเติมที่ https://www.praram9.com/stroke-symptoms/
โรคหลอดเลือดสมองถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดและเร่งด่วนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำและทันเวลา ผู้ป่วยควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาภายใน “4 ชั่วโมงครึ่ง” เพื่อรักษาให้เนื้อเยื่อสมองกลับมาทำงานได้อย่างปกติ เมื่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองถูกนำตัวมาที่โรงพยาบาลจะมีแนวทางในการตรวจวินิจฉัย คือ
แพทย์จำเป็นจะต้องซักประวัติอาการของผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาล โดยหากผู้ป่วยไม่สามารถให้ประวัติเองได้ แพทย์จำเป็นที่จะต้องซักประวัติจากญาติหรือผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ดังนี้
แพทย์จะตรวจสัญญาณชีพ ได้แก่ วัดความดัน ชีพจร การหายใจ และอุณหภูมิของร่างกาย ตรวจหัวใจ และตรวจการตอบสนองของระบบประสาทโดยละเอียด ได้แก่ การตรวจกำลังของกล้ามเนื้อ ความรู้สึกสัมผัสของร่างกาย การพูดและความเข้าใจ การฟังตามคำสั่ง การเดิน เป็นต้น
ผู้ป่วยที่สงสัยโรคหลอดเลือดสมองต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด เพื่อแยกออกจากภาวะอื่น ๆ รวมถึงเป็นการตรวจหาสาเหตุ เพื่อการพิจารณาการให้ยา และเพื่อการป้องกันการเป็นซ้ำในครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตาม แพทย์จะพิจารณาการตรวจตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย
การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง ไม่ว่าจะเป็นจากสาเหตุหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (ischemic stroke) หรือ หลอดเลือดสมองแตกหรือฉีกขาด (hemorrhagic stroke) หากรักษาได้อย่างทันท่วงที จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความเสี่ยงอัมพฤกษ์ อัมพาต และเพิ่มโอกาสให้สมองกลับมาทำงานเป็นปกติได้
โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดอัน สามารถรักษาให้ผู้ป่วยหายเป็นปกติได้ โดยผู้ป่วยไม่มีความพิการ อัมพฤกษ์ อัมพาตหลงเหลืออยู่ สิ่งสำคัญคือ จะต้องรีบนำส่งผู้ป่วยเข้ารับการรักษาทันทีหลังมีอาการภายในเวลา 4 ชั่วโมงครึ่ง แพทย์จะตรวจวินิจฉัยตามขั้นตอนที่กล่าวไปข้างต้น และทำการรักษาอย่างเร่งด่วน
จุดมุ่งหมายในการรักษาคือ ทำให้หลอดเลือดสมองกลับมามีเลือดไหลเวียนได้ปกติ โดยมีหลายวิธีการรักษา หนึ่งในการรักษาคือ การให้ยาละลายลิ่มเลือดเข้าทางหลอดเลือดดำ (IV rtPA; alteplase) ตัวยาจะออกฤทธิ์ละลายลิ่มเลือดที่ไปอุดตันสมองได้ประมาณ 30-50% ของผู้ป่วย และทำให้ผู้ป่วยไม่มีความพิการหลงเหลืออยู่ หรือมีความพิการน้อยมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการเข้ารับการรักษา
หลังจากการรักษาด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดแล้ว ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก (ICU) หรือหอผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (stroke unit) เพื่อการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดโดยบุคลากรทางการแพทย์เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการมานานกว่า 4 ชั่วโมงครึ่ง หากได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือดจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเลือดออกในสมองได้มากกว่าผู้ป่วยเข้ารับการรักษาทันทีหลังมีอาการประมาณ 6% (จากการศึกษา)
จุดมุ่งหมายในการรักษาโรคหลอดเลือดสมองแตก หรือฉีกขาดเฉียบพลัน คือ การควบคุมปริมาณเลือดที่ออกในสมอง เพื่อรักษาระดับความดันเลือด ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะเลือดออกในสมองปริมาณมาก จนกระทั่งมีภาวะความดันในกระโหลกสูง ผู้ป่วยอาจจะจำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัดเร่งด่วนทันทีที่นำส่งโรงพยาบาล
ถ้าในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะเลือดออกในสมองปริมาณน้อย อาจไม่จำเป็นที่จะต้องผ่าตัด แต่ให้การรักษาแบบประคับประคองได้ และหลังจากรับการรักษาแล้ว ผู้ป่วยจะต้องได้รับการดูแลในหอผู้ป่วยหนัก (ICU) เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงเช่นเดียวกัน
ในการรักษาโรคหลอดเลือดสมองชนิดที่มีเลือดออกในชั้นเยื่อหุ้มสมองจากหลอดเลือดสมองโป่งพองและแตก (subarachnoid hemorrhage from rupture aneurysm) ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดทันทีที่นำส่งโรงพยาบาล เพื่อลดการแตกซ้ำของหลอดเลือดสมองที่โป่งพอง
ผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองแล้ว จะมีความเสี่ยงที่อาจจะกลับมาเป็นซ้ำได้มากกว่าคนปกติ การรักษาและป้องกันโรคหลอดเลือดสมองไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ ควรปฏิบัติดังนี้
หากผู้ป่วยมีอาการของโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันซ้ำ ๆ ผู้ป่วยอาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานยาต้านเกล็ดเลือดหลายชนิดร่วมกัน แต่ข้อควรระวังคือ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายมากขึ้น เช่น ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร หรือ ภาวะเลือดออกในสมอง เป็นต้น ดังนั้นควรอยู่ในความดูแลและได้รับการรักษาจากแพทย์เฉพาะทางระบบประสาทเท่านั้น ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยามารับประทานเองโดยเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้
ศึกษาโรคหลอดเลือดสมองในคนวัยทำงานเพิ่มเติมที่:
เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ
แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (0)
ดูทั้งหมด
บทความที่เกี่ยวข้อง (10)
ดูทั้งหมด
Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital