บทความสุขภาพ

Knowledge

เข้าใจโรคกระดูกพรุน สาเหตุ อาการ และการป้องกัน

นพ. พีรพงษ์ สวัสดิพงษ์

โรคกระดูกพรุนเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เนื่องจากกระดูกที่อ่อนแอจะทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการแตกหักของกระดูกได้ง่าย การหกล้มหรือการทำกิจกรรมเล็กน้อยอาจทำให้เกิดกระดูกหักได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ปัญหาความพิการ การเคลื่อนไหวที่จำกัด หรือต้องการพึ่งพาผู้อื่นในการดำเนินชีวิต ดังนั้นการป้องกันและดูแลรักษาสุขภาพของกระดูกจึงเป็นสิ่งสำคัญ


กระดูกพรุนคืออะไร?


โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) เป็นภาวะที่กระดูกมีความหนาแน่นและมวลกระดูกลดลง ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดน้อยลง กระดูกในร่างกายของเราประกอบด้วยเนื้อเยื่อกระดูกที่มีแร่ธาตุหลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียมที่ทำให้กระดูกแข็งแรง เมื่อเรามีอายุมากขึ้น หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ กระบวนการสร้างกระดูกใหม่จะช้าลง ขณะที่กระบวนการสลายกระดูกเก่าเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดช่องว่างในเนื้อเยื่อกระดูกและเนื้อกระดูกจะเริ่มบางลง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักได้ง่าย


โรคกระดูกพรุนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่


  1. Primary Osteoporosis: เป็นโรคกระดูกพรุนที่เกิดจากการเสื่อมของกระดูกตามอายุที่เพิ่มขึ้น เช่น การเข้าสู่วัยทองของผู้หญิง หรือการเข้าสู่วัยสูงอายุ
  2. Secondary Osteoporosis: เกิดจากโรคหรือปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อมวลและความหนาแน่นของกระดูก เช่น การใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน หรือโรคที่ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง

อาการของโรคกระดูกพรุน


ในระยะแรก โรคกระดูกพรุนมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจน ผู้ป่วยอาจไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะกระดูกพรุน จนเมื่อเกิดกระดูกหัก แต่มีอาการบางอย่างที่อาจบ่งชี้ว่าเกิดความผิดปกติของกระดูกที่เข้าได้กับโรคกระดูกพรุน เช่น


  1. กระดูกหักง่ายจากการกระแทกเบา ๆ: กระดูกที่มักหักบ่อยมักจะเป็น กระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก และกระดูกสันหลัง กระดูกหักนี้อาจเกิดขึ้นจากการกระแทกเบา ๆ เช่น การล้มที่ไม่รุนแรง หรือแม้แต่การยกของที่ไม่หนักมาก
  2. มีอาการปวดหลัง: หากมีภาวะกระดูกพรุน กระดูกสันหลังอาจมีการแตกหักหรือยุบตัว จะทำให้เกิดอาการปวดหลัง อาการปวดอาจเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันหรือเป็นเรื้อรัง ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของกระดูกที่แตกหรือยุบตัว
  3. ส่วนสูงลดลง: หากมีภาวะกระดูกพรุน กระดูกสันหลังอาจจะยุบตัวจากการเสื่อมของกระดูก จนทำให้ผู้ป่วยมีส่วนสูงลดลง
  4. หลังค่อม หรือมีรูปร่างของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป: เมื่อกระดูกสันหลังยุบตัวจะทำให้เกิดอาการหลังค่อม หรือลำตัวมีลักษณะโค้งงอผิดปกติ

และเนื่องจากโรคกระดูกพรุนมักไม่แสดงอาการในระยะแรก ดังนั้นการหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และการตรวจเช็กมวลกระดูกจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะสามารถช่วยป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุนได้


สาเหตุของโรคกระดูกพรุน


การเกิดโรคกระดูกพรุนมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ซึ่งสามารถแบ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้และปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ดังนี้


1. ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้


  • อายุ: เมื่ออายุมากขึ้น การสร้างมวลกระดูกจะลดลง ในขณะที่จะมีการสลายกระดูกเพิ่มขึ้น กระดูกใหม่ที่เกิดขึ้นไม่เพียงพอที่จะทดแทนกระดูกเก่าที่สลายไป ทำให้กระดูกสูญเสียความแข็งแรงไป
  • เพศ: ผู้หญิงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนในหญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจนนี้มีบทบาทสำคัญในการรักษามวลกระดูก เมื่อระดับฮอร์โมนนี้ลดลง การสลายกระดูกจึงเกิดเร็วขึ้น
  • ประวัติครอบครัว: ถ้ามีบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย เป็นโรคกระดูกพรุน ความเสี่ยงที่บุคคลในครอบครัวรุ่นถัดไปจะเป็นโรคนี้ก็จะสูงขึ้นด้วย

2. ปัจจัยที่ควบคุมได้


  • การขาดแคลเซียมและวิตามินดี: การขาดสารอาหารและแร่ธาตุที่สำคัญต่อกระดูก เช่น แคลเซียมและวิตามินดี จะทำให้กระดูกอ่อนแอ การได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอหรือการดูดซึมแคลเซียมไม่ดีทำให้มวลกระดูกลดลงได้
  • การขาดการออกกำลังกาย: การขาดการออกกำลังกายเป็นประจำทำให้มวลกระดูกลดลง เพราะการออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างกระดูก
  • การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปทำให้กระดูกอ่อนแอลงได้
  • การใช้ยาบางชนิด: เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ หรือยารักษาโรคที่ส่งผลกระทบต่อการดูดซึมแคลเซียมอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนได้

อันตรายของโรคกระดูกพรุน


โรคกระดูกพรุนเป็นภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจรุนแรงได้ เช่น


  1. กระดูกสะโพกหัก: เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุที่มีโรคกระดูกพรุน การหกล้มหรือการกระแทกเพียงเบา ๆ อาจทำให้กระดูกสะโพกหักได้ การรักษามักต้องใช้การผ่าตัดและทำกายภาพเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน ผู้ป่วยบางรายอาจไม่สามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้เหมือนเดิม และในบางกรณีอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
  2. กระดูกสันหลังหัก: กระดูกสันหลังที่หักหรือยุบตัวอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง ซึ่งส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและการทำกิจวัตรประจำวัน นอกจากนี้การยุบตัวของกระดูกสันหลังยังอาจทำให้เกิดอาการหลังค่อม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดปัญหาของทางเดินหายใจหรือการทำงานของระบบอื่น ๆ ของร่างกายได้
  3. เสี่ยงต่อความพิการ: เมื่อเกิดกระดูกหักซ้ำ ๆ หรือมีการหักในบริเวณที่สำคัญ เช่น สะโพกหรือสันหลัง อาจนำไปสู่ความพิการที่ทำให้ผู้ป่วยต้องพึ่งพาผู้อื่นในการดำเนินชีวิตประจำวัน บางคนอาจต้องนั่งรถเข็นหรือไม่สามารถเดินได้เอง

การวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน


แม้ว่าโรคกระดูกพรุนจะไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก แต่เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถตรวจหาความหนาแน่นของกระดูกได้ และแพทย์อาจพิจารณาการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อเป็นข้อมูลในการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน โดยการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนทำได้โดย


  • การตรวจความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density – BMD): เป็นวิธีที่แพทย์นิยมใช้ในการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน เป็นการวัดปริมาณแร่ธาตุในกระดูกของผู้ป่วย การตรวจนี้ใช้เวลาสั้น ๆ และไม่เจ็บปวด สามารถวัดได้ทั้งที่กระดูกสันหลัง สะโพก และข้อมือ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อการแตกหักมากที่สุด ค่า BMD ที่ต่ำกว่าค่าปกติจะบ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน
  • การตรวจสุขภาพ: แพทย์อาจซักประวัติเกี่ยวกับ ประวัติครอบครัว ประวัติการใช้ยาหรือฮอร์โมน รวมถึงประวัติการออกกำลังกายและการรับประทานอาหาร เพื่อตรวจสอบปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจนำไปสู่โรคกระดูกพรุนได้
  • การตรวจเลือดและปัสสาวะ: การตรวจเลือดและปัสสาวะสามารถช่วยประเมินการทำงานของต่อมไทรอยด์ ระดับวิตามินดี และฮอร์โมนอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อมวลกระดูก นอกจากนี้ยังช่วยวินิจฉัยโรคอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อกระดูก เช่น โรคไต หรือภาวะการขาดแคลเซียม

การรักษาโรคกระดูกพรุน


การรักษาโรคกระดูกพรุนมักเน้นที่การป้องกันภาวะกระดูกแตกหรือหัก ลดอาการปวด และเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก วิธีการรักษาอาจแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ทั้งนี้แพทย์จะพิจารณาโดยขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรคและสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย


  • การรักษาด้วยยา: แพทย์อาจพิจารณาให้ยากลุ่มที่ช่วยยับยั้งกระบวนการสลายกระดูกและช่วยเพิ่มมวลกระดูก หรือให้รับประทานวิตามินดีและแคลเซียมเสริม
  • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: เช่น การเดินเร็ว การยกน้ำหนัก หรือการทำโยคะ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ ลดความเสี่ยงต่อการล้มและกระดูกหัก
  • การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีให้เพียงพอ: การปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารให้มีแคลเซียมและวิตามินดีเพียงพอจะช่วยลดการเกิดภาวะกระดูกพรุน รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดการขับแคลเซียมออกจากร่างกาย เช่น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีนในปริมาณมากเกินไป
  • การเลิกบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์: บุหรี่และแอลกอฮอล์มีผลกระทบต่อการดูดซึมแคลเซียมและสุขภาพกระดูก การเลิกบุหรี่และการลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยรักษาสุขภาพกระดูกให้ดีขึ้นได้

การป้องกันโรคกระดูกพรุน

การป้องกันโรคกระดูกพรุนควรเริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็กและทำต่อเนื่องไปตลอดชีวิต ซึ่งการดูแลกระดูกให้แข็งแรงตั้งแต่อายุน้อยจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนในอนาคต โดยวิธีการป้องกันภาวะกระดูกพรุนสามารถทำได้ดังนี้


  • การรับประทานอาหารที่เหมาะสม: การบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีอย่างเพียงพอ โดยอาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ตและชีส และอาหารที่มีวิตามินดี เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และผักใบเขียวเข้ม นอกจากนี้การรับประทานวิตามินดีและแคลเซียมเสริมอาจมีความจำเป็นในบางช่วงวัย ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการรับประทานอย่างเหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  • การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายที่เน้นการสร้างมวลกระดูกเป็นประจำอย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ เช่น การวิ่ง การยกน้ำหนัก หรือการเดิน จะช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกใหม่ อ่านเพิ่มเติม : การออกกำลังกายกับโรคกระดูกพรุน
  • การรับแสงแดด: แสงแดดเป็นแหล่งวิตามินดีที่สำคัญ การออกไปรับแสงแดดในช่วงเช้าวันละ 10-15 นาที จะช่วยให้ร่างกายสร้างวิตามินดีได้มากขึ้น
  • การเลิกบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์: บุหรี่และแอลกอฮอล์มีผลเสียต่อการดูดซึมแคลเซียม การลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และการเลิกบุหรี่จะช่วยรักษามวลกระดูกและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน
  • การตรวจสุขภาพประจำปี: การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง เช่น ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนหรือผู้สูงอายุ การตรวจความหนาแน่นของกระดูกเป็นประจำจะช่วยตรวจพบโรคกระดูกพรุนได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และช่วยในการวางแผนป้องกันการแตกหักของกระดูกได้

สรุป


โรคกระดูกพรุนเป็นภาวะที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดกระดูกหัก หรืออาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยผู้สูงอายุ การป้องกัน การเข้ารับการตรวจสุขภาพของกระดูก หรือหากตรวจพบภาวะกระดูกพรุน การรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงและชะลอการเสื่อมสภาพของกระดูกได้ การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีอย่างเพียงพอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เป็นปัจจัยที่สำคัญในการดูแลสุขภาพกระดูกและลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้



เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

นพ. พีรพงษ์ สวัสดิพงษ์

นพ. พีรพงษ์ สวัสดิพงษ์

ศูนย์กระดูกและข้อโรงพยาบาลพระรามเก้า

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital