บทความสุขภาพ

Knowledge

ทำความรู้จัก “การสวนหัวใจ (CAG)” คืออะไร มีข้อดีอย่างไรบ้าง?

การสวนหัวใจ หรือ Coronary Angiography (CAG) เป็นหนึ่งในเทคนิคการตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงหรืออาการที่บ่งบอกถึงปัญหาหลอดเลือดหัวใจ เช่น เจ็บหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หรือมีประวัติครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ การตรวจนี้จะช่วยให้แพทย์เห็นภาพของหลอดเลือดหัวใจได้อย่างชัดเจน สามารถดูว่ามีการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการวินิจฉัยและการวางแผนการรักษา บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับการสวนหัวใจ ว่าคืออะไร มีขั้นตอนอย่างไร และมีประโยชน์อย่างไรบ้าง


การสวนหัวใจ (CAG) คืออะไร?


การสวนหัวใจ (Coronary Angiography หรือ CAG) คือ เทคนิคการตรวจที่ใช้เพื่อตรวจดูว่าหลอดเลือดหัวใจว่ามีการตีบหรืออุดตันหรือไม่ โดยแพทย์อายุรกรรมโรคหัวใจจะสอดท่อเล็ก ๆ (catheter) เข้าไปในหลอดเลือด ผ่านทางขาหนีบหรือแขน และฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในหลอดเลือดผ่านทางสายสวนนี้ แล้วใช้เครื่องเอกซเรย์ถ่ายภาพเพื่อดูการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดหัวใจ วิธีนี้ช่วยให้เห็นความผิดปกติในหลอดเลือดได้อย่างชัดเจน เช่น หลอดเลือดตีบหรืออุดตัน


การตรวจสวนหัวใจเป็นการตรวจที่มักจะแนะนำในผู้ที่มีอาการน่าสงสัยว่ามีปัญหาของหลอดเลือดหัวใจ เช่น แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หายใจไม่เต็มที่ หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติโรคหัวใจในครอบครัว หรือผู้ป่วยที่เคยมีภาวะหัวใจขาดเลือดมาก่อน การตรวจนี้สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและช่วยให้แพทย์ตัดสินใจวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เช่น การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนหรือการใส่ขดลวด หรือการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ (CABG)


ขั้นตอนการตรวจด้วยการสวนหัวใจ

การสวนหัวใจประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้


  1. การเตรียมผู้ป่วย: แพทย์และพยาบาลจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการงดอาหารและน้ำก่อนการตรวจอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง และจะทำการเช็กประวัติสุขภาพของผู้ป่วย รวมถึงยาที่ผู้ป่วยรับประทานอยู่
  2. เข้าห้องตรวจ: ผู้ป่วยจะนอนบนเตียงเอกซเรย์แบบพิเศษ ทำความสะอาดบริเวณที่จะใส่สายสวนหัวใจและปิดคลุมร่างกายด้วยผ้าปราศจากเชื้อ
  3. การใส่สายสวน: แพทย์จะทำการสอดสายสวนหัวใจเข้าไปในหลอดเลือดที่ขาหนีบ หรือที่แขน เพื่อไปยังหลอดเลือดหัวใจที่ต้องการตรวจ
  4. ฉีดสารทึบรังสี: หลังจากนั้นแพทย์จะทำการฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในหลอดเลือดหัวใจเพื่อให้เห็นภาพหลอดเลือดหัวใจและประเมินรอยโรค
  5. ถ่ายภาพหลอดเลือดหัวใจ: โดยแพทย์จะใช้การเอกซเรย์ภาพเคลื่อนไหวในการตรวจดูภาพหลอดเลือดหัวใจ และจะสามารถวินิจฉัยความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจได้อย่างแม่นยำ

ทำไมต้องสวนหัวใจ?

การสวนหัวใจ (Coronary Angiography – CAG) เป็นการตรวจที่ค่อนข้างแม่นยำ ซึ่งแพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยทำด้วยข้อบ่งชี้ต่าง ๆ เช่น


  • วินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ: การสวนหัวใจช่วยให้อายุรแพทย์โรคหัวใจสามารถเช็กสภาพหลอดเลือดหัวใจได้อย่างละเอียด ซึ่งแพทย์จะสามารถบอกได้ว่าหลอดเลือดมีการตีบหรืออุดตันหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการวินิจฉัยโรคของหลอดเลือดหัวใจ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease)
  • ประเมินความรุนแรงของโรค: การตรวจนี้ช่วยในการประเมินความรุนแรงของการตีบหรืออุดตันในหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยแพทย์ในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เช่น การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน (Angioplasty) หรือการใส่ขดลวด (Stent)
  • การวางแผนการรักษา: ข้อมูลที่ได้จากการสวนหัวใจสามารถใช้ในการวางแผนการรักษาที่เฉพาะและมีประสิทธิภาพเหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย เช่น การรักษาด้วยการผ่าตัดหรือรักษาด้วยยา
  • ติดตามผลการรักษา: สำหรับผู้ป่วยที่เคยเข้ารับการรักษาด้วยวิธีการขยายหลอดเลือดหรือการใส่ขดลวด การสวนหัวใจสามารถใช้เพื่อติดตามผลการรักษาว่าหลอดเลือดที่รักษาไปมีการตีบซ้ำหรือไม่
  • ค้นหาโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง: นอกจากการตรวจหลอดเลือดหัวใจแล้ว การสวนหัวใจยังช่วยในการวินิจฉัยภาวะความผิดปกติหรือโรคหัวใจอื่น ๆ เช่น ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจหรือลิ้นหัวใจ
  • เพื่อการวางแผนการรักษาอื่น: ในบางกรณี การสวนหัวใจอาจเป็นขั้นตอนการประเมินหัวใจก่อนการทำการรักษาอื่น ๆ เช่น การผ่าตัดหัวใจหรือการรักษาด้วยการสวนหลอดเลือดในบริเวณอื่น

ข้อดีของการสวนหัวใจ


  1. เป็นการตรวจที่แม่นยำ: การสวนหัวใจถือเป็นการตรวจที่มีความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ เนื่องจากแพทย์สามารถมองเห็นหลอดเลือดที่ตีบหรืออุดตันได้โดยตรงจากภาพเอกซเรย์ ทำให้สามารถประเมินสภาพหลอดเลือดได้อย่างชัดเจนและช่วยให้การวางแผนการรักษาถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  2. รักษาในขั้นตอนเดียวกันได้: หากพบว่าหลอดเลือดหัวใจมีการตีบหรืออุดตัน แพทย์สามารถทำการรักษาจุดที่มีการตีบทันทีในขณะที่ทำการสวนหัวใจอยู่ การรักษาดังกล่าว เช่น การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน หรือการใส่ขดลวด (Percutaneous Coronary Intervention หรือ PCI) เพื่อเปิดหลอดเลือดให้กว้างขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดซ้ำในอนาคต
  3. ลดความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจขาดเลือดรุนแรง: การตรวจและรักษาหลอดเลือดที่ตีบหรืออุดตันได้อย่างรวดเร็วและตรงจุดช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดรุนแรงหรือหัวใจวาย ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
  4. ช่วยตัดสินใจในการผ่าตัด: หากผู้ป่วยจำเป็นต้องผ่าตัดหัวใจ การสวนหัวใจจะให้ข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้แพทย์ตัดสินใจได้ว่าควรผ่าตัดเมื่อใด และผ่าตัดเชื่อมต่อหลอดเลือดที่บริเวณใด เพื่อให้การรักษาได้ผลดีที่สุด
  5. ใช้เวลาตรวจไม่มาก: การสวนหัวใจเป็นการตรวจที่ใช้เวลาไม่นานนัก โดยทั่วไปสามารถให้ผลการตรวจได้ในเวลาเพียง 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง
  6. สามารถทำได้ในกรณีฉุกเฉิน: โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันหรือหัวใจวาย การตรวจนี้ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินสภาพของหลอดเลือดหัวใจได้อย่างรวดเร็วและทำการรักษาทันที เช่น การขยายหลอดเลือดหรือใส่ขดลวด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

ใครควรเข้ารับการสวนหัวใจ?

ผู้ที่แพทย์อาจพิจารณาให้เข้ารับการสวนหัวใจ ได้แก่


  • ผู้ที่มีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย หรือมีอาการที่บ่งโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
  • ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ร่วมกับมีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคหัวใจ เช่น
  • ผู้ป่วยเบาหวาน
  • ผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจในครอบครัว
  • ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือระดับไขมันในเลือดสูง
  • ผู้ที่สูบบุหรี่
  • ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่ายผิดปกติ และตรวจพบความผิดปกติที่บ่งชี้โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
  • ผู้ที่ต้องผ่าตัดหัวใจเพื่อประเมินหลอดเลือดหัวใจก่อนการผ่าตัด

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนของการสวนหัวใจ

แม้ว่าการสวนหัวใจจะเป็นการตรวจที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่น


  • อาการแพ้สารทึบรังสี: ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการแพ้สารทึบรังสีที่ฉีดเข้าไป อาจทำให้เกิดอาการคัน หรือตุ่มแดงที่ผิวหนัง
  • การบาดเจ็บที่หลอดเลือด: การสอดท่อเข้าไปในหลอดเลือดอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือฉีกขาดที่หลอดเลือดได้
  • การเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด: หลังการสวนหัวใจอาจมีความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดที่ใส่สายสวน
  • ภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับไต: สารทึบรังสีที่ใช้ในการตรวจอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของไตในผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับไต หรือเป็นโรคไตอยู่แล้ว แต่ในผู้ป่วยที่ไม่เป็นโรคไต การทำงานของไตจะกลับมาเป็นปกติได้เอง

ซึ่งแพทย์จะให้คำแนะนำและดูแลความปลอดภัยของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้


การดูแลหลังสวนหัวใจ

หลังจากที่ผู้ป่วยเข้ารับการสวนหัวใจแล้ว ขั้นตอนการดูแลหลังการตรวจเป็นก็มีความสำคัญ เพราะมีผลต่อการฟื้นตัวหลังการสวนหัวใจ และช่วยลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยการดูแลหลังการสวนหัวใจมีข้อแนะนำดังนี้


  1. การพักฟื้น: หลังจากการสวนหัวใจ ผู้ป่วยจะพักอยู่ในโรงพยาบาล 1 วัน เพื่อให้แพทย์และพยาบาลสังเกตอาการ หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ ผู้ป่วยก็จะสามารถกลับบ้านได้ภายในวันเดียวกันหรือวันรุ่งขึ้น
  2. การดูแลแผลบริเวณที่ใส่สายสวน: แผลตำแหน่งที่ถูกสอดสายสวน (catheter) เช่น บริเวณขาหนีบหรือแขนควรต้องดูแลอย่างเหมาะสม ห้ามงอเป็นเวลา 6 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดทับบริเวณนั้น และรักษาความสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ผู้ป่วยควรสังเกตอาการบวม แดง หรือการมีน้ำเหลืองไหลออกจากแผล ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ หากมีอาการดังกล่าวต้องรีบแจ้งแพทย์
  3. การหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก: ในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังจากการสวนหัวใจ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ การยกของหนัก หรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก เพื่อป้องกันไม่ให้แผลที่ใส่สายสวยมีเลือดออกหรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
  4. การดื่มน้ำมาก ๆ: สารทึบรังสีที่ถูกฉีดเข้าไปในระหว่างการตรวจจะถูกขับออกจากร่างกายทางไต ดังนั้น การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยเร่งกระบวนการขับสารทึบรังสีออกจากร่างกาย
  5. มาพบแพทย์ตามนัด: หลังการสวนหัวใจ ควรมาพบแพทย์ตรงตามการนัดหมาย เพื่อการติดตามผลการตรวจและพิจารณาแนวทางการรักษา การดูแลสุขภาพ และอาจให้มีการรับประทานยาเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจในอนาคต

สรุป

การสวนหัวใจ (CAG) เป็นการตรวจที่สำคัญในการวินิจฉัยและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยวิธีนี้ช่วยให้อายุรแพทย์โรคหัวใจสามารถเห็นสภาพภายในหลอดเลือดได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถวินิจฉัยการตีบหรืออุดตันได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ การสวนหัวใจยังสามารถทำได้ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถทำการรักษาได้ทันทีเมื่อพบปัญหา เช่น การทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหรือใส่ขดลวด นอกจากนี้การสวนหัวใจยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดรุนแรงได้ อย่างไรก็ตามการตรวจสุขภาพยังคงมีความสำคัญทั้งการตรวจสุขภาพประจำปี และการตรวจสุขภาพหัวใจ เพราะทำให้ทราบถึงสุขภาพร่างกายโดยรวม และสุขภาพเฉพาะของหัวใจ เพื่อการป้องกันและรักษาสุขภาพอย่างเหมาะสม



แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (9)

ดูทั้งหมด

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 60 ปีขึ้นไป (คุณผู้ชาย)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 60 ปีขึ้นไป (คุณผู้ชาย)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 60 ปีขึ้นไป (คุณผู้ชาย)

฿ 29,900

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 60 ปีขึ้นไป (คุณผู้หญิง)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 60 ปีขึ้นไป (คุณผู้หญิง)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 60 ปีขึ้นไป (คุณผู้หญิง)

฿ 33,900

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 50 ปีขึ้นไป (คุณผู้ชาย)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 50 ปีขึ้นไป (คุณผู้ชาย)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 50 ปีขึ้นไป (คุณผู้ชาย)

฿ 25,900

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 50 ปีขึ้นไป (คุณผู้หญิง)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 50 ปีขึ้นไป (คุณผู้หญิง)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 50 ปีขึ้นไป (คุณผู้หญิง)

฿ 29,900

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 40 ปีขึ้นไป (คุณผู้ชาย)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 40 ปีขึ้นไป (คุณผู้ชาย)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 40 ปีขึ้นไป (คุณผู้ชาย)

฿ 16,900

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 40 ปีขึ้นไป (คุณผู้หญิง)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 40 ปีขึ้นไป (คุณผู้หญิง)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 40 ปีขึ้นไป (คุณผู้หญิง)

฿ 19,900

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 30 ปีขึ้นไป (คุณผู้ชาย)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 30 ปีขึ้นไป (คุณผู้ชาย)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 30 ปีขึ้นไป (คุณผู้ชาย)

฿ 10,900

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 25 ปีขึ้นไป (คุณผู้หญิง)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 25 ปีขึ้นไป (คุณผู้หญิง)

แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับอายุ 25 ปีขึ้นไป (คุณผู้หญิง)

฿ 7,490

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

฿ 4,500

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital