บทความสุขภาพ

Knowledge

ทำความรู้จักโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อาการเป็นแบบไหน เกิดจากอะไร รักษาได้ไหม

ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ปัญหาสุขภาพที่เป็นอันตรายถึงชีวิตและไม่ควรมองข้าม เพราะอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวาย เป็นอัมพาต หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ในที่สุด ซึ่งกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมีลักษณะอาการแบบไหน เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง หรือมีแนวทางในการรักษาและป้องกันได้หรือไม่นั้น สามารถติดตามได้ในบทความนี้


Key Takeaways


  • กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ปัญหาสุขภาพที่เกิดจากเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ ทำให้มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก และจำเป็นต้องรีบรักษาให้ทันท่วงทีเพื่อป้องกันไม่ให้หัวใจวาย หรืออันตรายถึงแก่ชีวิต
  • สาเหตุของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเกิดขึ้นได้จากปัจจัยเสี่ยงที่เลี่ยงไม่ได้อย่างอายุ พันธุกรรม เพศ โรคประจำตัว และปัจจัยที่เลี่ยงได้ เช่น พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่ส่งผลให้ไขมันในเลือดสูง เกิดการอุดตันภายใน และทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในที่สุด
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาละลายลิ่มเลือด การขยายหลอดเลือดหัวใจ และการผ่าตัด รวมถึงสามารถป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสม เพื่อลดการสะสมไขมันในหลอดเลือดหัวใจ

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด คืออะไร?


กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือโรคหัวใจขาดเลือด (Myocardial Infarction) หมายถึง ภาวะที่เลือดไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อหัวใจได้น้อยลงหรือหยุดไหลเวียน เนื่องจากหลอดเลือดหัวใจอุดตันจากการสะสมของไขมัน หรือคอเลสเตอรอลภายในหลอดเลือด ส่งผลให้หัวใจทำงานผิดปกติ ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บหน้าอก รู้สึกจุกหน้าอก หรือมีอาการหายใจลำบาก และหากมีอาการหัวใจขาดเลือดนาน 2-3 นาทีอาจมีโอกาสที่จะรุนแรงถึงขั้นหัวใจวายและเสียชีวิตได้


รู้ทันโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมีอาการอย่างไร?


symptoms-myocardial-ischemia-1024x1024.jpg

โดยปกติแล้วเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจจะต้องการออกซิเจนมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หรือรู้สึกปวดร้าวในจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ขากรรไกร, แขน, คอ หรือแผ่นหลัง ขณะเดียวกันอาจมีอาการเหงื่อออกมาก วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ หมดแรง ซึ่งปัญหาหัวใจขาดเลือด อาการอาจมีความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับว่าสภาพหลอดเลือดหัวใจนั้นมีลักษณะตีบตันมากน้อยแค่ไหน และบริเวณของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมากน้อยแค่ไหน


อย่างไรก็ตามสามารถแบ่งลักษณะอาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้


  1. ระดับที่ 1 ขณะออกแรงทำกิจกรรมต่าง ๆ รู้สึกเจ็บแน่นหน้าอก คล้ายหัวใจถูกบีบแรง ๆ หรือรู้สึกหนักบริเวณหน้าอกด้านซ้าย อาจมีอาการปวดร้าวจนถึงขากรรไกรล่าง สันกราม หรือหัวไหล่ร่วมด้วย แต่จะเป็นไม่นาน ต่อเนื่องประมาณ 5-10 นาที และจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ
  2. ระดับที่ 2 มีอาการเจ็บหน้าอก แม้อยู่นิ่ง และระยะเวลาของอาการอยู่นานขึ้นประมาณ 10-20 นาที ก่อนดีขึ้นตามลำดับ
  3. ระดับที่ 3 เป็นระดับอาการที่รุนแรงที่สุด มักมีอาการเกิดขึ้นทันทีทันใด และรู้สึกเจ็บแน่น หรือปวดร้าวบริเวณหน้าอกนาน 30 นาทีขึ้นไป รวมถึงอาจมีอาการวิงเวียนศีรษะ เหงื่อออกเยอะ ใจสั่น คลื่นไส้ร่วมด้วย ซึ่งถือเป็นสัญญาณว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันและเป็นสัญญาณอันตรายที่นำไปสู่การสูญเสียชีวิตได้ จำเป็นต้องรีบเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด

กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง?


กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นลักษณะอาการของภาวะที่เลือดไม่สามารถเลี้ยงหัวใจได้เพียงพอ ทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก หรือเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวายและอันตรายถึงชีวิต ซึ่งภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดดังกล่าวนั้นมีสาเหตุมาจากไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะการสะสมของไขมันภายในเส้นเลือดแดงที่เลี้ยงหัวใจ ทำให้เกิดการตีบตัน และเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงหัวใจได้ในที่สุด


ขณะเดียวกันอาการนี้ยังเกิดจากภาวะที่เกี่ยวข้องกับหลอดเลือดหัวใจอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ภาวะหลอดเลือดหัวใจเกร็งหดตัว ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน และภาวะชั้นผนังหลอดเลือดหัวใจปริตัวแยกออกจากกัน หากไม่รีบรักษาอาจรุนแรงถึงขั้นกล้ามเนื้อหัวใจตายได้


ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมีอะไรบ้าง?


นอกเหนือไปจากการอุดตันภายในหลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจจนเป็นอันตรายทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่ก่อให้เกิดโรคดังกล่าวได้เช่นกัน ซึ่งมีทั้งปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และปัจจัยเสี่ยงที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนี้


ปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


  • ลักษณะทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคดังกล่าว หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะนี้ได้
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น ภาวะความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน
  • อายุที่เพิ่มขึ้น โดยพบว่าผู้ป่วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมักเป็นในเพศชายอายุ 45 ปีขึ้นไป และเพศหญิงอายุ 55 ปีขึ้นไป

ปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงได้


  • พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ส่งผลให้ปริมาณไขมันส่วนเกินสะสมเพิ่มขึ้น เช่น การทานอาหารไขมันสูง หรือการทานของหวาน ของทอด ของมัน และอาหารโซเดียมสูง
  • พฤติกรรมการสูบบุหรี่ จะส่งผลให้เกิดไขมันสะสมในหลอดเลือดหัวใจและเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ในอนาคต
  • การขาดการออกกำลังกาย ทำให้ไขมันสะสมในร่างกายเพิ่มมากขึ้น
  • ภาวะเครียด ที่ส่งผลให้ระบบเผาผลาญร่างกายทำงานผิดปกติ ระดับไขมันในร่างกายและหลอดเลือดสูง

วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ต้องตรวจอะไรบ้าง?


หากเป็นกังวลว่าตัวเอง หรือสมาชิกในครอบครัวกำลังเผชิญกับโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอยู่ แนะนำว่าควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโรคและหาแนวทางในการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งเบื้องต้นแพทย์จะทำการซักประวัติสุขภาพ ประวัติการใช้ยา พฤติกรรมการใช้ชีวิตส่วนตัว รวมถึงสอบถามถึงอาการที่เข้าข่ายภาวะดังกล่าว และจะมีวิธีการตรวจวินิจฉัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอื่น ๆ เพิ่มเติมดังนี้


  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
  • ตรวจเลือดเพื่อตรวจหาโปรตีนและเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับภาวะหัวใจขาดเลือด และตรวจวัดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดที่เป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดตีบตัน
  • เข้ารับการเอกซเรย์ทรวงอก
  • ตรวจสมรรถภาพหัวใจ (Stress Test)
  • การตรวจหัวใจด้วยเครื่องสะท้อนเสียงความถี่สูง (Echocardiogram)
  • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์เส้นเลือดหัวใจ (CTA Coronary)
  • ตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
  • การใช้เครื่องบันทึกไฟฟ้าหัวใจ (Holter Monitor)
  • การตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiogrphy)

แนวทางการรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด


treats-myocardial-ischemia.png

เมื่อเผชิญกับอาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยโรคและหาแนวทางการรักษาเพื่อไม่ให้อาการรุนแรงถึงชีวิต ซึ่งแนวทางการรักษาโรคหัวใจขาดเลือดจะเน้นไปที่การเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้เข้าสู่กล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น โดยมีวิธีการรักษาหลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น


  • การใช้ยา เช่น ยารับประทานกลุ่มยาต้านเกล็ดเลือดเพื่อลดการอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ กลุ่มยาลดไขมันในเลือด กลุ่ยาลดการเต้นของหัวใจ (Beta-Blocker) รวมถึงยาลดความดันโลหิตกลุ่ม ACE inhibitors เพื่อลดการทำงานหนักของหัวใจ
  • การขยายหลอดเลือดด้วยการสวนหัวใจด้วยขดลวด หรือการทำบอลลูนหัวใจ
  • การผ่าตัดบายพาสหัวใจ หรือการผ่าตัดหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ เพื่อรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด สามารถป้องกันได้อย่างไร?


กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด-สามารถป้องกันได้อย่างไร-1024x1024.jpg

การเพิ่มขึ้นของระดับไขมันในหลอดเลือดหัวใจมักมีสาเหตุหลัก ๆ มาจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน ฉะนั้นหากมีความเสี่ยงของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ไม่ควรรอให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก ควรปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไม่ให้เกิดขึ้น โดยสามารถทำได้ดังนี้


  • เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เลี่ยงของทอด ของมัน ของหวาน หรืออาหารที่มีปริมาณไขมันสูง เพื่อควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
  • หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง เพื่อสุขภาพที่ดีและเสริมความแข็งแรงให้หัวใจ
  • ลด ละ เลิกสูบบุหรี่ทุกชนิด หรือผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ ก็ควรเลี่ยงควันบุหรี่มือสองร่วมด้วย
  • ทำจิตใจให้สงบ ไม่ให้ร่างกายอยู่ในภาวะเครียด
  • หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี

กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เสี่ยงหัวใจวาย รีบรักษาก่อนสายเกินแก้


โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มีสาเหตุมาจากเลือดไหลเวียนไปยังหัวใจไม่เพียงพอเนื่องจากภายในหลอดเลือดมีการอุดตันของไขมัน หรือคอเลสเตอรอลในปริมาณมาก ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก หัวใจเต้นผิดจังหวะ หากทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษา อาจก่อให้เกิดโรคหัวใจกำเริบเฉียบพลันจากลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดหัวใจได้


หากเผชิญกับสัญญาณความผิดปกติเหล่านี้อยู่ ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อหาแนวทางการรักษาได้ทันท่วงที หรือสามารถเข้ารับการปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่สถาบันหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลพระรามเก้าได้เลย ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ช่องทางดังต่อไปนี้



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด


ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด?


ผู้ที่มีโอกาสเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ได้แก่ ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่อายุ 45-55 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจขาดเลือด


โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดรักษาหายขาดไหม?


ถึงแม้โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ตลอดไป แต่ก็สามารถแก้ไขให้เส้นเลือดที่ตีบตันหายตีบตันได้ และสสาสมารถใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้งได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น ลดการทานของทอดของมัน หมั่นออกกำลังกาย เลิกสูบบุหรี่ หรือหมั่นเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี จะช่วยป้องกันไม่ให้โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดกลับมาเป็นอีก


References


Journal of Cardiology. (2008). Myocardial ischaemia. Elsevier. https://www.journal-of-cardiology.com/article/S0914-5087(08)00209-8/fulltext


Medical News Today. (n.d.). Myocardial ischemia. https://www.medicalnewstoday.com/articles/myocardial-ischemia


Radiopaedia. (n.d.). Myocardial ischaemia. https://radiopaedia.org/articles/myocardial-ischaemia

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital