บทความสุขภาพ

Knowledge

โรคอ้วน โรคเบาหวาน เพิ่มความเสี่ยงอาการรุนแรง จากติดโควิด 19

พญ. อารีสา มโนชญ์ปิติพงศ์

หลายคนคงจะพอรู้แล้วว่า ผู้ที่เป็นโรคประจำตัว 7 โรค ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน เป็นกลุ่มที่มีสิทธิเข้ารับการฉีดวัคซีนก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อแล้วมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต


บทความนี้ จะกล่าวถึงหนึ่งในโรคกลุ่มเสี่ยงที่ติดเชื้อโควิด 19 แล้วจะมีอาการรุนแรง นั่นก็คือ โรคอ้วน เหตุผลที่โรคนี้น่ากังวลเป็นพิเศษ เพราะคนอ้วนส่วนใหญ่ไม่ได้มีแค่โรคเดียว แต่มักจะมีโรคร่วมอื่นๆด้วย ทั้งโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เชื้อโควิดจะเป็นตัวกระตุ้นให้การอักเสบรุนแรงมากขึ้นจนลามไปยังอวัยวะต่างๆ เช่น ไตวาย หัวใจล้มเหลวปอดล้มเหลว และสุดท้ายอาจทําให้เสียชีวิตได้


โรคอ้วน คืออะไร


obesity-bmi-2.jpg

โรคอ้วน (Obesity) คือ ภาวะที่มีน้ำหนักตัวหรือสัดส่วนไขมันในร่างกายมากผิดปกติ โดยสามารถคำนวณโดยใช้ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index; BMI) หากมีค่า BMI ตั้งแต่ 25 kg/m² ขึ้นไปถือว่าเข้าข่ายเป็นโรคอ้วนแล้ว


ปัจจุบัน โรคอ้วนได้กลายเป็นวาระระดับโลกถึงขั้นที่องค์การอนามัยโลกได้ตั้ง “วันอ้วนโลก” ขึ้นมา เพื่อกระตุ้นให้เกิดความตระหนักอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปัญหา สาเหตุ และแนวทางการป้องกันมิให้เกิดโรคอ้วน เนื่องจากภาวะดังกล่าว จะกลายเป็นบ่อเกิดของโรคเรื้อรังอีกมากที่จะตามมา


โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เด็กและเยาวชนไทย เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่เริ่มเป็นโรคอ้วนจนติดอันดับต้น ๆ ของโลก มาจากพฤติกรรมการบริโภคของเด็กในยุคนี้ ที่ชอบกินอาหารประเภท Junk Food ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ และไม่ค่อยออกกำลังกาย เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง


thai-children-fat-2.jpg

โรคอ้วนกับโควิด 19 : การแท็กทีมที่มี ‘ร่างกาย’ เป็นสังเวียน


หากสังเกตจากสถานการณ์ปัจจุบันของโรคโควิด 19 ในประเทศไทย จะเห็นได้ว่าผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงจากการติดเชื้อและเสียชีวิตนั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะมีโรคอ้วนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มีรายงานว่า คนอ้วนมีโอกาสเข้าโรงพยาบาลจากการติดเชื้อได้มากกว่าคนผอมถึง 113% นอกจากนี้ ยังเพิ่มอัตราการนอน ICU สูงกว่าคนผอมถึง 74% และพบอัตราการเสียชีวิตจากโควิด 19 ได้มากกว่าคนผอมถึง 48%


ดังนั้น


กลุ่มคนที่มีโรคอ้วนจึงได้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงหากได้รับเชื้อโควิด 19 แต่ทุกคนสงสัยกันหรือไม่ว่า ทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้น?


high-risk-for-obesity-2.jpg

ปัจจัยแรก : ภาวะอักเสบเรื้อรังจากโรคอ้วน


เหตุผลที่โรคอ้วน เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการรุนแรง เมื่อได้รับเชื้อโควิด 19 ไม่ใช่เพราะว่าการอ้วนจะทำให้ติดเชื้อโควิด 19 ง่ายขึ้นแต่อย่างใด


แต่ความอ้วน เป็นภาวะการอักเสบเรื้อรังอย่างหนึ่ง ที่มักจะเกิดร่วมกับโรคเรื้อรังอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ส่งผลให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่ไม่แข็งแรง เมื่อได้รับเชื้อโควิด 19 เข้าไป คราวนี้อาการอักเสบจึงรุนแรงขึ้น และอาจลุกลามไปยังอวัยวะต่าง ๆ เช่น ไต หัวใจ และปอด จนก่อให้เกิดภาวะการทำงานล้มเหลว และนำไปสู่การเสียชีวิตได้


ปัจจัยที่สอง : โรคอ้วนกระทบการขยายตัวของปอด


หลายคนอาจจะพอเดาปัจจัยข้อแรกได้ แต่ก็อาจนึกไม่ถึงว่า โรคอ้วนยังสามารถรบกวนการทำงานของปอด แล้วทำให้อาการหลังติดเชื้อโควิด 19 มีความรุนแรงขึ้นได้ด้วย


ต้องเข้าใจก่อนว่า โรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ ประสิทธิภาพการทำงานของปอดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าปอดแข็งแรงดี จุก๊าซได้มาก ร่างกายก็จะใช้ก๊าซออกซิเจนในกระบวนต่าง ๆ ภายในร่างกายได้อย่างเต็มที่


แต่เนื่องจากผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนนั้น จะมีปริมาณไขมันสะสมทั้งในช่องท้องและช่องอกมากกว่าปกติ ปริมาณไขมันที่สะสมมากเข้า ก็จะไปดันกระบังลมให้ขึ้นไปเบียดกับช่องอก จนปอดไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่


ทีนี้เมื่อการขยายของปอดแต่ละครั้งไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรแล้ว พอเกิดภาวะปอดอักเสบจากการติดเชื้อโควิด 19 ขึ้นมา เลยยิ่งไปเพิ่มโอกาสให้เกิดระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้ง่ายขึ้น เมื่อผู้ป่วยเกิดภาวะทางเดินหายใจล้มเหลวแล้ว ก็จะมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว


โรคเบาหวาน กับ โควิด 19 อีกปัจจัยร่วมซ้ำเติมการติดเชื้อ


เรายังคงอยู่กันที่ประเด็นของโรคอ้วน เนื่องจากโรคอ้วนมักถูกตรวจพบร่วมกับโรคเบาหวาน แล้วยังเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่นำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ เนื่องจากปริมาณไขมันในร่างกายที่เพิ่มขึ้น ไปรบกวนการทำงานของตัวรับอินซูลิน ส่งผลให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน น้ำตาลในเลือดจึงสูงขึ้น และไปกระตุ้นให้ตับอ่อนต้องทำงานหนักขึ้น


1631697554556-2.jpeg

คนที่เป็นโรคเบาหวาน หากควบคุมน้ำตาลไม่ดี จะทำให้ค่าน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ กระทบการทำงานของภูมิคุ้มกันในร่างกาย เมื่อผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 19 เข้า ร่างกายไม่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเชื้อโรค ยิ่งทำให้เชื้อมีโอกาสแพร่กระจายในร่างกาย ก่อให้เกิดความอักเสบในอวัยวะสำคัญ ๆ ได้มากขึ้นและรุนแรงขึ้น


เป็นสาเหตุที่หน่วยงานสาธารณสุขต้องออกมารณรงค์ให้ผู้ป่วยทั้ง 2 โรคนี้ ให้รีบไปรับการฉีดวัคซีนนั่นเอง


1631697554566-2.jpeg

2 วิธีป้องกัน ถ้าไม่อยากเสี่ยงติดเชื้อรุนแรง


สำหรับแนวทางการป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด 19 นั้นมีอยู่ 2 วิธี วิธีแรกคือการป้องกันโรคโควิด 19 วิธีที่สองคือ การตระหนักรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นโรคอ้วนอยู่หรือไม่ แล้วรีบหาทางลดน้ำหนัก ควบคุมหุ่นโดยด่วน!


1. ป้องกันตัวจากโควิด 19 อย่าให้มาซ้ำเติมความอ้วน!


มาตรการและแนวทางปฏิบัติตัวที่หน่วยงานสาธารณสุขได้ออกมาประกาศให้เรากินร้อน ใช้ช้อนตัวเอง หมั่นล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อต้องพบเจอใคร (แม้จะเป็นคนในบ้าน) รวมถึงรักษาระยะห่างทางสังคม เป็นแนวทางป้องกันที่ใช้ได้ดีเสมอ


แม้จะต้องแนะนำเช่นนี้เป็นประจำจนหลายท่านอาจจะรู้สึกว่า “รู้แล้ว!” ก็ตาม แต่ก็เป็นยุทธวิธีแรกที่ช่วยป้องกันไม่ให้โรคนี้มาซ้ำเติมความอ้วนของเราได้จริง ๆ


และการฉีดวัคซีนจึงเป็นอีกมาตรการสำคัญที่จำเป็นต้องรีบทำ เพื่อเสริมแนวป้องกันให้กับตัวเอง เพราะถ้าติดเชื้อขึ้นมาจริง ๆ อย่างน้อยการได้รับวัคซีนก็ยังลดความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงได้


อ้วนแล้ว พร้อมฉีดวัคซีนแล้ว สมัครหมอพร้อมได้เลย


เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคอ้วน เป็น 1 ใน 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง ที่เป็นเป้าหมายในการรับวัคซีนป้องกันโควิด 19 ดังนั้น จึงมีการกำหนดเงื่อนไข คนที่เข้าหลักเกณฑ์ “โรคอ้วน” ที่มีสิทธิ์ลงทะเบียนขอจองฉีดวัคซีนกับหมอพร้อมได้นั้น จะต้องมีน้ำหนักตัว 100 กิโลกรัมขึ้นไป หรือ คนที่มีดัชนีมวลกาย (BMI)เกิน 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร (BMI ≥ 35)


ใครที่อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด สามารถลงทะเบียนผ่าน แอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” ได้เลย ส่วนใครที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือไม่สะดวกลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันดังกล่าว สามารถติดต่อโรงพยาบาลใกล้บ้านเพื่อให้โรงพยาบาลแจ้งสิทธิ์ของท่านให้กับส่วนกลางกระทรวงสาธารณสุขต่อไป


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม


2. รักษาตัวจากโรคอ้วน ลดหลายโอกาสเสี่ยง


รู้ไว้ใช่ว่า การลดความอ้วนไม่ได้ช่วยแค่ประเด็นเรื่องโควิด 19 แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่จะตามมาได้อีกหลายโรคเลยทีเดียว!


อ้วนคือแค่ไหน แค่ไหนเรียกว่า ‘อ้วน’


การที่เราจะแก้ปัญหาอะไรได้นั้น เราก็ต้องรู้ก่อนว่าเรากำลังมีปัญหา


การรับรู้ว่าตัวเองกำลังเสี่ยงเป็นโรคอ้วน หรืออ้วนไปแล้วเรียบร้อยนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นนิมิตหมายอันดี ที่เราจะได้รีบศึกษาหาทางป้องกันหรือรักษาให้เรียบร้อย


วัดจาก BMI


ในทางการแพทย์นั้น เรามีวิธีเช็คว่าเราเข้าข่ายเป็น ‘โรคอ้วน’ แล้วหรือยัง โดยพิจารณาจากค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index: BMI) ซึ่งมีสูตรในการหา ดังนี้


bmi-table-2.jpeg

แต่ไม่ต้องกังวลว่าการคำนวณ BMI จะยุ่งยาก เพราะปัจจุบัน เราสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันฟรี ๆ ที่ช่วยในการคำนวณ BMI ได้มากมาย หรือแม้แต่สามารถค้นหาเครื่องคิดเลขคำนวณ BMI ได้ เพียงพิมพ์ค้นหาว่า “เครื่องคำนวณ BMI” ใน Google เท่านั้นเอง


วัดจาก เส้นรอบเอว


เราสามารถประเมินภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะมีไขมันในช่องท้องมากเกินไปได้ จากการวัดเส้นรอบเอว ด้วยการใช้สายวัด โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้


  1. ต้องอยู่ในท่ายืน หากนั่งอยู่ อาจทำให้ค่าที่ได้มากเกินความเป็นจริง
  2. ใช้สายวัด วัดรอบเอว โดยให้สายวัดพาดผ่านบริเวณกึ่งกลางระหว่างตำแหน่งกระดูกเชิงกรานและชายโครงซี่สุดท้าย
  3. ค้างไว้ ให้สายวัดแนบกับลำตัว ปรับระดับให้สายวัดขนานกับพื้น แต่อย่ารัดแน่น
  4. ให้วัดในช่วงที่หายใจออก

ให้ถือว่าบุคคลต่อไปนี้ อยู่ภาวะอ้วนลงพุง

  • ผู้ชาย ที่วัดเส้นรอบเอวได้มากกว่า 90 ซม.
  • ผู้หญิง ที่วัดเส้นรอบเอวได้มากกว่า 80 ซม.

เมื่อพิจารณาร่วมกัน ระหว่างค่า BMI และเส้นรอบเอวได้แล้ว เราก็จะประเมินได้คร่าว ๆ แล้วว่า ตัวเองกำลังเป็นโรคอ้วนหรือไม่?


การรักษาตัวเองจากโรคอ้วน


ไม่มีใครรู้สึกว่า การเป็นหวัด เป็นไข้ ท้องเสีย หรืออาหารเป็นพิษ เป็นเรื่องที่ต้องรู้สึกผิด ต้องตำหนิตัวเอง หรือทำให้อับอาย และหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง


โรคอ้วนเองก็เช่นกัน เนื่องจากภาวะอ้วนนั้น มีปัจจัยหลายอย่างที่มาจากความผิดปกติของร่างกาย โดยเฉพาะระบบการเผาผลาญที่เสียสมดุลไป ดังนั้นจึงนับว่าเป็น ‘โรค’ ได้ไม่ต่างจากโรคประเภทอื่น ๆ เมื่อทราบว่าตัวเองเป็นแล้ว หน้าที่ของเราจึงเป็นแค่การพยายามรักษาตัวเองให้หายจากโรคนี้เท่านั้นเอง


รักษาด้วยการปรับพฤติกรรม ช้า... แต่ชัวร์


โรคอ้วน มักมีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเรา


ขอย้ำว่าสาเหตุหลักคือ ‘พฤติกรรมประจำวัน’ ไม่ใช่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นนาน ๆ ครั้ง ดังนั้น แนวทางที่ได้ผลช้า แต่สำเร็จชัวร์ จึงมาจากการปรับที่พฤติกรรมประจำวัน ไม่ใช่การเพิ่มกิจกรรมเข้ามาประเดี๋ยวประด๋าว เช่น การหักโหมออกกำลังกายอย่างหนัก การกินแต่สลัดและผลไม้แทนมื้ออาหาร การอดอาหาร การงดแป้ง เป็นต้น


เพราะการปรับเปลี่ยนที่ทำได้เพียงชั่วคราว มักทำให้เรารู้สึกอึดอัด ไม่มีความสุข เพิ่มความเครียดให้กับร่างกายและจิตใจ นอกจากทำให้เราอ่อนแอลงแล้ว เมื่อถึงเวลาผ่อนคลาย อาจทำให้เกิดภาวะโยโย่ และกลับมามีน้ำหนักหรืออ้วนมากกว่าเดิม เนื่องจากสมดุลของระบบเผาผลาญของเราไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี (แถมยังถูกทำให้แย่ลงอีกด้วย)


เราจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และการใช้พลังงานของเราให้เหมาะสม ดังนี้


  1. ควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารประเภท “ทอด หวาน มัน เค็ม” แล้วปรับเปลี่ยนไปกินอาหารประเภท “ต้ม ปิ้ง นึ่ง ย่าง” ให้มากขึ้นแทน เพราะประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ คือ การทำให้ตัวเองรู้สึกอิ่มเหมือนเดิม เพียงแต่ปรับประเภทของอาหารที่รับเข้าไป ให้ได้รับพลังงานที่ลดลง เมื่อเทียบกับสไตล์การกินแบบเดิมของเรา
  2. ดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หมั่นจิบน้ำเรื่อย ๆ กระจายไปในแต่ละช่วงเวลาอย่างเหมาะสม ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ถ้าเราดื่มน้ำอย่างถูกต้อง จะช่วยให้การไหลเวียนของโลหิต แล้วยังกระตุ้นการขับถ่ายของเราให้ทำงานได้ดีด้วย
  3. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแคลอรี่สูง เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชานมไข่มุก กาแฟมอคค่าเพิ่มวิปครีม
  4. จำกัดปริมาณการบริโภคผลไม้ เนื่องจากผลไม้ทุกชนิดมีน้ำตาล ควรเลือกผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง ชมพู่ แก้วมังกร
  5. เพิ่มกิจกรรมการเคลื่อนไหวในแต่ละวัน อย่านั่งทำงานตลอดทั้งวัน ให้ลุกขึ้นมาขยับตัวบ้าง หรือทำงานบ้านในยามว่าง ซึ่งก็เป็นวิธีการออกกำลังกายที่ดีอย่างหนึ่ง
  6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำเท่าที่ทำได้ หากไม่สะดวกออกนอกบ้าน ก็สามารถออกกำลังกายอยู่บ้านได้ มีท่าออกกำลังกายเรียกเหงื่อมากมายที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ

5-things-win-fat-2.jpg

สรุป


มีรายงานและผลสรุปวิจัยมากมายที่กล่าวถึงความเสี่ยงของอาการรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นในผู้ป่วยโรคอ้วนที่ติดเชื้อโควิด 19 ดังนั้น การรักษามาตรการป้องกันตัวเองจากโควิด 19 อย่างเข้มงวด จึงเป็นปราการด่านหน้าที่ดีให้พ้นจากโควิด


ในขณะที่การรีบเข้ารับการฉีดวัคซีน ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเรา หรือหากติดเชื้อจริง จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรง ลดอัตราการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และลดอัตราการเสียชีวิตได้


แน่นอนว่า การฟิตหุ่นและลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นอีกแง่มุมหนึ่งของการช่วยลดความเสี่ยงของผู้ที่เป็นโรคอ้วน อาจไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยทันทีในช่วงโควิด 19 ในสภาพที่ต้องกักตัวอยู่บ้าน เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ไม่สะดวกไปออกกำลังกายข้างนอก แต่การเริ่มต้นตั้งเป้าหมายลดน้ำหนักเสียตั้งแต่วันนี้เลยก็ยังดีกว่าการอยู่บ้านเฉย ๆ


ขอให้คิดในแง่ดีว่า ให้ใช้โอกาสที่ไม่สามารถไปกินข้าวข้างนอกได้ เป็นโอกาสอันดีในการคุมอาหาร ลดน้ำหนัก ซึ่งไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงของอันตรายจากโควิด แต่ยังช่วยลดโอกาสที่จะเป็นโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่จะตามมาได้อีกด้วย


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ

พญ. อารีสา มโนชญ์ปิติพงศ์

พญ. อารีสา มโนชญ์ปิติพงศ์

ศูนย์เบาหวานและเมตาบอลิก

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital