บทความสุขภาพ

Knowledge

อาหารผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ควรรับประทานอย่างไร จึงปลอดภัย ไม่น่าเบื่อ

พญ. ผ่องพรรณ ทานาค

“กินอาหารเช่นไร ได้สุขภาพเช่นนั้น” ยิ่งถ้าเป็นในกลุ่มของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังแล้ว การเลือกวัตถุดิบมาทำอาหารให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้อาการป่วยแย่ลง ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ป่วยควรปฏิบัติ


เนื่องจากโรคไตวายเรื้อรังเป็นภาวะที่ไตไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ เพราะไม่สามารถกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้เหมือนเดิม หากมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมแล้ว ก็อาจส่งผลให้ไตต้องทำงานหนักแล้วมีอาการทรุดลงได้ ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังจึงควรเรียนรู้ว่าอาหารชนิดไหนทานได้ อาหารชนิดไหนควรหลีกเลี่ยง


ในบทความนี้เราจะมากล่าวถึงอาหารผู้ป่วยโรคไต เพื่อที่จะได้เลือกรับประทานอาหารในแต่ละวันได้อย่างเหมาะสม และถือเป็นการบำบัดโรคด้วยอาหาร ช่วยชะลอความเสื่อมของไตลงได้


ปรึกษาอาการเบื้องต้นได้เลย เพื่อสุขภาพของคุณ

อาหารผู้ป่วยโรคไต แบบไหนควรกิน แบบไหนควรหลีกเลี่ยง


ผู้ป่วยโรคไตควรพบแพทย์และใช้หลักการของอาหารบำบัดที่เหมาะสม โดยในแต่ละมื้อควรมีอาหารที่หลากหลาย แต่ในขณะเดียวกันก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดการสะสมของเสียในร่างกาย ซึ่งจะส่งผลให้ไตต้องทำงานหนักและอาจเร่งให้ไตเสื่อมเร็วมากขึ้นกว่าเดิม


การพิจารณาอาหาร ว่าอาหารชนิดใดเป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยง และอาหารชนิดใดเป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคไตควรรับประทาน สามารถพิจารณาจากหลักปฏิบัติดังต่อไปนี้


food-for-ckd-patients-1.jpg
  • อาหารผู้ป่วยโรคไตทั้ง 3 มื้อ ควรประกอบไปด้วยสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ ข้าว / แป้ง เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ น้ำมัน และต้องได้รับพลังงานเพียงพอ
  • ปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหารให้เหมาะสม เพื่อควบคุมโรคแทรกซ้อนที่มีผลกระทบต่อไต ได้แก่ การลดหวาน ลดมัน ลดเค็ม
  • โปรตีน

แนะนำ : ปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมในอาหารผู้ป่วยโรคไตนั้น ขึ้นอยู่กับระยะของโรคไต ดังนี้


food-for-ckd-patients-2.jpg

นอกจากนี้ ควรเลือกใช้วัตถุดิบที่มีโปรตีนคุณภาพสูงในการประกอบอาหารผู้ป่วยโรคไต เช่น เนื้อปลา (เนื่องจากมีไขมันต่ำ และมีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง) ไข่ขาว เนื้อหมู เนื้อไก่ (ไม่ติดหนัง) นมไขมันต่ำ เป็นต้น


หลีกเลี่ยง : การรับประทานโปรตีนมากเกินไป ควรควบคุมปริมาณเนื้อสัตว์ในอาหารผู้ป่วยโรคไตให้เหมาะสม เนื่องจากเนื้อสัตว์มีปริมาณโปรตีนสูง จะทำให้ไตทำงานหนักและเกิดปริมาณของเสียสะสมในร่างกายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย


  • คาร์โบไฮเดรต

แนะนำ : อาหารผู้ป่วยโรคไต ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายต้องการจำกัดโปรตีนมาก ๆ อาจต้องใช้แป้งปลอดโปรตีน เช่น วุ้นเส้น ก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ เพิ่มเติมจากข้าวได้ และในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานร่วมด้วย ควรเลือกใช้น้ำตาลเทียมแทน


หลีกเลี่ยง : ข้าวเจ้า ก๋วยเตี๋ยว มักกะโรนี ถึงแม้จะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย แต่ในแป้งเหล่านี้ยังมีโปรตีนอยู่บ้าง ทำให้อาจจะได้รับโปรตีนมากเกินไปได้


  • ไขมัน

แนะนำ : น้ำมันชนิดที่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว หรือน้ำมันถั่วเหลือง


หลีกเลี่ยง : อาหารที่มีคลอเลสเตอรอลสูง เช่น อาหารทะเล อาหารฟาสต์ฟู้ด ไข่แดง เครื่องในสัตว์ และไขมันอิ่มตัวจากพืชและสัตว์ เช่น กะทิ น้ำมันปาล์ม มันหมู รวมถึงไขมันทรานส์ เช่น เนยเทียม เนยขาว ที่อยู่ในในเบเกอรี่ต่าง ๆ


  • โซเดียม

แนะนำ : ในอาหารผู้ป่วยโรคไตทุกระยะ ควรจำกัดปริมาณโซเดียมที่ใช้คือ ประมาณ 2-3 กรัม/วัน โดยควรลดปริมาณซีอิ๊วปรุงอาหารลงให้เหลือประมาณ 3 ช้อนชาต่อวัน


หลีกเลี่ยง : อาหารรสเค็มจัด รวมถึงอาหารแปรรูป อาหารหมักดอง อาหารตากแห้งต่าง ๆ และอาหารกึ่งสำเร็จรูป ได้แก่ ไส้กรอก แฮม เบคอน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ เป็นต้น


เนื่องจากการกะปริมาณความเค็มตามความรู้สึก อาจทำให้เราได้รับปริมาณโซเดียมมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว ก่อนหาซื้อหรือเริ่มปรุงอาหารผู้ป่วยโรคไต จึงควรศึกษาข้อมูลปริมาณโซเดียมในอาหารประเภทต่าง ๆ เพิ่มเติม หากเป็นอาหารที่มีฉลาก ควรตรวจสอบปริมาณโซเดียมจากฉลากก่อนซื้อทุกครั้ง


** ชอบกินเค็ม จะเป็นโรคไตหรือไม่? >> แนะนำแพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคไต


  • โพแทสเซียม

ในผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 4-5 มักเกิดปัญหาโพแทสเซียมในเลือดเกิน จึงควรจำกัดการบริโภคโพแทสเซียม ส่วนผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ทำการบำบัดทดแทนไตแล้ว การจำกัดปริมาณโพแทสเซียมขึ้นกับชนิดของการบำบัดทดแทนไต ให้ปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลเป็นราย ๆ ไป


แนะนำ : ผักที่มีปริมาณโพแทสเซียมไม่สูงนัก ได้แก่ ฟักเขียว บวบ แตงกวา มะเขือยาว เป็นต้น


หลีกเลี่ยง : อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ผักสีเขียวเข้มหรือสีเหลืองเข้ม ได้แก่ บร็อคโคลี่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ หน่อไม้ฝรั่ง ฟักทอง


นอกจากนี้ยังต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่ใช้โพแทสเซียมเป็นส่วนประกอบในสารปรุงแต่งอาหารหลายชนิด เช่น ด่างที่ใช้ใส่ในแป้งบะหมี่และแป้งเกี๊ยว เพื่อให้แป้งมีลักษณะเหนียว รวมทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบรรจุซองด้วย


  • ฟอสฟอรัส

ในผู้ป่วยโรคไตระยะที่ 4-5 รวมถึงผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ได้รับการฟอกไต ควรจำกัดปริมาณการบริโภคฟอสฟอรัส


แนะนำ : อาหารที่ฟอสฟอรัสต่ำ เช่นไข่ขาว


หลีกเลี่ยง : อาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง ได้แก่ ไข่แดง นมทุกรูปแบบรวมถึงผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต เนยแข็ง เมล็ดพืช (เช่น เมล็ดแตงโม เมล็ดทานตะวัน) อาหารที่ใช้ยีสต์และใช้ผงฟูเพราะมีฟอสเฟตสูง เช่น ขนมปังปอนด์ ซาลาเปา หมั่นโถว โดนัท เค้ก คุ้กกี้


  • กรดยูริก

แนะนำ : ควรรับประทานอาหารไขมันต่ำ เพราะอาหารที่มีไขมันสูงทำให้กรดยูริกนั้นขับถ่ายออกมาทางปัสสาวะได้ไม่ดี


หลีกเลี่ยง : อาหารที่มีพิวรีนมาก เช่น เครื่องในสัตว์ทุกชนิด ปีกสัตว์ น้ำสกัดจากเนื้อสัตว์ ยอดผักอ่อน (เช่นยอดตำลึง ยอดฟักแม้ว ยอดฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง)


  • เครื่องเทศ

แนะนำ : ในกรณีที่ผู้ป่วยต้องจำกัดปริมาณโซเดียมต่ำมาก อาจส่งผลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อยลง แนะนำให้ใช้เครื่องเทศ และสมุนไพร เป็นตัวแต่งกลิ่นอาหารเพื่อให้อาหารมีกลิ่น และรสชาติที่น่ารับประทานมากขึ้น เช่น หอมแดง ใบมะกรูด กระเทียม ใบโหระพา ข่า ใบแมงลัก ตะไคร้ เป็นต้น


หลีกเลี่ยง : การใช้เครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูง


  • น้ำ

แนะนำ : น้ำเปล่า ถือเป็นสิ่งที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคไตมากที่สุด หรือหากต้องการดื่มน้ำสมุนไพร ต้องเป็นน้ำที่ไม่หวานจัด เช่น น้ำใบเตย น้ำอัญชัน น้ำเก๊กฮวย น้ำกระเจี๊ยบ เป็นต้น


หลีกเลี่ยง : หากเป็นไตวายระยะสุดท้ายที่มีปัสสาวะออกลดลงหรือมีอาการบวม ต้องจำกัดน้ำดื่ม ไม่ให้เกิน 700 – 1,000 ซีซี ต่อวัน เพราะความสามารถในการขับปัสสาวะของผู้ป่วยโรคไตในระยะท้ายนั้นจะลดลง อาจกระตุ้นอาการบวมน้ำและน้ำท่วมปอดได้


ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้อาหารเหล่านี้จะเป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังควรรับประทาน แต่ก็ไม่ควรที่จะทานในปริมาณที่มากจนเกินไป ควรรักษาสมดุลของอาหารในแต่ละมื้อ รับประทานอาหารที่หลากหลาย เพื่อให้ได้สารอาหารที่หลากหลายมากขึ้น

7 ตัวอย่างเมนู อาหารผู้ป่วยโรคไต


สำหรับมือใหม่ที่ต้องดูแลผู้ป่วย (หรืออาจจะทำให้ตัวเองรับประทานเอง) อาจจะรู้สึกยุ่งยากในช่วงเริ่มต้นใหม่ ๆ เพราะดูเหมือนจะมีข้อจำกัดมากมายเต็มไปหมด แต่ที่จริงแล้ว เราสามารถสร้างสรรค์เมนูอาหารผู้ป่วยโรคไต กินได้ได้หลากหลาย แต่อาจจะนำมาอธิบายได้ไม่หมดในคราวเดียว จึงขอยกตัวอย่างแนวทางง่าย ๆ ในการสร้างสรรค์เมนูอาหารผู้ป่วยโรคไต ดังนี้


1. ต้มฟักน่องไก่: เหตุผลที่ใช้น่องไก่เป็นวัตถุดิบหลักในการทำอาหารผู้ป่วยโรคไต เพราะเราต้องหลีกเลี่ยงส่วนของเนื้อสัตว์ที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในและส่วนปีกสัตว์ปีก นอกจากนี้ยังต้องเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมันอีกด้วย


2. ผัดบวบใส่ไข่: เป็นอีกเมนูอาหารผู้ป่วยโรคไตที่ทำง่าย รสชาติอร่อย (อะไรใส่ไข่ก็อร่อย) เหตุผลที่เลือกใช้บวบ เพราะเป็นผักที่มีโพแทสเซี่ยมต่ำ มีข้อแนะนำเพิ่มเติมว่า ให้ใช้น้ำมันน้อย ๆ อาจปรุงรสได้บ้าง แต่ให้จำกัดปริมาณเครื่องปรุงแต่พอดี


3. มะระผัดไข่: มะระจีน คนเป็นโรคไตสามารถรับประทานได้ แต่ตอนผัดอย่าเผลอใส่น้ำมันและเครื่องปรุงรสมากเกินไป


food-for-ckd-patients-3.jpg

4. แกงส้ม: หลายคนอาจกังวลว่าแกงส้มไม่เหมาะจะเป็นอาหารผู้ป่วยโรคไต เพราะน่าจะมีรสจัด กลัวว่าจะมีโซเดียมสูงเกินไปหรือไม่? แต่แน่นอนว่าเมนูนี้ เราแนะนำให้ปรุงรสให้กลมกล่อมก็พอ ไม่ต้องหนักมือมาก ที่สำคัญ ต้องงดใส่กะปิ และผงชูรสโดยเด็ดขาด และเลือกใช้เฉพาะผักที่มีสีขาวหรือสีอ่อน (โพแทสเซี่ยมต่ำ) อย่างเช่น ผักกาดขาว ฟัก ข้าวโพดอ่อน เป็นต้น


5. ต้มจืดตำลึงหมูสับ: เป็นเมนูอาหารผู้ป่วยโรคไตที่ตัดเลี่ยนได้ดี เหมาะกับหลายโอกาส หากต้องการให้อยู่ท้องหน่อย อาจใส่วุ้นเส้นเข้าไปในต้มจืด หรือผสมวุ้นเส้นกับหมูสับที่ปั้นเป็นก้อนก็ได้ มีข้อแม้ว่าห้ามใส่ผักชี (เพราะมีโพแทสเซียมสูง) และผงชูรส


6. ถั่วงอกผัดเต้าหู้และเห็ดหูหนู: ถั่วงอกเป็นผักสีขาวที่มีโพแทสเซียมต่ำ ส่วนเต้าหู้ ให้เลือกใช้เต้าหู้แข็งขาว ในปริมาณ ½ ก้อน จะให้ปริมาณฟอสฟอรัสไม่สูงเกินไป ส่วนเห็ดหูหนูนั้น มีค่าโพแทสเซียมต่ำมากในบรรดาเห็ดต่าง ๆ แถมยังมีราคาถูก หาซื้อได้ง่าย เหมาะกับใช้เป็นวัตถุดิบประกอบอาหารผู้ป่วยโรคไตจริง ๆ


7. ผัดกะเพราไก่: พยายามปรุงรสให้เบามือ และห้ามใส่ถั่วฝักยาว เนื่องจากเป็นผักที่มีโพแทสเซียมสูง นอกจากนี้ ให้ระวังการใช้ส่วนอกไก่ที่มีโปรตีนสูง และส่วนปีกไก่ที่มีพิวรีนสูง


food-for-ckd-patients-4.jpg

ให้พิจารณาจากเมนูอาหารและแนวทางต่าง ๆ ที่นำเสนอมานี้ เพื่อความเข้าใจในการเลือกวัตถุดิบและการปรุงอาหารผู้ป่วยโรคไต


ผู้ป่วยโรคไตควรงดอาหารเค็มจริงหรือไม่ ?


food-for-ckd-patients-5.jpg

“กินเค็มมาก! เดี๋ยวก็เป็นโรคไตหรอก”… เป็นสิ่งที่เรามักจะได้ยินมาโดยตลอด


โดยปกติแล้วไตจะสามารถทำหน้าที่ควบคุมปริมาณน้ำและเกลือแร่ให้สมดุลได้อย่างเหมาะสม แต่ถ้าหากเป็นผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ไตจะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ จึงไม่สามารถควบคุมปริมาณเกลือแร่ให้สมดุลได้


ผู้ป่วยโรคไตส่วนใหญ่พยายามหลีกเลี่ยงเครื่องปรุงอาหารที่มีรสเค็ม อย่างเกลือและน้ำปลา แต่นั่นอาจจะเป็นความเข้าใจที่ไม่ครอบคลุมทั้งหมด เพราะจริง ๆ แล้วสิ่งที่ทำให้ไตต้องทำงานหนักนั้นคือ โซเดียม ซึ่งเป็นเกลือแร่ที่แฝงอยู่ในอาหารต่าง ๆ มากมายในชีวิตประจำวัน


เนื่องจากอาหารรสเค็มส่วนใหญ่มักจะมีโซเดียมในปริมาณที่สูง จึงอาจพอสรุปได้ว่า ถ้าต้องการลดโซเดียมในอาหาร การลดเค็ม ถือเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดในทางปฏิบัติ แต่การเตรียมอาหารผู้ป่วยโรคไต ก็ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องระวัง เพราะโซเดียมไม่ได้มีอยู่แต่ในอาหารที่มีรสเค็มเท่านั้น


food-for-ckd-patients-6.jpg

โซเดียม ไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติเค็ม


ในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังนั้น ไตจะไม่สามารถควบคุมปริมาณเกลือแร่ให้สมดุลได้ ทำให้ไม่สามารถขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกายได้ จึงเกิดโซเดียมสะสมในเลือดสูง ทำให้มีอาการบวม เป็นความดันโลหิตสูงและโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา ส่งผลให้เนื้อไตถูกทำลายมากขึ้นกว่าเดิม เราจึงต้องควบคุมปริมาณโซเดียมในอาหารผู้ป่วยโรคไต ไม่ให้สูงเกินมาตรฐานที่กำหนด


นอกจากนี้ เครื่องปรุงที่ใช้ประกอบอาหาร ก็เป็นอาหารที่มีโซเดียมในปริมาณที่สูง เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นในซอสปรุงรส ซีอิ้วขาว ผงชูรส ซุปก้อน น้ำจิ้มต่าง ๆ ขนมถุง อาหารแปรรูป เช่น แฮม เบคอน อาหารหมักดอง รวมถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีกด้วย


เมื่อพูดถึงในอาหารผู้ป่วยโรคไต หลายคนพยายามหลีกเลี่ยงกันแต่อาหารที่มีรสเค็มเพียงอย่างเดียว แต่ที่จริงแล้ว อาหารที่ไม่มีรสเค็มหลาย ๆ อย่างก็มีโซเดียมเป็นองค์ประกอบในสัดส่วนที่สูง อย่างเช่น ขนมปัง ขนมเค้ก คุกกี้ และแพนเค้ก ก็ใช้ผงฟู ซึ่งใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (sodium bicarbonate) เป็นองค์ประกอบ เมื่อกินเข้าไปแล้ว ทำให้ได้รับโซเดียมไม่ต่างจากการกินเค็มเลยทีเดียว


ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยง


ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของอาหารผู้ป่วยโรคไตเท่านั้น ที่เราควรเอาใจใส่ใจเป็นอย่างดี เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีก ที่อาจส่งผลให้ไตทำงานหนักได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น


food-for-ckd-patients-7.jpg
  • การขาดการออกกำลังกาย เพราะว่าการขาดการออกกำลังกายนั้นอาจจะเป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ ทั้งโรคอ้วน โรคหัวใจ ซึ่งโรคเหล่านั้นก็ส่งผลกระทบต่อไตให้เสื่อมเร็วขึ้นได้เช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ไม่หักโหมออกกำลังกายหนักเกินไปอีกด้วย
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ เมื่อร่างกายทำงานหนักจนเกิดความเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้อย่างเต็มที่ ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อไตเช่นกัน

จะเห็นว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยง ซึ่งถ้าผู้ป่วยโรคไตนั้นสามารถทำควบคู่ไปกับการเลือกอาหารที่เหมาะสมกับร่างกาย ก็จะทำให้ส่งผลดีต่อไตมากขึ้น


ผู้ป่วยโรคไต ควรเริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรม


เนื่องจากผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันหลายอย่าง แถมยังต้องอยู่กับพฤติกรรมใหม่ไปอีกยาวนาน เราจึงแนะนำให้ค่อย ๆ ปรับพฤติกรรม อย่าหักโหมหรือใช้วิธีหักดิบ เพราะจะทำให้รู้สึกอึดอัดเปล่า ๆ


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของอาหารผู้ป่วยโรคไต แม้จะมีสิ่งที่ควรเลี่ยงอยู่บ้าง แต่หลักสำคัญนั้นไม่ใช่ให้เลิกกินอาหารทุกประเภทที่เป็นข้อห้ามทั้งหมด แต่เป็นการจำกัดสารอาหารเหล่านั้นให้มีปริมาณน้อย ๆ


ยกตัวอย่างเช่น เนื้ออกไก่ มีโปรตีนสูง ผู้ป่วยโรคไตอาจรับประทานได้ แต่ต้องกินแต่น้อย หรือเต้าหู้ ที่มีฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบ (เพราะทำมาจากถั่วเหลือง) ก็ให้เราจำกัดปริมาณเต้าหู้ที่กิน โดยศึกษาคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ที่เชื่อถือได้ เป็นต้น


ในช่วงแรกอาจจะทดลองปรุงอาหารผู้ป่วยไตตามเมนูแนะนำนี้ก่อน แล้วค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนหรือสร้างสรรค์โดยพิจารณาเกณฑ์ในการเลือกอาหารจากหัวข้อ “อาหารที่ผู้ป่วยโรคไตควรรับประทาน และควรหลีกเลี่ยง” ร่วมด้วย


สรุป


การเลือกอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตให้เหมาะสมเป็นสิ่งที่ต้องทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรัง สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผู้ป่วยต้องเริ่มปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ตั้งแต่ตรวจพบว่าเป็นโรค โดยอาจให้คนในครอบครัวมีส่วนร่วมในการควบคุมอาหาร


นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์ตามนัด เพื่อความต่อเนื่องในการวางแผนรักษา หรือการพบนักโภชนาการเพื่อช่วยกันวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อชะลอความเสื่อมของไตลงได้


โดยทางสถาบันโรคไตและเปลี่ยนไต โรงพยาบาลพระรามเก้า ซึ่งประกอบด้วยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการในแต่ละด้าน มีความพร้อมที่จะดูแลและรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องไตเป็นอย่างดี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโรคไต และทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังนั้นดีขึ้นได้อีกด้วย


อ้างอิง

  1. หนังสือโรคไต (สำหรับประชาชน) โดยสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย
  2. อาหารโรคไต : สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย: Thai Dietetic Association

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital