บทความสุขภาพ
Knowledge
การปลูกถ่ายไตเป็นการผ่าตัดเพื่อนำไตใหม่จากผู้บริจาคซึ่งอาจเป็นญาติหรือผู้ป่วยสมองตายมาปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เพื่อทดแทนการทำงานของไตที่บกพร่องไป ซึ่งปัจจุบันความสำเร็จของการปลูกถ่ายไตมีอัตราค่อนข้างสูง ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ จึงนับว่าเป็นทางเลือกการรักษาที่ดีที่สุดของผู้ป่วยภาวะไตวายเรื้อรังและไตที่ปลูกถ่ายใหม่สามารถใช้งานได้นานกว่า 10 ปี อย่างไรก็ตามหลังการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิต เนื่องจากผู้ป่วยจะต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิตเพื่อป้องกันภาวะปฏิเสธไต ทำให้มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่าย การดูแลสุขภาพในช่วงหลังการปลูกถ่ายไตจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
การรับประทานอาหารหลังการปลูกถ่ายไตก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ผู้ป่วยควรต้องคำนึงถึง เพราะต้องเพิ่มการดูแลเรื่องสุขอนามัยด้านอาหารมากขึ้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และอาหารบางชนิดอาจมีผลต่อยากดภูมิคุ้มกัน ดังนั้นหลังการปลูกถ่ายไตผู้ป่วยควรรับประทานอาหารให้เหมาะสม อาจต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารบางชนิดที่อาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยากดภูมิคุ้มกันหรือมีผลต่อระดับยาในร่างกายซึ่งอาจทำให้เกิดพิษในร่างกายได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยควรมีการจัดเตรียมและรับประทานอาหารถูกต้องตามหลักการสุขาภิบาลอาหารเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการรับประทานอาหารหลังการปลูกถ่ายไตเพื่อที่จะสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อให้ไตใหม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและผู้ปลูกถ่ายไตมีคุณภาพชีวิตที่ดี
จากที่กล่าวไปข้างต้นว่าผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไต จำเป็นต้องให้ความสำคัญและต้องดูแลระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหารรวมไปถึงสุขอนามัยด้านอาหารด้วย เนื่องจากการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมหลังการปลูกถ่ายไตจะส่งผลให้ร่างกายฟื้นตัวหลังผ่าตัดเร็ว และสามารถกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงได้เร็วขึ้น และยังช่วยให้ไตใหม่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการทำงานให้ยาวนานยิ่งขึ้น โดยผู้ป่วยปลูกถ่ายไตอาจต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ในการเลือกรับประทานอาหาร
ผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไตต้องมีการปรับตัวในการรับประทานอาหาร ซึ่งจะมีรายละเอียดการเลือกรับประทานอาหารมากขึ้นกว่าคนปกติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อประสิทธิภาพการทำงานของไตใหม่ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ป่วย โดยหลักการเลือกรับประทานอาหารกลุ่มต่าง ๆ มีดังนี้
ผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวาน หรือผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง อันเนื่องมาจากผลของยาสเตียรอยด์ (steroid) จะเป็นกลุ่มผู้ที่ต้องควบคุมอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต โดยควรรับประทานข้าว แป้ง และน้ำตาล ในปริมาณที่เหมาะสม โดยควรเลือกรับประทานดังนี้
ผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง จำเป็นต้องจำกัดอาหารกลุ่มไขมัน โดยมีหลักการคือ
และพิจารณาเลือกบริโภคอาหารกลุ่มไขมันดังนี้
และควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า ไวน์ วิสกี้ เบียร์ เป็นต้น และหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารมื้อดึก เนื่องจากการบริโภคอาหารก่อนเข้านอน 3 ชั่วโมงจะทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงได้ง่าย
โซเดียมมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ สำหรับคนปกติทั่วไป แนะนำให้บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน (พิจารณาจาก dietary reference index; DRI)
สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องจำกัดปริมาณโซเดียม เช่น ผู้ป่วยโรตไต โรคความดัน โรคน้ำท่วมปอด หรือผู้ที่มีภาวะการคั่งของน้ำในร่างกาย เป็นต้น โดยมีแนวทางการบริโภคอาหารเพื่อจำกัดปริมาณโซเดียม มีดังนี้
โปรตีน มีหน้าที่สำคัญในการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เป็นส่วนประกอบของกล้ามเนื้อ และช่วยในการสังเคราะห์สารสำคัญที่ช่วยให้ร่ายกายทำงานเป็นปกติ เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ ภูมิคุ้มกันของร่างกาย เม็ดเลือด เป็นต้น ดังนั้นโปรตีนจึงเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
ผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่มีการสลายของกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น หรือมีภาวะทุพโภชนาการอยู่เดิม ควรมีการกำหนดปริมาณโปรตีนให้รับประทานได้เพียงพอแก่การชดเชยส่วนที่ขาดไป โดยควรเลือกรับประทานอาหารกลุ่มโปรตีนคุณภาพ (high biological value protein) เช่น นม เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เนื้อปลา ไข่ขาว เป็นต้น
โพแทสเซียมช่วยให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานได้เป็นปกติ สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง แพทย์จะกำหนดให้จำกัดปริมาณโพแทสเซียมในอาหาร ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมต่ำ โดยแหล่งอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ผัก ผลไม้ นม ธัญพืช และเครื่องปรุงรสบางชนิดที่เสริมโพแทสเซียม เป็นต้น เราสามารถลดปริมาณโพแทสเซียมในผักได้ด้วยการล้างผักให้สะอาด ปอกเปลือก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือนำผักไปต้มหรือลวก ก่อนนำไปปรุงประกอบอาหาร ก็จะลดปริมาณโพแทสเซียมในผักลงได้
สามารถแบ่งกลุ่มผักและผลไม้ตามปริมาณของโพแทสเซียม ได้ดังนี้
โดยวิธีการคำนวณปริมาณ 1 จานของผลไม้ มีหลักง่าย ๆ ดังนี้
ฟอสฟอรัส เป็นแร่ธาตุที่พบมากในกระดูกและเป็นส่วนประกอบหนึ่งในเลือด หากมีฟอสฟอรัสปริมาณมากเกินไปจะมีผลต่อร่างกาย เช่น กระดูกเปราะบาง คันตามผิวหนัง เกิดหินปูนเกาะ ทำให้เกิดโรคหัวใจได้
สำหรับผู้ป่วยโรคไตที่มีฟอสฟอรัสสูงสามารถควบคุมปริมาณฟอสฟอรัสได้หลายวิธี ได้แก่ การฟอกเลือด การรับประทานยาจับฟอสฟอรัส และการควบคุมอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง โดยอัตราการดูดซึมฟอสฟอรัสของร่างกายจะขึ้นกับแหล่งของอาหาร เช่น ฟอสฟอรัสจากส่วนผสมทางเคมีที่ใช้ในการถนอมอาหารและปรุงแต่งอาหารที่เพิ่มรสเพิ่มกลิ่นจะถูกดูดซึมได้มากกว่า 90% ฟอสฟอรัสจากเนื้อสัตว์ นม ไข่ จะถูกดูดซึมได้ประมาณ 60% และฟอสฟอรัสจากพืชจะถูกดูดซึมน้อยกว่า 50% ซึ่งกลุ่มอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง มีดังนี้
ผู้ป่วยหลังการผ่าตัดปลูกถ่ายไตทุกราย จะได้รับยากดภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันภาวะปฏิเสธไต การรับประทานยากดภูมิคุ้มกันควรทานอย่างต่อเนื่องและตรงเวลาในทุก ๆ วัน ยาบางชนิดควรทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที บางชนิดไม่ควรรับประทานพร้อมอาหารหรือควรทานตอนท้องว่าง และยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับอาหารบางประเภท จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารนั้น ๆ เพราะจะส่งผลต่อระดับยาและระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ส่งผลให้เป็นพิษต่อร่างกายได้
ผู้ป่วยจึงควรทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของอาหารกับยากดภูมิคุ้มกันเบื้องต้น เพื่อให้การรับประทานยามีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัยมากที่สุด สามารถสรุปความสัมพันธ์ของยากับอาหาร ได้ดังนี้
อาหารและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ผู้ป่วยปลูกถ่ายไต “ควรหลีกเลี่ยง” มีดังนี้
การได้รับยากดภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานลดลง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นสุขอนามัยด้านอาหารของผู้ได้รับการปลูกถ่ายไตจึงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยแนวทางสุขาภิบาลอาหาร มีดังนี้
(ที่มา: คู่มือวิชาการสุขาภิบาลอาหารสำหรับเจ้าหน้าที่, 2566)
การปลูกถ่ายไตถือว่าเป็นการวิธีการรักษาโรคไตวายเรื้อรังที่ให้ผลการรักษาดีกว่าการรักษาแบบอื่น ๆ ซึ่งการผ่าตัดปลูกถ่ายไตเป็นการผ่าตัดใหญ่จำเป็นต้องมีการเตรียมร่างกายของทั้งผู้บริจาคไต และผู้รับบริจาคไตก่อนการผ่าตัด ระหว่างผ่าตัด และหลังผ่าตัด เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุดของไตใหม่ และความปลอดภัยของทั้งผู้บริจาคและรับบริจาคไต และหลังจากการปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตต้องระมัดระวังและเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันภาวะที่ร่างกายปฏิเสธไตใหม่ ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และยืดอายุการทำงานของไตให้ยาวนานขึ้นด้วย
ผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายไต ควรรับประทานอาหารที่ให้พลังงานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีนคุณภาพสูง และไขมันชนิดที่ดีเพื่อให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดอยู่ในระดับปกติ และควรมีการจำกัดปริมาณของเกลือแร่ที่ได้รับจากอาหาร เช่น โซเดียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส เพื่อคงสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกายซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของไตโดยตรง
ผู้ป่วยปลูกถ่ายไตเลือกรับประทานอาหารอย่างระมัดระวัง ควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด เช่น ขิง ข่า โสม ส้มโอ และทับทิม เป็นต้น เพราะมีผลต่อระดับของยากดภูมิคุ้มกันทำให้เกิดพิษในร่างกายได้ อาหารบางชนิดก็ไม่ควรรับประทานพร้อมกับยากดภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น แอลกอฮอล์ นม และกาแฟ อีกทั้งผู้ป่วยหลังการปลูกถ่ายไตมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย จึงควรให้ความสำคัญในเรื่องของการสุขาภิบาลอาหารอย่างถูกวิธีเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
การรับประทานอาหารหลังปลูกถ่ายไตอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ไตใหม่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)
เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ
แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (3)
ดูทั้งหมด
บทความที่เกี่ยวข้อง (10)
ดูทั้งหมด
Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital