บทความสุขภาพ

Knowledge

อาหารหลังการปลูกถ่ายไต เลือกรับประทานอย่างไรดี?

การปลูกถ่ายไตเป็นการผ่าตัดเพื่อนำไตใหม่จากผู้บริจาคซึ่งอาจเป็นญาติหรือผู้ป่วยสมองตายมาปลูกถ่ายให้แก่ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เพื่อทดแทนการทำงานของไตที่บกพร่องไป ซึ่งปัจจุบันความสำเร็จของการปลูกถ่ายไตมีอัตราค่อนข้างสูง ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ จึงนับว่าเป็นทางเลือกการรักษาที่ดีที่สุดของผู้ป่วยภาวะไตวายเรื้อรังและไตที่ปลูกถ่ายใหม่สามารถใช้งานได้นานกว่า 10 ปี อย่างไรก็ตามหลังการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิต เนื่องจากผู้ป่วยจะต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิตเพื่อป้องกันภาวะปฏิเสธไต ทำให้มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่าย การดูแลสุขภาพในช่วงหลังการปลูกถ่ายไตจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง


การรับประทานอาหารหลังการปลูกถ่ายไตก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ผู้ป่วยควรต้องคำนึงถึง เพราะต้องเพิ่มการดูแลเรื่องสุขอนามัยด้านอาหารมากขึ้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และอาหารบางชนิดอาจมีผลต่อยากดภูมิคุ้มกัน ดังนั้นหลังการปลูกถ่ายไตผู้ป่วยควรรับประทานอาหารให้เหมาะสม อาจต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารบางชนิดที่อาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยากดภูมิคุ้มกันหรือมีผลต่อระดับยาในร่างกายซึ่งอาจทำให้เกิดพิษในร่างกายได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยควรมีการจัดเตรียมและรับประทานอาหารถูกต้องตามหลักการสุขาภิบาลอาหารเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการรับประทานอาหารหลังการปลูกถ่ายไตเพื่อที่จะสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อให้ไตใหม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและผู้ปลูกถ่ายไตมีคุณภาพชีวิตที่ดี


อาหารหลังปลูกถ่ายไตสำคัญอย่างไร?


จากที่กล่าวไปข้างต้นว่าผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไต จำเป็นต้องให้ความสำคัญและต้องดูแลระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหารรวมไปถึงสุขอนามัยด้านอาหารด้วย เนื่องจากการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมหลังการปลูกถ่ายไตจะส่งผลให้ร่างกายฟื้นตัวหลังผ่าตัดเร็ว และสามารถกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงได้เร็วขึ้น และยังช่วยให้ไตใหม่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดอายุการทำงานให้ยาวนานยิ่งขึ้น โดยผู้ป่วยปลูกถ่ายไตอาจต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ในการเลือกรับประทานอาหาร


  • อาหารที่รับประทานควรเป็นอาหารปรุงสุกใหม่ สะอาด มีโภชนาการครบ 5 หมู่ และการจัดเตรียมอาหารถูกต้องตามหลักการสุขาภิบาลอาหาร
  • กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ หลังการผ่าตัด จะสามารถเลือกทานอาหารได้ปกติ
  • กลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด เช่น มีไข้ ติดเชื้อ มีการสลายของกล้ามเนื้อมากขึ้น จำเป็นต้องรับประทานอาหารให้เพียงพอและเหมาะสมตามสภาวะร่างกาย ภายใต้การดูแลของแพทย์และนักโภชนากร
  • กลุ่มผู้ป่วยที่ต้องระมัดระวัง และควบคุมสารอาหารบางชนิด อันเนื่องมาจากยาหรือสภาวะต่าง ๆ เช่น ในภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง ความดันสูง ในภาวะร่างกายต้องการโปรตีนมากขึ้น หรือในภาวะแร่ธาตุต่าง ๆ ของร่างกายไม่อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม จำเป็นต้องได้รับอาหารที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพขณะนั้น ๆ ของตน ภายใต้การดูแลของแพทย์และนักโภชนากร

การเลือกรับประทานอาหารกลุ่มต่าง ๆ ของผู้ปลูกถ่ายไต


ผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไตต้องมีการปรับตัวในการรับประทานอาหาร ซึ่งจะมีรายละเอียดการเลือกรับประทานอาหารมากขึ้นกว่าคนปกติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อประสิทธิภาพการทำงานของไตใหม่ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ป่วย โดยหลักการเลือกรับประทานอาหารกลุ่มต่าง ๆ มีดังนี้


อาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต


ผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวาน หรือผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง อันเนื่องมาจากผลของยาสเตียรอยด์ (steroid) จะเป็นกลุ่มผู้ที่ต้องควบคุมอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต โดยควรรับประทานข้าว แป้ง และน้ำตาล ในปริมาณที่เหมาะสม โดยควรเลือกรับประทานดังนี้


  • อาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ควรบริโภค ได้แก่
    • คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวโอ๊ต พาสตา ซีเรียลไม่มีน้ำตาล ธัญพืช เป็นต้น
    • อาหารที่มีค่าการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายต่ำ (glycemic index < 55) เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวซ้อมมือ ข้าวบาร์เล่ย์ พาสตา ผักกาดแก้ว มันเทศ ข้าวโพด ถั่วแดง แคร์รอต แตงกวา มะเขือเทศ แอปเปิล แก้วมังกร ฝรั่ง เป็นต้น
  • อาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่
    • อาหารน้ำตาลสูง เช่น น้ำหวาน น้ำผลไม้ ขนม เป็นต้น
    • การปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย น้ำผึ้ง และน้ำหวานชนิดต่าง ๆ หากจำเป็นต้องปรุงรสก็ไม่ควรเกิน 3 – 6 ช้อนชา/วัน (ไม่นับรวมน้ำตาลที่แฝงอยู่ในผลไม้และผัก)

อาหารกลุ่มไขมัน


ผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง จำเป็นต้องจำกัดอาหารกลุ่มไขมัน โดยมีหลักการคือ


  • บริโภคไขมันไม่เกินร้อยละ 30 – 35 ของพลังงานรวมในแต่ละวัน
  • จำกัดปริมาณไขมันอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ 7 ของพลังงานรวมในแต่ละวัน
  • จำกัดปริมาณไขมันไม่อิ่มตัวไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงานรวมในแต่ละวัน
  • จำกัดปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหารให้น้อยกว่าวันละ 300 มิลลิกรัม

และพิจารณาเลือกบริโภคอาหารกลุ่มไขมันดังนี้


  • อาหารกลุ่มไขมันที่เหมาะสม ได้แก่
    • บริโภคเนื้อสัตว์ไม่ติดมันหรือไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา อกไก่ ไข่ข่าว เป็นต้น
    • รับประทานอาหารในปริมาณที่พอเหมาะและไม่อิ่มมากจนเกินไป
    • รับประทานอาหารให้ตรงเวลาเพื่อให้ระบบเผาผลาญทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • อาหารกลุ่มไขมัน ที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่
    • อาหารผัดและทอดที่ใช้น้ำมัน เช่น ผัดผัก ไข่เจียว ลูกชิ้นทอด ไก่ทอด เป็นต้น
    • อาหารกลุ่มเบเกอรี่ที่ใช้ไขมัน เนย และนม เช่น เค้ก คุกกี้ บราวนี่ ขนมปัง เป็นต้น
    • อาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง ไข่ปลา ปลาหมึก กุ้ง เครื่องในสัตว์ นมสด มายองเนส เป็นต้น

และควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า ไวน์ วิสกี้ เบียร์ เป็นต้น และหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารมื้อดึก เนื่องจากการบริโภคอาหารก่อนเข้านอน 3 ชั่วโมงจะทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงได้ง่าย


อาหารที่มีโซเดียม


โซเดียมมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ สำหรับคนปกติทั่วไป แนะนำให้บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน (พิจารณาจาก dietary reference index; DRI)


สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องจำกัดปริมาณโซเดียม เช่น ผู้ป่วยโรตไต โรคความดัน โรคน้ำท่วมปอด หรือผู้ที่มีภาวะการคั่งของน้ำในร่างกาย เป็นต้น โดยมีแนวทางการบริโภคอาหารเพื่อจำกัดปริมาณโซเดียม มีดังนี้


  • บริโภคอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ชิมก่อนปรุงทุกครั้ง
  • ใช้รสเปรี้ยว เผ็ด และเครื่องเทศสมุนไพรต่าง ๆ เช่น หอมแดง กระเทียม ใบมะกรูด เป็นต้น เพื่อช่วยเสริมรสชาติ กลิ่น และสีสันแทนรสเค็ม
  • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง มีดังนี้
    • อาหารแปรรูป หมักดอง อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง อาหารอบแห้ง อาหารแช่อิ่ม และอาหารกึ่งสำเร็จรูป
    • เครื่องปรุงรส ผงชูรส ผงปรุงรส และซุปก้อน
    • น้ำจิ้มหรือน้ำราดต่าง ๆ เช่น น้ำจิ้มไก่ น้ำจิ้มลูกชิ้น เป็นต้น
  • โดยปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรสชนิดต่าง ๆ มีดังนี้ ผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไตสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อพิจารณาเลือกบริโภคได้

foods-after-renal-transplantation-1.png
  • ปริมาณโซเดียมในอาหารชนิดต่าง ๆ แสดงดังตารางข้างล่างนี้ ผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไตสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อพิจารณาเลือกบริโภคอาการได้
foods-after-renal-transplantation-2.png

อาหารกลุ่มโปรตีน


โปรตีน มีหน้าที่สำคัญในการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เป็นส่วนประกอบของกล้ามเนื้อ และช่วยในการสังเคราะห์สารสำคัญที่ช่วยให้ร่ายกายทำงานเป็นปกติ เช่น ฮอร์โมน เอนไซม์ ภูมิคุ้มกันของร่างกาย เม็ดเลือด เป็นต้น ดังนั้นโปรตีนจึงเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย


ผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่มีการสลายของกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น หรือมีภาวะทุพโภชนาการอยู่เดิม ควรมีการกำหนดปริมาณโปรตีนให้รับประทานได้เพียงพอแก่การชดเชยส่วนที่ขาดไป โดยควรเลือกรับประทานอาหารกลุ่มโปรตีนคุณภาพ (high biological value protein) เช่น นม เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เนื้อปลา ไข่ขาว เป็นต้น


อาหารที่มีโพแทสเซียม


โพแทสเซียมช่วยให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานได้เป็นปกติ สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง แพทย์จะกำหนดให้จำกัดปริมาณโพแทสเซียมในอาหาร ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมต่ำ โดยแหล่งอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ผัก ผลไม้ นม ธัญพืช และเครื่องปรุงรสบางชนิดที่เสริมโพแทสเซียม เป็นต้น เราสามารถลดปริมาณโพแทสเซียมในผักได้ด้วยการล้างผักให้สะอาด ปอกเปลือก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือนำผักไปต้มหรือลวก ก่อนนำไปปรุงประกอบอาหาร ก็จะลดปริมาณโพแทสเซียมในผักลงได้


สามารถแบ่งกลุ่มผักและผลไม้ตามปริมาณของโพแทสเซียม ได้ดังนี้


foods-after-renal-transplantation-3.png

โดยวิธีการคำนวณปริมาณ 1 จานของผลไม้ มีหลักง่าย ๆ ดังนี้


foods-after-renal-transplantation-4.png

อาหารที่มีฟอสฟอรัส


ฟอสฟอรัส เป็นแร่ธาตุที่พบมากในกระดูกและเป็นส่วนประกอบหนึ่งในเลือด หากมีฟอสฟอรัสปริมาณมากเกินไปจะมีผลต่อร่างกาย เช่น กระดูกเปราะบาง คันตามผิวหนัง เกิดหินปูนเกาะ ทำให้เกิดโรคหัวใจได้


สำหรับผู้ป่วยโรคไตที่มีฟอสฟอรัสสูงสามารถควบคุมปริมาณฟอสฟอรัสได้หลายวิธี ได้แก่ การฟอกเลือด การรับประทานยาจับฟอสฟอรัส และการควบคุมอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง โดยอัตราการดูดซึมฟอสฟอรัสของร่างกายจะขึ้นกับแหล่งของอาหาร เช่น ฟอสฟอรัสจากส่วนผสมทางเคมีที่ใช้ในการถนอมอาหารและปรุงแต่งอาหารที่เพิ่มรสเพิ่มกลิ่นจะถูกดูดซึมได้มากกว่า 90% ฟอสฟอรัสจากเนื้อสัตว์ นม ไข่ จะถูกดูดซึมได้ประมาณ 60% และฟอสฟอรัสจากพืชจะถูกดูดซึมน้อยกว่า 50% ซึ่งกลุ่มอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง มีดังนี้


  • ไข่แดงของสัตว์ทุกชนิดและผลิตภัณฑ์ของไข่แดง เช่น ทองหยิบ ทองหยอด เบเกอรี่
  • ปลาที่กินทั้งก้าง เช่น ปลากรอบ ปลาไส้ตัน ปลาข้าวสาร ปลาแห้ง ปลาซาร์ดีน
  • เครื่องในสัตว์ กบ เขียด อึ่งอ่าง แย้ แมลงทุกชนิด ปูทะเล กุ้งแห้ง
  • อาหารแปรรูปและอาหารกระป๋อง
  • อาหารแช่แข็ง ผลไม้อบแห้ง
  • อาหารจานด่วนต่างๆ เช่น เบอร์เกอร์ นักเก็ต มันฝรั่งทอด
  • นมและอาหารที่มีส่วนผสมของนม เช่น นมเย็น ชานม เครื่องดื่มชงทรีอินวัน โยเกิร์ต ชีส
  • น้ำอัดลมสีเข้ม เบียร์ น้ำแร่ เครื่องดื่มชูกำลัง
  • กาแฟ ช็อกโกเลต โกโก้
  • ยีสต์ ผงฟู และผลิตภัณฑ์ เช่น เบเกอรี่ต่างๆ ซาลาเปา โดนัท ปาท่องโก๋
  • ลูกเดือย งาดำ เต้าหู ถั่ว และธัญพืชต่าง ๆ

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์


  • ผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายไตควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ใกล้เวลาที่ต้องกินยา เพราะจะส่งผลกระทบต่อระดับยาและการกำจัดยาออกจากร่างกายของไต

อาหารกับยากดภูมิคุ้มกัน


ผู้ป่วยหลังการผ่าตัดปลูกถ่ายไตทุกราย จะได้รับยากดภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันภาวะปฏิเสธไต การรับประทานยากดภูมิคุ้มกันควรทานอย่างต่อเนื่องและตรงเวลาในทุก ๆ วัน ยาบางชนิดควรทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที บางชนิดไม่ควรรับประทานพร้อมอาหารหรือควรทานตอนท้องว่าง และยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับอาหารบางประเภท จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารนั้น ๆ เพราะจะส่งผลต่อระดับยาและระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ส่งผลให้เป็นพิษต่อร่างกายได้


ผู้ป่วยจึงควรทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของอาหารกับยากดภูมิคุ้มกันเบื้องต้น เพื่อให้การรับประทานยามีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัยมากที่สุด สามารถสรุปความสัมพันธ์ของยากับอาหาร ได้ดังนี้


  • ยากดภูมิคุ้มกันที่ควรรับประทานพร้อมอาหาร หรือหลังอาหารทันที ได้แก่
    • Prednisolone
    • Azathioprine (Imuran®)
    • Nystatin (Nyst Oral®)
    • Co-trimoxazole (Bactrim®)
    • Valganciclovir (Valcyte®)
    • Lamivudine (Lamivir®)
  • ยากดภูมิคุ้มกันที่ไม่ควรรับประทานพร้อมอาหาร หรือควรรับประทานขณะท้องว่าง ได้แก่
    • Tacrolimus (Advagraf®)
    • Mycophenolate mofetil (Cellcept®)
    • Mycophenolate sodium (Myfortic®)
  • ยากดภูมิคุ้มกันที่ทำปฏิกิริยากับเกรฟฟรุต ทับทิม ขิง ส้มโอ ขมิ้น และโสม ได้แก่
    • Cyclosporin (Sandimmume Neoral®)
    • Tacrolimus (Advagraf®, Prograf®)
    • Sirolimus (Rapamune®)
    • Everolimus (Certican®)
  • ยากดภูมิคุ้มกันที่ไม่ควรรับประทานพร้อมนม หรือหากรับประทานนมก็ควรห่างจากเวลารับประทานยา 2 ชั่วโมง ได้แก่
    • Cyclosporin (Sandimmume Neoral®)
    • Tacrolimus (Advagraf®), Prograf®)
    • Sirolimus (Rapamune®)
    • Mycophenolate mofetil (Cellcept®)
    • Mycophenolate sodium (Myfortic®)
  • ยากดภูมิคุ้มกันที่ทำปฏิกิริยากับคาเฟอีน (ชา, กาแฟ) หากดื่มชาหรือกาแฟก็ควรห่างจากเวลารับประทานยา 2 ชั่วโมง คือ prednisolone

ผู้ปลูกถ่ายไตควรหลีกเลี่ยงอาหารอะไรบ้าง?


อาหารและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ผู้ป่วยปลูกถ่ายไต “ควรหลีกเลี่ยง” มีดังนี้


foods-after-renal-transplantation-5.png

สุขอนามัยด้านอาหารของผู้ได้รับการปลูกถ่ายไต


การได้รับยากดภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานลดลง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นสุขอนามัยด้านอาหารของผู้ได้รับการปลูกถ่ายไตจึงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยแนวทางสุขาภิบาลอาหาร มีดังนี้


การล้างมืออย่างสม่ำเสมอ


  • ก่อนสัมผัสหรือหยิบอาหาร
  • หลังการสัมผัสสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น สัมผัสเนื้อสัตว์สดทุกชนิด เข้าห้องน้ำ สัมผัสสัตว์เลี้ยง สั่งน้ำมูก สัมผัสหน้าหรืออวัยวะต่าง ๆ สัมผัสสิ่งสกปรกต่าง ๆ เป็นต้น
  • ควรล้างมือด้วยสบู่ล้างมือ ถูมือสองข้างให้สะอาดทั่วถึง และเช็ดมือให้แห้งด้วยกระดาษเช็ดมือหรือผ้าสะอาด
  • ผู้สัมผัสอาหารต้องมีสุขอนามัยที่ดี เช่น ไม่เจ็บป่วย ไม่ไอจามใส่อาหาร

การลดการปนเปื้อนต่าง ๆ


  • แยกเก็บอาหารสดตามประเภท ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อหมู สัตว์ปีก อาหารทะเล ผัก ผลไม้ และไข่ แยกเก็บในตู้เย็น
  • แยกพื้นที่ในการประกอบอาหารสุก พื้นที่ในการเตรียมอาหารดิบ และเนื้อสัตว์ดิบต่าง ๆ ให้เป็นสัดส่วน
  • ล้างทำความสะอาดไข่ก่อนนำมาปรุงอาหารด้วยน้ำสะอาด แล้วใช้ฟองน้ำถูเปลือกไข่
  • แยกใช้เขียงสำหรับหั่นอาหารตามประเภทอาหาร เช่น เขียงอาหารปรุงสุก เขียงอาหารทะเล เป็นต้น
  • ไม่นำน้ำซอสหมักเนื้อดิบมาใช้ซ้ำ ถ้าจะใช้ซ้ำต้องนำไปต้มให้สุกอีกรอบก่อน
  • ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทาน กรณีผักใบให้เด็ดออกทีละใบก่อนล้าง วิธีการล้างผักและผลไม้ ได้แก่
    • ใช้มือถู ปล่อยน้ำไหลผ่านทีละส่วน ประมาณ 2 นาที
    • แช่ในน้ำเกลือนาน 10 นาที (โดยใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร) และล้างออกด้วยน้ำสะอาด
    • แช่ในน้ำผสมโซเดียมไบคาร์บอเนต (โดยใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต 1/2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 10 ลิตร) และล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  • แยกประเภทผ้าที่ใช้ทำความสะอาดโต๊ะและภาชนะ
  • จัดเตรียมพื้นที่รับประทานอาหารให้สะอาด

การปรุงและรับประทานอาหารอย่างปลอดภัย


  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ รวมทั้งอาหารและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์
  • ปอกเปลือกผลไม้ก่อนรับประทาน
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงสุกแล้วเก็บไว้ข้ามวัน หากเก็บต้องเก็บในตู้เย็น และอุ่นร้อนก่อนรับประทานทุกครั้ง
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกทั่วถึงทั้งชิ้น เพื่อป้องกันเชื้อโรค และสิ่งปนเปื้อน
  • การละลายน้ำแข็งก่อนนำอาหารแช่แข็งมาใช้ ไม่ควรวางให้ละลายที่อุณหภูมิห้อง ควรนำพักไว้ในช่องแช่เย็นปกติก่อนถึงเวลาใช้งาน หรือแช่ในน้ำเย็นโดยต้องมีถุงหรือภาชนะห่อหุ้มอาหาร หรือนำเข้าละลายน้ำแข็งในไมโครเวฟ เมื่อละลายแล้วต้องใช้ทันที
  • ไม่แนะนำการปรุงประกอบอาหารด้วยไมโครเวฟ เพราะไม่สามารถทำลายเชื้อโรคบางชนิดได้

การเก็บรักษาอาหาร


  • เก็บรักษาอาหารและวัตถุดิบในอุณหภูมิที่เหมาะสมกับประเภทอาหาร แสดงดังรูป

nutrition-2.jpg
  • เก็บอาหารทุกชนิดหากยังไม่ได้รับประทาน และอาหารเหลือจากที่รับประทานแล้ว ให้นำเข้าตู้เย็นภายใน 2 ชั่วโมง หลังจากปรุงประกอบเสร็จ
  • เก็บอาหารในภาชนะปิดมิดชิด แยกเก็บตามชนิดของอาหาร และใส่อาหารในปริมาณครั้งละไม่มากเกินไปเพื่อให้ความเย็นทั่วถึง
  • หลักการเก็บอาหารในตู้เย็น แสดงดังตาราง

foods-after-renal-transplantation-6.png
  • อุณหภูมิที่เหมาะสมและระยะเวลาในการเก็บอาหารที่เหมาะสม แสดงดังตาราง

foods-after-renal-transplantation-7.png

(ที่มา: คู่มือวิชาการสุขาภิบาลอาหารสำหรับเจ้าหน้าที่, 2566)


สรุป


การปลูกถ่ายไตถือว่าเป็นการวิธีการรักษาโรคไตวายเรื้อรังที่ให้ผลการรักษาดีกว่าการรักษาแบบอื่น ๆ ซึ่งการผ่าตัดปลูกถ่ายไตเป็นการผ่าตัดใหญ่จำเป็นต้องมีการเตรียมร่างกายของทั้งผู้บริจาคไต และผู้รับบริจาคไตก่อนการผ่าตัด ระหว่างผ่าตัด และหลังผ่าตัด เพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุดของไตใหม่ และความปลอดภัยของทั้งผู้บริจาคและรับบริจาคไต และหลังจากการปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตต้องระมัดระวังและเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันภาวะที่ร่างกายปฏิเสธไตใหม่ ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และยืดอายุการทำงานของไตให้ยาวนานขึ้นด้วย


ผู้ป่วยหลังปลูกถ่ายไต ควรรับประทานอาหารที่ให้พลังงานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีนคุณภาพสูง และไขมันชนิดที่ดีเพื่อให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดอยู่ในระดับปกติ และควรมีการจำกัดปริมาณของเกลือแร่ที่ได้รับจากอาหาร เช่น โซเดียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส เพื่อคงสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกายซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของไตโดยตรง


ผู้ป่วยปลูกถ่ายไตเลือกรับประทานอาหารอย่างระมัดระวัง ควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด เช่น ขิง ข่า โสม ส้มโอ และทับทิม เป็นต้น เพราะมีผลต่อระดับของยากดภูมิคุ้มกันทำให้เกิดพิษในร่างกายได้ อาหารบางชนิดก็ไม่ควรรับประทานพร้อมกับยากดภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น แอลกอฮอล์ นม และกาแฟ อีกทั้งผู้ป่วยหลังการปลูกถ่ายไตมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย จึงควรให้ความสำคัญในเรื่องของการสุขาภิบาลอาหารอย่างถูกวิธีเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ


การรับประทานอาหารหลังปลูกถ่ายไตอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ไตใหม่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี


ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับ Praram 9 V ปรึกษาแพทย์ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine)

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง (3)

ดูทั้งหมด

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

แพ็กเกจตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง

฿ 4,500

แพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคไต

แพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคไต

แพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคไต

฿ 990 - 3,690

แพ็กเกจตรวจคัดกรองเบาหวาน (Diabetic Screening)

แพ็กเกจตรวจคัดกรองเบาหวาน (Diabetic Screening)

แพ็กเกจตรวจคัดกรองเบาหวาน (Diabetic Screening)

฿ 2,790

บทความที่เกี่ยวข้อง (10)

ดูทั้งหมด

คุณเป็นโรคภูมิแพ้…จริงหรือ…?

คนทั่วไปเมื่อมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง หรือเป็นๆ หายๆ มักจะบอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้ หรือไม่ก็เข้าใจว่าตนเป็นหวัด หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส คนทั่วไปมักเป็นได้ปีละ 4 – 5 ครั้งก็มากเกินปกติแล้ว อาการหวัดมักเป็นอยู่ 3 – 4 วัน

โรคไข้อีดำอีแดง โรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรีย

ข้อมูลจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โรคไข้อีดำอีแดงหรือ scarlet fever เป็นโรคที่เกิดจากพิษของเชื้อแบคทีเรียชื่อ #สเตร็ปโตคอคคัสชนิดเอ ทำให้มีผื่นแดง ตามตัวร่วมกับคอหอยหรือทอนซิลอักเสบ พบบ่อยในช่วงอายุระหว่าง 5-15 ปี

วัคซีนปอดอักเสบนิวโมคอกคัสชนิดใหม่ 20 สายพันธุ์ (PCV 20)

โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสนิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) ส่วนใหญ่เชื้อจะพบอยู่ในโพรงจมูกและลำคอ สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งทางละอองฝอยทางการไอหรือจาม เป็นหนึ่งในเชื้อที่ทำให้เกิดปอดอักเสบที่พบบ่อย ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่าโรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น

บอลลูนหัวใจ: แก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

การทำบอลลูนหัวใจหรือ PCI เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ลดอาการเจ็บหน้าอก และลดความเสี่ยงของหัวใจวาย เป็นการเปิดหลอดเลือดโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยยังคงต้องดูแลสุขภาพ หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อรักษาสุขภาพของหัวใจในระยะยาว

ลิ้นหัวใจเทียมคืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยน? และอะไรบ้างที่คุณควรรู้?

การผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาลิ้นหัวใจผิดปกติ และการผ่าตัดเปลี่ยนลินหัวใจจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกชนิดของลิ้นหัวใจที่เหมาะสม

หัวใจล้มเหลว อาการเป็นอย่างไร ป้องกันได้อย่างไรบ้าง

หัวใจล้มเหลวคือภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ขาบวม และน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด การวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) หมดความสงสัย วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจมะเร็ง (Biopsy) คือวิธีที่นิยมในการวินิจฉัยมะเร็ง เนื่องจากความแม่นยำและละเอียดในการบ่งชี้ประเภทของมะเร็ง ทำได้อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ รักษาใจเต้นผิดจังหวะ ให้กลับสู่ภาวะปกติ

การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) จะใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เครื่องจะช่วยให้หัวใจกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับระดับปกติอีกครั้ง

รู้จัก ASD คืออะไร? ผนังหัวใจรั่วอาการเป็นแบบไหน รักษายังไงดี

ชวนรู้จัก ASD หรือ ภาวะผนังกั้นหัวใจรั่วคืออะไร ผนังหัวใจรั่ว อันตรายไหม? มาเช็กต้นตอสาเหตุ อาการของ ASD แนวทางการรักษา พร้อมวิธีดูแลให้หัวใจห้องบนแข็งแรง!

Copyright © 2024 All Rights Reserved | Praram 9 Hospital